ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู

7 Samurai - ตอนที่47 ไม่อยากพลาดโอกาส โดย psrpowder @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

7 Samurai

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี

รายละเอียด

7 Samurai โดย psrpowder  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู

ผู้แต่ง

psrpowder

เรื่องย่อ


นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น. 


และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.


จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>


**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**


ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ! 


ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!

ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3

*** ที่ : mebmarket ครับโผม! *** 



เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ

หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย


กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^


================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================


เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)


เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)

ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)

แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)


***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น 

ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***


.


.

ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ

เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา 


(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )



====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======


***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***


แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง 


โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


==============================================


ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา  


เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้


ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….


===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====


ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี

เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!


“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”


ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ


“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”


.

.

.


“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”




よろしく、psrpowder


สารบัญ

7 Samurai-ตอนที่1 การเริ่มต้นใหม่,7 Samurai-ตอนที่2 คู่หู,7 Samurai-ตอนที่3 เก่งกาจ,7 Samurai-ตอนที่4 ลังเล,7 Samurai-ตอนที่5 ทดสอบ,7 Samurai-ตอนที่6 สายสัมพันธ์ใหม่(1),7 Samurai-ตอนที่7 สายสัมพันธ์ใหม่(2),7 Samurai-ตอนที่8 สายสัมพันธ์ใหม่(3),7 Samurai-ตอนที่9 สายสัมพันธ์ใหม่(4),7 Samurai-ตอนที่10 ฝึกมือ,7 Samurai-ตอนที่11 เปิดเผย,7 Samurai-ตอนที่12 ถึงเทศกาลแล้ว!,7 Samurai-ตอนที่13 แข่งคู่ที่สอง,7 Samurai-ตอนที่14 ชิงชนะเลิศ,7 Samurai-ตอนที่15 เซอร์ไพรซ์ต้อนรับ!,7 Samurai-ตอนที่16 นัดที่ไม่ได้นัด(1),7 Samurai-ตอนที่17 นัดที่ไม่ได้นัด(2),7 Samurai-ตอนที่18 นัดที่ไม่ได้นัด(3),7 Samurai-ตอนที่19 ติวหนังสือให้ทีสิ,7 Samurai-ตอนที่20 คอร์สสอนเฉพาะกิจ,7 Samurai-ตอนที่21 ชั่วโมงประวัติศาสตร์,7 Samurai-ตอนที่22 วันสอบที่ผ่านไปด้วยดี,7 Samurai-ตอนที่23 ภารกิจพิเศษ(1),7 Samurai-ตอนที่24 ภารกิจพิเศษ(2),7 Samurai-ตอนที่25 ภารกิจพิเศษ(3),7 Samurai-ตอนที่26 ภารกิจพิเศษ(4),7 Samurai-ตอนที่27 ความล้มเหลวและหนทางแก้ไข,7 Samurai-ตอนที่28 ดุจกำลังใจ,7 Samurai-ตอนที่29 ข่าวร้ายกับแผนการตีกรอบ,7 Samurai-ตอนที่30 เริ่มแผน!,7 Samurai-ตอนที่31 ฝ่าฝืน,7 Samurai-ตอนที่32 ช่วยเหลือ,7 Samurai-ตอนที่33 จิตสังหาร,7 Samurai-ตอนที่34 แลกด้วยชีวิต,7 Samurai-ตอนที่35 คำโกหกเพื่อปลอบโยน,7 Samurai-ตอนที่36 เยี่ยมไข้,7 Samurai-ตอนที่37 เรื่องราวที่อยากเล่า,7 Samurai-ตอนที่38 ความตั้งใจอันแน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่39 ตามรอย,7 Samurai-ตอนที่40 เหตุร้ายที่เกิดไปพร้อมกัน,7 Samurai-ตอนที่41 แผลใจฝังลึก,7 Samurai-ตอนที่42 เรื่องด่วนและเรื่องร้าย,7 Samurai-ตอนที่43 ความคิดที่ไม่ได้บอก,7 Samurai-ตอนที่44 เชื่อใจ,7 Samurai-ตอนที่45 ข้ออ้างเพื่อตัวเอง,7 Samurai-ตอนที่46 แน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่47 ไม่อยากพลาดโอกาส,7 Samurai-ตอนที่48 จิตสำนึกต่อต้าน,7 Samurai-ตอนที่49 ไม่เข้ากัน,7 Samurai-ตอนที่50 ต้นตอของอาการ,7 Samurai-ตอนที่51 นึกสงสัย,7 Samurai-ตอนที่52 คัดเลือก,7 Samurai-ตอนที่53 กลับบ้าน,7 Samurai-ตอนที่54 โลกเสมือน,7 Samurai-ตอนที่55 ผู้ร่วมทาง,7 Samurai-ตอนที่56 ตามรังควาน,7 Samurai-ตอนที่57 ผู้ร่วมทางอีกคน,7 Samurai-ตอนที่58 เหนือธารร้อนระอุ,7 Samurai-ตอนที่59 ปล่อยไว้ไม่ได้,7 Samurai-ตอนที่60 อย่าได้เหลียวแล,7 Samurai-ตอนที่61 ปรับความเข้าใจ,7 Samurai-ตอนที่62 บอกความจริง,7 Samurai-ตอนที่63 ความรู้สึกของแม่,7 Samurai-ตอนที่64 อารมณ์อ่อนไหว,7 Samurai-ตอนที่65 ก้าวแรกสู่ทางใหม่

เนื้อหา

ตอนที่47 ไม่อยากพลาดโอกาส

ณ โรงพยาบาลใหญ่ไม่ไกลจากอาณาเขตฮิบานะ บัดนี้เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กำลังเหม่อมองวิวสูงนอกหน้าต่างเพื่อฆ่าเวลาเพราะอีกไม่นานก็จะมีคนมารับเธอออกจากที่แห่งนี้แล้ว

ทว่ามันกลับช่างยาวนานกว่าครั้งไหน ๆ จนแหล่งฆ่าเวลาในมือถือคู่ใจพลันทำสาวเจ้าเบื่อเต็มทน แต่เข็มบอกเวลาก็ยังเขยื้อนไปไม่ถึงไหน จะให้กลับไปลองติดต่อโซว์อีกเธอก็รู้ว่าคงไร้ประโยชน์ นาโอริที่ไม่มีอะไรให้ทำจึงได้แต่เหม่อมองก้อนเมฆฟูฟ่องนอกหน้าต่างและดูการเปลี่ยนรูปของมัน

“อย่าทำหน้าเบื่อโลกงั้นสิ เธอกำลังจะได้กลับบ้านนะ” เสียงทุ้มดังมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ดึงให้ต้องละสายตามอง

“ก็มันเบื่อนี่นา แถมยังง่วงหน่อย ๆ ด้วย แต่กลัวหลับยาวแล้วตื่นไม่ทันซาโตชิซังมารับอีก”

“ให้ฉันปลุกให้ไหมล่ะ?”

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวนายดันฉันตกเตียง” นาโอริเอ่ยพลางนึกถึงครั้งที่ถูกคู่หูใช้สายลมดันตัวเธอจนร่วงไปนอนกับพื้นทำเอาปวดหลังไปหลายวัน ต่อให้เจ้าตัวยินดีทำให้แค่ไหนก็คงเข็ดแล้วล่ะ

“ตามใจ งั้นก็นั่งมองฟ้าต่อไปเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ได้เห็นวิวสูงขนาดนี้แล้ว” 

“คงงั้น...”

.

.

.

เข็มนาฬิกาสั้นและยาวเขยิบตัวไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเข็มวินาทีซึ่งพาดผ่านตัวเลขทั่วทั้งหน้าปัดนับครั้งไม่ถ้วน ขณะนี้เป็นเวลาใกล้จะบ่ายสอง แม้เพิ่งผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงแต่สำหรับนาโอริมันราวกับใกล้จะข้ามวันเสียให้ได้ เธอพลันหวนนึกถึงคำพูดของแพทย์หนุ่มว่าเขาอนุญาตให้กลับได้ในช่วงบ่าย...



แล้วบ่ายที่ว่านี่คือเมื่อใดกัน? อีกสองหรือสามชั่วโมง? 



ใจหนึ่งสาวเจ้าก็อยากกดแป้นพิมพ์ทักหาซาโตชิอยู่เนือง ๆ หากแต่เขาไม่ใช่คนสนิทของเธอที่จะเขียนหาโดยไม่มีความจำเป็นแค่เจ้าตัวอาสามารับก็เกรงใจพอแล้ว



ก๊อก ๆ 

เสียงเคาะสามครั้งเป็นดั่งเสียงสวรรค์ ร่างบางพลันดีดตัวลุกและรีบหย่อนตัวลงจากเตียงพร้อมกับเดินไปเปิดประตูและพบกับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีซากุระคนเดิมยืนอยู่ เด็กสาวรีบก้มโค้งทักทายเขาพร้อมรอยยิ้มร่างเริง

“สวัสดีค่ะ ซาโตชิซัง” เขาเองก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ

“ขอโทษที่มาช้านะ พอดีต้องเตรียมของอะไรนิดหน่อย” 

“ไม่เป็นไรค่ะ...ว่าแต่ของอะไรเหรอคะ?” นาโอริเลิกคิ้วเอียงคอสงสัยขณะที่หลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง ทว่าขณะเดียวกับที่มือเรียวออกแรงผลักประตู จู่ ๆ มันก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างระหว่างช่องว่างประตูก่อนจะตามมาด้วยเสียงโอดโอยจากน้ำเสียงที่คุ้นเคย

“โอ๊ย ไม่คิดจะรอให้ผมเข้าไปก่อนเหรอ ใจร้ายจัง”

“ย ยูซึกะ!?” 

“ใช่ครับ ไคโตะสุดหล่อคนนี้เอง!” เด็กหนุ่มยิ้มร่าจนตาหยี๋พลางชูสองนิ้วลอดผ่านช่องประตูที่หนีบแขนเขาอยู่ เมื่อเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ตระหนักได้ว่าเธอกำลังจะหนีบแขนเพื่อนตัวเองขาดอยู่รอมร่อจึงรีบกระชากประตูให้เปิดกว้างทันใด ไคโตะเองก็ให้ความร่วมมือดันตัวเข้ามายืนในห้องได้สำเร็จและไม่วายสัมผัสท่อนแขนตนเองแกล้งว่าเจ็บให้เห็น

“นายเจ็บมากไหม!? ขอโทษนะ ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นตามมาด้วย”

“เจ็บสิ เจ็บมากด้วย เธอเล่นปิดแรงขนาดนั้นแขนผมคงหักแล้วมั้ง” 

“จ จริงเหรอ งั้นไหน ๆ ก็อยู่โรงพยาบาลต้องรีบไปเรียกพวกหมอ....” เม็ดเหงื่อผุดข้างขมับของใบหน้าสวย ด้วยความกระวนกระวายสาวเจ้าจึงตั้งท่าจะวิ่งออกไปนอกห้องจริง ๆ แต่ก็ได้ซาโตชิซึ่งมองเหตุการณ์อยู่นานช่วยเคาะสติให้หลุดจากการแกล้งเล่นนี่

“เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้พวกเธอเนี่ย”

“ต แต่ว่าแขนเขา”

“อย่าไปบ้าจี้ตามสิ เพื่อนเธอดูเหมือนคนแขนหักขนาดนั้นเลยหรือไง เมื่อกี้ยังชูสองนิ้วอยู่หยก ๆ” นาโอริเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าซึ่งบัดนี้กำลังเบือนหน้าไปทางอื่นราวกลบเกลื่อน คิ้วเรียวกระตุกหมั่นไส้เมื่อตกผลึกว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งตนเองและราวกรรมตามสนอง เด็กสาวจึงเอื้อมจับแขนซ้ายของเขาพอดีกับจุดที่ถูกหนีบเล่นเอาเจ้าหนุ่มแว่นสะดุ้งโหยง

“อ โอ๊ย มันเจ็บนะครับ”

“สมน้ำหน้า แบร่!” สาวเจ้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับไปด้านในห้องทิ้งให้เพื่อนหนุ่มหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว



ซาโตชิได้แต่ถอนใจเหนื่อยหน่ายกับการกระทำตรงหน้าพลันเร่งให้นาโอริรับชุดที่เขาฝากไคโตะให้นำมาด้วยไปเปลี่ยนให้เสร็จเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เสียเวลา มันเป็นชุดที่เธอนำมาเก็บไว้ที่หอพักและใช้ใส่บ่อย ๆ เด็กสาวได้แต่สงสัยว่าเหตุใดเพื่อนหนุ่มถึงสามารถหาชุดของเธอมาให้ได้....



คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดใช่ไหม!?



“หา!? ใช่ที่ไหนล่ะครับ โฮชิซังเป็นคนฝากไว้ต่างหาก”

“ซากิเหรอ? แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลวันไหน”

“เห็นบอกว่าเผื่อไว้ก่อน เพราะจากที่มาเยี่ยมเธอก็คิดว่าอีกไม่นานน่ากลับบ้านได้น่ะ” ไคโตะกล่าวพลางทำหน้ามุ่ยน้อยใจและไม่วายแกล้งเชิดหน้าหนี

“สุดยอด สมกับเป็นซากิ!” 

“เอาเถอะ อย่างน้อยก็โชคดีที่โฮชิซังคิดการไว้ล่วงหน้า ไม่งั้นผมคงได้แอบเข้าไปจริง ๆ” เจ้าหนุ่มแว่นลูบคางพลันยกยิ้มกริ่ม ทำเอานาโอริเบ้หน้าทันควัน

“อึ๋ย...ฉันฟ้องโมโมเสะแน่”

“ไม่งั้นเธอก็ไม่มีเสื้อใส่กลับนะ” เจ้าของเรือนผมสีฟ้าครามเอ่ยเสียงกวนบาทาจนนาโอริแทบอยากจะจิ้มสองนิ้วเข้าลูกตานั่นสักที เดิมที่อีกฝ่ายก็ชอบหยอกเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอฮินาวะไม่อยู่กลับรู้สึกว่ามันหนักกว่าเดิมเยอะเลยเนี่ย!



ครั้นหยอกล้อกันไปมาจนเริ่มจะลากยาว ผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวจึงส่งเสียงไล่ให้ร่างบางรีบเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดเสียที ก่อนที่จะเย็นไปมากกว่านี้และตามด้วยการจราจรที่ติดเป็นหางเว่า ไม่นานเด็กสาวก็ออกมาในชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางผ้าสีครีมดูสบาย นอกจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้วนาโอริไม่มีของสำคัญอื่น ๆ ให้นำกลับเพราะเจ้าตัวไม่ได้พกอะไรไปตั้งแต่แรก ตอนนี้เธอจึงแทบจะเดินกลับตัวเปล่าได้ด้วยซ้ำ



“รับไปสิ ฉันเอามาให้

นาโอริเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นชายหนุ่มยื่นบางสิ่งมาให้ นัยน์ตากลมสีซากุระเบิกกว้างพลันสะท้อนภาพของปลอกดาบคาตานะสีน้ำเงินเข้ม ด้านบนถูกผูกด้วยเชือกซาเกโอะ*สีขาวหรือเชือกสำหรับผูกเข้ากับโอบิผูกเอวของผู้ใช้ดาบ ถึงยุคสมัยของนาโอริจะเปลี่ยนไปใช้เข็มขัดแบบพิเศษแทนแต่เจ้าเชือกนี่ก็ยังนับเป็นของตกแต่งชั้นดีหรือเครื่องรางก็ว่าได้

“คุณให้ฉันเหรอคะ!”

“ถือเป็นของขวัญออกจากโรงพยาบาลน่ะ อีกอย่างฉันจะให้เธอถือดาบโล้น ๆ ไปมาในนี้ก็คงไม่ได้ด้วย”

“แหะ ๆ ก็จริง...” เด็กสาวหัวเราะแห้งพร้อมกับรับปลอกดาบสีสวยมาและนำจูลิโอ้ใส่เข้าไป หัวใจนั้นลิงโลดด้วยความดีใจยามจ้องมองคู่หู ยิ่งสวมเข้ากับปลอกแล้วยิ่งทำให้รู้สึกเข้าใกล้ความเป็นนักดาบขึ้นอีกขั้น!



ขณะสาวเจ้ากำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับของขวัญชิ้นใหม่ ซาโตชิจึงปล่อยให้เด็กสาวได้เชยชมมันและเดินไปยังเคาน์เตอร์กลางของชั้นเพื่อจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล ระหว่างนั้นนาโอริก็ไม่วายจ้องมองดาบในมือด้วยแววตาระยิบระยับยิ่งกว่าเด็กน้อยราวกับไม่เชื่อสายตาและทุกอย่างนี้เป็นเพียงความฝัน ท่าทางนั้นทำเอาเพื่อนหนุ่มอดขำออกมาไม่ได้จนสาวเจ้าต้องหันมอง ดวงตาสีเทาจึงหรี่ลงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยตอบอีกฝ่าย

“ขอโทษที ผมไม่คิดว่าเธอจะตื่นเต้นขนาดนี้”

“ได้ยังไงล่ะ นี่มันเป็นความฝันของฉันเลยนะ มันต้องมองให้ชื่นใจหน่อย”

“อย่างนั้นเหรอ....ผมไม่เห็นตื่นเต้นเท่าเธอเลยตอนที่ได้มา”

“แหม แต่ละคนก็มีความชอบที่.....เดี๋ยวนะ!” ร่างบางชะงักพลันจ้องเขม็งไปยังดาบคาตานะสีม่วงตัดขาวที่เอวของอีกฝ่ายก่อนจะมองมันสลับกับใบหน้าฉงนของไคโตะจนแทบมึนหัว ไม่ทันไรเจ้าหนุ่มแว่นก็ต้องผงะเมื่อถูกคนตัวเล็กพุ่งมายืนประชิดตัว

“นายปลดผนึกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?”

“เอ่อ ก็สองสามวันก่อนนี่แหละ....ตอนมาเยี่ยมวันแรกเธอไม่เห็นเหรอ?” นาโอริส่ายหน้าแรงไปมาเป็นคำตอบทำเอาไคโตะแทบหลุดหัวเราะออกมาและกลั้นมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง

“ข ขำอะไรยะ?”

“รีแอคของเธอมันตลกมาก ผมอดไม่ได้จริง ๆ” ร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบากพลางเบือนหน้าหนีพยายามไม่กระตุกต่อมหมั่นไส้ของอีกฝ่าย แต่เหมือนจะไม่ทันการเพราะจู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ถูกมือเรียวจับแขนทั้งสองข้างพลันเขย่าไปมาจนตัวโยก สุดท้ายเจ้าตัวจึงเป็นฝ่ายแพ้และต้องหากำแพงเป็นที่ยึดเกาะจากอาการมึนหัว

“โอ๊ย...ยอมแล้วครับ”

“หึ สมน้ำหน้า!....ว่าแต่นายจะบอกได้หรือยังว่าไปทำอีท่าไหนถึงปลดผนึกดาบได้น่ะ” นาโอริเอ่ยพลางกลับมาช่วยพยุงร่างสูงให้ทรงตัวได้

“เธออาจจะผิดหวังนะ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

“หมายความว่าจู่ ๆ ก็ปลดงั้นเหรอ?”

“อืม...ก็ไม่เชิง ตอนนั้นผมแค่กำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาบอยู่น่ะ” ดวงตาสีเทาใต้กรอบแว่นหรี่ลงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในวันที่เขานั่งอ่านหนังสือในหอพักตามปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติกระทั่งเขาพยายามทำความเข้าใจหนึ่งในทฤษฎีซึ่งปรากฏในหนังสือ ไป ๆ มา ๆ แสงจ้าก็วูบวาบเข้าห่อหุ้มอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนจนตาพร่ามัว รู้ตัวอีกทีก็ปลดผนึกมันได้เสียแล้ว 

“น นายกอดดาบไว้ตอนอ่านหนังสือด้วยเหรอ?”

“อ้อ นิสัยส่วนตัวน่ะครับ เป็นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฮ่า ๆ” นาโอริย่นคิ้วประหลาดใจราวไม่อยากจะเชื่อนัก เพราะถึงเธอที่ชอบถือจูลิโอ้ไปไหนมาไหนแต่ก็ไม่ถึงกับกอดติดตัวขนาดคนตรงหน้า 

สาวเจ้าปล่อยเรื่องส่วนตัวไว้เท่านั้นและกลับมาสนใจการปลดผนึกแสนเรียบง่ายนี่แทน นาโอริขมวดคิ้วครุ่นคิดเอาเป็นเอาตายทว่ากลับได้คำตอบเพียงว่าเพื่อนหนุ่มฝึกฝนดาบจนเชี่ยวชาญและดาบก็ดันปลดผนึกพอดีกับที่เขาอ่านหนังสืออยู่



แต่กรณีแบบนั้นมันมีด้วยงั้นเหรอ?



“ไม่ใช่หรอก เพราะอ่านหนังสือต่างหากถึงปลดผนึกได้” เป็นเสียงของซาโตชิที่เสร็จธุระจากที่เคาน์เตอร์พยาบาลและได้ยินบทสนทนาของทั้งสองพอดี แต่เครื่องหมายคำถามยังผุดบนใบหน้าของเด็กสาวไม่หายเขาจึงเอ่ยต่อ

“เงื่อนไขการปลดผนึกคือต้องขัดเกลาประสาทสัมผัสทั้งห้าให้เข้ากับดาบ พวกเธอที่ฝึกดาบอยู่ทุกวันเท่ากับว่าได้ไปสี่ด้าน เหลืออีกด้านหนึ่งก็คือความคิด”

“หมายถึงการรับรู้เหรอคะ?”

“เรียกว่าประมวลผลดีกว่า” เจ้าของเรือนผมสีซากุระเว้นจังหวะครู่หนึ่งพลางหันมองไคโตะ

“นายบอกว่าตัวเองกอดดาบเอาไว้ขณะอ่านหนังสือสินะ”

“ครับ”

“เราอาจจะไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งที่เราสัมผัสดาบ จิตของเรากับดาบก็จะเชื่อมกันในระดับหนึ่งโดยอัตโนมัติ ตอนที่นายกำลังคิดเกี่ยวกับทฤษฎีดาบก็เท่ากับว่ากำลังฝึกดาบรูปแบบหนึ่งจนบรรลุเงื่อนไขไงล่ะ” เด็กทั้งสองร้องอ๋อเป็นเสียงเดียวกันให้กับความรู้ใหม่นี้ แต่นาโอริดูจะสนใจมันเป็นพิเศษกว่าใครเลยล่ะ

“สุดยอดไปเลย! ถ้ารู้ว่าทำแบบนั้นได้คงลองทำไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นต้องสู้ให้เหนื่อยเลย”

“มีประสบการณ์ติดตัวน่ะดีแล้ว เวลาลงสนามจริงผลที่ออกมามันจะต่างกันนะ”

“ล้อเล่นน่ะค่ะ บ่นตอนนี้ไปก็ไม่ทันแล้ว...ว่าแต่ทำไมซาโตชิซังถึงรู้เรื่องนี้เหรอคะ?” เด็กสาวจ้องไปยังนัยน์ตาสีเดียวกันอย่างตั้งตารอคำตอบ ซาโตชิเป็นต้องหลบสายตาเป็นประกายนั่นพลางลังเลพักหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ใจอ่อนยอมตอบกลับไป

“เพราะฉัน...ก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ” ใบหน้าคมสันแต้มสีชมพูจาง ๆ ขณะยกมือมาลูบต้นคอแก้เก้อ 

“พ พวกคนอัจฉริยะ...” นาโอริถึงกับเบ้ปากใส่สองหนุ่ม ได้แต่คิดว่าพวกคนใส่แว่นเนี่ยเป็นพวกหัวดีกันหมดเลยงั้นสินะ

“หึ แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากสัมผัสปณิธานอันแรงกล้าของคนที่มีความพยายามมากกว่า...เพราะอะไรที่ได้มาง่าย ๆ มันกลับเหมือนไม่มีค่าให้จดจำสักเท่าไหร่...” นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นพลันหลุบต่ำให้เห็น พาให้นาโอริเผลอไผลจ้องมองเขาไม่วาง จู่ ๆ หัวใจก็บีบรัดเมื่อรับรู้ได้ว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้กำลังมองพื้นเรียบตรงหน้า แต่เป็นที่อันแสนไกลโพ้นที่เธอไม่รู้จักและไม่อาจสัมผัสได้...

“เอ่อ ซาโตชิซัง?” เจ้าของชื่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขารีบกระแอมปรับบรรยากาศรอบตัวก่อนจะเดินหนีจากตรงนั้นและเรียกเด็กทั้งสองให้ตามเขาไป พวกเธอจึงได้แต่มองหน้ากันพลันก้าวเท้ายาวตามอีกฝ่ายไปติด ๆ 



ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วบนปุ่มเดินเครื่องยนต์พร้อมกับพาผู้โดยสารของเขาออกตัวจากโรงพยาบาลทันที ปลายทางนั้นคือโรงเรียนชิบุนางิที่ไม่ได้กลับไปนานแสนนาน เพราะเดิมทีพวกเขาได้กุเรื่องเอาไว้ว่านาโอริได้รับภารกิจนอกสถานที่เพิ่มเติมจนไม่สามารถกลับบ้านได้ เธอจึงจำเป็นต้องกลับไปหอพักเพื่อความสะดวกของแผนในครั้งนี้ โชคดีที่เวลานี้เป็นช่วงหยุดระยะยาวของโรงเรียน เด็กสาวจึงสามารถทำตัวตามสบายได้ไม่มีอะไรให้กังวล

.

.

.

“ฉันส่งพวกเธอตรงนี้แล้วกันนะ”

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง” นาโอริเอ่ยพร้อมก้มโค้งให้อีกฝ่ายผ่านหน้าต่างด้านคนขับเช่นเดียวกับไคโตะ 

“ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว คราวนี้เพื่อนร่วมงานฉันจะได้สบายใจเสียที”

“ฮ่า ๆ ฝากขอบคุณอาโอบะซังด้วยนะคะ” 

“ไว้จะบอกให้...อ้อ จริงสิ” คิ้วเรียวเลิกสูงทันควันพลางรอให้อีกฝ่ายอ้าปากเอ่ย

“เรื่องสมัครฉันจัดการตามที่ขอเรียบร้อย เธอก็อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”

“รับทราบค่ะ!” นาโอริทำท่าตะเบ๊ะพลางพยักหน้าตอบอย่างแข็งขัน เมื่อได้เห็นเช่นนั้นซาโตชิจึงรับทราบในคำตอบและขับรถหรูออกไปตามถนน



บัดนี้เหลือเพียงสองหนุ่มสาวยืนส่งอีกฝ่ายจนกระทั่งลับตา....



“นี่ ชิสึจิซัง” เสียงนุ่มจากไคโตะดังขึ้นทันทีที่รถสีเข้มห่างไปมากแล้ว

“อะไรเหรอ?”

“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ?” นาโอริสะอึกเล็กน้อยเพราะคำพูดกะทันหันนั้น

“ทำไมนายถึง...”

“ผมว่าจะถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เห็นเธอพยายามฝืนตอนซาโตชิซังอยู่ด้วย เลยคิดว่าไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่าน่ะ” ดวงตาสีซากุระเผลอเบิกกว้างจนเป็นพิรุธ เธอนึกประหลาดใจในความช่างสังเกตของเพื่อนหนุ่ม แม้จะรู้อยู่แล้วว่าในกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันไคโตะมีสายตาและไหวพริบเฉียบคมยิ่งกว่าใคร อาจมากกว่าฮินาวะเสียด้วยซ้ำแต่สาวเจ้าคาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถจับรายละเอียดยิบย่อยได้ถึงเพียงนี้

“ความจริงมันเกี่ยวกับเรื่องสมัครที่เขาว่าเมื่อกี้ด้วย...” 

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอ นาโอริจึงตัดสินใจเล่าเกี่ยวกับการคัดเลือกองครักษ์ให้เพื่อนหนุ่มฟังไปจนถึงสาเหตุที่เปลี่ยนเธอให้ตัดสินใจเช่นนี้



แน่นอนว่าเธอยังรักษาความลับของโซอิจิโร่ไว้แน่นหนาดังเดิม



“อย่างนี้เอง...ถ้าเข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวได้ก็จะมีโอกาสพบองค์รัชทายาทมากขึ้นและได้ปรับความเข้าใจกัน...ผมเข้าใจถูกไหม?”

“ถ ถูกเผงเลย” ใบหน้าสวยพลันร้อนผ่าวกับเรื่องน่าเขินอายนี่และมันยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่แปลกใจของคนฟัง เหตุใดเขาถึงทำเหมือนดูเธอออกทะลุปรุโปร่งขนาดนั้นล่ะเนี่ย

“ถึงจะดูเกินตัวไปบ้างแต่คิดในหลาย ๆ แง่ ก็คงเป็นทางเดียวที่จะเข้าหาพระองค์ได้แหละ”

“นายจะไม่หาว่าฉันบ้าใช่ไหม...ที่คิดทำเรื่องแบบนี้?”

“ทำไมล่ะครับ ถ้าอยากรักษาเพื่อนคนหนึ่งไว้มันก็ต้องลงทุนกันหน่อย แถมยังได้ผลประโยชน์จากมันอีก ถือเป็นเรื่องดีจะตาย” ร่างสูงเอียงคอมองเด็กสาวอย่างไม่นึกแปลกใจนัก ทำให้นาโอริห่อไหล่พลันเป่าปากอย่างโล่งใจที่ยังมีคนสนับสนุนเธออยู่บ้าง แต่คำที่เพื่อนหนุ่มเอ่ยต่อก็ทำให้เธอต้องหันขวับมองทันใด

“แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกชิสึจิซังนะครับ”

“ฉันเหรอ?”

“เพราะเส้นทางนี้เข้าแล้วมันออกกันไม่ได้ง่าย ๆ เธออาจจะเจอการฝึกที่โหดกว่าในโรงเรียนหลายเท่า คนแปลกหน้าที่ไม่จริงใจเหมือนเพื่อนและการกดขี่ระหว่างยศตำแหน่ง...” ดวงตาเรียวใต้กรอบแว่นพลันหรี่ลงก่อนพูดประโยคสุดท้ายออกมา

“เธอคิดว่า...ตัวเองพร้อมจะพุ่งชนกับเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนคนเดียวหรือเปล่า?”



คำถามนั้นพาให้ความรู้สึกพลันปั่นป่วนตรงช่องท้องเช่นเดียวกับมือที่สั่นเทิ้ม เพราะนาโอริยังคงหวั่นใจอยู่ลึก ๆ และรู้ดีว่าตัวเองกำลังหวาดกลัว เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องคัดเลือกองครักษ์ทีไร หัวใจมันจะปวดร้าวขึ้นมาราวต้องการหนีจากมัน ทว่าปากของเธอกลับพยายามลากสิ่งที่ตนไม่ชอบให้เข้าใกล้ตัวเองยิ่งขึ้นทุกที จนตอนนี้ไม่สามารถหนีได้อีกแล้ว นาโอริได้ย่ำลงไปในเส้นทางใหม่และไม่สามารถถอนตัวได้อีก จะเหลือเพียงจิตใจเท่านั้นที่ยังวูบไหวไม่มั่นคงและปฏิเสธความคิดนั้นมาตลอด 



พร่ำถามตัวเองเสมอ....ว่าเธอควรพอเท่านี้ไหม?





“ขอโทษ”





ทันใดนั้นเสียงนุ่มคุ้นเคยพลันดังก้องในความคิด





“เพราะเราต้องปกป้องเธอไงล่ะ”





ราวกับภาพฝันลวงตา นาโอริดันมองเห็นแผ่นหลังเล็กของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ปรากฏตรงหน้า แผ่นหลังนั่นทั้งน่าเกรงขาม โดดเดี่ยวและน่าปกป้องในเวลาเดียวกัน 

ไม่ว่าครั้งไหนที่ได้พบโซอิจิโร่ เขามักจะยืนหยัดทำอะไรด้วยตัวคนเดียว เผชิญอันตรายด้วยตัวคนเดียวและเป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษเพียงฝ่ายเดียวเสมอ ที่ผ่านมาเขาต้องพบเจออะไรบ้างด้วยตัวคนเดียวและแบกรับความรู้สึกผิดอะไรไว้บ้าง แล้วเธอสามารถปกป้องเขาจากสิ่งพวกนี้ได้ไหม?



“ฉัน...เชื่อใจเธอได้ไหม?”



“ฉันอยากให้ท่านโซอิจิโร่ได้คนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ไปอยู่ข้างกาย”



เธอจะสามารถเป็นคนที่เขาไว้ใจได้จริง ๆ หรือเปล่า หลังจากคำพูดตัดเยื่อใยนั่นหลุดจากปากเจ้าตัว เธอยังจะเป็นคนที่เขาไว้ใจอยู่อีกเหรอ จะไม่สร้างความลำบากใจไปมากกว่านี้ใช่ไหม....



“สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกชิสึจิซังนะ”



เสียงจากเพื่อนหนุ่มดังเป็นเสียงสุดท้าย ตลบให้ความคิดที่ร่ายยาวหลอมรวมเป็นคำตอบในจิตใจ...





ไม่เอาอีกแล้วกับภาพที่อีกฝ่ายค่อย ๆ เดินห่างเกินจะเอื้อมถึง...



“ฉันไม่อยาก...” มือเรียวนั้นกำแน่นพลางเงยขึ้นสบกับแววตาของเพื่อนตน นัยน์ตาสีซากุระกำลังสั่นไหว ทว่ามันไม่ได้เกิดจากความกังวลใจอีกต่อไป...



“ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะปกป้องเขาไปอีกแล้ว”



to be continue….

======================================

มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ

ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3



つづく、psrpowder