จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
รุ่งเช้าทักทายด้วยแสงทองเรืองรองสัมผัสผืนป่าเขียวขจี บัดนี้เหล่าเจ้าหน้าที่ชินระได้ดำเนินภารกิจภายใต้คำสั่งของอาโอบะอีกครั้ง ครานี้นับว่าราบรื่นในเรื่องของอุปสรรค ทว่าเป้าหมายของเขาดันหายตัวไปราวฟองสบู่ที่แตกสลายไปตามอากาศ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ล้ำสมัยหรือเพ่งสมาธิจนถึงขีดสุดก็ไม่มีวี่แววของชายผู้นั้นเลย
“โธ่เอ๊ย! มันจะหายไปไหนได้วะ หรือต้องเพิ่มขอบเขตการหา...”
“อาโอบะซัง” เสียงหนึ่งแทรกความคิดหญิงสาวก่อนจะปรากฏร่างสูงของโชโตะที่ก้าวเข้ามาใกล้เธอ
“อะไร?”
“ผมว่าเราควรยอมรับความจริงได้แล้วนะครับ พวกเราใช้ทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรเลย”
“จะให้ปล่อยตัวอันตรายแบบนั้นไปง่าย ๆ น่ะเหรอ นายคิดอะไรอยู่!?”
“ผมพูดตามที่สมควรครับ ชายคนนั้นมีแผลฉกรรจ์หลายที่และยังถูกพวกเราเห็นหน้าตาไปแล้ว คงไม่โผล่ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก...แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น....” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะครู่หนึ่งพลันลอบมองด้านหลังทำให้อาโอบะต้องมองไปทางเดียวกัน
หญิงสาวเป็นต้องชะงักเมื่อเบื้องหลังพวกเขาคือเพื่อนร่วมทีมที่กำลังนั่งพักตามร่มไม้ สีหน้าโรยราและเหนื่อยล้านั่นพาให้ร่างเพรียวตระหนักได้ว่าพวกเธอไม่ได้มีขีดจำกัดแค่เรื่องเวลาเท่านั้น แต่ร่างกายเองก็ใกล้จะเกินรับไหวแล้วเหมือนกัน
“อย่างที่เห็นครับ...พวกเราใช้เวลาอยู่ในป่านี่เกินกำหนดที่วางเอาไว้แล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มจะล้าแถมเสบียงที่เตรียมไว้เผื่อฉุกเฉินก็เพียงพอแค่วันนี้อีกวันเท่านั้น ขืนยังฝืนอยู่ต่อไปผมเกรงว่า...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเห็นแล้วล่ะ” หญิงสาวเป็นต้องขยี้ศีรษะราวเรียกสติตัวเอง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจจะเชื่อคำแนะนำของโชโตะ
อาโอบะเปลี่ยนคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมตัวเดินทางกลับไปยังเขตปลอดภัยโดยทันที และสั่งให้กลุ่มของหน่วยเงาเก็บกวาดกระท่อมไม้ตอตะโกเพื่อนำชิ้นส่วนระเบิดไปตรวจสอบและเป็นข้อมูลในการสืบสวนต่อไป นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากซาโตชิเมื่อครั้งเกิดเหตุระเบิดในเมืองร้าง หญิงสาวคิดว่าตัวระเบิดที่ใช้ในครั้งนี้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกันเพราะผู้ที่วางมันคือหนึ่งในทหารรับจ้างที่หลบหนีจึงมีความเป็นไปได้สูง
“ถ้าเจอหลักฐานเพิ่มเติมก็รีบแจ้งด้วยล่ะเอนโด” เธอกำชับกับเจ้าหน้าที่หน่วยเงาที่ตนเรียกว่า เอนโด
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบและพาเพื่อนร่วมทีมของเธอตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที สำหรับหน่วยเงาการทำงานเบื้องหลังคือสิ่งถนัด พวกเขาสามารถเอาตัวรอดในป่าได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไปเป็นเท่าตัวอาโอบะจึงไว้ใจให้พวกเขาอยู่ในป่าต่ออีกเล็กน้อย เพียงเท่านี้ความกังวลก็คลายไปเปลาะหนึ่ง เหลือแค่กลับไปรายงานหัวหน้าของเธอพร้อมกับถกข้อสงสัยในใจสักเล็กน้อยเท่านั้น
“รีบไปต่อเถอะ ก่อนจะมืดค่ำ”
“ครับ/ค่ะ” ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงพลันออกเดินไปตามทางรกทึบ
.
.
.
แม้จะชินกับการหลบสิ่งกีดขวางในป่าบ้างแล้วแต่พวกมันกลับทำให้การเคลื่อนที่ช้าลง รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มจะแต้มสีส้มอ่อน ๆ อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ไม่ใช่สำหรับมนุษย์ พวกเขาคงต้องเร่งกันหน่อยล่ะ
“พวกเธอไหวใช่ไหม?” อาโอบะเอ่ยขณะเดินตีคู่กับเหล่าเด็ก ๆ
“ฉันยังเดินไหวอยู่ค่ะ แต่เป็นห่วงพี่ฮิเมะเสียมากกว่า”
“อะไรกันซากิจังพี่ฟื้นตัวแล้วน่า แค่นี้สบายมาก!” ฮิเมะโกะโบกมือหยอย ๆ ให้
“แต่ฉันเป็นห่วงเรื่องปอด...”
“เจอควันพิษแบบนั้นมาก็ยิ่งต้องรีบสูดอากาศบริสุทธิ์ตอนนี้เท่าที่ทำได้ไม่ใช่เหรอ?” รุ่นพี่สาวกล่าวพลางบิดเนื้อตัวให้คลายเมื่อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“หรือต่อให้พี่เป็นลมเป็นแล้งไปก็ฝากฮินะแบกกลับไปก็ได้ สบายหายห่วง” คนถูกลากเข้าวงสนทนาหันขวับมองสองสาวทันควันและไม่พ้นต้องถอนใจเหนื่อยหน่าย
“ขออย่าให้เป็นงั้นเลย พี่ตัวหนักจะตาย”
“โห แย่มาก ไอ้น้องไม่น่ารัก!”
เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วเป็นคำตอบที่ดีสำหรับอาโอบะ ดูเหมือนเธอไม่จำเป็นต้องซักไซ้ให้มากเพราะเด็กพวกนี้ต่างรู้ขีดจำกัดของตนเอง ไม่ไหวก็คือไม่ไหว คงมีแค่นาโอริเท่านั้นที่จะฝืนตัวเองจนถึงที่สุดแม้ร่างกายจะแหลกสลายก็ตาม
“เฮ้อ คิดแล้วก็เหนื่อยใจ...”
“อะไรเหรอครับ?”
“เหวอ! อย่าโผล่มาข้าง ๆ ไม่ให้สุ้มเสียงแบบนี้สิ!” หญิงสาวเบ้ปากพลันจ้องใบหน้ายิ้มแย้มจนน่าหงุดหงิดของโชโตะ จะมีก็แต่เขานี่แหละที่ดูแข็งแรงกว่าชาวบ้าน ไม่เคยแสดงท่าทีเหนื่อยออกมาตลอดภารกิจ
“เห็นจู่ ๆ ก็ถอนหายใจนี่ครับ เลยสงสัย”
“เหอะ คิดว่าเพราะใครกันล่ะ?” อาโอบะเท้าเอวพลางส่งเสียงฮึดฮัด
“จะบอกว่าน้อง ๆ ของผมทำให้คุณเหนื่อยเหรอครับ?”
“ไม่ได้พูดสักคำ นี่นายระแวงว่าฉันจะคิดไม่ดีกับรุ่นน้องหรือไง?”
“เปล่าเลย กลับกันผมคิดว่าคุณน่าจะถูกใจน้อง ๆ ของผมกว่าตอนแรกที่เจออีกนะครับ” ว่าแล้วโชโตะจึงลอบมองสามหนุ่มสาวด้านหลังจน พวกเขาเองก็พูดคุยกันสนุกสนานจนไม่ทันสังเกตว่ากำลังถูกกล่าวถึงอยู่
“เพราะครั้งนี้พวกเขาได้โอกาสแสดงฝีมือจริง ๆ ที่ไม่ได้ดีแค่ปากให้เห็น...แน่นอนว่ารวมนาโอริจังด้วยนะครับ” ครั้นถูกอีกฝ่ายพูดดักทางได้ตรงเผง อาโอบะเลยขมวดคิ้วใส่และเลือกจะยอมรับมันไป
“สองคนข้างหลังน่ะอาจจะใช่ แต่อีกคนเนี่ยขอแค่ไม่ทำให้ตัวเองเข้าโรงพยาบาลรอบที่สาม ฉันก็พอใจแล้ว”
“ฮ่า ๆ ไว้ผมจะคอยตักเตือนเธอให้แล้วกันครับ”
“ให้มันจริง เห็นตามใจมาไม่รู้กี่รอบแล้ว” โชโตะไม่ได้เอ่ยอะไรต่อเขาเพียงแค่หัวเราะในลำคอและปล่อยให้หญิงสาวย่นคิ้วมองเขาอย่างนั้น เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าเขามักจะเผลอปล่อยให้รุ่นน้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายบ่อย ๆ นั่นอาจเป็นการสอบตกในฐานะรุ่นพี่ แต่หากเป็นในฐานะหัวหน้าสภาเจ็ดซามูไรเขาก็อยากให้พวกนาโอริได้สัมผัสความกลัวหรือตึงเครียดเหล่านี้บ้าง
เพราะมันจะทำให้พวกเขาจำจนขึ้นใจและไม่กล้าเสี่ยงอีกไงล่ะ
.
.
.
การเดินเท้าแสนยาวนานยังดำเนินต่อไป ขอบคุณสายลมเย็นฉ่ำที่คอยค้ำจุนเหล่าทีมสำรวจให้พอมีแรงก้าวต่อไปได้ เพราะไร้ซึ่งอุปสรรคทำให้พวกเขามีเวลาพักเติมพลังกับเสบียงที่ยังเหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมุ่งตรงออกจากป่าทึบและบัดนี้ก็เริ่มจะเห็นหลังคาสูงของปราสาทร้างเจ้าเก่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
ตริ๊ง!
“โอ๊ะ เข้าตรงที่ที่มีสัญญาณแล้วเหรอ?” ซากิเลิกคิ้วสูงพลันหยิบมือถือคู่ใจออกมาดู ข้อความที่เธอเขียนทิ้งเอาไว้ได้ถูกส่งไปหาเพื่อนสาวตามคาด แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายดันตอบกลับมาแทบจะทันทีที่มันถูกส่งสำเร็จ
นาโอริ
‘ฉันสบายดีจ้า ออกจากโรงพยาบาลมาได้วันนึงแล้ว ตอนนี้กำลังให้ยูซึกะช่วยฝึกดาบฟื้นร่างกายให้อยู่น่ะ!’
เครื่องหมายคำถามปรากฏในความคิดมากมายเมื่อได้อ่านข้อความบนจอกระจก สาวเจ้าจึงพิมพ์ถามกลับไปในทันที
ซากิ
‘ทำไมต้องรีบฝึกด้วยล่ะ รอให้ร่างกายพร้อมกว่านี้หน่อยไหม?’
นาโอริ
‘แบบนั้นไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะไม่ทันการเอา’
‘ไม่ทัน? หมายถึงเรื่องอะไรเหรอ?’
‘จริงสิ ฉันลืมบอกไปเลย คือว่าฉันตั้งใจจะไปเข้าทดสอบคัดเลือกองครักษ์น่ะ!’
วินาทีที่สมองประมวลความหมายของข้อความล่าสุดที่เพื่อนสาวส่งมา ดวงตาสีเงินวาวพลันเบิกกว้างเช่นเดียวกับปากที่แทบจะอ้าค้างถึงพื้น ซากิพลันปัดหน้าจอไปยังชื่อของนาโอริและกดโทรอย่างรวดเร็ว ท่าทางเล่นใหญ่ของเด็กสาวดึงความสนใจจากพวกฮินาวะที่อยู่ใกล้ ๆ ให้หันมองเป็นตาเดียว
โทรศัพท์ส่งเสียงตรู๊ดอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งมีเสียงร่าเริงตอบกลับมา
“ฮัลโหล ไม่คิดว่าจะโทรมาทันทีเลยนะเนี่ย”
“นาโอะจัง มันหมายความว่ายังไงอธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ!” คนปลายสายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงหวานของเพื่อนถูกส่งมาอย่างกะทันหันจนตัวเธอได้แต่หัวเราะแห้ง
“ใจเย็น ๆ ก่อนสิซากิ เรื่องมันยาวน่ะ...”
“ยาวแค่ไหนก็ต้องอธิบาย ทำไมจู่ ๆ ถึงจะไปสมัครเป็นทหารล่ะ!”
“ทหาร!?” อาโอบะและสมาชิกเจ็ดซามูไรทุกคนหันมาอุทานดังลั่นเป็นเสียงเดียวขนาดที่สัตว์บริเวณรอบ ๆ พากันวิ่งกระเจิง ไม่ทันที่ซากิจะได้ถามต่อ โทรศัพท์ในมือก็ถูกฮินาวะแย่งไปพลันกดปุ่มลำโพงให้ทุกคนตรงนั้นได้ยินและไม่วายเอ่ยถามเจ้าตัวเสียเอง
“เธอต้องอธิบายให้พวกฉันห้าคนเข้าใจ เดี๋ยวนี้เลยด้วย”
“โมโมเสะ!? มาแอบฟังคนอื่นเขาคุยกันทำไมเนี่ย”
“ไม่ต้องตีเนียน เล่ามา!”
“อึ๋ย...ก็ได้ เรื่องมันเป็นแบบนี้....”
.
.
.
ย้อนวันคืนกลับไปตั้งแต่วันที่นาโอริถูกพามายังโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง...
ในเช้าวันต่อมา นาโอริได้ลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงผู้ป่วยด้วยสภาพสดชื่นราวกับเข้านอนตามปกติ นัยน์ตาสีซากุระหยี๋เล็กน้อยเมื่อกระทบแสงแดดจากหน้าต่างใส มันคงจะเป็นเช้าที่สมบูรณ์แบบหากไม่ใช่เพราะจู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าในห้องสีขาวนั้นช่างเงียบเสียจนอึดอัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธออยู่คนเดียวหรือเพิ่งตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ
“ที่นี่มัน!? อู๊ย...” ร่างบางเผลอดีดตัวลุกจากเตียงทว่าความเจ็บดันแล่นผ่านศีรษะ ส่งให้ดวงตาพลันพร่ามัวชั่วขณะและต้องจำใจเอนนอนอีกครั้ง
นาโอริกวาดตามองทั่วห้องที่ไม่คุ้นเคยและเห็นนาฬิกาเรือนโตบ่งบอกเวลาราว ๆ แปดนาฬิกา ยิ่งเห็นก็ยิ่งสงสัยถึงสาเหตุที่ตนมาลงเอยอยู่ตรงนี้ สาวเจ้าจึงพยายามเค้นความจำเท่าที่ทำได้
“อือ...จำได้แค่เราไปช่วยโซว์ เจอกับหนึ่งในคนร้ายแล้วก็สลบไป...”
ภาพในความทรงจำขาดตอนเหมือนเทปที่ฉีกขาด ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็จะสุดแค่เธอเอาชนะหญิงสาวปริศนาได้ก่อนมันจะมืดดับไป นาโอริได้แต่คิดว่าปล่อยไว้สักพักก็คงจะนึกออกเอง ตอนนี้เธอชักอยากจะหาอะไรทำแก้เบื่อเสียแล้วสิ!
แอ็ด
ไม่ทันไรเสียงประตูห้องผู้ป่วยที่ถูกเปิดก็ทำเอาเด็กสาวสะดุ้งหลุดจากภวังค์พร้อมหันขวับมองทันควัน
“สวัสดีตอนเช้าครับ”
“ส สวัสดีค่ะ” นาโอริผงกศีรษะให้ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาว ในมือถือแผ่นพลาสติกสำหรับแนบเอกสารไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลนี้ แต่เขากลับให้ความรู้สึกต่างออกไปจากหมอปกติ หรือควรเรียกว่าคนละระดับดีล่ะ?
“วันนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ มีอาการมึนหัวหรืออย่างอื่นไหม?”
“นิดหน่อยค่ะ พอลุกขึ้นนั่งแล้วก็ปวดจี๊ดขึ้นมา” แพทย์หนุ่มพยักหน้ารับทราบพลันจดลงบนกระดาษ
“คงเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดีพอลุกพรวดพราดมันเลยมีอาการน่ะ คราวหลังต้องหัดขยับตัวให้ช้าลงหน่อยนะครับ”
“ค่ะ..”
ตอบคำถามประจำวันเสร็จก็ถึงเวลาตรวจร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ แพทย์หนุ่มยังคงยืนยันเรื่องที่ร่างกายของนาโอริต้องได้รับการพักผ่อนและห้ามใช้งานหนักพักหนึ่ง เขาจึงไม่อนุญาตให้เธอกลับบ้านในทันทีพร้อมบอกว่าสามารถพักฟื้นได้ตามสะดวก แต่นั่นกลับทำให้นาโอริยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“ให้ฉันพักฟื้นต่อทั้งที่ไม่ได้มีอาการหนักจะดีเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าต้องเผื่อห้องให้คนป่วยคนอื่น...”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก คนที่พาหนูมาเขากำชับให้ดูแลจนหายดีน่ะ หนูทำใจให้สบายและพักผ่อนต่อเถอะครับ”
“เอ่อ ขอบคุณนะคะ”
“งั้นผมขอตัวก่อน อย่าลืมทานอาหารให้ตรงเวลาด้วยล่ะครับ” ว่าจบร่างสูงก็เดินหายลับไป ปล่อยความเงียบปกคลุมห้องสีขาวอีกคราผสมกับกลิ่นหอมของอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ ครั้นตักเข้าปากนาโอริกลับพบว่ามันมีรสชาติดีกว่าที่คิด มื้อเช้าในวันนี้จึงผ่านไปด้วยดีและอิ่มท้อง
“รสชาติต่างจากที่จำความได้เลยแฮะ”
“เธอเคยเข้าโรงพยาบาลนี้ด้วยเหรอ?” เสียงทุ้มมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์เรียกให้เด็กสาวหันมองพลันส่ายหน้าไปมา
“เปล่า ที่อื่นน่ะ ตอนเด็ก ๆ ที่ป่วยหนัก จำได้ขึ้นใจเลยว่าอาหารมันไม่อร่อยเอาเสียเลย”
“ก็ถือว่าโชคดีแล้วนี่ ไม่งั้นเธอคงจะซูบผอมจนไม่มีแรงถือฉันแล้วมั้ง”
“นายก็เวอร์ไป แค่ดาบเล่มเดียวทำไมจะยกไม่ได้” นาโอริเบ้ปาก
“หึ อย่าให้ฉันเพิ่มน้ำหนักตัวเองได้นะ...”
“จ้า ๆ” สาวเจ้าได้แต่ยิ้มกริ่มให้คู่หูจอมกวนประสาทพลางคิดถึงน้ำเสียงทุ้มนี่เสียเหลือเกิน ยิ่งหลังจากผ่านเรื่องคอขาดบาดตายจากปราสาทร้างมาเด็กสาวก็นึกหวงแหนอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเดิมหลายเท่า โชคดีที่ยังมีจูลิโอ้เคียงข้างนาโอริเลยไม่ต้องทนอึดอัดอยู่ในห้องสีขาวแสนเงียบงันนี่เป็นวัน ๆ
.
.
.
สองถึงสามชั่วโมงก็มีพยาบาลแวะเวียนมาตรวจดูเป็นระยะ กระทั่งเลยช่วงเที่ยงไปพวกเขาถึงเริ่มปล่อยให้คนป่วยใช้เวลาส่วนตัวอย่างอิสระ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ยังรู้สึกยินดีเสียอีกที่ใครหลายคนเข้าออกห้องนี้
“เฮ้อ...เบื่อจัง”
เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ นาโอริจึงใช้โอกาสนี้ปล่อยใจล่องลอยตามวิวของตึกสูงซ้อนกันด้านนอกหน้าต่าง ทว่าแสงนวลที่สาดกระทบกลับฉายใบหน้าอ่อนโยนของเด็กหนุ่มผู้นั้นให้ปรากฏในความคิด เปลี่ยนเป้าหมายของเด็กสาวให้ละจากวิวนอกหน้าต่างและรีบคว้ามือถือคู่ใจขึ้นมาก่อนจะเลื่อนหาชื่อของโซว์ทันควัน
ก๊อก ๆ
แต่ไม่ทันจะได้จรดปลายนิ้วบนแป้นพิมพ์กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน
“ช เชิญค่ะ!” นาโอริเหงื่อแตกพลั่กเมื่อตระหนักได้ว่าคนข้างนอกไม่ใช่หมอเป็นแน่ เพราะปกติแล้วคนของโรงพยาบาลคงไม่เคาะประตูและรอให้ขานรับก่อนหรอก
ดวงตาสีกลมหรี่ลงพลันจับจ้องประตูนั้นไม่วางตั้งแต่วินาทีที่มันเปิดออกจนเริ่มเห็นร่างใครบางคนเดินเข้ามา แต่แล้วความกังวลทั้งหมดก็แทบมลายสิ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ เมื่อนัยน์ตาสีซากุระสบเข้ากับดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นซึ่งเหมือนกับเธอจนน่าตกใจ เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มตัดกับเกราะแขนสีขาวนวล แต่สิ่งที่สะดุดตาสาวเจ้าคือเข็มตราซากุระสีเงินแวววาวที่ติดอยู่ตรงอกซ้ายของเขากับดาบคาตานะสีน้ำตาลเข้มซึ่งเหน็บไว้กับเอว นาโอริพลันนึกถึงชุดเครื่องแบบของอาโอบะและตกผลึกว่าเขาคือคนของชินระ
“เธอฟื้นตัวเร็วดีเหมือนกันนะ ฉันยังคิดว่าจะลากไปอีกหลายวันเสียอีก” ชายหนุ่มเอ่ยพลางวางกล่องรูปทรงคล้ายเค้กชิ้นเล็กไว้ตรงโต๊ะรับรองก่อนจะก้าวเท้ามาใกล้เธอ
“ว้าว ดูสิว่าใครมา”
“หือ จูลิโอ้นายรู้จักเหรอ?” เด็กสาวเอียงคอสงสัยทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มจากคู่หู
“ก็คนที่พาเธอมาโรงพยาบาลไงเล่า ได้คุยกับเขาเมื่อวานน่ะ”
“อย่างที่คู่หูเธอว่านั่นแหละ” ไม่ทันได้ถามต่อเสียงเรียบน่าฟังจากผู้มาใหม่ก็แทรกขึ้นทำเอานาโอริหันขวับแทบไม่ทัน
“เอ่อ คุณคือใครคะ?”
“โอ้ ขอโทษที ฉันเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชินระชื่อ ซากุราซากุ ซาโตชิ เรียกแค่ชื่อก็ได้ฉันไม่ถือ” ร่างสูงเอ่ยรวดเดียวอย่างกับกะไม่ให้อีกฝ่ายได้โอกาสสงสัยในตัวเขา ซึ่งก็ดูจะได้ผล
“เอ่อ...ซาโตชิซัง?”
“อื้อ แบบนั้นแหละดีแล้ว...ว่าแต่เธออาการเป็นยังไงบ้างล่ะ” เขาเอ่ยก่อนทิ้งตัวนั่งกับเก้าอี้ใกล้เตียงผู้ป่วย ถึงเจ้าตัวจะดูสบาย ๆ แต่นาโอรินั้นกลับเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายดันเข้ามานั่งเสียใกล้ขนาดนี้
เด็กสาวเล่าความเป็นไปของอาการตัวเองให้ซาโตชิฟังและเห็นเขาเอาแต่พยักหน้าหงึกไม่พูดอะไรต่อ ยิ่งทำเอาสาวเจ้าอับจนคำพูดหนักกว่าเก่าเพราะเดาสีหน้านั้นไม่ออกเลยสักนิด
“ค คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของอาโอบะซังเหรอคะ?” ครั้นนึกคำถามที่ดีกว่านี้ไม่ได้ นาโอริจึงเลือกสิ่งที่ง่ายดายที่สุดที่เธอพอจะนึกออก ซึ่งอีกฝ่ายก็เลือกจะตอบมันอย่างไม่ยี่หระสิ่งใด
“ใช่ แต่พูดให้ถูกคือเป็นหัวหน้าน่ะ”
“อย่างนี้เอง...”
เพราะพบกันครั้งแรกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เป็นครั้งแรกที่นาโอริถูกบรรยากาศเคร่งขรึมของคนตรงหน้าถาโถมจนไม่สามารถต่อบทสนทนาได้ ความรู้สึกตีกันอยู่ข้างในระหว่างสบายใจกับเกรงกลัว ทั้งที่เขามีเรือนผมและดวงตาน่าดึงดูดคล้ายกับคนในความฝันของเธอ ทว่าสัญชาตญาณของนาโอริกลับย้ำเตือนว่าไม่ควรลามปามเขาคนนี้ไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม
แบบนี้ก็ได้เกร็งกันแย่เลยสิ!
“ทำตัวตามสบายเถอะ ฉันแค่อยากมาดูอาการของเธอเท่านั้น แต่ถ้าทำให้อึดอัดงั้นฉันจะได้กลับ...”
“ด เดี๋ยวค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!” นาโอริร้องลั่นพร้อมโบกมือรัว
“งั้นเหรอ? ฉันเห็นเหงื่อบนหน้าเธอเริ่มออก ตาก็ล่อกแล่กนิดหน่อยเลยคิดว่ากำลังเครียดอยู่หรือเปล่าน่ะ” ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อถูกคนตรงหน้าใช้วิธีของตำรวจมาตรวจสอบเธอเสียได้ หนำซ้ำมันยังเป็นความจริงทุกประการอีก! ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าควรประทับใจหรือขนลุกดี
“ส สุดยอด อย่างกับกำลังจับเท็จฉันอยู่เลยค่ะ..”
“ม มันติดเป็นนิสัยน่ะ ขอโทษจริง ๆ” ซาโตชิเบือนหน้าหนีพลางดันกรอบแว่นกลบเกลื่อน ท่าทางไม่สุขุมชั่วพริบตานั่นเกือบทำให้นาโอริหลุดขำออกมา ทว่าสัญชาตญาณยังคงกระชากคอเธอไม่ให้ทำเช่นนั้นอยู่
“เท่จะตายไป ฉันเองก็อยากจะทำแบบนั้นได้ในสักวันเหมือนกันค่ะ!”
“เท่งั้นเรอะ...เธอนี่มองโลกในแง่ดีเหมือนที่โชว์บอกเลยนะ”
“คุณรู้จักรุ่นพี่โชว์ด้วยเหรอคะ?” เด็กสาวเลิกคิ้วฉงน
“เขาคอยรับคำสั่งจากฉันน่ะ งานที่พวกเธอได้ทำส่วนใหญ่ก็มาจากฉันนี่แหละ”
“หัวหน้าที่รุ่นพี่ชอบพูดถึงก็คือซาโตชิซังนี่เอง” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้พึมพำกับตนเอง ก่อนจะนึกสงสัยบางอย่างและหันกลับไปจ้องหน้าอีกฝ่าย
“แล้ว...ทำไมคุณถึงสละเวลางาน มาเยี่ยมฉันล่ะคะ?” ซาโตชินิ่งไปครู่หนึ่งราวกลั่นกรองคำพูดในหัว ไม่นานเขาจึงถอนใจเบา ๆ พลันจ้องนัยน์ตาสีเดียวกันนั้นไม่วาง
“ถ้าฉันไม่มา...คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตน่ะ”
“คะ?”
“อย่างที่บอกว่าทุกภารกิจที่พวกเธอได้รับฉันเป็นคนจัดสรรมันให้เอง เพราะงั้นเลยเท่ากับว่าฉันเป็นคนทำให้เธอต้องอยู่ในสภาพนี้” ไม่ทันที่นาโอริจะได้เอ่ยถาม ร่างสูงก็ยืนขึ้นและก้มโค้งให้เด็กสาวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาเธอกระวนกระวายบอกให้เขาเงยหน้าขึ้นหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับหัวดื้อกว่าที่คิดและยังค้างอยู่ท่านั้นต่อไป
“ไม่ว่ายังไงก็ขอให้ฉันได้ชดใช้ความอ่อนหัดของตัวเองด้วย”
“ต แต่คุณแค่หวังดีอยากให้พวกเราได้ประสบการณ์นี่คะ จะเป็นความผิดคุณได้ยังไงกัน!?”
“ถึงอย่างนั้น ฉันก็น่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” ชายหนุ่มเว้นจังหวะหายใจพร้อมเงยขึ้นมามองนาโอริ
“เพราะการเสียใครสักคนไป สำหรับคนที่ยังใช้ชีวิตอยู่มันทรมานกว่าหลายเท่าเลยล่ะ” นัยน์ตาสีซากุระของนาโอริเบิกกว้างพลันสะท้อนใบหน้าจริงจังของเขาชัดเจน หัวใจบีบรัดอย่างไม่รู้สาเหตุราวกับเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าเคยพบเจอมา แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ได้สนทนากับเขา...
หรือเพราะดวงตาแสนเศร้าสร้อยนั้นกำลังบอกเล่ามันกับเธออยู่กันแน่นะ?
“ถึงฉันจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น...แต่ตอนนี้ฉันก็ปลอดภัยดีแถมยังได้รับประสบการณ์อันมีค่าอีก ทั้งหมดต้องขอบคุณซาโตชิซังเลยค่ะ!” นาโอริแย้มยิ้มสดใส รอยยิ้มร่าเริงนั้นกำลังซึมซาบเข้าแทนที่ความมัวหมองในใจของชายหนุ่มอย่างช้า ๆ แม้จะพยายามแย้งตัวเองว่าไม่ควรดีใจกับคำพูดนั้น แต่มันอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มเล็ก ๆ ด้วยความโล่งใจจนบอกไม่ถูก
“อยากจะมองโลกในแง่ดีได้เท่าเธอเหลือเกิน”
“แหะ ๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ภาพของเด็กสาวที่หัวเราะแก้เก้อพลันทำให้เขานึกเอ็นดูอย่างไม่รู้ตัวหรือเป็นเพราะคำพูดขอบคุณจากสาวเจ้าที่ทำให้คิดแบบนั้นก็ไม่รู้ แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ระลึกได้ว่าเขานำเค้กมาเยี่ยมเธอด้วยจึงเดินไปหยิบมันมาให้ทาน แน่นอนว่านาโอริแทบตาเป็นประกายพร้อมตักมันเข้าปากไม่ลังเล ใครจะพลาดของหวานไปได้ล่ะ!
“อ้อ อีกเรื่องนึง” ซาโตชิเปิดประเด็นใหม่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังอร่อยกับขนมเค้ก
“ฉันอยากขอบคุณเธอที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านโซ...เอ่อ องค์รัชทายาทน่ะ”
“ฉันรับคำขอบคุณค่ะ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเขามาพูดเอง” นาโอริเชิดหน้าทั้งที่ยังเคี้ยวแก้มตุ่ย
“เดี๋ยวสิ พูดแบบนั้นกับเชื้อพระวงศ์มันไม่ดีนะ อีกอย่างพระองค์ก็ยุ่งอยู่กับงานตั้งแต่กลับมา ให้สละเวลามาเยี่ยมคงไม่ได้หรอก”
“ฉันเข้าใจค่ะว่าเจ้าชายน่ะงานเยอะตลอดเวลา แต่เล่นไม่ยอมฝากข้อความอะไรไว้เลย มันน่าน้อยใจนี่คะ” เด็กสาวกล่าวพลางตักขนมเข้าปาก
“เธอรู้จักกับองค์รัชทายาทเป็นการส่วนตัวงั้นเหรอ?”
“เอ่อ ไม่ใช่องค์รัชทายาทจริง ๆ แต่เป็นองค์ชายที่ชื่อโซอิจิโร่น่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ!?” ซาโตชิตะโกนลั่นพร้อมลุกพรวดจากเก้าอี้จนนาโอริแทบสำลัก ก่อนจะถูกเขาซักถามชุดใหญ่ด้วยสีหน้ากังวลผิดกับก่อนหน้า
“ไม่ใช่องค์รัชทายาท...จะบอกว่าเธอรู้เรื่องที่เขา...”
“ที่เขาปลอมตัวน่ะเหรอคะ อุ๊บ!” มือหนาพุ่งปิดปากเด็กสาวทันควัน
“เบา ๆ สิ นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะพูดเรื่อยเปื่อยได้นะ”
“ข ขอโทษค่ะ”
“เฮ้อ ให้ตายสิ....ในเมื่อเธอหลุดมาขนาดนี้แล้ว ฉันก็ขอถามหน่อย...” วินาทีนั้นซาโตชิพลันหรี่ตาลงจนคมกริบดุจใบมีด เขาจ้องมองเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ตรงหน้าไม่วาง บรรยากาศโดยรอบพลันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนนี้มันกดดันเสียยิ่งกว่าตอนกำลังถูกสอบสวนในห้องสอบสวนเสียอีก
“เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับท่านโซอิจิโร่มากแค่ไหน?”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder