จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน

7 Samurai - ตอนที่45 ข้ออ้างเพื่อตัวเอง โดย psrpowder @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

7 Samurai

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี

รายละเอียด

จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน

ผู้แต่ง

psrpowder

เรื่องย่อ

สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)



เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!

ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)

เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ

ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!) 

แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )

 
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา 


==============================================

***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***

แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง 

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

==============================================

ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้ 

ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว



มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย 
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ



 "ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"

"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"



มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย 
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย



"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"

"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"



มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา



"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"

"คุณ...คือใคร?"
 

มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน

 

"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"

"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
 

==============================================


เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;

ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ! 

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)


よろしく、psrpowder 

สารบัญ

7 Samurai-ตอนที่1 การเริ่มต้นใหม่,7 Samurai-ตอนที่2 คู่หู,7 Samurai-ตอนที่3 เก่งกาจ,7 Samurai-ตอนที่4 ลังเล,7 Samurai-ตอนที่5 ทดสอบ,7 Samurai-ตอนที่6 สายสัมพันธ์ใหม่(1),7 Samurai-ตอนที่7 สายสัมพันธ์ใหม่(2),7 Samurai-ตอนที่8 สายสัมพันธ์ใหม่(3),7 Samurai-ตอนที่9 สายสัมพันธ์ใหม่(4),7 Samurai-ตอนที่10 ฝึกมือ,7 Samurai-ตอนที่11 เปิดเผย,7 Samurai-ตอนที่12 ถึงเทศกาลแล้ว!,7 Samurai-ตอนที่13 แข่งคู่ที่สอง,7 Samurai-ตอนที่14 ชิงชนะเลิศ,7 Samurai-ตอนที่15 เซอร์ไพรซ์ต้อนรับ!,7 Samurai-ตอนที่16 นัดที่ไม่ได้นัด(1),7 Samurai-ตอนที่17 นัดที่ไม่ได้นัด(2),7 Samurai-ตอนที่18 นัดที่ไม่ได้นัด(3),7 Samurai-ตอนที่19 ติวหนังสือให้ทีสิ,7 Samurai-ตอนที่20 คอร์สสอนเฉพาะกิจ,7 Samurai-ตอนที่21 ชั่วโมงประวัติศาสตร์,7 Samurai-ตอนที่22 วันสอบที่ผ่านไปด้วยดี,7 Samurai-ตอนที่23 ภารกิจพิเศษ(1),7 Samurai-ตอนที่24 ภารกิจพิเศษ(2),7 Samurai-ตอนที่25 ภารกิจพิเศษ(3),7 Samurai-ตอนที่26 ภารกิจพิเศษ(4),7 Samurai-ตอนที่27 ความล้มเหลวและหนทางแก้ไข,7 Samurai-ตอนที่28 ดุจกำลังใจ,7 Samurai-ตอนที่29 ข่าวร้ายกับแผนการตีกรอบ,7 Samurai-ตอนที่30 เริ่มแผน!,7 Samurai-ตอนที่31 ฝ่าฝืน,7 Samurai-ตอนที่32 ช่วยเหลือ,7 Samurai-ตอนที่33 จิตสังหาร,7 Samurai-ตอนที่34 แลกด้วยชีวิต,7 Samurai-ตอนที่35 คำโกหกเพื่อปลอบโยน,7 Samurai-ตอนที่36 เยี่ยมไข้,7 Samurai-ตอนที่37 เรื่องราวที่อยากเล่า,7 Samurai-ตอนที่38 ความตั้งใจอันแน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่39 ตามรอย,7 Samurai-ตอนที่40 เหตุร้ายที่เกิดไปพร้อมกัน,7 Samurai-ตอนที่41 แผลใจฝังลึก,7 Samurai-ตอนที่42 เรื่องด่วนและเรื่องร้าย,7 Samurai-ตอนที่43 ความคิดที่ไม่ได้บอก,7 Samurai-ตอนที่44 เชื่อใจ,7 Samurai-ตอนที่45 ข้ออ้างเพื่อตัวเอง,7 Samurai-ตอนที่46 แน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่47 ไม่อยากพลาดโอกาส,7 Samurai-ตอนที่48 จิตสำนึกต่อต้าน,7 Samurai-ตอนที่49 ไม่เข้ากัน,7 Samurai-ตอนที่50 ต้นตอของอาการ,7 Samurai-ตอนที่51 นึกสงสัย,7 Samurai-ตอนที่52 คัดเลือก,7 Samurai-ตอนที่53 กลับบ้าน,7 Samurai-ตอนที่54 โลกเสมือน,7 Samurai-ตอนที่55 ผู้ร่วมทาง,7 Samurai-ตอนที่56 ตามรังควาน,7 Samurai-ตอนที่57 ผู้ร่วมทางอีกคน

เนื้อหา

ตอนที่45 ข้ออ้างเพื่อตัวเอง

เข้าสู่วันที่สองของการนอนโรงพยาบาล ซากิซึ่งอุตส่าห์มานอนเป็นเพื่อนบัดนี้ได้บอกลาเพื่อนสาวและเดินทางไปโรงเรียนตามปกติ นาโอริจึงต้องนอนกลิ้งเกลือกอยู่ในห้องอย่างเหงาหงอย กิจวัตรในโรงพยาบาลดำเนินไปเหมือนทุกที แพทย์หนุ่มคนเดิมได้สอบถามอาการของเด็กสาวพลันบอกกับเธอว่าร่างกายเริ่มฟื้นฟูจนใกล้สมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่วันคงสามารถออกจากวังวนน่าเบื่อหน่ายนี่ได้เสียที 

“วันนี้ก็อย่าลืมทานอาหารกับยาให้ครบนะครับ”

“รับทราบค่ะ” นาโอริพยักหน้าตอบ แพทย์หนุ่มที่เห็นเช่นนั้นจึงก้าวเท้าออกจากห้องไป อาหารของวันนี้ยังคงอร่อยและเรียกความอยากอาหารได้ดี ส่วนยาที่ถูกจ่ายเพิ่มเติมก็เป็นตัวช่วยให้เด็กสาวมีกำลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีผลข้างเคียงอะไรหรืออาจเป็นเพราะสาวเจ้าแข็งแรงเกินไปก็เป็นได้

“เบื่อชะมัดเลย...”

“อดทนหน่อย อีกไม่กี่วันก็ได้ออกแล้ว” คำพูดนั้นของคู่หูทำเอาเธอต้องเบ้ปาก

“เฮ้อ ไม่เข้าใจจริง ๆ ฉันว่าร่างกายฉันก็ปกติดีทุกอย่างแล้วนะ พวกหมอจะต้องระวังอะไรขนาดนั้น”

“ก็มันเป็นคำสั่งนี่ ขืนไม่ตั้งใจทำคงโดนเฉ่งกันทั้งโรงพยาบาล” คิ้วเรียวเลิกสูงพลันหันมองอาวุธศักดิ์สิทธิ์

“คำสั่ง?”

“จากเจ้าเด็กฮิบานะไงล่ะ ตอนที่พวกเขาส่งตัวเธอมาที่โรงพยาบาลนี้ นอกจากจะจัดการเรื่องห้องให้แล้วก็สั่งพวกหมอพยาบาลว่าต้องดูแลเธอให้ดีที่สุดน่ะ กำชับเสียจริงจังเชียว”

“หา!? ไม่เห็นมีใครบอกฉันเรื่องนี้เลย....แล้วนายไปรู้ได้ยังไงเนี่ย?”

“ฉันถูกหนีบติดไว้กับเจ้าแว่นตลอด มันก็ต้องได้ยินสิ” นาโอริเผลออ้าปากค้างไปชั่วขณะ เธอรู้มาจากซากิแล้วว่าห้องที่ใช้งานอยู่เป็นห้องสำหรับราชวงศ์และโซอิจิโร่ก็น่าจะเป็นคนจัดการให้ ทว่าเธอไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่เขาเอาใจใส่ตนถึงขนาดกำชับให้ดูแลไม่ขาดตกบกพร่องทั้งที่เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วแท้ ๆ  



นึกไปหัวใจก็พลันฟูฟ่องขึ้นมาและอยากจะเขียนไปหาเขาเสียเดี๋ยวนี้...



“ลองทักไปหน่อยดีกว่า...” ว่าแล้วเจ้าตัวจึงคว้ามือถือคู่ใจออกมาพร้อมเลื่อนหาชื่อของเด็กหนุ่มก่อนจะจรดนิ้วพิมพ์ข้อความไปหาเขา เพราะไม่มั่นใจว่าเขาจะมาอ่านเมื่อใดนาโอริจึงเลือกถามแค่ผิวเผินและรอให้อีกฝ่ายมาต่อบทสนทนาเอง



ครั้นเขียนเสร็จแล้วดวงตากลมโตจึงจดจ่ออยู่ที่หน้าจอกระจกไม่วางหวังว่าคู่สนทนาของเธอจะอ่านในเร็ว ๆ นี้ ระหว่างรอสาวเจ้าก็หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย ท่องเที่ยวโลกโซเชียลมีเดียจนแทบจะหมดเปลือก แม้จะได้จูลิโอ้คอยหาเรื่องคุยเพื่อฆ่าเวลาแต่ก็ดูจะไม่มีวี่แววที่เด็กหนุ่มสูงศักดิ์จะตอบกลับ

“หาว....ง่วงจัง”

“นอนสักหน่อยไหมล่ะ ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

“แต่โซว์ยังไม่ยอมตอบมาเลย....”

“ไว้ค่อยมาดูทีหลังสิ ไม่แน่ว่าพอตื่นแล้วเขาอาจจะตอบกลับมาก็ได้” เด็กสาวเป็นต้องก้มมองโทรศัพท์ในมืออีกคราก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคู่หู

ดูท่าตอนนี้การปล่อยเวลาให้ไหลผ่านคงเป็นทางออกที่เร็วที่สุด ร่างบางเอนตัวลงกับเตียงนุ่มและปล่อยให้มันดูดกลืนสติของเธอให้เลือนรางจนเข้าสู่ห้วงนิทรา นัยน์ตาสีซากุระยังคงสะท้อนภาพข้อความในมือถือแม้จะหรี่ลงอย่างเชื่องช้ากระทั่งปิดสนิท ผ่านไปครู่หนึ่งครั้นแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายหลับจนไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูด อาวุธศักดิ์สิทธิ์จึงลอบถอนใจเหนื่อยหน่ายออกมา

“เฮ้อ ทำแบบนี้จะดีกับทั้งสองฝ่ายแน่เหรอองค์ชายเอ๊ย...”

จูลิโอ้ตระหนักว่าบ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร เขาจึงเลือกที่จะบันดาลสายลมอ่อนโยนให้พัดโชยรอบตัวเด็กสาวราวเกราะป้องกันภัยอันตรายจากรอบด้านจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของอาวุธที่คอยคุ้มกันผู้ใช้หรือความเคยชินแต่ไหนแต่ไรดีล่ะ? ใครจะไปรู้แม้ในสถานพยาบาลเช่นนี้ก็อาจเกิดสิ่งไปคาดคิดได้ทั้งนั้น กันไว้ดีกว่าแก้...

.

.

.

เข็มนาฬิกาเคลื่อนวนไปตามตัวเลข บัดนี้มันอยู่กึ่งกลางระหว่างเลขหนึ่งกับเลขสองบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว โชคดีของนาโอริที่ได้รับการตรวจอาการไปตั้งแต่ช่วงเช้าจึงไม่มีใครเข้ามากวนเธอในห้องอีก จนถึงตอนนี้เธอยังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ แม้แต่เสียงเคาะประตูที่ด้านหน้าก็ยังส่งไปไม่ถึงเจ้าตัว



ก๊อก ๆ 

บุคคลด้านนอกห้องได้รับความเงียบเป็นคำตอบ เสียงเคาะประตูจึงดังอีกครั้งและทุกอย่างก็ยังเงียบสนิทดังเดิมไม่มีแม้แต่เสียงเรียกจากคนข้างนอก สายลมอ่อนรอบกายนาโอริพลันรุนแรงขึ้นเมื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่ละความระแวงลง จนผ่านไปครู่หนึ่งบานประตูได้เปิดออกตามด้วยร่างสูงร่างหนึ่งค่อย ๆ เอี้ยวตัวเข้ามาในห้อง วินาทีที่ใบหน้านั้นโผล่พ้นช่องประตูเขาก็ได้รับการต้อนรับแทบจะทันควัน



ฉวับ!

“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้....ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็มี” เป็นซาโตชิที่เอ่ยอย่างเหนื่อยใจขณะผ่อนแรงผลักประตูให้ปิดเบาที่สุด นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นลอบมองผนังสีขาวด้านข้างซึ่งปรากฏรอยบากราวถูกของมีคมเฉือน หนำซ้ำมันยังห่างจากหน้าของเขาไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ เห็นแล้วก็โล่งใจที่ดวงจิตตรงหน้าเขาคิดใช้มันข่มขวัญเท่านั้นไม่ได้เจตนาให้โดนตัว ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่

“ยังมีธุระอะไรต้องคุยกับนาโอริอีก” เสียงทุ้มเอ่ยเข้าประเด็นโดยไม่สนใจคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่ายทว่าเขากลับได้การส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“เปล่า...ฉันแค่มาเยี่ยม”

“เมื่อวานก็มาไปแล้ว ฉันคิดว่าคนงานยุ่งแบบนายคงไม่จำเป็นต้องเห็นใจตัวปัญหาอย่างพวกเราหรอกนะ หรือว่ากลัวคู่หูฉันจะเอาความลับไปบอกจนต้องตามมาคุมความประพฤติงั้นเรอะ?”

“แค่มาตามอารมณ์น่ะ นายทำหน้าที่ดูแลคู่หูตัวเองต่อไปเถอะ” ซาโตชิเลือกที่จะไม่ตอบมันพร้อมกับวางตระกล้าขนาดเล็กไว้บนโต๊ะรับรอง ในนั้นบรรจุผลไม้หลากสีเอาไว้ก่อนจะกลับมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย ดวงตาคมลอบมองใบหน้าสบายใจไม่รับรู้ถึงการมาของเขานั่นพักหนึ่งและตัดสินใจยกโน้ตบุ๊กพกพาออกมาวางบนตัก เขาจัดแจงเปิดมันพร้อมจรดปลายนิ้วบนแป้นพิมพ์ เสียงแต๊ก ๆ จากการกดแป้นดังเป็นจังหวะให้ฟังเพลินหู ทว่ามันกลับพาให้จูลิโอ้สงสัยในการกระทำของชายหนุ่มเพิ่มไปอีก

“ที่ชินระเขาไม่มีโต๊ะทำงานให้หรือไงเลยต้องมาทำในโรงพยาบาล?”

“เขาเรียกใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่างหาก ยังไงเธอก็ยังไม่ตื่นจะให้ฉันอยู่นิ่ง ๆ เหมือนนายไม่ได้หรอก”

“เหอะ อ้อเหรอ...”

“จะเชื่อแบบไหนก็แล้วแต่ ฉันแค่คิดจะมาเยี่ยมเธอจริง ๆ เพราะเพื่อนร่วมงานฉันเป็นห่วงเธอแต่ดันติดภารกิจ ในฐานะหัวหน้าก็ต้องแสดงความรับผิดชอบให้ถึงที่สุดจนกว่าเด็กคนนี้จะหายดีนั่นแหละ” เอ่ยจบชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงฮึดฮัดจากดวงจิต แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดโต้แย้งต่อซาโตชิก็ไม่คิดจะยื้อมัน สู้ทำงานไปเรื่อย ๆ ยังมีประโยชน์เสียกว่า

.

.

.

ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัดของคนและอาวุธรอบข้าง นาโอริก็ยังสามารถหลับสบายใจได้โดยไม่รู้เรื่องสักนิด ความเงียบพลันปกคลุมห้องผู้ป่วยยาวนานเกือบหนึ่งชั่วโมงและไม่มีใครหรืออะไรยอมเปิดปากทำลายมัน จนกระทั่งหลอดพลังงานของเด็กสาวเริ่มจะเต็มเป้า การรับรู้จึงดันให้หนังตาหนักยกขึ้นอย่างยากลำบาก

“งืม...” ร่างบางพลิกตัวไปด้านตรงข้ามกับหน้าต่างใสที่ส่องแสงแยงตา ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในวิสัยทัศน์แสนเบลอของเธอ มือเรียวยกขึ้นขยี้ดวงตากลมเพื่อให้มันชัดขึ้นและแล้วสาวเจ้าก็ต้องสะดุ้งตัวทันทีที่รับรู้ว่าเบื้องหน้าเธอคืออะไร

“เหวอ! ซาโตชิซัง!?” ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นพลันจ้องใบหน้าเรียบนิ่งนั้นทันควัน อีกฝ่ายก็ละสายตาจากจอกระจกมาจ้องเธอกลับอย่างไม่รู้สึกตระหนกใด ๆ 

“สวัสดี เห็นเธอหลับสบายฉันก็โล่งใจ”

“ค คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย!?” เจ้าของเรือนผมสีซากุระลอบมองตัวเลขบอกเวลาบนโน้ตบุ๊กพลางเอ่ยคำตอบออกมา

“ก็เกือบชั่วโมงได้แล้วล่ะ”

“ตายจริง! ทำไมไม่ปลุกล่ะคะ”

“ฉันไม่แย่ขนาดจะไปปลุกคนป่วยหรอกนะ อีกอย่างคู่หูของเธอดูจะไม่อยากให้ทำแบบนั้นด้วย” นาโอริพลันหันมองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่พูดไม่จาก่อนจะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นอึดอัดแปลก ๆ 

“ก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“อย่าใส่ใจเลย” จูลิโอ้เอ่ยไม่ยี่หระ ทิ้งให้ร่างบางผุดเครื่องหมายคำถามเป็นกองในหัว ไม่ทันไรจึงได้ยินเสียงกุกกักมาจากเบื้องหลัง 

สาวเจ้าพบว่าซาโตชิได้ลุกไปหยิบแอปเปิลสีสวยลูกหนึ่งจากตะกร้าพร้อมนำมันไปล้างจนสะอาด มือหนาเอื้อมหยิบมีดคมและจรดปลายแหลมบนเปลือกสีชมพูจาง ร่างสูงขยุกขยิกทำบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งเขาวางของมีคมลงที่เคาน์เตอร์ครัวและหันกลับมาหานาโอริ นัยน์ตากลมสีซากุระเบิกกว้างเมื่อเห็นชิ้นผลไม้สีสวยวางเรียงบนจานสีขาวดูน่ากิน

            

หนำซ้ำมันยังถูกปลอกเป็นรูปคล้ายกระต่ายอีกต่างหาก จนนาโอริได้แต่กู่ร้องในใจว่า ‘เห็นหน้านิ่งแบบนี้ แต่ทำของได้น่ารักชะมัดเลยวุ้ย!’



“เธอน่าจะหิว เอาไปกินสิ”

“ข ขอบคุณค่ะ...มันน่ารักมากเลย” นาโอริกล่าวขณะใช้ปลายนิ้วจิ้มเจ้ากระต่ายน้อยในจาน

“อะแฮ่ม ไม่ต้องขยายความหรอก กินไปเถอะ” ใบหน้าคมสันปรากฏเลือดฝาดจาง ๆ ให้เห็น สาวเจ้าที่เห็นก็นึกขำในใจพร้อมหยิบแอปเปิลสดเข้าปากทันใด ความหวานหอมและเนื้อที่กรอบกรุบช่วยเติมท้องให้เต็มได้ดีทีเดียว เด็กสาวไม่วายแกล้งยื่นจานให้อีกฝ่ายทว่าเขากลับปฏิเสธเสียงนิ่งพลันไม่ปล่อยให้เธอเอ่ยถามอะไรไปมากกว่านี้ นาโอริจึงลอบยิ้มพร้อมรับประทานมันต่อไป

“จริงสิ...”

ร่างบางรีบคว้ามือถือคู่ใจขึ้นมาเปิดดูเมื่อนึกได้ว่าเธอกำลังรอสิ่งใดอยู่ หน้าจอกระจกแสดงช่องข้อความของเธอซึ่งส่งให้โซอิจิโร่ ช่างน่าเศร้าที่เวลาผ่านไปเท่านี้แล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าคู่สนทนาจะตอบกลับหรือแม้แต่เข้ามาอ่านมันด้วยซ้ำ นาโอริเลยได้มุ่ยหน้าพลางทำคอตกดึงความสนใจของชายหนุ่มให้ละสายตาจากโน้ตบุ๊กมามองเธอ

“ไม่อร่อยเหรอ?”

“ป เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น...” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้โบกมือหย็อย ๆ ก่อนจะเล่าให้คนตรงหน้าฟังเกี่ยวกับข้อความถามไถ่ที่ส่งให้เด็กหนุ่ม

“อย่าน้อยใจไปเลย ท่านทรงกำลังจัดการธุระส่วนพระองค์อยู่คงไม่มีเวลามาตอบแชทหรอก”

“ไม่ได้น้อยใจเสียหน่อย...”

“หน้าเธอมันฟ้องอยู่นะ” คำพูดนั้นทำเอานาโอริสะดุ้งโหยงพลางกุมใบหน้ายู่ของตนเอง 

“ก็แค่คิดว่า....อยากขอบคุณเขาสักหน่อยเท่านั้นเอง”

“เรื่องนั้นให้ฉันไปบอก...”

“ฉันอยากเจอเขาตัวเป็น ๆ มากกว่า...” เด็กสาวบ่นอุบอิบแทรกขึ้นจนซาโตชิต้องขมวดคิ้วเหนื่อยหน่ายกับความเอาแต่ใจเป็นเด็กน้อยของเจ้าหล่อนพลางนึกสงสารความรู้สึกของเด็กคนนี้ที่มีต่อโซอิจิโร่ เพราะเขาได้เห็นท่าทางจากทั้งสองฝั่งและรู้ว่าพวกเขาต่างคิดกันคนละทางเลยก็ว่าได้ คนหนึ่งต้องการเข้าหาส่วนอีกคนก็ตีตัวห่างยังไงก็ไม่มีทางบรรจบกัน ซาโตชิจึงจำใจต้องตัดความหวังของเธอให้ขาดเสียแต่เนิ่น ๆ 

“ฉันว่าเธอล้มเลิก...”



ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปรามนาโอริ สิ่งที่เขาเคยกล่าวกับโซอิจิโร่ในรถหรูคราวนั้นกลับดังก้องขึ้นมาแทรกคำพูดทันใด



“เห็นทีคงจะปั้นให้เข้าสังกัดของฮิบานะได้นะพ่ะย่ะค่ะ เพราะเป็นสมาชิกเจ็ดซามูไรอยู่แล้วด้วย เป็นใบเบิกทางชั้นดีเลย”



“หาทางเจอ....” นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นพลันเบิกกว้างเพราะความคิดที่ผุดเข้ามา ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่จำเป็นต้องทำร้ายความรู้สึกของเด็กสาวตรงหน้าก็ได้



เมื่อคิดเช่นนั้น....



“นาโอริ”

“คะ?” เป็นครั้งแรกที่ถูกอีกฝ่ายเรียกด้วยชื่อจริงชวนให้รู้สึกประหลาดและใจฟูฟ่องอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือสิ่งที่ซาโตชิกำลังจะเอ่ยออกมาต่างหาก

“เธอมีความคิด...อยากเป็นทหารบ้างไหม?” สาวเจ้าเลิกคิ้วสูงและเอียงคอมองอีกฝ่ายทั้งพยายามประมวลประโยคในหัว

“ไม่เคยมาก่อนเลยค่ะ”

“งั้นเหรอ...ถ้าฉันบอกว่ามันเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เธอได้พบท่านโซอิจิโร่ล่ะ?”

“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ชื่อของเด็กหนุ่มกระตุกต่อมความสนใจให้ลุกโชน ร่างบางแทบจะขยับตัวไปใกล้ซาโตชิที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยราวต้องการให้เขาพูดให้กระจ่างชัด และความอยากรู้นั้นก็ได้รับคำตอบทันทีเมื่อซาโตชิยกโน้ตบุ๊กของตนมาวางบนตักเล็ก หน้าจอปรากฏตัวอักษรยาวเหยียดซึ่งในนั้นเป็นรายละเอียดของการรับสมัครคัดเลือกองครักษ์ที่โซอิจิโร่แอบจัดขึ้น

“อีกไม่นานก็จะมีการคัดเลือกองครักษ์จัดขึ้นและถ้าผ่านการคัดเลือกก็จะได้เป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์รัชทายาท”

“นี่คุณจะบอกว่า...”

“ฉันกำลังถามเธอว่าสนใจใช้โอกาสนี้ไปพบท่านโซอิจิโร่ในฐานะองครักษ์ดูไหมยังไงล่ะ” ซาโตชิหันตรงมองหน้าที่ยังคงความตกใจไว้อยู่ ทว่าแววตาที่สั่นระริกนั่นกำลังหล่อเลี้ยงแสงแห่งความสนอกสนใจอย่างไม่ปิดบัง ชายหนุ่มจึงเริ่มพูดต่อเพื่อสนองความต้องการของเธอ

“ฉันอยากให้ท่านโซอิจิโร่ได้คนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ไปอยู่ข้างกาย ไม่อยากให้เขาถูกความทิฐิของพ่อตัวเองทำร้ายไปมากกว่านี้...อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะช่วยเขาได้...และตอนนี้มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเธอได้เช่นกัน”  

“ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ว่าฉันยังเป็นแค่นักเรียนนะคะ จะก้าวกระโดดไปเป็นทหารได้ยังไง?” 

“ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเป็นหนึ่งในสภาเจ็ดซามูไรนะ นั่นแหละคือข้อได้เปรียบระหว่างคนทั่วไปกับพวกเธอ”

“อย่างนี้ก็ได้เหรอ...” ริมฝีปากบางถึงกับเบะออกราวไม่อยากจะเชื่อ

“ได้สิ ก่อนหน้านี้โชว์เองก็เคยโดนทาบทามให้เข้าคัดเลือกครั้งขององค์หญิงเล็กเหมือนกัน แต่เจ้าตัวปฏิเสธน่ะ” นาโอริพลันนึกใบหน้ายิ้มแย้มของรุ่นพี่หนุ่มขึ้นมา แม้จะได้ยินว่าเขาสุดยอดอย่างนั้นอย่างนี้แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นโดนทาบทามไปเป็นทหารเลยทีเดียว ทว่านั่นคือเรื่องของโชโตะที่มีความสามารถเพียบพร้อมต่างหาก

“ฉันจะไปสู้คนที่เป็นทหารจริง ๆ ได้ยังไง ทุกวันนี้ยังยากลำบากเหมือนลงสนามรบอยู่เลย”

“นั่นใช่ความมั่นใจของคนที่เคยประดาบกับผู้ก่อการร้ายมาแล้วงั้นเหรอ?” เด็กสาวย่นคิ้วฉงนใส่ซาโตชิที่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ก่อนจะเห็นเขากอดอกพร้อมทั้งพูดต่อไป

“ทหารบางคนแค่ฝึกตามโปรแกรมการสอนและเข้ามารับหน้าที่เท่านั้น น้อยคนนะที่จะได้ออกไปเจอเหตุการณ์อย่างเธอ เรื่องประสบการณ์ฉันคิดว่าเธอก็ไม่แพ้ใครหรอก”

“ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะคะ...”

“ฉันไม่ได้ให้กำลังใจ แต่อยากให้เธอไตร่ตรองดี ๆ” ท้ายที่สุดร่างสูงจึงดันตัวลุกขึ้นและเริ่มเก็บข้าวของลงกระเป๋าทำให้นาโอริรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมานานเท่าใดแล้ว แต่ไม่ทันไรก็ถูกเสียงนิ่งเรียบดึงความสนใจไปอีกครา

“ฉันแค่เสนอแนวทาง ส่วนจะสมัครหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับเธอ...ยังพอมีเวลาให้ทบทวนอยู่ ถ้าตัดสินใจได้ก็ติดต่อมาหาฉันนะ” นาโอริที่ฟังคำของอีกฝ่ายกลับนิ่งงันไป เธอก้มมองโทรศัพท์ในมือซึ่งยังค้างหน้าข้อความที่ส่งหาโซอิจิโร่เอาไว้ ยิ่งจ้องมองชื่อนั้นหัวใจก็ยิ่งปั่นป่วนจนยากจะจัดการให้สงบ 

ซาโตชิลอบมองสาวเจ้าและเลือกปล่อยให้เธอได้ใช้ความคิดเต็มที่ ร่างสูงตั้งท่าจะเปิดประตูออกไปประจวบกับที่พวกซากิมาถึงหน้าห้องพอดี เมื่อขอตัวออกมาจึงก้าวเท้ายาวไปตามทางเดินก่อนจะโดยสารลิฟต์เหล็กลงไปชั้นล่าง นัยน์ตาสีซากุระวูบไหวเล็ก ๆ 



เขาหวังว่าตนจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้องได้สักครั้งหนึ่ง...



นาโอริจำเป็นต้องปัดความคิดเรื่องรับสมัครองครักษ์ทิ้งไปเมื่อสองเพื่อนสนิทของเธอมาเยี่ยมและได้รู้ว่าพวกเขากำลังจะได้ไปทำภารกิจใหม่ เธอพยายามดื่มด่ำกับความสนุกนี้ให้มากที่สุดก่อนจะต้องกลุ้มใจกับเรื่องชวนปวดหัวเมื่อถึงเวลาอยู่คนเดียว ต่อให้สาวเจ้าจะได้ฟังทฤษฎีที่ชวนตื่นตาตื่นใจอย่างความเกี่ยวข้องเล็ก ๆ ของซาโตชิกับเธอแล้วก็ตาม แต่จู่ ๆ เรื่องของเบาะแสของบิดากลับกลายเป็นเรื่องเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับสิ่งที่คาอยู่ในหัว เพราะจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมาจากเด็กหนุ่มแม้จะเฝ้ารอเท่าใด กระทั่งซากิเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วสาวเจ้ากลับถูกความกังวลใจเหล่านี้ดึงให้ตาสว่างอยู่อย่างนั้น

“คิดมากเหรอ?” จูลิโอ้กระซิบเบาหวิวไม่ให้ใครอีกคนตื่น ก่อนจะได้ยินเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ฮัมเป็นคำตอบพร้อมยกมือถือคู่ใจขึ้นมา หัวใจพลันปั่นป่วนราวโต้แย้งกับตัวเองระหว่างไม่ควรรบกวนคนที่งานล้นมือกับกดดันให้อีกฝ่ายตอบข้อความเธอให้ได้



ทว่าท้ายที่สุดความต้องการของตัวก็แรงกล้ากว่า...



“อ้าก ไม่ไหวแล้ว...” มือเรียวจรดบนแป้นพิมพ์และเริ่มส่งข้อความถี่ยิบหาอีกฝ่าย หนำซ้ำยังต่อสายหาเด็กหนุ่มด้วยความมั่นใจที่ว่าเขาน่าจะยังไม่นอนแน่ ๆ





Rrrrrrrrrrrr



และถูกต้องของเธอ โซอิจิโร่ไม่ใช่คนที่ว่างขนาดจะเข้านอนแต่หัวค่ำและกำลังนั่งมองข้อมูลต่าง ๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ กระทั่งเสียงครืดจากการสั่นของโทรศัพท์ดึงความสนใจจากเขา ดวงตาสีนิลสวยเบิกกว้างริมฝีปากเผลอเม้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นชื่อคู่สนทนาก่อนจะหันขวับมองนาฬิกาใกล้ตัว บวกกับแจ้งเตือนข้อความถี่ยิบนั่น เขารู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคงคาใจเรื่องของเขาจนไม่ยอมหลับนอน

“เอายังดีล่ะเนี่ย...”

สายโทรเข้าไม่มีท่าทีจะหยุดนั่นยิ่งสร้างความลำบากใจไม่น้อย เช่นเดียวกับนาโอริบัดนี้เจ้าของเรือนผมสีดำขลับเองก็กำลังโต้เถียงกับตัวเองในใจระหว่างรับสายกับปล่อยมันไว้อย่างนั้น



จนท้ายที่สุดแล้ว...



ติ๊ด

“ฮ ฮัลโหล” ความใจอ่อนนั้นมีมากกว่า เจ้าตัวได้แต่ก่นด่าตัวเองที่ไม่ยอมเข้มแข็งกับอะไรแบบนี้เสียที ทว่าความคิดนั้นเป็นต้องกระเจิงเมื่อได้ยินเสียงใสของอีกฝ่าย

“โซว์! ในที่สุดก็ยอมรับสายเสียที” เสียงนั้นดูเบากว่าปกติ เขาจึงเดาว่าเป็นเพราะมีใครอยู่กับสาวเจ้าด้วยเป็นแน่

“อ อือ...ขอโทษนะ เรายุ่ง ๆ กับงานน่ะ”

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ แต่มันคาใจจริง ๆ เพราะตั้งแต่ฟื้นมาก็ไม่เห็นนายมาเยี่ยมฉันเลย...”

“เราไปไหนมาไหนบ่อยไม่ได้หรอก ยังมีคนของเสด็จพ่อจับตาดูอยู่...เพื่อไม่ให้มีใครมาลอบทำร้ายอีกน่ะ” นาโอริส่งเสียงฮัมเป็นคำตอบและเงียบหายไปครู่หนึ่งจนอีกฝ่ายสงสัย

“นาโอริ?..”

“ขอบคุณนะโซว์” คำพูดนั้นทำเอาร่างเล็กชะงักไปจนเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ทั้งเรื่องห้อง เรื่องค่ารักษาแล้วก็เรื่องที่ช่วยฉันออกมาด้วย” แม้จะเป็นคำขอบคุณอันจริงใจและบริสุทธิ์ ทว่ามันกลับดึงภาพใบหน้าซีดเผือดของนาโอริให้ผุดในความคิดอีกครา โซอิจิโร่จึงต้องเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกปวดตุบในอกนี่เอาไว้

“เราสิที่ต้องขอบคุณเธอ ไม่งั้นคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้”

“ฉันยินดีที่จะทำนะ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันด้วยแหละ แหะ ๆ” เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าปลายสายกำลังแย้มยิ้มให้เขา ใจนึกอยากจะเชยชมแต่หัวใจดันบีบรัดทุกครั้งที่พยายามละเลยความรู้สึกผิดของตนเอง



เขาไม่สมควรได้เห็นมันด้วยซ้ำ...



“จริงสิ นายเป็นยังไงบ้าง เรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ทำให้นายกลัวหรือเก็บเป็นแผลใจใช่ไหม? ระบายกับฉันได้นะ...”  

“ไม่เป็นไร เราไม่ได้รับผลกระทบอะไรหรอก”

“ถ้างั้นก็ดีไป ฉันจะได้ไม่เป็นห่วง” น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นยิ่งตอกย้ำความทรมานในอกเพิ่มเป็นเท่าตัว คงถึงเวลาแล้วที่จะปิดกั้นความหนักอึ้งนี้เสียที 



ทั้งหมดนั้นเพื่อเธอหรือตัวเขาเอง ใครจะไปรู้ได้?



“นาโอริ” เสียงฮัมจากปลายสายเป็นดั่งสัญญาณให้โซอิจิโร่สูดหายใจลึกและเอ่ยสิ่งที่ตนคิดออกไป

“พวกเรา...อย่าติดต่อหากันอีกเลยจะดีกว่านะ”



จู่ ๆ ความเงียบชวนกดดันก็เข้าปกคลุมทั้งสองฟากฝั่ง มันกำลังบีบรัดพวกเขาทั้งสองให้จนมุมในความรู้สึกอันหนักหน่วงนี้ ก่อนจะเป็นนาโอริที่ตัดสินใจโพล่งออกมา

“ทำไมล่ะ ทำไมต้องพูดอะไรแบบนั้นด้วย”

“เธอรู้สิ่งที่เราเป็นแล้วก็น่าจะเข้าใจว่าถ้าขืนยังข้องเกี่ยวกันจะมีแต่วุ่นวาย...เธออาจจะโดนพวกคนร้ายที่ยังเหลือรอดตามทำร้ายไปด้วย”

“แต่พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ถ้ามีเรื่องโดนลอบทำร้ายอีกฉันก็ไม่ยอมอยู่เฉยหรอก เพราะงั้นไม่เห็นจะต้องเลิกติดต่อ...”

“ไม่ นาโอริ.....”

“ห๊ะ...” เด็กสาวเผลอกลั้นหายใจให้กับคำตอบกลับกะทันหันนั่น ความเงียบชั่วอึดใจช่างทรมานทำเอาจะขาดอากาศหายใจเข้าจริง ๆ 



ทว่าสิ่งที่ได้ยินต่อจากนั้น...มันกลับบีบรัดหัวใจจนแทบแหลกสลายแทน



“เราไม่เคย...คิดว่าเธอเป็นเพื่อน...เลยสักครั้ง” เขากล่าวมันออกไปด้วยเสียงเครือ มือนั้นจิกเข้าหากันแน่นจนเป็นรอยแดงและไม่ว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับเช่นไรเขาก็พร้อมจะรับมัน เพราะเขาได้เลือกแล้ว

“เธอมันก็แค่....คนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น ช่วยอย่าเอาชีวิตตัวเองมาทำให้เราลำบากใจอีกเลย”



เลือกที่จะให้นาโอริเจ็บปวดด้วยคำพูดเขาตอนนี้ ดีกว่าต้องเจ็บปวดเพราะตัวตนสูงส่งของเขา...



“นายมัน...แย่ที่สุด”

บางทีคำว่า แย่ อาจจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ โซอิจิโร่ได้แต่หลับตายอมรับความปวดร้าวจากเสียงของเด็กสาวที่เริ่มปะปนกับเสียงสะอื้นไห้ ทุกครั้งที่เสียงนั้นเล็ดลอดผ่านปลายสายก็เปรียบดั่งคมมีดทิ่มแทงหัวใจนับครั้งไม่ถ้วน ความจริงใจที่น้อยครั้งจะได้รับจากใครสักคน แต่เขากลับพยายามผลักไสมันเพียงเพราะต้องการปกป้องอีกฝ่าย หรือแท้จริงมันอาจกำลังปกป้องตัวเขาเองก็เป็นได้ 

“เราขอโทษ...”

“ฉันไม่รับคำขอโทษ!” โซอิจิโร่พลันผงะพร้อมด้วยนัยน์ตาสีนิลที่เบิกกว้างทันควัน ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเค้นน้ำเสียงสั่นเครือ

“นายปิดบังอะไรฉันใช่ไหม!? บอกความจริงฉันสิ....พูดมาสิ!”

“ทุกอย่างที่เราพูดคือความจริง...เราไม่อยากเจอเธออีกแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกันอีก” 

หัวใจที่คล้ายจะแตกสลายแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตาอาบแก้มเด็กสาว ทั้งที่เด็กหนุ่มไม่ได้ด่าทอ ไม่ได้ต่อว่าเธอ แต่มันกลับทรมานเสียยิ่งกว่าและได้แต่ภาวนาไม่ให้เจ้าตัวเอ่ยมันออกมาอีก



ภาวนาไม่ให้มันคือความจริงจากหัวใจของเขา



“ฉันไม่เชื่อ พูดออกมาเดี๋...”

“เราต้องกลับไปทำงานแล้ว...ขอให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ นาโอริ”

“ซ โซว์!?”



ตี๊ด

ปลายสายถูกตัดไปเหลือทิ้งไว้เพียงความอ้างว้างแก่คนทั้งสอง

“ฮึก...”



เช่นเดียวกับสายใยบางเฉียบที่ขาดสะบั้นและหัวใจที่กลวงเปล่า...



to be continue….

======================================

มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ

ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3



つづく、psrpowder