จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
7 Samuraiจากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
***Trigger Warning : ความรุนแรง เลือด***
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ติ๊ด
ก่อนความพินาศจะมาเยือน เสียงเล็กแหลมพลันลอดผ่านหูของเด็กหนุ่มในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่เขาสัมผัสอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตนเพื่อประสานจิต คิ้วหนาเลิกสูงนึกสงสัยในเสียงนั้นก่อนจะได้คำตอบเมื่อสัมผัสถึงคลื่นร้อนที่พวยพุ่งจากห้องอาหารซึ่งร่างของหญิงสาวเคยนอนอยู่
การตอบสนองว่องไวกว่าสิ่งใด มือหนาผลักร่างฮิเมะโกะสุดกำลังหวังแค่ให้เธอออกห่างจากอันตรายมากที่สุด ขณะเดียวกันเขาก็ดึงตัวซากิมากอดไว้พลันกระโดดถอยไปใกล้กับประตูด้านหลัง
ตูม!
พริบตาเดียวเปลวเพลิงร้อนระอุก็ระเบิดตัวจากห้องครัวพัดร่างของพวกเขาไปคนละทิศละทาง ฮิเมะโกะถูกแรงระเบิดส่งให้กระเด็นไปด้านนอกได้หวุดหวิด เศษหินและชิ้นไม้จากเพดานหลังคาร่วงลงมาขวางประตูด้านหน้าพลันทำให้ไฟลามเร็วกว่าเดิม ทว่าภายในบ้านยังเหลือสองหนุ่มสาวซึ่งโดนคลื่นร้อนซัดจนล้มคะมำอยู่ที่พื้น
“อึก...” ซากิครางเพราะความเจ็บตรงศีรษะ ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามคงสติไว้เช่นเดียวกับคนใต้ร่างเธอที่รับแรงกระแทกแทน นัยน์ตาสีเงินลอบมองทะเลเพลิงเบื้องหลังตนก่อนจะสังเกตเห็นแผ่นเหล็กสีดำสนิทขนาดใหญ่พอจะบังมนุษย์คนหนึ่งได้มิด
ตราซากุระสีเงินที่ประทับอยู่ตรงกลางทำให้รู้ทันทีว่ามันคืออุปกรณ์ป้องกันของชินระซึ่งพวกเธอได้รับติดตัวไว้ก่อนจะเริ่มภารกิจและเด็กหนุ่มก็ใช้มันปกป้องเธอจากสะเก็ดระเบิด โล่เหล็กสั่นสะเทือนเมื่อเศษไม้ท่วมเปลวเพลิงตกใส่มัน ควันไฟสีเข้มเริ่มปกคลุมพื้นที่รอบ ๆ ดึงสติของซากิให้จดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้า
“แย่ล่ะสิ ประตูทั้งสองฝั่งมัน...” เธอเอ่ยพลางหันมองประทั้งสองด้านซึ่งถูกเปลวเพลิงกัดกินจนแทบเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ศพในบ้านที่ไหม้เกรียม ทันใดนั้นซากิจึงเกิดความคิดใหม่พลันก้มมองเพื่อนหนุ่มซึ่งนอนราบอยู่
“จริงสิ พวกเราใช้โล่เหล็กนี่....โมโมเสะคุง?”
“อุ๊บ!” จู่ ๆ ฮินาวะพลันหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกับดวงตาคมที่เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว เม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดท่วมใบหน้า มือไม้ที่สั่นเทิ้มจำต้องยกขึ้นป้องปากไม่ให้อาการคลื่นไส้กำเริบไปมากกว่านี้
ทะเลเพลิงโหมกระหน่ำสะท้อนผ่านนัยน์ตาสีแดงเลือดที่สั่นระรัว ก่อนมันจะถูกซ้อนทับด้วยภาพซากยานพาหนะซึ่งลุกโชนด้วยไฟสีแดงฉานท่ามกลางถนนสัญจรในเมืองหลวง เสียงร้องไห้ฟังไม่เป็นคำยังก้องในความทรงจำขุ่นมัว หัวใจบีบรัดแน่นจนทรมานเหมือนจะฉีกขาด หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มเปื้อนเขม่า สภาพของอีกฝ่ายทำให้ซากิชะงักไปชั่วขณะเพราะเธอไม่คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าตื่นกลัวของเขา ยิ่งในเวลาเช่นนี้...
“โมโมเสะคุง เป็นอะไรหรือเปล่า!? บอกฉันสิ!”
“พี่อากิ...”
นัยน์ตาสีเงินเบิกกว้างครั้นได้ยินชื่อของพี่ชายที่ล่วงลับไปแล้วเล็ดลอดจากริมฝีปากสั่นระริก ทุกอย่างปะติดปะต่อกันรวดเร็วจนตกผลึกคำตอบที่น่าเศร้าออกมา
คำตอบที่ว่า...ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮินาวะยังคงพ่ายแพ้ให้กับเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่
น้ำเสียงเครือนั่นพาให้เธอหายใจติดขัดและเจ็บปวดไม่ต่างจากเขา เพราะความจริงว่าคนที่เห็นอากิจากไปต่อหน้าต่อตาก็คือเด็กหนุ่มผู้นี้มันยิ่งตอกย้ำสีหน้าของฮินาวะที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
กึก!
ซากิพลันต้องสลัดความกังวลนั่นทิ้งไปเพื่อดึงตัวเองออกจากภวังค์ เมื่อเกิดเสียงกุกกักจากหลังคาไม้ด้านบนราวกับกำลังร้องเตือนว่าเปลวเพลิงบรรลัยนี่คงไม่รอให้พวกเธอจัดการความรู้สึกเสร็จก่อนเสียแล้ว
ขืนมัวแต่ทุกข์ระทมกับความหลัง พวกเธอคงไม่มีชีวิตรอดกลับไปแน่...
“โมโมเสะคุงตั้งสติหน่อยสิ พวกเรามีเวลาไม่มากแล้วนะ!”
“เป็นเพราะผม พี่ถึง...” ใบหน้าท่วมเหงื่อนิ่วหน้าด้วยความทรมานพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย ดวงตาสีแดงเลือดยังคงจ้องมองกองเพลิงเบื้องหลังโล่เหล็กไม่วาง บ่งบอกว่าเสียงของซากิไม่ได้เข้าหูเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย ทว่าเวลานี้ความร้อนระอุและควันพิษกลับเริ่มแทรกผ่านเนื้อเหล็กของโล่ยักษ์บีบเค้นให้พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง แม้เธอจะไม่อยากทำแต่ปล่อยไว้แบบนี้จะมีแต่ความตายเท่านั้นรออยู่
เพียะ!
ซากิถือวิสาสะตบเรียกสติเด็กหนุ่มไปหนึ่งฉาดพลันจับให้หันมองเธอ สัมผัสเจ็บแสบพร้อมกับรอยแดงบนแก้มช่วยเรียกสติให้ฮินาวะรู้ว่าเขาเพิ่งจะถูกตบมาสด ๆ ร้อน ๆ และด้วยน้ำหนักมือที่มากของเด็กสาว ตอนนี้ใบหน้าซีกซ้ายจึงเริ่มชาเสียแล้ว
“ตั้งสติสิ โมโมเสะ ฮินาวะ อยากตายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ!?”
“ฉ ฉัน....ขอโทษ...”
“เลิกขอโทษแล้วหาวิธีรอดจากที่นี่ดีกว่า คิดว่าพี่อากิจะดีใจหรือไงที่เห็นน้องที่เขารักเสียใจแบบไร้สติอย่างนี้!” ซากิตะคอกเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คำพูดตอกย้ำนั้นตบหน้าฮินาวะซ้ำสองจนเขาต้องกลืนคำพูดลงคอ ปล่อยให้อีกฝ่ายเปิดปากพูดต่อ
“ฉันรู้ว่านายรู้สึกผิด ไม่ว่าจะพูดยังไงนายก็จะโทษตัวเองและตีตัวออกห่างจากฉันกับพี่ฮิเมะเสมอ....แต่ว่านะ....ต่อให้รู้สึกผิดยังไงก็อย่าเอาพี่อากิมาทำให้ตัวเองอ่อนแอแบบนี้จะได้ไหม ไม่สมกับเป็นนายเลย!” มือเรียวเผลอออกแรงบีบแก้มเปื้อนเขม่าของอีกฝ่ายพลันกัดฟันแน่น
“ถ้าเสียใจ...ก็ต้องรอดกลับไปไหว้หลุมศพพี่อากิพร้อมกับฉันสิ! นายอยากจะลืมพี่เขางั้นเหรอ!?” ดวงตาสีแดงเลือดเบิกกว้างสบกับแววตามั่นคงและเข้มแข็งเกินบรรยายของซากิ
“ไม่...ฉันไม่เคย...”
“ถ้าไม่อยากก็ไปหาเขาพร้อมกับฉัน....จะไปขอโทษ ไปพูด ไปบ่นหรืออะไรก็ได้ แต่ถ้ามัวแต่สติแตกรอความตายแบบนี้นายจะมีหน้าไปเจอเขาได้หรือไง!?”
ภาพรอยยิ้มแสนอ่อนโยนของเด็กชายผู้เปรียบเหมือนพี่ของเขาอีกคนหนึ่งประทับแจ่มชัดในความคิด วินาทีนั้นคำของซากิได้แต่สะท้อนจนรู้สึกอื้ออึงไปทั้งหัว เขาแทบจะกู่ร้องในใจว่าตนอยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำพลาดไป กลับไปรักษาความผิดที่กรีดหัวใจเขาให้เป็นแผลลึกทั้งที่รู้ว่าอากิไม่อยู่รับรู้เจตจำนงนี้อีกแล้ว
และหากวิธีเดียวที่จะเยียวยามันได้คือการต้องมีชีวิตรอดกลับไปหาป้ายหินที่สลักชื่อของเขาล่ะก็....
โครม!
โล่เหล็กที่ป้องกันทั้งสองไว้พลันสะเทือนจากชิ้นไม้ที่กระแทกใส่ เสียงดังก้องพลันกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดถี่รัวเรียกวิสัยทัศน์กลับมาชัดเจนดังเดิม ฮินาวะเลือกจะสูดรับอากาศน้อยนิดที่โล่เหล็กช่วยกักเก็บไว้ก่อนจะพยักหน้าเบาเป็นคำตอบให้ซากิ
“หาทาง...ออกจากที่นี่กันเถอะ” เด็กหนุ่มเค้นเสียงเอ่ยทั้งที่หอบหายใจเหนื่อย
“อื้อ...”
แม้ความหน่วงในใจจะยังตกค้าง แต่ฮินาวะก็เลือกจะฟังคำพูดของเพื่อนสาวและสลัดมันทิ้งไปชั่วคราวเพราะชีวิตของเขาจะจบอยู่ในทะเลเพลิงนี่ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเห็นเช่นนั้นซากิจึงตัดสินใจหยิบแผ่นเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าคาดเอวของตัวเอง ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสมันจึงขยายตัวใหญ่ขึ้นกลายเป็นโล่เหล็กอีกอัน เธอดันตัวลุกจากท่านั่งคร่อมเด็กหนุ่มก่อนจะใช้โล่ป้องกันสะเก็ดไฟขณะที่เดินไปยังประตูด้านหน้า
หากเทียบกับประตูอีกฝั่งซึ่งถูกหินก้อนใหญ่ถล่มลงมาจนกลายเป็นกองพะเนินแล้ว ด้านที่เธออยู่มีเพียงกองไม้สุมไฟขวางทางเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงหน้าต่างสี่ด้านเพราะฝีมือของชายใต้ชุดคลุมคนนั้นมันจึงกลายเป็นกำแพงไฟไปเสียแล้ว
“ถ้าใช้โล่นี่พังไปจะไหวไหม?” ซากิเอ่ยถามเสียงอู้อี้จากปากป้องจมูกไว้ ฮินาวะที่ได้ยินพลันหรี่ตามองกองเพลิงร้อนระอุนั่นพักหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ม ไม่ไหวหรอก...เสี่ยงที่หลังคาจะถล่มลงมาใส่พวกเรา ถ้าจะฝ่าออกไปก็ต้องทำอะไรสักอย่างกับเศษหินเศษไม้พวกนี้ก่อน”
“ใช้ดาบของโมโมเสะคุงฟันไปเลยไม่ได้เหรอ?”
“มันก็ได้อยู่ แต่กองไม้มันค่อนข้างหนา...เดี๋ยวนะ นี่เธอเอาจริงเหรอ?” เจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงเลิกคิ้วสูงผิดกับอีกฝ่ายซึ่งจ้องหน้าเขาเขม็ง ซากิพลันก้มมองพื้นที่ตนเหยียบราวหาช่องทางสักอย่างหนึ่ง น่าแปลกใจที่มันไม่ใช่ไม้แต่เป็นหินที่ถูกแกะลายให้คล้ายกับไม้มันจึงแข็งแรงและไม่ทรุดตัวจากแรงระเบิดในครั้งแรก
ทันใดนั้นความคิดจึงตกผลึกแผนการใหม่ออกมา
“ถ้ากองไม้มันหนาไป งั้นฉันจะช่วยทำให้มันลอยขึ้นเอง!” ไม่รีรอซากิจึงคว้าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาและกำมันแน่น ครั้นได้ยินเสียงฮัมจากคู่หูดังพร้อมกับความเงียบรอบด้านที่บีบแคบลงราวกับเหลือเพียงเธอ ณ ตรงนั้น ประสาทสัมผัสถูกลับให้คมดุจใบมีดเสริมการรับรู้ทุกส่วนของเด็กสาวไปจนถึงพละกำลัง เธอเป่าปากเบา ๆ มืออีกข้างกระชับโล่เหล็กให้มั่นใจว่าจะไม่หลุดมือ
“ด เดี๋ยวก่อน เธอจะทำอะไร..”
“ฉันฝากเคลียร์ประตูด้วยนะ!” แม้จะยังไม่เห็นด้วยแต่ฮินาวะก็ยอมดึงดาบของตนออกมาพลันตั้งท่าเตรียมพร้อมจะฟัน
วินาทีชวนระทึกมาถึงเมื่อซากิยกโล่เหล็กหนักให้ลอยเหนือศีรษะและใช้แรงทุ่มมันลงตรงช่องโหว่ของกองไม้หุ้มเพลิง
ปึง!
เสียงดังอื้อเกิดพร้อมกับกองไม้ซึ่งถูกแรงบดขยี้มหาศาลทำให้แหลกเป็นชิ้น ๆ จนกระเด็นลอยขึ้น ฮินาวะตวัดมองชิ้นส่วนของไม้ทุกอันอย่างรวดเร็ว อันไหนที่ยังไม่แหลกละเอียดคมดาบก็วาดผ่านเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าเดิม ปลายดาบลากผ่านไปจนถึงประตูไม้ทำให้บัดนี้มันเกิดช่องโหว่จนเป็นรอยบาก
“ตอนนี้แหละ!” ฮินาวะตะโกนลั่น
นัยน์ตาสีเงินวาวสะท้อนเห็นรอยแยกเกรียมและตั้งโล่เหล็กมาเบื้องหน้าทันควันเช่นเดียวกับเพื่อนหนุ่ม ชั่วอึดใจปลายเท้าจึงดีดตัวเข้าใส่ประตูเพลิงพร้อมเพรียงกัน
โครม!
ประตูไม้แตกตัวออกกระจัดกระจายตามแรงกระแทก ปล่อยคนทั้งสองออกจากเพลิงนรกได้สำเร็จ พวกเขาลงสู่พื้นอย่างปลอดภัยด้วยโล่เหล็กที่รองรับเอาไว้และทิ้งกระท่อมไม้เบื้องหลังให้โค่นตัวลงเพราะเสียศูนย์
“เป็นอะไรไหม?” ฮินาวะเอ่ยกับซากิขณะพยายามดันตัวลุกขึ้น ทว่าไม่ทันจะได้ฟังคำตอบจากคนข้างกายก็ถูกเสียงตะโกนแทบขาดใจเรียกเสียก่อน
“ฮินะ! รีบพาซากิจังหนีไปเดี๋ยวนี้!”
หัวใจเย็นวูบวาบเมื่อเจ้าของเสียงนั้นคือพี่สาวของเขา สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มแทบขาดสติคือสภาพสะบักสะบอมของฮิเมะโกะใต้ร่างของชายในชุดคลุม ที่เธอยังไม่โดนปลิดชีวิตเพราะเสียงครึกโครมจากในตัวกระท่อมช่วยยื้อความสนใจจากศัตรูให้ไปยังต้นตอของมัน แต่ฮิเมะโกะที่ยังถูกมือหนาบีบต้นคอไว้ก็เริ่มจะคงสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน
“ปล่อยพี่สาวของฉันนะเว้ย!” ฮินาวะกัดฟันกรอดพลันตะคอกใส่ด้วยโทสะ
ฟึบ!
ดวงตาคมเบิกกว้างครั้นหางตาเห็นอะไรบางอย่างพุ่งผ่านรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าเป็นฝีมือของซากิที่ขว้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตนด้วยแรงทั้งหมดให้มันแหวกชั้นอากาศขุ่นมัวนี่ทะลวงตัวของศัตรู ความเร็วนั้นสามารถเรียกว่าเป็นการยิงธนูด้วยการง้างสุดสายก็ว่าได้ เพียงชั่วพริบตาปลายดาบก็สัมผัสผิวหยาบของร่างกำยำทว่าชายหนุ่มไม่คิดจะหลบ เขาดูแคลนว่าเพียงดาบไม้ทื่อ ๆ เล่มหนึ่งไม่สามารถแทงทะลุตัวเขาได้ด้วยซ้ำ หรือต่อให้เป็นจริงความเจ็บปวดนั้นก็น้อยยิ่งกว่ามดกัดสำหรับเขา
กระทั่งความคิดนั้นมันวกกลับมาทำร้ายเขาเสียเอง...
ฉึก!
“อึก! ทำไมถึง...” ซาโซริพลันหยี๋ตาทันควันเมื่อเกิดแสงสีขาวห่อหุ้มตัวดาบไม้ที่เสียบทะลุไหล่หนาของเขา สัมผัสสากของไม้ที่ปากแผลแปรเปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบหนำซ้ำยังทวีความเจ็บแสบกว่าที่เขาคาด
นัยน์ตาสีซากุระหม่นสะท้อนภาพคมดาบสีเงินแวววาวรับกับด้ามดาบสีขาวบริสุทธิ์ดุจทองคำขาว ตามด้วยสัมผัสหนักหน่วงที่แผงอกส่งร่างกำยำให้ลอยไปกระแทกต้นไม้อย่างจัง
“อย่ามายุ่งกับคนที่ฉันรักอีก...” เสียงนิ่งเรียบมาจากซากิที่เส้นเลือดปูดโปนข้างขมับ บัดนี้เธอกำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยแรงถีบนั้นดึงออกมาแน่นพร้อมจ่อมันเข้าใส่ศัตรูตัวฉกาจเบื้องหน้า ดวงตากลมถลึงตามองชายที่กล้าทำร้ายคนสำคัญของเธออีกคนไม่วางราวกับทิ้งตัวตนอ่อนโยนไปจนสิ้น
เพราะเธอจะไม่ทนอ่อนโยนกับคนพรรค์นี้เด็ดขาด!
“ดี...ดีมาก!” ร่างสูงในชุดคลุมรุ่งริ่งยันตัวลุกขึ้นราวไม่รู้สึกถึงความทรมานจากรอยร้าวตรงซี่โครง แม้ริมฝีปากหนาจะเปรอะเปื้อนเลือดข้นแต่เจ้าตัวยังสามารถแสยะยิ้มเริงใจได้ ซากิถอยเท้าไปด้านหลังเพื่อบดบังสองพี่น้องโมโมเสะพลางสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย
มือหนาควงดาบฉวัดเฉวียนไปมาพลันย่างก้าวเข้าหาคนตัวเล็ก แรงกดดันแผ่ซ่านข่มเด็กสาวให้เผลอถอยหลังอีกก้าว ทว่าความใจร้อนของซาโซริมีมากกว่าเขาจึงพุ่งใส่ร่างเล็กตรงหน้าทันใด ปลายดาบคมถูกง้างขึ้นหวังจากฟาดใส่เต็มแรง
ฟุบ! ฉึก!
ไม่ทันไรร่างกำยำนั้นก็ชะงักตัวไปเสียดื้อ ๆ และมีท่าทางแข็งทื่อจนทั้งสามประหลาดใจ สายตาพลันสังเกตเห็นกระแสไฟฟ้าวูบวาบผ่านมือหนาที่กำดาบนั้นทำให้อ่อนแรงจนอาวุธนั้นร่วงหล่นสู่พื้น กระทั่งมีเสียงการเคลื่อนไหวมาจากมุมมืดในป่าด้านหลังซาโซริ ใบหน้ามอมแมมของเหล่ารุ่นน้องพลันแต่งแต้มด้วยความตะลึงปนโล่งใจเมื่อเห็นโชโตะก้าวออกมาจากเงามืดของแมกไม้พร้อมธนูหน้าไม้เหล็กในมือ
“รุ่นพี่!” ซากิร้องดีใจ เด็กหนุ่มเองก็ยิ้มแย้มเป็นคำตอบก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ศัตรูอย่างไม่หวั่นกลัวว่าอีกฝ่ายจะวกมาทำร้าย เขาจ่อหน้าไม้กับแผ่นหลังกำยำและเหนี่ยวไกซ้ำ ลูกธนูสีเข้มเสียบทะลุผิวหยาบพลันปล่อยกระแสไฟฟ้าซ้ำร่างตรงหน้าให้ไร้ทางหนีจนค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น รุ่นพี่หนุ่มเคลื่อนหน้าไม้ไปแนบศีรษะอีกฝ่ายพร้อมกดเอาไว้เพื่อเป็นการขู่ ครั้นสอดส่องดีแล้วว่าไม่สามารถลุกมาทำร้ายใครได้อีกโชโตะจึงหันไปหาเหล่ารุ่นน้องที่ทำเขาเป็นห่วงแทบขาดใจ
“พวกเธอเป็นยังไงบ้าง ฮิเมะโกะไหวไหม?”
“ฉัน...ไม่เป็นไร” เด็กสาวตอบขณะถูกน้องชายพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง
“โล่งไป ใส่เจ้านี่ไว้นะ มันจะช่วยกรองควันไฟได้” โชโตะเอ่ยพลางยื่นหน้ากากเหล็กที่เจ้าหน้าที่หน่วยเงาใช้แก่ทั้งสาม ก่อนจะตวัดสายตามองไปเบื้องหลังเพราะได้ยินเสียงกุกกักดังจากเงามืดของป่าอีกครา
“ทุกคนปลอดภัยใช่ไหม!?” อาโอบะที่โผล่ออกมาด้วยสภาพหอบตัวโยนพลันก้าวเท้าเข้ามาหาเด็ก ๆ
“พวกเราไม่เป็นไรค่ะ” ซากิเอ่ย
“เฮ้อ หัวใจแทบวายตอนที่ได้ยินเสียงระเบิดนั่น แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อมาแต่เนิ่น ๆ ”
“พ พอดีกำลังซ่อนตัวจากศัตรูก็เลย....เผลอพังอุปกรณ์สื่อสารทิ้งน่ะค่ะ” ซากิยอมรับผิดแทนฮินาวะไปทั้งอย่างนั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนภาพของเด็ก ๆ ซึ่งไร้แผลฉกรรจย์ จะมีเพียงแต่ฮิเมะโกะที่สภาพแย่กว่าคนอื่นแต่หากได้พักอีกสักหน่อยเธอคงพ้นขีดอันตราย
.
.
ผ่านไปสักพักเด็กสาวเองก็ฟื้นตัวจากการสูดควันพิษมากไปและเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นบ้างเหมือนกัน เมื่อไม่มีอะไรให้กังวลก็ถึงคราวจัดการกับปัญหาใหญ่ในภารกิจนี้ อาโอบะหันมองชายหนุ่มใต้ผ้าคลุมสีเข้มซึ่งถูกมัดมือมัดตัวด้วยเชือกโลหะทำพิเศษ ด้วยสภาพที่แขนขาอ่อนกำลังเจ้าเชือกนี่จะเป็นยิ่งกว่ากาวหนึบเสียอีก
“ทหารรับจ้างที่เหลือรอดคือแกคนเดียวงั้นสิ เก่งเหมือนกันนะที่ฆ่าคนฝีมือดีของเราด้วยตัวคนเดียวน่ะ”
“หึ เห็นพวกแกแล้วของมันขึ้น อดลงไม้ลงมือไม่ได้”
“ปากดีนักนะ ฉันรอให้ถึงช่วงสอบปากคำไม่ไหวแล้วสิ” อาโอบะพลันชักสีหน้าใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาคมกลับไปสะดุดกับเรือนผมอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย ทว่าไม่ทันจะได้ถามเธอเสียงหวานของซากิแทรกขึ้นดึงความสนใจไป
“อาโอบะซังคะ” เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้และกระซิบบางอย่างให้หญิงสาวฟัง ดวงตาคมกริบเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันมองร่างกำยำตรงหน้า
“อื้อ เรื่องนี้ต้องคุยกับซาโตชิเป็นพิเศษแล้ว” อาโอบะขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะขอตัวไปจัดการติดต่อกำลังเสริมจากด้านนอกป่าทึบและมอบหน้าที่ให้โชโตะจับตาเฝ้าคนร้ายไว้
บัดนี้สมาชิกคนอื่นก็ถูกประธานนักเรียนหนุ่มไล่ให้ไปนั่งพักให้ห่างจากควันไฟสักหน่อย ส่วนตัวเขานั้นใส่หน้ากากป้องกันตั้งแต่แรกจึงไม่มีปัญหาอะไร หนำซ้ำคนที่เขาต้องจับตาก็ดูท่าจะไม่มีปัญหากับมันเช่นกัน
“โมโมเสะคุง เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม?”
“ฉัน...ดีขึ้นแล้ว แต่ยังเจ็บหน้าอยู่” ซากิย่นคิ้วรู้สึกผิดพลันขอโทษขอโพยอีกฝ่ายกับการกระทำนั้น แต่เขากลับส่ายหน้าให้
“เธอทำถูกแล้ว ตอนนั้นฉันไม่ได้เรื่องเอง....ขอโทษจริง ๆ “
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของโมโมเสะคุงนะ เพราะแวบแรกฉันก็เผลอนึกถึงมันเหมือนกัน” ดวงตาสีเงินหลุบต่ำ ความเงียบเข้าปกคลุมหนุ่มสาวทั้งสองจนเริ่มอึดอัดปากที่เคยขยับพูดปกติกลับหนักอึ้งขึ้นมา กระทั่งฮินาวะตัดสินใจจะเอ่ยบางสิ่งกับเธอ เขาดันตัวลุกขึ้นจากขอนไม้และยืนประจันหน้ากับเด็กสาว
“ฉัน...ขอโทษสำหรับทุกอย่าง” ซากิได้แต่เลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายเอ่ยสิ่งที่คิดต่อไป
“ตั้งแต่วันที่พี่อากิเสีย ฉันก็แทบจะโทษตัวเองตลอด คิดแค่ว่าถ้าตอนนั้นฉันฟังคำพูดของพี่เขาคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...ฉันเลยพยายามตีตัวห่างกับเธอกับครอบครัวเธอ เพราะฉันคิดว่าเธอจะต้องโกรธมากจนไม่อยากเจอหน้ากันอีก...” นัยน์ตาสีแดงเลือดวูบไหวยากจะห้ามได้
“โดยไม่ถามความรู้สึกของเธอด้วยซ้ำ...ทั้งที่เธอกำลังต้องการใครข้าง ๆ แต่ฉันกลับทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นไป...รวมถึงพี่ฮิเมะด้วย....” มือหนากำแน่นจนสั่นเทิ้ม ฮินาวะลอบมองผู้เป็นพี่ซึ่งนั่งพักอยู่ไม่ไกล เสียงในอดีตพลันก้องในความทรงจำ
เมื่อครั้งที่เขาเกิดทะเลาะกับฮิเมะโกะด้วยเรื่องน่าเศร้านี้
.
.
“พ พี่ครับ...” เด็กชายตัวจ้อยลอบมองร่างเล็กสั่นระริกของพี่สาวจากนอกห้อง เจ้าตัวไม่ตอบรับคำเรียกเขาจึงเอ่ยซ้ำอีกครั้งและเดินเข้าไปหาเธอ
“พี่ฮิเมะ พี่เป็นยังไง...”
เพียะ!
“ไม่ต้องมายุ่ง! ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!” มือเล็กถูกอีกฝ่ายปัดออกจนเกิดรอยแดง เจ้าหนูพลันกุมมือตนเองแน่นทั้งที่ดวงตารื้นไปด้วยหยาดน้ำอุ่น
“ผมขอโทษ...”
“ขอโทษ?....ขอโทษแล้วมันช่วยอะไรไหม ช่วยให้อากิฟื้นกลับมาหรือไงเล่า!?” ด้วยความเสียใจเด็กหญิงจึงเผลอตะคอกใส่อีกฝ่ายทำเอาร่างเล็กสะดุ้งโหยง
“ถ้านายไม่ดื้อแล้ววิ่งออกไปกลางถนน อากิก็คงไม่โดนรถลอยฟ้านั่นตกมาทับหรอก!”
“พี่อย่าพูดอย่างนั้นสิ....ผมไม่ได้ตั้งใจเลยนะ....”
“จะตั้งใจหรือไม่ แต่เป็นเพราะนายนั่นแหละเขาถึงตาย รู้ไว้ด้วย!” เด็กสาวบันดาลโทสะผลักน้องชายซึ่งเข้ามาใกล้จนล้มลงกับพื้น คำพูดแหลมคมดุจใบมีดทิ่มแทงหัวใจดวงน้อยของเด็กชาย หยาดน้ำอุ่นเอ่อนองแก้มนวล นัยน์ตาสีแดงเลือดสะท้อนใบหน้าเจ็บปวดของพี่สาวชัดเจนนั่นทำให้ฮินาวะในวัยเด็กฝืนทนไม่ได้อีกต่อไป
ราวทุกอย่างรอบตัวดิ่งฮวบ ความคิดต่าง ๆ นานาพรั่งพรูจนไม่สามารถเก็บไว้
“ผม...”
“ผมเกลียดพี่!” เขาตะโกนเสียงดังลั่นจนฮิเมะโกะต้องผงะ
“ผมน่าจะตายตามพี่อากิไปเสียก็ดี จะได้สาแก่ใจพี่บ้าง!” เด็กชายพลันวิ่งหนีไปทิ้งให้คนเป็นพี่ตระหนักได้เมื่อสายไปแล้วว่าตนเอ่ยสิ่งใดกับเขาไปบ้าง
“ฮินะ เดี๋ยวก่อน!”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ฮินาวะจะหลบหน้าผู้เป็นพี่และย้ายไปอาศัยตัวคนเดียวเมื่อขึ้นชั้นมัธยม ไม่มีครั้งไหนที่เขาไม่อึดอัดเมื่อเจอฮิเมะโกะ เขาพยายามจะตัดสายใยที่เชื่อมกันไว้ให้ขาด แม้ว่าท้ายที่สุดจะลงเอยมาร่วมงานในสภานักเรียนด้วยกันเด็กหนุ่มก็ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเธออีก
“ฮินะ!”
ทว่าในความขุ่นมัวเมื่อเจอพี่สาวกลับมีความดีใจปะปนเข้ามายามเจ้าตัวเอ่ยเรียกชื่อเล่นนั้นจนเขายังรู้สึกถึงมัน...นั่นยิ่งยืนยันกับตัวฮินาวะเองว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ ต่อให้แยกจากกันมานับปี
แต่ฮิเมะโกะก็ยังคงเป็นพี่สาวคนสำคัญของเขาเสมอ
และเขาก็อยากจะเอ่ยคำขอโทษมาตลอด....
.
.
“แม้แต่กับพี่ตัวเอง ก็ดันพูดทำร้ายความรู้สึกจนกลับไปแก้ไขไม่ได้...มีดีแค่ทำร้ายคนอื่นที่เป็นห่วงฉัน ตัวฉันมันแย่จนยากจะรับไหวเลย” เจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงยกยิ้มแสนเศร้าปลอบใจตัวเอง กระทั่งได้ยินเสียงหวานจากคนตรงหน้า
“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะ โมโมเสะคุงไม่ได้ผิดตั้งแต่แรกแล้ว”
“จะเป็นไปได้ยังไง..”
“ได้สิ เพราะถ้าวันนั้นพี่อากิไม่ปกป้องนายเอาไว้ คนที่ต้องเสียใจที่สุดอาจจะเป็นพี่อากิกับพี่ฮิเมะที่ช่วยนายไม่ได้ สำหรับฉันแล้ว...พี่อากิก็ยังเป็นฮีโร่แสนอ่อนโยนที่ต้องการช่วยคนที่ตัวเองรักและน่านับถือไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่สิบปี” ซากิเว้นจังหวะหายใจพร้อมแย้มยิ้มเจิดจรัสมอบแก่เพื่อนของเธอ
“เพราะงั้น...ฮินาวะคุงก็ต้องยิ้มและมีความสุขในชีวิตเหมือนที่พี่เขาต้องการต่อไปนะ” คำเรียกที่เปลี่ยนไปชวนให้คิดถึงวัยเยาว์ของพวกเขา เด็กหนุ่มเผลอไผลจ้องรอยยิ้มของซากิไม่วาง ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกอดจากด้านหลังจนต้องหันมอง
“ถูกแล้ว ไม่ว่าจะอากิ ซากิจังหรือพี่...ทุกคนต่างอยากให้ฮินะกลับมายิ้มแย้มและมองโลกอย่างมีความสุขเหมือนเดิม”
“พี่!? ลุกขึ้นมาทำไม...”
“พี่ได้ยินแล้วนะ ความรู้สึกของนายและพี่ก็อยากจะขอโทษที่ยัดเยียดความโกรธในตอนนั้นให้กับนาย” ฮิเมะโกะเพิ่มแรงกอดพลางซุกหน้ากับแผ่นหลังกว้างของน้องชาย
“ตั้งแต่วันนั้นพี่ไม่มีความสุขเลย...พี่อยากพูดกับนาย อยากกอด อยากเล่นด้วยเหมือนแต่ก่อน” เสียงหวานคล้ายจะสั่นเครือขึ้นทุกครั้งที่พูดนานเข้าเช่นเดียวกับดวงตาที่เริ่มร้อนผ่าว
“แต่ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าของนาย พี่ก็ทรมานจนต้องหนีมันตลอด แต่ว่านะ....”
“พี่จะไม่หนีอีกแล้ว....ได้โปรดยกโทษให้พี่นะ ฮินะ” สิ้นคำพูดเบาหวิวฮินาวะพลันหันกลับมาดึงตัวผู้เป็นพี่เข้าอ้อมกอดแน่นและแน่นยิ่งกว่าตอนถูกกอดเองเสียอีก
ใบหน้าที่เคยเรียบสงบซุกกับไหล่เล็กราวไม่ต้องการให้เห็นภาพน่าอาย ความหนักอึ้งในใจมลายสิ้นจนรู้สึกเหมือนล่องลอยกลางอากาศ วินาทีนี้มันช่างมีค่าสำหรับเขาเหลือเกิน...
ซากิยืนมองภาพแสนงดงามของสองพี่น้องและยินดีกับพวกเขา เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความทุกข์ใจที่ทั้งสองเคยมีจะถูกร่มเงาของธรรมชาตินี้ชะล้างให้หมดไป
“ซากิจังก็มานี่สิ”
ทันใดนั้นเธอจึงเห็นฮิเมะโกะผายมือมาทางเธอ หัวใจเต้นรัวเช่นเดียวกับดวงตาวูบไหวเพราะน้ำตาที่คลออยู่ ร่างบางก้าวเข้าไปสวมกอดรุ่นพี่สาวและปล่อยให้หยาดน้ำแห่งความปิตินั้นไหลออกมา
เวลานี้ด้ายแห่งสายสัมพันธ์ของพวกเขาได้รับการเยียวยาจนแข็งแกร่งเหนือสิ่งใด...
“ต่อจากนี้” ฮิเมะโกะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเข้มพลันแย้มยิ้ม สองมือยังคงลูบปลอบโยนผู้เป็นน้องทั้งสองไม่ขาด
“ขอให้ฉันได้ปกป้องรอยยิ้มของเด็กพวกนี้แทนนายนะ”
“อากิ...”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder