จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ณ โรงพยาบาลใหญ่ไม่ไกลจากอาณาเขตฮิบานะ บัดนี้เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กำลังเหม่อมองวิวสูงนอกหน้าต่างเพื่อฆ่าเวลาเพราะอีกไม่นานก็จะมีคนมารับเธอออกจากที่แห่งนี้แล้ว
ทว่ามันกลับช่างยาวนานกว่าครั้งไหน ๆ จนแหล่งฆ่าเวลาในมือถือคู่ใจพลันทำสาวเจ้าเบื่อเต็มทน แต่เข็มบอกเวลาก็ยังเขยื้อนไปไม่ถึงไหน จะให้กลับไปลองติดต่อโซว์อีกเธอก็รู้ว่าคงไร้ประโยชน์ นาโอริที่ไม่มีอะไรให้ทำจึงได้แต่เหม่อมองก้อนเมฆฟูฟ่องนอกหน้าต่างและดูการเปลี่ยนรูปของมัน
“อย่าทำหน้าเบื่อโลกงั้นสิ เธอกำลังจะได้กลับบ้านนะ” เสียงทุ้มดังมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ดึงให้ต้องละสายตามอง
“ก็มันเบื่อนี่นา แถมยังง่วงหน่อย ๆ ด้วย แต่กลัวหลับยาวแล้วตื่นไม่ทันซาโตชิซังมารับอีก”
“ให้ฉันปลุกให้ไหมล่ะ?”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวนายดันฉันตกเตียง” นาโอริเอ่ยพลางนึกถึงครั้งที่ถูกคู่หูใช้สายลมดันตัวเธอจนร่วงไปนอนกับพื้นทำเอาปวดหลังไปหลายวัน ต่อให้เจ้าตัวยินดีทำให้แค่ไหนก็คงเข็ดแล้วล่ะ
“ตามใจ งั้นก็นั่งมองฟ้าต่อไปเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ได้เห็นวิวสูงขนาดนี้แล้ว”
“คงงั้น...”
.
.
.
เข็มนาฬิกาสั้นและยาวเขยิบตัวไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเข็มวินาทีซึ่งพาดผ่านตัวเลขทั่วทั้งหน้าปัดนับครั้งไม่ถ้วน ขณะนี้เป็นเวลาใกล้จะบ่ายสอง แม้เพิ่งผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงแต่สำหรับนาโอริมันราวกับใกล้จะข้ามวันเสียให้ได้ เธอพลันหวนนึกถึงคำพูดของแพทย์หนุ่มว่าเขาอนุญาตให้กลับได้ในช่วงบ่าย...
แล้วบ่ายที่ว่านี่คือเมื่อใดกัน? อีกสองหรือสามชั่วโมง?
ใจหนึ่งสาวเจ้าก็อยากกดแป้นพิมพ์ทักหาซาโตชิอยู่เนือง ๆ หากแต่เขาไม่ใช่คนสนิทของเธอที่จะเขียนหาโดยไม่มีความจำเป็นแค่เจ้าตัวอาสามารับก็เกรงใจพอแล้ว
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะสามครั้งเป็นดั่งเสียงสวรรค์ ร่างบางพลันดีดตัวลุกและรีบหย่อนตัวลงจากเตียงพร้อมกับเดินไปเปิดประตูและพบกับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีซากุระคนเดิมยืนอยู่ เด็กสาวรีบก้มโค้งทักทายเขาพร้อมรอยยิ้มร่างเริง
“สวัสดีค่ะ ซาโตชิซัง” เขาเองก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ขอโทษที่มาช้านะ พอดีต้องเตรียมของอะไรนิดหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ว่าแต่ของอะไรเหรอคะ?” นาโอริเลิกคิ้วเอียงคอสงสัยขณะที่หลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง ทว่าขณะเดียวกับที่มือเรียวออกแรงผลักประตู จู่ ๆ มันก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างระหว่างช่องว่างประตูก่อนจะตามมาด้วยเสียงโอดโอยจากน้ำเสียงที่คุ้นเคย
“โอ๊ย ไม่คิดจะรอให้ผมเข้าไปก่อนเหรอ ใจร้ายจัง”
“ย ยูซึกะ!?”
“ใช่ครับ ไคโตะสุดหล่อคนนี้เอง!” เด็กหนุ่มยิ้มร่าจนตาหยี๋พลางชูสองนิ้วลอดผ่านช่องประตูที่หนีบแขนเขาอยู่ เมื่อเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ตระหนักได้ว่าเธอกำลังจะหนีบแขนเพื่อนตัวเองขาดอยู่รอมร่อจึงรีบกระชากประตูให้เปิดกว้างทันใด ไคโตะเองก็ให้ความร่วมมือดันตัวเข้ามายืนในห้องได้สำเร็จและไม่วายสัมผัสท่อนแขนตนเองแกล้งว่าเจ็บให้เห็น
“นายเจ็บมากไหม!? ขอโทษนะ ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นตามมาด้วย”
“เจ็บสิ เจ็บมากด้วย เธอเล่นปิดแรงขนาดนั้นแขนผมคงหักแล้วมั้ง”
“จ จริงเหรอ งั้นไหน ๆ ก็อยู่โรงพยาบาลต้องรีบไปเรียกพวกหมอ....” เม็ดเหงื่อผุดข้างขมับของใบหน้าสวย ด้วยความกระวนกระวายสาวเจ้าจึงตั้งท่าจะวิ่งออกไปนอกห้องจริง ๆ แต่ก็ได้ซาโตชิซึ่งมองเหตุการณ์อยู่นานช่วยเคาะสติให้หลุดจากการแกล้งเล่นนี่
“เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้พวกเธอเนี่ย”
“ต แต่ว่าแขนเขา”
“อย่าไปบ้าจี้ตามสิ เพื่อนเธอดูเหมือนคนแขนหักขนาดนั้นเลยหรือไง เมื่อกี้ยังชูสองนิ้วอยู่หยก ๆ” นาโอริเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าซึ่งบัดนี้กำลังเบือนหน้าไปทางอื่นราวกลบเกลื่อน คิ้วเรียวกระตุกหมั่นไส้เมื่อตกผลึกว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งตนเองและราวกรรมตามสนอง เด็กสาวจึงเอื้อมจับแขนซ้ายของเขาพอดีกับจุดที่ถูกหนีบเล่นเอาเจ้าหนุ่มแว่นสะดุ้งโหยง
“อ โอ๊ย มันเจ็บนะครับ”
“สมน้ำหน้า แบร่!” สาวเจ้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับไปด้านในห้องทิ้งให้เพื่อนหนุ่มหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
ซาโตชิได้แต่ถอนใจเหนื่อยหน่ายกับการกระทำตรงหน้าพลันเร่งให้นาโอริรับชุดที่เขาฝากไคโตะให้นำมาด้วยไปเปลี่ยนให้เสร็จเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เสียเวลา มันเป็นชุดที่เธอนำมาเก็บไว้ที่หอพักและใช้ใส่บ่อย ๆ เด็กสาวได้แต่สงสัยว่าเหตุใดเพื่อนหนุ่มถึงสามารถหาชุดของเธอมาให้ได้....
คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดใช่ไหม!?
“หา!? ใช่ที่ไหนล่ะครับ โฮชิซังเป็นคนฝากไว้ต่างหาก”
“ซากิเหรอ? แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลวันไหน”
“เห็นบอกว่าเผื่อไว้ก่อน เพราะจากที่มาเยี่ยมเธอก็คิดว่าอีกไม่นานน่ากลับบ้านได้น่ะ” ไคโตะกล่าวพลางทำหน้ามุ่ยน้อยใจและไม่วายแกล้งเชิดหน้าหนี
“สุดยอด สมกับเป็นซากิ!”
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็โชคดีที่โฮชิซังคิดการไว้ล่วงหน้า ไม่งั้นผมคงได้แอบเข้าไปจริง ๆ” เจ้าหนุ่มแว่นลูบคางพลันยกยิ้มกริ่ม ทำเอานาโอริเบ้หน้าทันควัน
“อึ๋ย...ฉันฟ้องโมโมเสะแน่”
“ไม่งั้นเธอก็ไม่มีเสื้อใส่กลับนะ” เจ้าของเรือนผมสีฟ้าครามเอ่ยเสียงกวนบาทาจนนาโอริแทบอยากจะจิ้มสองนิ้วเข้าลูกตานั่นสักที เดิมที่อีกฝ่ายก็ชอบหยอกเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอฮินาวะไม่อยู่กลับรู้สึกว่ามันหนักกว่าเดิมเยอะเลยเนี่ย!
ครั้นหยอกล้อกันไปมาจนเริ่มจะลากยาว ผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวจึงส่งเสียงไล่ให้ร่างบางรีบเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดเสียที ก่อนที่จะเย็นไปมากกว่านี้และตามด้วยการจราจรที่ติดเป็นหางเว่า ไม่นานเด็กสาวก็ออกมาในชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางผ้าสีครีมดูสบาย นอกจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้วนาโอริไม่มีของสำคัญอื่น ๆ ให้นำกลับเพราะเจ้าตัวไม่ได้พกอะไรไปตั้งแต่แรก ตอนนี้เธอจึงแทบจะเดินกลับตัวเปล่าได้ด้วยซ้ำ
“รับไปสิ ฉันเอามาให้
นาโอริเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นชายหนุ่มยื่นบางสิ่งมาให้ นัยน์ตากลมสีซากุระเบิกกว้างพลันสะท้อนภาพของปลอกดาบคาตานะสีน้ำเงินเข้ม ด้านบนถูกผูกด้วยเชือกซาเกโอะ*สีขาวหรือเชือกสำหรับผูกเข้ากับโอบิผูกเอวของผู้ใช้ดาบ ถึงยุคสมัยของนาโอริจะเปลี่ยนไปใช้เข็มขัดแบบพิเศษแทนแต่เจ้าเชือกนี่ก็ยังนับเป็นของตกแต่งชั้นดีหรือเครื่องรางก็ว่าได้
“คุณให้ฉันเหรอคะ!”
“ถือเป็นของขวัญออกจากโรงพยาบาลน่ะ อีกอย่างฉันจะให้เธอถือดาบโล้น ๆ ไปมาในนี้ก็คงไม่ได้ด้วย”
“แหะ ๆ ก็จริง...” เด็กสาวหัวเราะแห้งพร้อมกับรับปลอกดาบสีสวยมาและนำจูลิโอ้ใส่เข้าไป หัวใจนั้นลิงโลดด้วยความดีใจยามจ้องมองคู่หู ยิ่งสวมเข้ากับปลอกแล้วยิ่งทำให้รู้สึกเข้าใกล้ความเป็นนักดาบขึ้นอีกขั้น!
ขณะสาวเจ้ากำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับของขวัญชิ้นใหม่ ซาโตชิจึงปล่อยให้เด็กสาวได้เชยชมมันและเดินไปยังเคาน์เตอร์กลางของชั้นเพื่อจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล ระหว่างนั้นนาโอริก็ไม่วายจ้องมองดาบในมือด้วยแววตาระยิบระยับยิ่งกว่าเด็กน้อยราวกับไม่เชื่อสายตาและทุกอย่างนี้เป็นเพียงความฝัน ท่าทางนั้นทำเอาเพื่อนหนุ่มอดขำออกมาไม่ได้จนสาวเจ้าต้องหันมอง ดวงตาสีเทาจึงหรี่ลงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยตอบอีกฝ่าย
“ขอโทษที ผมไม่คิดว่าเธอจะตื่นเต้นขนาดนี้”
“ได้ยังไงล่ะ นี่มันเป็นความฝันของฉันเลยนะ มันต้องมองให้ชื่นใจหน่อย”
“อย่างนั้นเหรอ....ผมไม่เห็นตื่นเต้นเท่าเธอเลยตอนที่ได้มา”
“แหม แต่ละคนก็มีความชอบที่.....เดี๋ยวนะ!” ร่างบางชะงักพลันจ้องเขม็งไปยังดาบคาตานะสีม่วงตัดขาวที่เอวของอีกฝ่ายก่อนจะมองมันสลับกับใบหน้าฉงนของไคโตะจนแทบมึนหัว ไม่ทันไรเจ้าหนุ่มแว่นก็ต้องผงะเมื่อถูกคนตัวเล็กพุ่งมายืนประชิดตัว
“นายปลดผนึกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?”
“เอ่อ ก็สองสามวันก่อนนี่แหละ....ตอนมาเยี่ยมวันแรกเธอไม่เห็นเหรอ?” นาโอริส่ายหน้าแรงไปมาเป็นคำตอบทำเอาไคโตะแทบหลุดหัวเราะออกมาและกลั้นมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
“ข ขำอะไรยะ?”
“รีแอคของเธอมันตลกมาก ผมอดไม่ได้จริง ๆ” ร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบากพลางเบือนหน้าหนีพยายามไม่กระตุกต่อมหมั่นไส้ของอีกฝ่าย แต่เหมือนจะไม่ทันการเพราะจู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ถูกมือเรียวจับแขนทั้งสองข้างพลันเขย่าไปมาจนตัวโยก สุดท้ายเจ้าตัวจึงเป็นฝ่ายแพ้และต้องหากำแพงเป็นที่ยึดเกาะจากอาการมึนหัว
“โอ๊ย...ยอมแล้วครับ”
“หึ สมน้ำหน้า!....ว่าแต่นายจะบอกได้หรือยังว่าไปทำอีท่าไหนถึงปลดผนึกดาบได้น่ะ” นาโอริเอ่ยพลางกลับมาช่วยพยุงร่างสูงให้ทรงตัวได้
“เธออาจจะผิดหวังนะ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
“หมายความว่าจู่ ๆ ก็ปลดงั้นเหรอ?”
“อืม...ก็ไม่เชิง ตอนนั้นผมแค่กำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาบอยู่น่ะ” ดวงตาสีเทาใต้กรอบแว่นหรี่ลงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในวันที่เขานั่งอ่านหนังสือในหอพักตามปกติ ไม่มีอะไรผิดปกติกระทั่งเขาพยายามทำความเข้าใจหนึ่งในทฤษฎีซึ่งปรากฏในหนังสือ ไป ๆ มา ๆ แสงจ้าก็วูบวาบเข้าห่อหุ้มอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนจนตาพร่ามัว รู้ตัวอีกทีก็ปลดผนึกมันได้เสียแล้ว
“น นายกอดดาบไว้ตอนอ่านหนังสือด้วยเหรอ?”
“อ้อ นิสัยส่วนตัวน่ะครับ เป็นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฮ่า ๆ” นาโอริย่นคิ้วประหลาดใจราวไม่อยากจะเชื่อนัก เพราะถึงเธอที่ชอบถือจูลิโอ้ไปไหนมาไหนแต่ก็ไม่ถึงกับกอดติดตัวขนาดคนตรงหน้า
สาวเจ้าปล่อยเรื่องส่วนตัวไว้เท่านั้นและกลับมาสนใจการปลดผนึกแสนเรียบง่ายนี่แทน นาโอริขมวดคิ้วครุ่นคิดเอาเป็นเอาตายทว่ากลับได้คำตอบเพียงว่าเพื่อนหนุ่มฝึกฝนดาบจนเชี่ยวชาญและดาบก็ดันปลดผนึกพอดีกับที่เขาอ่านหนังสืออยู่
แต่กรณีแบบนั้นมันมีด้วยงั้นเหรอ?
“ไม่ใช่หรอก เพราะอ่านหนังสือต่างหากถึงปลดผนึกได้” เป็นเสียงของซาโตชิที่เสร็จธุระจากที่เคาน์เตอร์พยาบาลและได้ยินบทสนทนาของทั้งสองพอดี แต่เครื่องหมายคำถามยังผุดบนใบหน้าของเด็กสาวไม่หายเขาจึงเอ่ยต่อ
“เงื่อนไขการปลดผนึกคือต้องขัดเกลาประสาทสัมผัสทั้งห้าให้เข้ากับดาบ พวกเธอที่ฝึกดาบอยู่ทุกวันเท่ากับว่าได้ไปสี่ด้าน เหลืออีกด้านหนึ่งก็คือความคิด”
“หมายถึงการรับรู้เหรอคะ?”
“เรียกว่าประมวลผลดีกว่า” เจ้าของเรือนผมสีซากุระเว้นจังหวะครู่หนึ่งพลางหันมองไคโตะ
“นายบอกว่าตัวเองกอดดาบเอาไว้ขณะอ่านหนังสือสินะ”
“ครับ”
“เราอาจจะไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งที่เราสัมผัสดาบ จิตของเรากับดาบก็จะเชื่อมกันในระดับหนึ่งโดยอัตโนมัติ ตอนที่นายกำลังคิดเกี่ยวกับทฤษฎีดาบก็เท่ากับว่ากำลังฝึกดาบรูปแบบหนึ่งจนบรรลุเงื่อนไขไงล่ะ” เด็กทั้งสองร้องอ๋อเป็นเสียงเดียวกันให้กับความรู้ใหม่นี้ แต่นาโอริดูจะสนใจมันเป็นพิเศษกว่าใครเลยล่ะ
“สุดยอดไปเลย! ถ้ารู้ว่าทำแบบนั้นได้คงลองทำไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นต้องสู้ให้เหนื่อยเลย”
“มีประสบการณ์ติดตัวน่ะดีแล้ว เวลาลงสนามจริงผลที่ออกมามันจะต่างกันนะ”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ บ่นตอนนี้ไปก็ไม่ทันแล้ว...ว่าแต่ทำไมซาโตชิซังถึงรู้เรื่องนี้เหรอคะ?” เด็กสาวจ้องไปยังนัยน์ตาสีเดียวกันอย่างตั้งตารอคำตอบ ซาโตชิเป็นต้องหลบสายตาเป็นประกายนั่นพลางลังเลพักหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ใจอ่อนยอมตอบกลับไป
“เพราะฉัน...ก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ” ใบหน้าคมสันแต้มสีชมพูจาง ๆ ขณะยกมือมาลูบต้นคอแก้เก้อ
“พ พวกคนอัจฉริยะ...” นาโอริถึงกับเบ้ปากใส่สองหนุ่ม ได้แต่คิดว่าพวกคนใส่แว่นเนี่ยเป็นพวกหัวดีกันหมดเลยงั้นสินะ
“หึ แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากสัมผัสปณิธานอันแรงกล้าของคนที่มีความพยายามมากกว่า...เพราะอะไรที่ได้มาง่าย ๆ มันกลับเหมือนไม่มีค่าให้จดจำสักเท่าไหร่...” นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นพลันหลุบต่ำให้เห็น พาให้นาโอริเผลอไผลจ้องมองเขาไม่วาง จู่ ๆ หัวใจก็บีบรัดเมื่อรับรู้ได้ว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้กำลังมองพื้นเรียบตรงหน้า แต่เป็นที่อันแสนไกลโพ้นที่เธอไม่รู้จักและไม่อาจสัมผัสได้...
“เอ่อ ซาโตชิซัง?” เจ้าของชื่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขารีบกระแอมปรับบรรยากาศรอบตัวก่อนจะเดินหนีจากตรงนั้นและเรียกเด็กทั้งสองให้ตามเขาไป พวกเธอจึงได้แต่มองหน้ากันพลันก้าวเท้ายาวตามอีกฝ่ายไปติด ๆ
ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วบนปุ่มเดินเครื่องยนต์พร้อมกับพาผู้โดยสารของเขาออกตัวจากโรงพยาบาลทันที ปลายทางนั้นคือโรงเรียนชิบุนางิที่ไม่ได้กลับไปนานแสนนาน เพราะเดิมทีพวกเขาได้กุเรื่องเอาไว้ว่านาโอริได้รับภารกิจนอกสถานที่เพิ่มเติมจนไม่สามารถกลับบ้านได้ เธอจึงจำเป็นต้องกลับไปหอพักเพื่อความสะดวกของแผนในครั้งนี้ โชคดีที่เวลานี้เป็นช่วงหยุดระยะยาวของโรงเรียน เด็กสาวจึงสามารถทำตัวตามสบายได้ไม่มีอะไรให้กังวล
.
.
.
“ฉันส่งพวกเธอตรงนี้แล้วกันนะ”
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง” นาโอริเอ่ยพร้อมก้มโค้งให้อีกฝ่ายผ่านหน้าต่างด้านคนขับเช่นเดียวกับไคโตะ
“ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว คราวนี้เพื่อนร่วมงานฉันจะได้สบายใจเสียที”
“ฮ่า ๆ ฝากขอบคุณอาโอบะซังด้วยนะคะ”
“ไว้จะบอกให้...อ้อ จริงสิ” คิ้วเรียวเลิกสูงทันควันพลางรอให้อีกฝ่ายอ้าปากเอ่ย
“เรื่องสมัครฉันจัดการตามที่ขอเรียบร้อย เธอก็อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
“รับทราบค่ะ!” นาโอริทำท่าตะเบ๊ะพลางพยักหน้าตอบอย่างแข็งขัน เมื่อได้เห็นเช่นนั้นซาโตชิจึงรับทราบในคำตอบและขับรถหรูออกไปตามถนน
บัดนี้เหลือเพียงสองหนุ่มสาวยืนส่งอีกฝ่ายจนกระทั่งลับตา....
“นี่ ชิสึจิซัง” เสียงนุ่มจากไคโตะดังขึ้นทันทีที่รถสีเข้มห่างไปมากแล้ว
“อะไรเหรอ?”
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ?” นาโอริสะอึกเล็กน้อยเพราะคำพูดกะทันหันนั้น
“ทำไมนายถึง...”
“ผมว่าจะถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เห็นเธอพยายามฝืนตอนซาโตชิซังอยู่ด้วย เลยคิดว่าไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่าน่ะ” ดวงตาสีซากุระเผลอเบิกกว้างจนเป็นพิรุธ เธอนึกประหลาดใจในความช่างสังเกตของเพื่อนหนุ่ม แม้จะรู้อยู่แล้วว่าในกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันไคโตะมีสายตาและไหวพริบเฉียบคมยิ่งกว่าใคร อาจมากกว่าฮินาวะเสียด้วยซ้ำแต่สาวเจ้าคาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถจับรายละเอียดยิบย่อยได้ถึงเพียงนี้
“ความจริงมันเกี่ยวกับเรื่องสมัครที่เขาว่าเมื่อกี้ด้วย...”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอ นาโอริจึงตัดสินใจเล่าเกี่ยวกับการคัดเลือกองครักษ์ให้เพื่อนหนุ่มฟังไปจนถึงสาเหตุที่เปลี่ยนเธอให้ตัดสินใจเช่นนี้
แน่นอนว่าเธอยังรักษาความลับของโซอิจิโร่ไว้แน่นหนาดังเดิม
“อย่างนี้เอง...ถ้าเข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวได้ก็จะมีโอกาสพบองค์รัชทายาทมากขึ้นและได้ปรับความเข้าใจกัน...ผมเข้าใจถูกไหม?”
“ถ ถูกเผงเลย” ใบหน้าสวยพลันร้อนผ่าวกับเรื่องน่าเขินอายนี่และมันยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่แปลกใจของคนฟัง เหตุใดเขาถึงทำเหมือนดูเธอออกทะลุปรุโปร่งขนาดนั้นล่ะเนี่ย
“ถึงจะดูเกินตัวไปบ้างแต่คิดในหลาย ๆ แง่ ก็คงเป็นทางเดียวที่จะเข้าหาพระองค์ได้แหละ”
“นายจะไม่หาว่าฉันบ้าใช่ไหม...ที่คิดทำเรื่องแบบนี้?”
“ทำไมล่ะครับ ถ้าอยากรักษาเพื่อนคนหนึ่งไว้มันก็ต้องลงทุนกันหน่อย แถมยังได้ผลประโยชน์จากมันอีก ถือเป็นเรื่องดีจะตาย” ร่างสูงเอียงคอมองเด็กสาวอย่างไม่นึกแปลกใจนัก ทำให้นาโอริห่อไหล่พลันเป่าปากอย่างโล่งใจที่ยังมีคนสนับสนุนเธออยู่บ้าง แต่คำที่เพื่อนหนุ่มเอ่ยต่อก็ทำให้เธอต้องหันขวับมองทันใด
“แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกชิสึจิซังนะครับ”
“ฉันเหรอ?”
“เพราะเส้นทางนี้เข้าแล้วมันออกกันไม่ได้ง่าย ๆ เธออาจจะเจอการฝึกที่โหดกว่าในโรงเรียนหลายเท่า คนแปลกหน้าที่ไม่จริงใจเหมือนเพื่อนและการกดขี่ระหว่างยศตำแหน่ง...” ดวงตาเรียวใต้กรอบแว่นพลันหรี่ลงก่อนพูดประโยคสุดท้ายออกมา
“เธอคิดว่า...ตัวเองพร้อมจะพุ่งชนกับเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนคนเดียวหรือเปล่า?”
คำถามนั้นพาให้ความรู้สึกพลันปั่นป่วนตรงช่องท้องเช่นเดียวกับมือที่สั่นเทิ้ม เพราะนาโอริยังคงหวั่นใจอยู่ลึก ๆ และรู้ดีว่าตัวเองกำลังหวาดกลัว เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องคัดเลือกองครักษ์ทีไร หัวใจมันจะปวดร้าวขึ้นมาราวต้องการหนีจากมัน ทว่าปากของเธอกลับพยายามลากสิ่งที่ตนไม่ชอบให้เข้าใกล้ตัวเองยิ่งขึ้นทุกที จนตอนนี้ไม่สามารถหนีได้อีกแล้ว นาโอริได้ย่ำลงไปในเส้นทางใหม่และไม่สามารถถอนตัวได้อีก จะเหลือเพียงจิตใจเท่านั้นที่ยังวูบไหวไม่มั่นคงและปฏิเสธความคิดนั้นมาตลอด
พร่ำถามตัวเองเสมอ....ว่าเธอควรพอเท่านี้ไหม?
“ขอโทษ”
ทันใดนั้นเสียงนุ่มคุ้นเคยพลันดังก้องในความคิด
“เพราะเราต้องปกป้องเธอไงล่ะ”
ราวกับภาพฝันลวงตา นาโอริดันมองเห็นแผ่นหลังเล็กของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ปรากฏตรงหน้า แผ่นหลังนั่นทั้งน่าเกรงขาม โดดเดี่ยวและน่าปกป้องในเวลาเดียวกัน
ไม่ว่าครั้งไหนที่ได้พบโซอิจิโร่ เขามักจะยืนหยัดทำอะไรด้วยตัวคนเดียว เผชิญอันตรายด้วยตัวคนเดียวและเป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษเพียงฝ่ายเดียวเสมอ ที่ผ่านมาเขาต้องพบเจออะไรบ้างด้วยตัวคนเดียวและแบกรับความรู้สึกผิดอะไรไว้บ้าง แล้วเธอสามารถปกป้องเขาจากสิ่งพวกนี้ได้ไหม?
“ฉัน...เชื่อใจเธอได้ไหม?”
“ฉันอยากให้ท่านโซอิจิโร่ได้คนที่ไว้ใจได้จริง ๆ ไปอยู่ข้างกาย”
เธอจะสามารถเป็นคนที่เขาไว้ใจได้จริง ๆ หรือเปล่า หลังจากคำพูดตัดเยื่อใยนั่นหลุดจากปากเจ้าตัว เธอยังจะเป็นคนที่เขาไว้ใจอยู่อีกเหรอ จะไม่สร้างความลำบากใจไปมากกว่านี้ใช่ไหม....
“สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกชิสึจิซังนะ”
เสียงจากเพื่อนหนุ่มดังเป็นเสียงสุดท้าย ตลบให้ความคิดที่ร่ายยาวหลอมรวมเป็นคำตอบในจิตใจ...
ไม่เอาอีกแล้วกับภาพที่อีกฝ่ายค่อย ๆ เดินห่างเกินจะเอื้อมถึง...
“ฉันไม่อยาก...” มือเรียวนั้นกำแน่นพลางเงยขึ้นสบกับแววตาของเพื่อนตน นัยน์ตาสีซากุระกำลังสั่นไหว ทว่ามันไม่ได้เกิดจากความกังวลใจอีกต่อไป...
“ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะปกป้องเขาไปอีกแล้ว”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder