จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ซึ่งประกายระยับ หมู่เมฆพลันปกคลุมจนไม่อาจยลโฉมดวงจันทร์ราวกับตอบรับความขุ่นมัวในหัวใจของเด็กสาวในห้องผู้ป่วยสีขาวนวล
“ฮึก...”
บัดนี้ร่างบางกำลังนั่งคุดคู้อยู่หน้าบานประตูกอดสองขาและซุกใบหน้าในความมืด ในอ้อมแขนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกกอดไว้แน่น เนื้อตัวนั้นสั่นเทิ้มจากการสะอื้นไห้เช่นเดียวกับหยาดน้ำอุ่นที่หลั่งไหลจากดวงตาบอบช้ำ เธอใช้ความพยายามเต็มที่ไม่ให้เพื่อนสาวของตนได้ยิน แต่มันกลับยากเหลือเกิน
“ไอ้เด็กบ้า” นาโอริพึมพำด้วยเสียงอู้อี้ ริมฝีปากเม้มแน่นจนสั่นระริกเพราะความรู้สึกหลายด้านโต้แย้งกันอยู่ในใจ ทั้งโกรธ เสียใจ ผิดหวังและน้อยใจ มันผสมปนเปกันเสียจนไม่รู้ว่าควรต้องทำเช่นไร
แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงปล่อยน้ำตาให้ร่วงหล่นเท่านั้น...
“อย่าร้องเลยน่า ถึงเจ้าเด็กนั่นจะไม่แคร์ แต่ยังไงเธอก็มีฉันอยู่นะ” จูลิโอ้เอ่ยเสียงเบาหวิว
“อื้อ...” เสียงฮัมอันอ่อนแรงนั่นกลับพาให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่านาโอริกำลังเศร้าโศกยิ่งกว่าครั้งไหน หยาดน้ำอุ่นซึ่งร่วงลงกระทบกับใบมีดที่โผล่พ้นห่อผ้ามานั้นเป็นหลักฐานชั้นดี ความไม่เข้าใจจึงบังเกิดกับดวงจิต เขาใช้เวลากับเด็กสาวมาร่วมหลายเดือนแต่ไม่ยักจะเคยเห็นเธออ่อนแอถึงเพียงนี้ ขนาดครั้งก่อนที่สาวเจ้าร่ำไห้คิดถึงผู้เป็นแม่ก็ยังสัมผัสถึงความบอบช้ำไม่ได้เท่านี้ด้วยซ้ำ
“ฉันไม่เข้าใจเลย....ทำไมเธอถึงต้องเสียน้ำตาให้กับเขาด้วย?” เสียงทุ้มได้เรียกความสนใจจากร่างบางให้ก้มมอง นาโอริพยายามคิดตามสิ่งที่คู่หูพูด ทว่าเธอกลับไม่พบคำตอบของมัน....
“ฉันไม่รู้...แต่พอคิดว่าสิ่งที่โซว์พูดทั้งหมดคือการไล่ฉันไปห่าง ๆ ...มันก็ทรมานมากเลย”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะ...เฮ้อ ฉันก็ไม่รู้ต้องพูดยังไง...แต่มันเหมือนพอรู้ว่าสิ่งที่ฉันกับโซว์คิดมันไม่เหมือนกัน...ก็เลยเสียใจ” ครั้นได้ยินเสียงเครือร่ายยาวออกมาพร้อมกับหยาดน้ำที่ร่วงหล่นบนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งย้ำเข้ามาให้สัมผัสทำให้จูลิโอ้เป็นต้องถอนใจ
เพราะเขาชักจะทนสัมผัสเศร้าสร้อยจากน้ำตาที่ซึมผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว
“เธอคาดหวังกับเด็กนั่นมากเกินไป บางที...ความสัมพันธ์เพื่อนแบบผิวเผินนี้ควรจะจบตั้งแต่รู้สถานะของเขาแล้วก็ได้ เพราะมันจะดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า”
“นายก็จะพูดว่าฉันกำลังทำให้โซว์ที่เป็นองค์ชายลำบากใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย....แต่สิ่งที่ฉันพูดคือความคิดที่องค์ชายคนนั้นพูดให้ได้ยินต่างหาก” นัยน์ตารื้นด้วยหยาดน้ำต้องกะพริบหลายทีให้มองเห็นดาบในมือชัดขึ้น คิ้วเรียวนั้นเลิกสูงอย่างไม่เข้าใจและรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“มันอาจจะไม่ดีกับเจ้าเด็กฮิบานะไปบ้าง แต่ฟังนะ...ทุกอย่างที่เจ้าตัวพูดผ่านโทรศัพท์น่ะมันโกหกทั้งเพ”
“หมายความว่ายังไง...”
“ในวันแรกที่พวกเขาพาเธอมาส่งโรงพยาบาล ฉันมีโอกาสได้คุยกับองค์ชายนิดหน่อย...”
เรื่องเมื่อครั้งที่โซอิจิโร่ตัดสินใจจะตัดขาดกับนาโอริได้ถูกเล่าให้ฟังแทบทั้งหมด ทั้งความคิดที่ไม่ต้องการให้ใครต้องเป็นอันตรายหรือแม้แต่น้ำเสียงเจ็บปวดยามเอ่ยว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเด็กสาวอีก แม้กระทั่งสัมผัสของเด็กหนุ่มครั้นถือดาบไว้ในมือก็บ่งบอกได้ชัดเจนเช่นกัน
“เขาทำไปเพื่อไม่ให้เธอต้องเจออันตรายจากการยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์จริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะไม่เคยเห็นเธอเป็นเพื่อนหรืออะไรแบบนั้นหรอก” จูลิโอ้เอ่ยก่อนจะได้ยินคู่หูพึมพำตอบกลับมา
“ความจริง...ฉันก็รู้สึกว่าเขากำลังฝืนอยู่นะ...แต่ทำไมต้องพูดอะไรแรง ๆ ด้วย ทั้งที่ฉันไม่ได้กลัวด้วยซ้ำว่าจะต้องเจออันตรายอะไรบ้าง ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กที่ไม่รู้ความเสี่ยงของราชวงศ์งั้นแหละ” นัยน์ตาสีซากุระหรี่ลงพลางหวนนึกถึงน้ำเสียงสั่นเครือของอีกฝ่าย นั่นไม่มีทางเป็นเสียงของคนที่ต้องการจะตัดขาดบางสิ่งอย่างเด็ดเดี่ยวและหากเป็นอย่างที่คู่หูเล่ามาแปลว่าโซอิจิโร่เองก็คงบอบช้ำไม่ต่างกัน
แม้จะเล็กน้อยก็ตามแต่สาวเจ้ายังคงหวังให้ตนเองคิดถูก
“ไม่แน่ว่าสำหรับคนในราชวงศ์เองมันอาจจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด แต่ฉันก็ไม่ชอบหรอกไอ้การทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ แล้วสุดท้ายเจ้าตัวก็เจ็บไปด้วยเนี่ย เหอะเด็กสมัยนี้!” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงฮึดฮัดมาพร้อมกับสายลมที่ก่อตัวแรงขึ้นจนในห้องเริ่มจะหนาวกว่าเก่า
“ไม่ต้องตอกย้ำเลย ฮึก...”
“ใครตอกย้ำ? ฉันแค่บ่นเฉย ๆ หรอก อีกอย่างตอนนี้เธอก็รู้ความจริงของเรื่องนี้แล้ว แทนที่จะร้องไห้ต่อสู้หาทางไปเคลียร์กันให้รู้เรื่องไม่ดีกว่าเหรอไง?”
“แต่เขาเล่นตัดสายแบบนั้น...อาจจะสายเกินแก้แล้วก็ได้...ฮือ คิดอะไรไม่ออกเลย” เด็กสาวเช็ดน้ำตาป้อย ๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นอีกคราก่อนจะซุกหน้ากับอ้อมแขนตนเองตามเดิม
“ถ้าตอนนี้หัวมันตื้อจนคิดอะไรไม่ออก งั้นก็นอน” จูลิโอ้เอ่ยเสียงห้วนแต่กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธพลางบ่นอุบอิบเป็นเด็กว่าคงนอนไม่หลับหรอก ไม่ก็ไม่มีแรงจะลุกไปนอนที่เตียงแล้ว
ทว่าเวลากลับไม่คอยใครเพราะสาวเจ้าดันปล่อยโฮมาเกือบจะชั่วโมงได้ ขืนนั่งจุ้มปุ๊กอยู่นานกว่านี้คงไม่ดีต่อสุขภาพของเธอ อาวุธศักดิ์สิทธิ์เลยจำเป็นต้องใช้ไม้ตายเพื่อไล่ให้เธอกลับไปนอนและเลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที มิเช่นนั้นคนที่นอนข้าง ๆ อาจตื่นมาเจอกับดวงตาบวมเป่งของเพื่อนจนเกิดคำถามที่ยากจะตอบ นาโอริยังพยายามดื้อดึงไม่ยอมลุกจากหน้าประตูแต่แล้วก็ถูกสายลมแรงก่อตัวผลักให้เด็กสาวออกห่างจากประตูจนเธอแทบจะหน้าคะมำ
ท้ายที่สุดร่างบางก็จำใจกลับขึ้นไปบนเตียงพลันข่มตาให้หลับ ดวงตาร้อนผ่าวกับจมูกที่หายใจติดขัดจากการร้องไห้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้านิทรายิ่งนัก แม้จะได้อากาศเย็นชื่นบรรเทาความขุ่นมัวทว่าเจ้าตัวก็ยังสลัดเรื่องที่เพิ่งเกิดออกจากหัวไม่ได้ง่าย ๆ ดวงตาสีซากุระสั่นไหวขณะทอดมองท้องฟ้าครึ้มนอกหน้าต่างและนึกเป็นห่วงใครอีกคนซึ่งอาจกำลังเป็นเหมือนท้องฟ้านี้
เขาจะร้องไห้...เหมือนกันกับเธอหรือเปล่านะ?
“ฉัน...ควรทำยังไง” เสียงอู้อี้เลือนหายไปพร้อมกับภาพที่เริ่มมืดลงอย่างเชื่องช้า
บัดนี้นาโอริได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด เหลือเพียงดาบคาตานะสีน้ำเงินสวยให้คอยเฝ้ามองใบหน้าบอบช้ำจากการร้องไห้ของคู่หูต่อไป
“ไม่ต้องทำอะไรหรอก นาโอริ....เพราะมีคนยื่นทางออกให้กับเธอตั้งแต่แรกแล้วไงล่ะ พอตื่นขึ้นมา...เธอก็จะนึกถึงมันเอง” เสียงทุ้มนั้นอ่อนโยนราวปุยนุ่น หากเจ้าตัวมีแขนขาคงใช้มันลูบเรือนผมอีกฝ่ายและปลอบโยนเธอแน่นอน
“ฝันดีนะ คู่หูของฉัน”
.
.
.
ความหวังของจูลิโอ้เป็นความจริงหรือไม่หามีใครรู้ แต่นาโอริก็สามารถฝ่ามรสุมในจิตใจ ก้าวข้ามคืนแสนหนักอึ้งไปและลืมตารับแสงเจิดจ้าของวันใหม่สำเร็จ
วันนี้เป็นวันที่ซากิจะต้องไปปฏิบัติภารกิจระยะยาวกับสมาชิกคนอื่น ๆ สองเพื่อนสาวจึงกอดกันกลมพลันพูดคุยกันเล็กน้อย มีหลายครั้งที่ซากิเกือบจะสังเกตเห็นรอยแดงรอบดวงตาของเพื่อนสาว นาโอริจึงอ้างโน่นนี่ไปเรื่อยจนสามารถรอดจากการสงสัยมาได้ แม้จะถูกอาวุธศักดิ์สิทธิ์กระซิบย้ำว่า “เตือนแล้วแต่ไม่ฟังเอง” ก็ตาม สาวเจ้าก็ได้แต่เป่าปากโล่งอกเพราะไม่อยากให้เด็กสาวผมสั้นต้องกังวลก่อนเดินทางไกล
“ไว้เจอกันนะ นาโอะจัง”
“จ้า” เด็กสาวโบกมือส่งเพื่อนสาวและรอจนอีกฝ่ายปิดประตูสนิท เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วนาโอริจึงเอนตัวลงกับเตียงนุ่มพลันขยี้ตาให้ตื่นตัว
“ไม่นอนต่อเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ย นาโอริรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะยามมองไปนอกหน้าต่างใสก็เห็นจะมีแต่ความมืดสลัว ๆ บ่งบอกถึงเวลาตีห้าเกือบหกโมงมาต้อนรับเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะซากิขยับตัวลุกบวกกับอาการหลับไม่สนิทของตัวเอง เธอคงไม่นั่งขอบตาคล้ำผสมบวมแดงอยู่เช่นนี้
การกลับไปนอนต่อจึงไม่ใช่ทางเลือกและเด็กสาวก็ไม่รู้จะทำอะไร ความคิดฟุ้งซ่านเลยพวยพุ่งในหัวทำให้นึกไปถึงเรื่องของโซอิจิโร่จนหัวใจรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมา จะเรียกว่าหงุดหงิดก็ไม่ผิดนักเพราะเขากำลังทำเรื่องที่คล้ายกับตอนเอาตัวมาปกป้องเธอจากคนร้ายไม่มีผิด ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่การเอาตัวเข้าแลกแต่ก็พยายามจะแยกตัวให้ห่างออกไปอีกแล้ว
“เพื่อไม่ให้เรามีอันตรายงั้นเหรอ...เชอะ!”
ทำไมต้องชอบคิดเองเออเองด้วยนะ!?
“เราขอโทษ...”
ทว่าครั้นนึกถึงน้ำเสียงสั่นเครือที่พยายามเข้มแข็งนั่นไฟโกรธในใจก็แทบจะมอดดับทันที คงเหลือไว้แค่ความสับสนและต้องการคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ยามนี้เธอกลับไม่กล้าจะพิมพ์หาเขา
“ขออีกครั้งเดียวก็ได้...แค่คุยกันให้รู้เรื่อง...” นาโอริพึมพำพร้อมกับความหวังเล็กจ้อย โทรศัพท์ในมือถูกปัดไปจนเจอชื่อของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสีซากุระวูบไหวราวลุ้นตัวโก่งพลันรวบรวมความกล้ากดปุ่มสีเขียวบนหน้าจอทันใด
Rrrrrrrrrr…..ติ๊ด
หนึ่งนาทียังไม่ทันผ่านไปการเชื่อมต่อก็พลันถูกตัดแทบจะทันที ทำเอาสาวเจ้าเม้มริมฝีปากแน่นพยายามกดความรู้สึกร้อนผ่าวรอบดวงตาไว้และคิดจะกดปุ่มโทรอีกรอบหนึ่ง ทว่าเสียงทุ้มจากคู่หูพลันรั้งไว้เสียก่อน
“นาโอริ ตามตื๊อตอนนี้มีแต่จะทำให้แย่นะ รอใจเย็นกว่านี้ค่อยติดต่อดีกว่า”
“แต่...ขืนปล่อยนานกว่านี้ก็เท่ากับฉันยอมทำตามคำของโซว์น่ะสิ!”
“เธอไม่ได้จะปล่อยมันไปตลอดนี่ ฉันหมายความว่ารอสักระยะหนึ่งให้เขาพร้อมจะคุยก่อนต่างหาก” จูลิโอ้เอ่ยเสียงเรียบพาให้นาโอริต้องมุ่ยหน้าไม่สบอารมณ์และก้มมองมือทั้งสองข้างของตน แม้ไม่มีรอยแผลแต่ความปวดระบมจากการกำดาบเป็นเวลานานยังคงอยู่
“ทั้งที่ผ่านเรื่องเสี่ยงชีวิตมาด้วยกัน...แล้วทำไมถึงมาทิ้งกันง่าย ๆ ล่ะ ตาบ้า”
นาโอริขมวดคิ้วเป็นปม พยายามครุ่นคิดหาสาเหตุที่เด็กหนุ่มต้องการกีดกันเธอออกจากอันตรายนักหนา ทั้งที่เหตุการณ์ในปราสาทร้างเท่าที่สาวเจ้าจำได้มันก็ราบรื่นดีไม่ใช่เหรอ ถึงเธอจะจำไม่ได้ว่าสลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็เถอะหรือเพราะบุ่มบ่ามฝ่าดงศัตรูเข้าไปเพื่อช่วยเขา โซอิจิโร่เลยไม่สบายใจจนต้องกีดกันตัวเธอออกห่างจากตัวเองกันแน่
แต่มันจะใช่เรื่องแค่นั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?
“หรือจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เราสลบ...” ว่าแล้วร่างบางจึงพลิกตัวไปทางอาวุธศักดิ์สิทธิ์พลางจ้องเขม็ง
“มองฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“ตอนนั้นนายก็น่าจะอยู่ด้วย...บอกมาเสียดี ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ฉันสลบไปน่ะ” จูลิโอ้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบแก่เธอ
“ฉัน...ไม่รู้”
“นายจะไม่รู้ได้ยังไง ก่อนหน้านี้นายบอกว่าซาโตชิซังหนีบนายติดตัวไว้ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่ แต่ตอนอยู่ที่ปราสาทฉันก็จำอะไรไม่ได้เหมือนกัน...รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในมือเจ้าเด็กฮิบานะแล้วก็....อ้อ” จู่ ๆ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ร้องออกมาตามด้วยส่งเสียงหัวเราะในลำคอจนนาโอริต้องขมวดคิ้วคาดคั้นเขา
“หัวเราะแบบนี้ นึกอะไรออกเหรอ!?”
“หึ เธอไม่อยากรู้หรอก” นาโอริแทบจะเบ้ปากทันทีที่ได้ยิน คิ้วเรียวพลันกระตุกเล็ก ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้หลงทางในปริศนาคนเดียวแต่ต่อให้คะยั้นคะยอเท่าใดคู่หูของเธอก็ไม่ยอมปริปากสักนิด ต่อมความอยากรู้อยากเห็นพลันเพิ่มเป็นเท่าตัวจนมือเรียวต้องคว้าดาบเล่มสวยมาเขย่าไปมาทั้งที่มันไม่ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ
“อึ๋ย มันต้องเป็นเรื่องน่าอายอะไรสักอย่างแน่เลย...หรือว่าฉันดันไปละเมอพูดอะไรใส่โซว์จนเขางอนงั้นเหรอ!?”
“ฉันว่ามันอาจจะแย่กว่านั้นก็ได้นะ” ดวงตาสีซากุระหรี่ลงแทบจะหยี๋พลางทำท่าครุ่นคิดอย่างยากลำบากผิดกับคู่หูซึ่งสัมผัสได้ถึงความสนุกแปลก ๆ ยามมองดูอีกฝ่ายกระวนกระวาย แต่ต่อให้ตายอีกรอบยังไงจูลิโอ้ก็ไม่มีทางเล่าให้นาโอริฟังเป็นอันขาดว่าองค์ชายคนนั้นช่วยชีวิตเธอด้วยวิธีใดและทางไหน
“เหอะ ให้เจ้าตัวมาเล่าสิ เรื่องอะไรฉันต้องบอกด้วย” เขาพึมพำเบาหวิวไม่ให้ถึงหูเด็กสาวและคงไม่น่าได้ยินเพราะเสียงเจ้าตัวก็ดังพอจะกลบมันสบาย ๆ
.
.
.
ความสงสัยถูกปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นเมื่ออาหารเช้าประจำวันถูกนำมาวาง แน่นอนว่ามันยังช่วยให้นาโอริเจริญอาหารได้ดีตามเคย ผ่านไปไม่นานนายแพทย์คนเดิมจึงเปิดประตูเข้ามาและเริ่มตรวจร่างกายประจำวันตามปกติ ร่างกายของเธอแข็งแรงขึ้นมากและไม่มีอาการวิงเวียนหรืออื่นใด ชายวัยกลางคนจึงเห็นสมควรว่าถึงเวลาให้เธอกลับบ้านได้เสียที
“สามารถกลับได้บ่ายนี้เลยเหรอคะ?”
“ใช่ครับเพราะร่างกายของหนูฟื้นฟูในระดับที่ดีมากแล้ว ต่อจากนี้แค่อย่าโหมร่างกายจนหนัก แต่ยังสามารถฝึกดาบได้เหมือนปกติ”
“ขอบคุณนะคะ ส่วนเรื่องค่ายา...”
“ไม่ต้องห่วงครับ คุณผู้ดูแลของหนูจัดการให้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะ” เขาวาดยิ้มให้พลางโบกมือหย็อย ๆ
ใบหน้าคมสันของซาโตชิผุดเข้ามาในความคิด ไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่ที่นายแพทย์คนนี้จะเรียกเขาว่าผู้ดูแล ก็เล่นมาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนแทบจะทั้งวันเสียขนาดนั้น แต่ก่อนจะได้นึกขำอะไรเธอกลับถูกเสียงของแพทย์หนุ่มเรียกเสียก่อน
“ทางผมได้แจ้งไปที่ชินระแล้วว่าหนูจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ช่วงบ่าย ๆ คงจะมีคนมารับหนูกลับนะ”
“ข ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ” วินาทีนั้นคำว่า ชินระ พลันสะกิดใจเด็กสาวให้เบิกตากว้างและหวนนึกถึงน้ำเสียงเข้มของอีกฝ่ายเมื่อวันก่อนที่พูดเกี่ยวกับการสมัครคัดเลือกองครักษ์
“เธอมีความคิดอยากเป็นทหารบ้างไหม?”
“ถ้าฉันบอกว่ามันเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เธอได้พบท่านโซอิจิโร่ล่ะ?”
ครั้นนายแพทย์หนุ่มก้มโค้งน้อย ๆ เป็นมารยาทและหายออกไปจากห้องผู้ป่วย นาโอริที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวพร้อมกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็พลันดึงเรื่องที่ค้างคาไว้กลับมาคิดหนักอีกครั้ง แต่ครานี้เจ้าตัวกลับมีสีหน้าครุ่นคิดชัดเจนจนจูลิโอ้ต้องทัก
“จู่ ๆ เป็นอะไรน่ะ?”
“ฉันว่าจะตอบรับคำชวนของซาโตชิซัง!” เด็กสาวหันไปโพล่งใส่จูลิโอ้ทันควัน เขาเลือกจะฮัมเป็นคำตอบอย่างไม่ตกตะลึงนัก เพราะเขาเองก็รอให้สาวเจ้านึกถึงมันด้วยตัวเองอยู่ยังไงล่ะ
“ก็ถ้าจะหาทางไหนที่เข้าใกล้องค์ชายได้มากที่สุด การคัดเลือกองครักษ์คงเป็นคำตอบเดียวอย่างที่เจ้าแว่นนั่นบอกแหละนะ...แต่เธอแน่ใจนะว่าอยากจะผันตัวไปเป็นทหาร มันต่างกับเจ้าหน้าที่ชินระที่เธอจะไม่ได้มีอิสระไปไหนมาไหนบ่อย ๆ แถมเรื่องเรียนก็อาจจะลำบากขึ้นด้วย”
“ฉันรู้...แต่ถ้านั่นเป็นทางเดียวที่จะได้เคลียร์กับโซว์ซึ่ง ๆ หน้า ฉันก็ยอม” นาโอริยกกำปั้นแน่วแน่ให้เห็น แต่แล้วมันก็ถูกชะงักเมื่อได้ยินคำจากคู่หู
“อีกอย่าง...เธอจะบอกแม่เธอยังไง?” ดวงตากลมเบิกกว้าง ความคิดทั้งหมดพลันแตกกระจุยกระจาย
นาโอริลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท แค่ตอนนี้เธอก็แทบจะเป็นลูกอกตัญญูที่หลอกลวงผู้เป็นแม่อยู่แล้ว ไม่ต้องถามถึงการคิดจะปกปิดเรื่องสมัครคัดเลือกนี้เลย...
“เรื่องนั้น....ไว้ค่อยบอกหลังจากผ่านการคัดเลือกไปแล้วก็ได้” สาวเจ้าเอ่ยตะกุกตะกักพลางมุ่ยหน้าบูดบึ้ง
“พูดจริงเหรอ แค่นี้ยังมีชนักปักหลังไม่พอหรือไง?”
“แต่ถ้าบอกก่อนแม่ต้องไม่ยอมแน่ แล้วจะให้ฉันทำยังไง” จูลิโอ้พลันเงียบไปเพราะตัวเองก็เห็นด้วยกับคำแย้งของคู่หู ทว่ามันกลับสองจิตสองใจระหว่างไม่อยากเห็นเด็กสาวผิดหวังและไม่อยากให้เธอต้องโกหกใครอีก แต่อาวุธอย่างเขาจะไปตัดสินอะไรได้ สุดท้ายหากผู้ใช้เลือกจะหยิบเขาไปเข้าสนามรบก็ต้องทำอยู่ดี ทันใดนั้นเสียงเรียบจากนาโอริจึงดังขึ้นเรียกความสนใจไป
“ไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็จะบอกแม่...แต่ขอให้ฉันได้ลองทำมันก่อน ไม่งั้นคงเสียใจไปตลอดชีวิต” คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงความแน่วแน่ไว้จนเต็ม ทำเอาจูลิโอ้ต้องถอนใจออกมา
“เอาไงก็เอากัน”
“ขอบคุณนะคู่หู!” เด็กสาวยิ้มร่าพร้อมเอ่ยเสียงสดใสขึ้นทันตา บัดนี้มือเรียวได้ถืออาวุธคู่กายขึ้นมาและชี้ปลายดาบหันออกนอกหน้าต่างใสปล่อยให้แสงแดดยามเช้าสะท้อนเนื้อเหล็กจนแวววาว
“คอยดูเถอะโซว์....”
“ถ้านายคิดจะกีดกันฉันแค่เพราะต้องการปกป้องไม่ให้เจออันตรายจริง ๆ ล่ะก็...” นัยน์ตาสีซากุระสะท้อนภาพท้องฟ้าครามชัดเจนไม่สั่นไหว เช่นเดียวกับมือที่กำด้ามดาบแน่น
“งั้นฉันจะไปเสี่ยงเจออันตรายด้วยกันกับนายในฐานะองครักษ์...และเป็นฝ่ายปกป้องนายแทนไงล่ะ คราวนี้นายหนีฉันไม่พ้นแน่!”
ราวกล่าวคำปฏิญาณหัวใจของเด็กสาวเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น โทรศัพท์ถูกคว้าขึ้นมาและจรดนิ้วพิมพ์ไปหาซาโตชิในทันใด ข้อความส่งไปไวเหมือนโกหกเช่นเดียวกับคู่สนทนาที่เปิดอ่านมันเร็วกว่าแสง
.
.
ขณะนี้ ณ ตึกสูงตระหง่านใจกลางเมืองหลวงเจ้าของเรือนผมสีซากุระเข้ากับดวงตาคมกำลังวาดยิ้มน้อย ๆ เมื่อเลื่อนอ่านคำตอบจากเด็กสาว มือหนาดันกรอบแว่นให้เข้าที่ก่อนจะพิมพ์กลับไปหาอีกฝ่ายเพื่อรับทราบคำของเธอ
ซาโตชิ
‘รับทราบ เดี๋ยวฉันจะจัดการลงชื่อให้เธอแล้วกัน’
‘ฉันดีใจที่เธอตัดสินใจแบบนี้นะ มันจะส่งผลดีต่อเธอแน่ ๆ’
นาโอริ
‘ซาโตชิซังคะ คือฉันรบกวนให้ไม่ต้องบอกองค์ชายได้ไหมคะ?’
‘ก็ได้อยู่หรอก ว่าแต่ทำไมล่ะ?’
‘พอดีอยากเก็บไว้เซอร์ไพรส์น่ะค่ะ กลัวว่าถ้าเขารู้จะหลบหน้าฉันอีก ^^’
‘ได้สิ แต่ถ้าอยากจะเจอพระองค์ก็ต้องผ่านให้ถึงรอบคัดเลือกสุดท้ายนะ เพราะจะมีการทดสอบพิเศษที่องค์ชายจะมาทอดพระเนตรด้วยตัวเอง’
‘ฉันจะพยายามค่ะ! ขอบคุณอีกครั้งนะคะ :>’
ดวงตาสีซากุระคมกริบจ้องมองหน้าจอกระจกพักหนึ่งพลางทำความเข้าใจจุดประสงค์ของนาโอริ เขาคาดเดาว่าเจ้าตัวคงหาทางติดต่อโซอิจิโร่จนได้และไม่ได้รับคำตอบที่พอใจจนสุดท้ายก็ต้องเลือกวิธีนี้ ซาโตชิไม่แปลกใจเท่าใดนักที่เด็กสาวจะขอให้เขาปิดเป็นความลับ เพราะหากเป็นเขาเองก็คงไม่อยากเสียโอกาสทองแบบนี้ไปหรอก ถึงมันจะขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้าหล่อนเองที่ต้องฝ่าแบบทดสอบไปให้ถึงรอบสุดท้ายก็ตาม
“เฮ้อ วัยรุ่นสมัยนี้มีเรื่องให้วุ่นใจกันแบบนี้สินะ”
“พูดอะไรที่ทำให้ตัวเองดูแก่ขนาดนั้นล่ะครับ?” ร่างสูงสะดุ้งตัวพร้อมกับเงยหน้ามองผู้มาใหม่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของเขา
“จิซากิ...มาไม่ให้สุ้มให้เสียงอีกแล้วนะ”
“ผมเคาะแล้วนะครับ คุณต่างหากที่มัวคิดอะไรเพลิน ๆ”
“ก็นิดหน่อยน่ะ...ว่าแต่มีความคืบหน้าบ้างไหม?” ใบหน้าเหนื่อยหน่ายแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ไม่นานเจ้าหน้าที่หน่วยเงาจึงวางแฟ้มแผ่นบางลงบนโต๊ะและเลื่อนส่งให้อีกฝ่าย ซาโตชิรับมันมาพร้อมเปิดดูด้านในเป็นภาพของเศษชิ้นส่วนเหล็กหลายขนาดและรูปแบบ รวมถึงภาพของอาวุธแต่ละชนิดไม่ซ้ำกัน
“นี่คือภาพของอาวุธที่ทหารรับจ้างใช้และชิ้นส่วนระเบิดที่เก็บกู้ได้จากที่เกิดเหตุ คาดว่าต้องใช้เวลาสักพักในการตรวจสอบแหล่งจำหน่ายอาวุธกับระเบิดครับ”
“อื้อ ดีมาก...เหลือแค่รอให้จับตัวทหารรับจ้างที่หนีไปกลับมา ตามกำหนดเรย์กะน่าจะติดต่อมาอย่างช้าก็วันพรุ่งนี้”
“นอกจากคนร้าย ผมหวังว่าทางนั้นจะเจอเจ้าหน้าที่ที่หายตัวไปนะครับ” คิ้วหนาของซาโตชิขมวดเป็นปมทันใดก่อนจะถอนใจเบาหวิว
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น”
เมื่อหมดธุระต้องรายงานแก่หัวหน้าแล้ว เจ้าของเรือนผมสีขาวหิมะจึงขอตัวไปจัดการงานต่อ หลังจากได้รับอนุญาตจากซาโตชิร่างสูงก็พลันหายวับไปแทบจะในพริบตา แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หายวับไปกับตาจริง ๆ แต่เพราะการเคลื่อนตัวที่รวดเร็วเป็นนิสัยของหน่วยเงาจนเหมือนสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนก็ได้นั้น ทำให้เขาไม่เคยชินกับมันสักที
ก๊อก ๆ
ไม่ทันจะได้เอนหลังกับพนักเก้าอี้ ชายหนุ่มเป็นต้องเลิกคิ้วฉงนเมื่อได้ยินเสียงเคาะจากประตูกระจกทึบอีกครั้ง...
“เข้ามาสิ” ทีแรกเขาคิดว่าเป็นจิซากิที่กลับมาเพราะเรื่องบางอย่าง ทว่าเมื่อบานกระจกถูกเปิดออกความสงสัยก็มลายหายไปทันที
“มาแล้วเหรอ ขอโทษที่ต้องเรียกมาเวลานี้นะแต่คิดว่าถ้าฉันไปรับคนเดียวเธอคงจะอึดอัดเอาเปล่า ๆ สู้มีคนรู้จักอยู่ด้วยคงจะดีกว่า” ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น นัยน์ตาสีเทาใต้กรอบแว่นเหลี่ยมจึงหรี่ลงจนแทบสนิทรับกับรอยยิ้มเบิกบาน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ว่างอยู่ด้วย”
“อ่า ฉันก็จัดการงานเสร็จพอดี พวกเรารีบไปกันเถอะ” ร่างสูงเอ่ยพลางดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้และตั้งท่าจะเดินไป
“ครับผม” ว่าจบเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีฟ้าครามจึงหันขวับพร้อมเดินตามอีกฝ่ายออกไปติด ๆ เขาหัวเราะกับตัวเองครั้นนึกถึงสีหน้าของเพื่อนสาวที่กำลังจะไปเจอในอีกไม่ช้า
“ชิสึจิซังจะตกใจไหมนะ....”
“ถ้าเห็นว่าเราเป็นคนไปรับเธอกลับบ้านน่ะ หุ ๆ”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder