ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
บัดนี้ห้องนวลสีขาวได้เกิดความอึดอัดคุกรุ่นไปทั่ว นาโอริเผลอกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อสบกับสายตาคาดคั้นของชายหนุ่มและได้แต่สงสัยว่าสิ่งที่เธอเอ่ยออกไปมันร้ายแรงถึงขั้นที่ถูกคาดโทษเช่นนี้เชียวหรือ
หารู้ไม่ว่าเธอดันไปแตะต้องความลับของราชวงศ์เข้าเสียแล้ว...
“เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับท่านโซอิจิโร่มากแค่ไหน?”
“ม ไม่ได้มากหรอกค่ะ แค่รู้ชื่อจริงกับเคยเจอตัวจริง...หมายถึงตอนนั้นเขาน่าจะปลอมตัวออกมาข้างนอกแล้วดันเจอกับฉันน่ะค่ะ ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรจนไปช่วยเขาจากปราสาทนั่น....” เธอสรุปความรวบ ๆ ให้อีกฝ่ายฟังแต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อถูกมองด้วยแววตาสงสัยไม่หาย หนำซ้ำมันยิ่งเพิ่มความน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณอีกต่างหาก!
“แค่นั้นจริง ๆ นะคะ เรื่องเขาปลอมตัวทำไมหรือเขาไปทำอะไรบ้างนี่ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นเพราะโซว์...เอ้ย องค์ชายไม่เคยปริปากบอกเลย อีกอย่างพวกเราก็เจอกันนับครั้งได้ด้วย!” นาโอริพยายามโบกไม้โบกมือแก้ต่างเท่าที่จะทำได้ ครั้นซาโตชิสังเกตทั้งแววตาและน้ำเสียงกระวนกระวายนั่น ช่างน่าแปลกที่เขาไม่สามารถจับความเท็จจากอาการลนลานนี่ได้สักนิด ไม่ว่าจะดูยังไงเด็กสาวตรงหน้าก็พูดความจริงแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
“เฮ้อ....งั้นฉันอยากถามอีกคำถามหนึ่ง” สุดท้ายก็เป็นต้องถอนใจออกมาพลางดันกรอบแว่นเหลี่ยมราวอับจนหนทางกับเรื่องนี้ ไม่นานเขาจึงหันขวับไปทางนาโอริจนเธอสะดุ้งอีกครา
“คะ?”
“ฉัน...เชื่อใจเธอได้ไหม?”
คำถามที่ไม่คาดว่าจะเอ่ยกันซึ่ง ๆ หน้ากลับปะทะเข้าใส่นาโอริเต็มเปา เครื่องหมายคำถามผุดในความคิดไม่หยุด เธอได้แต่คิดว่าปกติใครที่ไหนเขาจะถามคนอื่นว่าเชื่อใจได้หรือไม่แบบนี้ ยิ่งกับเด็กไม่รู้ที่มาที่ไปซึ่งไปเจอความลับสำคัญของคนอื่นเข้ายิ่งแล้วใหญ่
ไม่ใช่ว่าเขาควรจะหัวเสียและตะคอกใส่เธอ พยายามขู่ไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปปูดที่ไหน อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?
“ท ทำไมถึงถามอะไรแปลก ๆ แบบนั้นล่ะคะ คุณคงไม่ได้จะเล่าให้ฉันฟังทั้งหมดหรอกใช่ไหม?”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ อยากให้ใช้อำนาจบังคับเธอให้เงียบปากซะถ้าไม่อยากซวยงั้นเหรอ”
“เอ่อ อย่างน้อย มันก็ควรเป็นอย่างที่คุณว่า...”
“เปล่าประโยชน์น่า คิดว่าหลังจากเห็นเธอกล้าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแถมยังก่อกวนพวกฉันในเวลางาน กล้าเอาตัวเข้าไปในวิถีธนูจนเกือบตกจากฟ้า กล้าบุกเข้าเขตศัตรูคนเดียว...ยังมีอะไรที่ทำให้เธอกลัวได้อีกหรือไง” ซาโตชิยักไหล่ไม่ยี่หระพลางหรี่ตามอง
“ฉ ฉันสร้างปัญหาเยอะขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย....ขอโทษค่ะ” ดวงตาสีซากุระหลุบต่ำพลันทำหน้าบูดบึ้งเหี่ยวเฉา
“ไม่ได้จะตอกย้ำหรอกนะ แค่คิดว่าสู้บอกไปเลยความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีก” นาโอริได้แต่ยิ้มแห้งกับประโยคนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจแต่มันเหมือนกำลังต่อว่าเธออยู่หน่อย ๆ เลยอดเจ็บแปล๊บที่หัวใจไม่ได้
“ต แต่ถ้าถึงขนาดที่ไม่ยอมให้คนอื่นได้ยินเนี่ย มันก็น่าจะสำคัญมากนี่คะ คุณจะไม่โดนลงโทษเพราะเรื่องนี้เอาเหรอ?”
“ฉันถึงถามไงว่าจะเชื่อใจเธอได้ไหม....เพราะตอนนี้ฉันก็เดิมพันกับชีวิตตัวเองสุด ๆ ไปเลยล่ะ” ซาโตชิเอ่ยพลางกอดอกหลวม ๆ เขาไม่ยอมเอ่ยอะไรต่อราวต้องการให้เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ได้ไตร่ตรองมันด้วยตัวเอง ส่วนเด็กสาวที่เหมือนจะเข้าใจความหมายนั้นจึงก้มหน้างุดจ้องผ้าห่มสีครีมบนตักที่กำแน่นจนยับ
ใบหน้าแย้มยิ้มของโซว์หรือโซอิจิโร่ฉายในความคิดอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นน้ำเสียงของเขาในตอนที่ช่วยทบทวนเนื้อหาการสอบให้เธอก็ดังก้องซ้ำไปมา นาโอริได้แต่คิดย้อนไปว่าตัวของเด็กหนุ่มต้องรู้สึกเช่นไรเมื่อเล่าเรื่องของตนเองให้คนอื่นอย่างเธอฟัง ทั้งเรื่องการตายของมารดาและภาระที่ตัวเขาซึ่งสวมบทเป็นพี่ชายต้องแบกรับ
เรื่องที่เด็กสาวเคยสงสัยคราที่เขาเป็นแค่ โซว์ ว่าเด็กอายุเท่านี้ต้องเจอกับอะไรบ้างถึงเอาแต่ทำหน้าคร่ำเครียด ไม่รู้จักความสนุกของโลกภายนอกหรือแม้แต่ยามพูดถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ยังแสดงสีหน้าเจ็บปวด
เวลานี้เธอได้คำตอบนั้นแล้ว...
“เพราะเราต้องปกป้องเธอไงล่ะ”
คำพูดสุดท้ายก่อนจะถูกพาตัวไปยังตรึงอยู่ในใจ ด้วยสถานะหนักอึ้งของเขาชีวิตตัวเองควรจะมาก่อนสิ่งใดด้วยซ้ำแต่โซอิจิโร่กลับเลือกเดินไปหาศัตรูเพื่อปกป้องเธอ เลือกเสียสละเพื่อเด็กสาวที่พบกันไม่กี่ครั้ง
แล้วตัวเธอล่ะ....พร้อมจะทำอะไรเพื่อเขาบ้างหรือยัง?
“ฉัน...”
หลังจากความเงียบแสนยาวนาน ในที่สุดนาโอริก็สามารถเงยหน้ามองเจ้าหน้าที่หนุ่มได้อีกครั้ง
“ฉันมั่นใจว่าความลับขององค์ชายจะปลอดภัย...จนกว่าชีวิตของฉันจะหาไม่ค่ะ!” นัยน์ตาสีเดียวกันนั้นฉายแววมั่นคงขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้จนซาโตชิแทบจะไม่ต้องถามย้ำกับเจ้าตัว
“งั้นเหรอ...ดีมาก งั้นตั้งใจฟังทุกอย่างที่ฉันจะเล่าต่อจากนี้ให้ดีและพยายามอย่าสงสัยอะไรล่ะ” ว่าจบซาโตชิจึงตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้โซอิจิโร่ต้องสวมบทเป็นองค์ชายรัชทายาท
ทุกอย่างเคยดำเนินไปตามปกติของมัน ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร จนกระทั่งเกนอิจิโร่ฝาแฝดผู้พี่เกิดล้มป่วยด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเมื่ออายุได้แปดปี โรคร้ายนั่นเกือบคร่าชีวิตของเขาไปครั้งหนึ่ง หากไม่ได้ยาพิเศษที่ทำจากเลือดของจักรพรรดิก็คงไม่สามารถยื้อไว้ได้
หลังจากนั้นอาการของเขากลับย่ำแย่และเริ่มออกไปพบปะใครได้ยากขึ้น แต่เพราะผู้เป็นพ่อยืนยันจะให้เกนอิจิโร่สืบทอดตำแหน่งรัชทายาทให้ได้ตามลำดับจึงดึงดันมอบมันให้กับเขา ส่วนโซอิจิโร่ที่ทั้งร่างกายแข็งแรง ทั้งมีความสามารถไม่แพ้กันเลยกลายเป็นตัวแทนของพี่ชายเพื่อสร้างหน้าตาในฐานะผู้สืบทอดแทนเกนอิจิโร่นับแต่นั้น ทุกครั้งที่มีงานต้องพบปะคนนอกสถานที่โซอิจิโร่มักจะออกหน้าแทนเสมอ
“จนเดี๋ยวนี้ชักจะติดเป็นนิสัย....ทรงฝืนพระวรกายทำงานไม่ได้หลับได้นอนบ่อย ๆ” ซาโตชิไม่วายต้องกุมขมับพลางถอนใจเหนื่อยหน่ายไปด้วย ก่อนจะเหลือบเห็นใบหน้านึกสงสัยจากนาโอริ
“ฉันไม่เข้าใจเลย...ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากด้วย ถ้าคนพี่ไม่พร้อมก็ควรยกให้น้องไปก็จบแล้วนี่นา”
“ก็จริงอยู่ที่มันสามารถทำได้ แต่ฝ่าบาทก็ทรงมีความคิดส่วนพระองค์จะให้ฉันไปก้าวก่ายไม่ได้หรอก ถึงจะเคยแนะไปบ้างแล้วก็เถอะ...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปม นาโอริรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด
“แต่ต่อให้เป็นแฝดนิสัยก็ไม่น่าจะเหมือนกัน ทำยังไงถึงปกปิดมาได้ถึงทุกวันนี้เหรอคะ?”
“เพราะเริ่มใช้วิธีนี้ตั้งแต่ทั้งสองทรงพระเยาว์ ภาพจำของคนนอกก็กลายเป็นว่าฝาแฝดคนน้องนั้นไม่ค่อยปรากฏตัวให้สังคมเห็นเพราะร่างกายอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีนิสัยยังไงกันแน่ เลยไม่เคยมีใครสงสัยในความต่างกันของทั้งสองพระองค์ไงล่ะ”
“งั้นก็เหมือนกับว่าโซว์...องค์ชายรองไม่มีตัวตนอยู่เลย” ได้ยินเช่นนั้นซาโตชิจึงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบพาให้หัวใจของเด็กสาวบีบรัดจนทรมาน เธอแทบอยากกระโจนออกจากโรงพยาบาลและวิ่งไปหาเจ้าตัวเสียให้ได้เดี๋ยวนี้...
“มีใคร...ที่รู้เรื่องนี้บ้างเหรอคะ?”
“ตามจริงก็ควรมีแค่ฉันกับผู้นำตระกูลห้าบุปผารุ่นปัจจุบันเท่านั้น...แต่ตอนนี้ก็รวมเธออยู่ด้วยแล้ว”
“ฉันอยากเจอเขา....” เสียงหวานนั้นเบาหวิวเสียจนยากจะจับความได้
“เธอว่าอะไรนะ?”
“ฉันอยากเจอองค์ชายเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อยากพูดกับเขาตรง ๆ คุณพอจะมีวิธีไหนให้ฉันได้พบเขาไหมคะ!?” นาโอริโพล่งขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาร่างสูงเผลออุทานออกมา
“คงยอมไม่ได้หรอก” ซาโตชิเอ่ยทันควัน
“ทำไมล่ะคะ? ซาโตชิซังเป็นคนสนิทของเขานี่”
“อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย ขอร้องล่ะ” ชายหนุ่มยกมือปรามไว้ เขาพยายามไม่มองใบหน้าผิดหวังของอีกฝ่ายไม่เช่นนั้นเขาคงพลอยรู้สึกผิดไปด้วย ทว่าเมื่อสังเกตว่าเด็กสาวเงียบนานเกินไปเขาจึงเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
“ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ ตอนนี้เธอก็รู้ตัวตนของท่านโซอิจิโร่แล้ว การเข้าพบแบบจู่ ๆ อยากเจอก็เรียกมาเจอน่ะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเธอคิดพิเรนทร์จะถ่อไปถึงอาณาเขตฮิบานะด้วยตัวเองก็มีแต่จะโดนข้อหาร้ายแรงเอานะ”
“อึ๋ย...เพิ่งเจอกันครั้งเดียวก็เดาทางฉันถูกเสียแล้ว” คนถูกดักคอบ่นอุบอิบ แน่นอนว่าไม่รอดพ้นหูเฉียบไวของอีกฝ่ายไปได้
“คนซื่อ ๆ อย่างเธอ ใครดูไม่ออกก็แย่แล้วล่ะ”
“ค่ะ ฉันจะไปพยายามใหม่แล้วกัน” ร่างบางเอ่ยพลันคอตก จนซาโตชิอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขายอมใจเด็กตรงหน้าที่พูดอะไรก็ดูจะตรงไปตรงมาไม่มีเลศนัยเลยสักนิด แม้แต่เด็กรุ่นเดียวกันอย่างโชโตะยังมีมุมที่เขาเองก็เข้าไม่ถึงอยู่ จะมองว่านาโอริน่าเอ็นดูหรือน่าขันกันแน่เจ้าตัวก็ไม่มั่นใจนัก
ขณะความคิดยังไม่ตกผลึก นัยน์ตาสีซากุระดันเหลือบเห็นเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาบ่ายสามกว่า ชายหนุ่มพลันตระหนักได้ว่าเผลอใช้เวลาเยี่ยมไข้นี้นานเกินควรและถึงเวลาต้องกลับไปสางกองงานของเขาต่อ เพราะเวลาแค่สามชั่วโมงนั้นสามารถเพิ่มจำนวนเอกสารบนโต๊ะได้อย่างไม่เชื่อสายตาหากกลับไป
“เอาล่ะ เย็นมากแล้วฉันคงต้องกลับก่อน”
“เอ๊ะ เวลาผ่านไปไวขนาดนี้เลย...” นาโอริเลิกคิ้วสูงพลันหันมองหน้าต่างใสซึ่งท้องฟ้าด้านนอกเริ่มแต่งแต้มสีส้มอ่อน ๆ ไม่คิดเลยว่าสนทนากับซาโตชิจะพาให้เวลาเดินไปรวดเร็วเช่นนี้
“ไว้ถ้ามีโอกาสฉันจะมาเยี่ยมอีก ถ้างานไม่ท่วมหัวเสียก่อนนะ”
“เอ่อ ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น...”
“ล้อเล่นน่ะ อ้อ จริงสิ...” นาโอริเอียงคอสงสัยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายกอดอกหลวม ๆ พลางจ้องเธอไม่วาง
“อย่าลืมล่ะ เรื่องที่คุยกันวันนี้เธอต้องเก็บเป็นความลับไปจนวันตาย”
“ร รับทราบค่ะ!” ร่างบางดีดตัวตรงพลันทำท่าตะเบ๊ะรับทราบทันควัน
“ดี ไม่งั้นทั้งฉันทั้งเธอคงหัวขาดไปตาม ๆ กันนี่แหละ” ว่าจบเจ้าของเรือนผมสีซากุระจึงก้าวออกจากห้องสีครีมที่ถูกย้อมด้วยแสงยามเย็น
ครั้นกลับสู่ความเงียบสงบอีกครา บัดนี้นาโอริได้โอกาสใช้เวลาไปกับความคิดของตัวเองทบทวนเรื่องเล่าทุกอย่างที่ยังวนเวียนในหัว แม้จะหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถไปหาโซอิจิโร่ได้อย่างใจอยากแต่คำพูดของซาโตชิเองก็ไม่ผิด เขาไม่ใช่ โซว์ เด็กหนุ่มธรรมดาที่จะสามารถทำตัวสบาย ๆ เมื่อเจอได้อีก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากได้พบเขาอีกครั้งตนควรทำตัวอย่างไร
พวกเธอจะสามารถคุยกันได้อย่างสนิทใจหรือเปล่า?
“เฮ้อ...”
“เธอเป็นคนอยากรู้ความลับนั่นเองนะ อย่าทำตัวเหี่ยวงั้นสิ” จูลิโอ้เอ่ยก่อนจะโดนคู่หูตัวเองโพล่งกลับมา
“ถ้าไม่ปลอบก็ไม่ต้องพูดเลย!”
ในเวลานั้นนาโอริยังไม่รู้ว่าคนที่ถูกยกมาเป็นประเด็นในบทสนทนาของเธอกับซาโตชิ เขากำลังริเริ่มจัดการงานส่วนใหม่ที่เพิ่งจะเกริ่นไปเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเองตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้
.
.
.
ณ หนึ่งในปราสาทญี่ปุ่นโบราณที่ตั้งตระหง่านในอาณาเขตฮิบานะ ช่วงเดียวกับที่พวกนาโอริกำลังสนทนากัน เด็กหนุ่มสูงส่งเจ้าของเรือนผมสีดำขลับกำลังเลื่อนสายตาอ่านตัวอักษรบนเอกสารปึกใหญ่จนแทบถือไม่หมดและคอยเปลี่ยนหน้าทุกครั้งที่อ่านจนจบ
มันคือรายชื่อของทหารที่ผู้เป็นพ่อจัดสรรค์ให้คอยคุ้มกันเขาอยู่รอบตัว หลังจากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจึงถึงเวลาต้องยกมันขึ้นมาจัดการเสียใหม่ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องผ่านสายตาของเขาไม่ใช่ใครอื่น
.
.
.
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดกองเอกสารนั้นก็ถูกอ่านจนหมด ร่างเล็กถอนใจเหนื่อยออกมาพลันลอบมองตัวเลขเวลาบนหน้าจอมือถือ ก่อนจะตัดสินใจดันตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าเวลาเพิ่งจะบ่ายกว่า
โซอิจิโร่มุ่งหน้าไปยังเส้นทางใต้ดินผ่านลิฟต์เหล็กของปราสาทและก้าวเท้าไปตามทางเดินโล่ง ความเงียบรอบด้านช่วยให้เขาจดจ่ออยู่กับการประมวลข้อมูลต่าง ๆ ในความคิดได้ดี จนรู้ตัวอีกทีก็โดยสารลิฟต์อีกตัวมาถึงหน้าประตูบานเลื่อนของปราสาทไม้อีกหลัง ด้านหน้ามีทหารหนุ่มสองคนเฝ้าอยู่และต่างก้มโค้งให้เขาอย่างนอบน้อม เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมเคาะประตูนั่นทันที
ก๊อกๆ
“เข้ามา”
เสียงนุ่มนวลลอดผ่านบานเลื่อนทำให้คนด้านนอกค่อย ๆ เปิดประตูออก เผยให้เห็นร่างใครคนหนึ่งในชุดยูกาตะสีเข้มรับกับเสื้อคลุมฮาโอริสีขาวนวลดั่งเช่นทุกทีนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้เตี้ยคล้ายกับของเขา หนังสือเล่มสวยหลายเล่มวางเรียงเป็นตั้งสูงใกล้กับโต๊ะเช่นเดียวกับเอกสารอีกสองสามตั้ง ทันทีที่คนในห้องมองมายังเด็กหนุ่ม ใบหน้าอ่อนโยนนั้นพลันวาดยิ้มออกมาและดันตัวลุกขึ้นไปหา
“ลมอะไรหอบนายมาล่ะ โซอิจิ”
“เรื่องงานน่ะ” แฝดผู้น้องเอ่ยก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
“กะไว้แล้วเชียว....นายต้องรู้จักเพลา ๆ งานลงบ้างนะ รู้ไหมว่าขอบตาเริ่มคล้ำอีกแล้วเนี่ย” เกนอิจิโร่กล่าวพร้อมกับเอื้อมสองมือไปโอบใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าเมื่อมองลอดผ่านไปด้านหลังของพี่ชายซึ่งเต็มไปด้วยเอกสารก็พาให้อดเบ้ปากไม่ได้พร้อมต้องดึงมือคนตรงหน้าออก
“ว่าแต่ฉัน นายเองก็ยังไม่ยอมวางงานจนฉันเข้ามาไม่ใช่เหรอ?”
“ฮ่า ๆ แค่งานเอกสารไม่ได้ใช้แรงอะไรเท่าไหร่ เทียบกับนายไม่ได้หรอกน่า” ว่าจบเจ้าของเรือนผมสีขาวนวลก็ดึงโซอิจิโร่เข้าไปกอดเสียดื้อ ๆ ทำเอาเจ้าตัวเลิกคิ้วฉงนแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกจะกอดตอบทั้งที่ไม่เข้าใจ
“เกนอิจิ นายเป็นอะไร...”
“เทียบกับนาย...ไม่ได้จริง ๆ นะ” น้ำเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าที่ซุกตรงไหล่เล็ก มันทำให้ความสงสัยของผู้เป็นน้องเพิ่มเข้าไปอีกจนเริ่มไม่มั่นใจว่าควรเอ่ยอะไรต่อไป ตอนนี้ทำได้เพียงลูบปลอบประโลมอีกฝ่ายเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น บอกฉันสิ”
“ฉัน...แค่โล่งใจที่เห็นนายปลอดภัย” โซอิจิโร่ถึงกับเบิกตาตกตะลึง วินาทีนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าเกนอิจิโร่หมายถึงเรื่องอะไร
“นายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“อื้อ ฉันรู้”
“ได้ยังไง เรื่องนี้เสด็จพ่อไม่น่าปล่อยให้เล็ดลอดออกไปนี่นา” เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดและจ้องนัยน์ตาสีเดียวกันเขม็ง เขาพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ที่ผู้เป็นพ่อจะหละหลวมปล่อยให้มันถูกแพร่ออกไปแต่ก็แทบจะมืดสนิท เขาไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงต่อราชวงศ์เป็นแน่ แล้วทำไมเกนอิจิโร่ถึงรู้...
ทำไมคนที่ไม่อยากทำให้เป็นห่วงมากที่สุดถึงได้มีสีหน้าเศร้าสร้อยแบบนี้กันล่ะ?
“เสด็จพ่อไม่ได้ตรัสอะไร แต่เป็นฉันเองที่ไปคะยั้นคะยอท่าน”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย...”
“เพราะนายไม่ได้กลับมาตามกำหนดการทั้งที่นายชอบยึดตารางเวลาเสมอ พอลองถามองครักษ์คนสนิทของนายพวกเขาก็ไม่มีใครตอบได้ ฉันเลยไปทูลถามเสด็จพ่อด้วยตัวเอง...ทีแรกท่านก็ตอบแค่ว่านายเกิดติดธุระด่วนเลยกลับหลังกำหนดน่ะ” เกนอิจิโร่ตอบเสียงเรียบ
วินาทีนั้นโซอิจิโร่ดันสังเกตเห็นรอยแดงรอบดวงตาเรียวของอีกฝ่าย มือเล็กยกสัมผัสใบหน้าอ่อนโยนเบามือจนแน่ใจว่ารอยนั่นเกิดจากการร้องไห้เป็นเวลานานและหนักหน่วงมาก ๆ ด้วย
“นายร้องไห้!?”
“ช่วยไม่ได้นี่นา ตอนที่ได้ยินว่านายถูกลักพาตัวไป ฉันตกใจมากจนเผลอร้องนิดหน่อย”
“บวมขนาดนี้นี่ไม่เรียกนิดแล้วนะ!”
“เดี๋ยวก็หาย นายนั่นแหละไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” โซอิจิโร่สะอึกเล็กน้อย เขาพยายามเน้นย้ำในใจว่าจะให้ใครรู้เรื่องที่ร่างกายเขารักษารวดเร็วปานเวทมนตร์นั่นไม่ได้เด็ดขาด แม้จะเป็นแฝดพี่ของเขาก็ตาม
“อยู่ครบสามสิบสอง ไม่ต้องห่วง”
“จริง ๆ เลย ยังจะเล่นอีกนะ” เกนอิจิโร่มุ่ยหน้า
“พูดจริงต่างหาก...แต่ไม่คิดเลยนะว่านายจะสงสัยข้ออ้างที่เสด็จพ่อสร้างมาปกปิดด้วย ขนาดคนอื่น ๆ ยังไม่เอะใจเลย” ครั้นได้ยินคำจากน้องชาย จู่ ๆ เรือนผมนุ่มสีดำขลับก็ถูกอีกฝ่ายขยี้อย่างเบามือพร้อมกับรอยยิ้มนุ่มนวลหาใครเทียบ
“ก็พวกเราเป็นแฝดกันนี่ มีเหรอจะไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่คนอื่นสร้างขึ้น”
“ฮ่ะ ๆ ....ขอบใจนะ” โซอิจิโร่เองก็วาดยิ้มให้พี่ชาย เขาได้แต่คิดกลับกันว่าหากเป็นตัวเองก็คงเคลือบแคลงในเรื่องที่แฝดของตนไม่มีวันทำเช่นกัน
.
.
สองแฝดสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่งให้คลายความคิดถึง ก่อนจะเป็นเกนอิจิโร่ที่ระลึกได้ว่าอีกฝ่ายมาหาตนด้วยเรื่องของงาน เจ้าตัวจึงได้รู้ว่าน้องชายกำลังคิดจะปรับเปลี่ยนทหารในความดูแลเสียใหม่ แน่นอนว่าโซอิจิโร่ได้ทำการเหยียบไปหาพวกเขาถึงที่พักและลงมือซักถามเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเองราวสัมภาษณ์คนเข้าทำงาน เพราะมันคือโอกาสดีให้เด็กหนุ่มได้จดจำใบหน้า บุคลิกและนิสัยของแต่ละคนโดยละเอียดซึ่งมันก็อยู่ในสมองของเขาหมดแล้ว ต่อจากนี้หากเกิดความผิดแปลกของคนรอบตัวเขาจะได้รับมือทันการ
“ถ้าเรื่องแค่นั้นก็ไม่จำเป็นต้องมาหาฉันเลยนี่?”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งน่ะ แล้วก็ต้องการความช่วยเหลือจากนายด้วย” เจ้าของเรือนผมสีดำขลับเอ่ยพลางยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้อีกฝ่าย
ในนั้นมีรายละเอียดของการจัดการคัดเลือกองครักษ์อยู่ โซอิจิโร่ได้อธิบายว่าเดิมทีนอกจากทหารองครักษ์ประจำตัวทั้งสามคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด เขาก็ต้องการจะหาเพิ่มอีกสักหนึ่งคนเพื่อให้การคุ้มกันทั่วถึง ยิ่งรวมกับทหารคนอื่นที่เลือกเก็บเอาไว้ก็แทบจะทบเป็นวงกลมได้สามรอบแล้ว
เกนอิจิโร่ที่ได้ฟังจึงเลื่อนสายตาตามตัวอักษรมากมายที่อัดแน่นจนเต็มกระดาษ จะเหลือก็เพียงเส้นบรรทัดด้านท้ายสำหรับลงลายมือชื่อผู้อนุมัติ
“อย่างนี้เอง นายต้องการให้ฉันเซ็นให้ใช่ไหม?” เมื่อเห็นน้องชายพยักหน้าตอบ เกนอิจิโร่ก็ไม่ลังเลจะจรดปากกาและบรรจงเขียนลายเซ็นให้เสร็จสรรพก่อนจะส่งคืนให้อีกฝ่าย
“ขอบใจมากนะ”
“เพื่อความปลอดภัยของน้องชายที่น่ารักฉันทำได้อยู่แล้ว ใช้โอกาสนี้ไปดูงานกับนายเลยดีไหมนะ” เด็กหนุ่มลูบคางครุ่นคิด
“อยากเล่นบทสลับตัวอีกหรือไง?”
“ก็ไม่เลว...ว่าแต่จะจัดการคัดเลือกนี้ยังไงไม่ให้ถึงหูเสด็จพ่อล่ะ?” สุดท้ายปัญหาใหญ่ที่สุดก็ถูกยกขึ้นมาถาม ทว่าโซอิจิโร่กลับไม่แสดงท่าทีกังวลใด ๆ
“ฉันได้ส่งรายละเอียดไปให้ซาโตชิช่วยจัดเตรียมสถานที่แล้ว ถ้าเขาอ่านก็คงได้คำตอบเร็ว ๆ นี้”
“ถ้าเป็นซาโตชิซังล่ะก็คงไม่มีปัญหาหรอก” ยามได้ยินชื่อของคนที่คล้ายกับเป็นเลขาส่วนตัวของโซอิจิโร่ แฝดผู้พี่ก็สบายใจขึ้นมาเพราะเขาเองก็รู้จักชายหนุ่มผู้นั้น และรู้ดีว่าเขาจะยินดีจัดการเรื่องเสี่ยงเช่นนี้ให้แน่นอน
“อื้อ ฉันก็หวังว่างั้น”
“แต่คัดเลือกสุ่ม ๆ แบบนี้จะได้คนที่ถูกใจจริง ๆ น่ะเหรอ สู้นายเจาะจงเลือกมาเลยน่าจะเร็วกว่านะ” ได้ยินคำพูดนั้นพลันทำให้ใบหน้าของนาโอริผุดเข้ามาในหัวของโซอิจิโร่จนต้องถอนใจไล่ความคิดนั้นให้พ้น เพราะเขาจะผิดคำพูดตัวเองไม่ได้ เมื่อตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวก็จะทำให้ถึงที่สุด
ไม่อย่างนั้นเธอจะมีอันตรายได้อีก...
“ไม่มีหรอก ที่ผ่านมาเสด็จพ่อทรงไม่เคยคิดให้ฉันเลือกคนของตัวเองอยู่แล้ว มีไม่กี่คนหรอกที่พอไว้ใจได้น่ะ”
“จะฉัน นายหรือแม้แต่ฮานามิก็ไม่มีโอกาสนั้นหรอก” ครั้นชื่อของผู้เป็นน้องสาวถูกเอ่ยออกมาทำให้เกนอิจิโร่ระลึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“จริงด้วย ฮานะไม่รู้เรื่องที่นายถูกจับตัวไปเพราะงั้นเธอเลยคิดว่านายกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อย่าลืมแวะไปหาน้องบ้างล่ะ บ่นคิดถึงอยู่ตลอดเลย”
“นั่นสิ...งั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ พวกเราไปด้วยกันเลยไหม?”
“ได้สิ” ว่าจบสองแฝดจึงลุกจากเก้าอี้นุ่มและพากันเดินเท้าไปหาน้องสาวคนเล็กด้วยกัน
ทว่าก่อนจะได้ออกจากห้องโซอิจิโร่เป็นต้องจ้องมองเอกสารในมือครู่หนึ่ง เขาพยายามห้ามสมองน่ารำคาญนี่ไม่ให้นึกถึงนาโอริซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากเกนอิจิโร่เจ้าตัวจึงรีบเก็บมันเข้าแฟ้มเอกสารพลันเดินตามอีกฝ่ายไป
.
.
.
ขณะนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น ทางด้านของซาโตชิที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงหน้าโต๊ะทำงานก็ได้รับข้อความของเด็กหนุ่ม ดวงตาคมกริบไล่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะหรี่ตาครุ่นคิดอยู่นาน คำพูดของโซอิจิโร่เมื่อคราวที่อยู่ในรถดังก้องขึ้นมาในหัว
“ที่บอกจะหาทางจัดการเองคือหมายถึงแบบนี้สินะ...” ปลายนิ้วจรดบนแป้นพิมพ์และตอบกลับคำขอของเจ้านายไปในทันที นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นสั่นไหวเล็ก ๆ ราวเกิดความกังวลในจิตใจ
“องครักษ์งั้นเหรอ...”
“ขอให้ทุกอย่างราบรื่นนะพ่ะย่ะค่ะ”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder