จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ครั้นมือเรียวผลักบานประตูให้เปิดออกเชื่องช้าและเงียบเชียบที่สุด กลิ่นหอมหวานชวนสงบใจก็พัดโชยมาต้อนรับจนต้องสูดหายใจลึกกอบโกยมัน คงไม่พ้นมื้อเย็นสูตรพิเศษฉบับของมารดาที่อยู่ในห้องครัวและดูเหมือนว่าเธอจะง่วนอยู่กับการตระเตรียมจึงไม่ได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ นาโอริบรรจงวางสัมภาระไว้ที่ชานบันไดพร้อมย่องเท้าไปยังห้องที่คิดว่าผู้เป็นแม่อยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าพร้อมเอ่ยด้วยเสียงสดใส
“จ๊ะเอ๋ หนูกลับมาแล้ว!”
“ว้าย น นาโอริเองเหรอลูก แม่หัวใจจะวายแล้วรู้ไหม!” ยูริสะดุ้งโหยงพลันเกือบจะเปลี่ยนกระบวยในมือให้กลายเป็นอาวุธไปเสียแล้ว โชคดีที่เธอยั้งมือทันไม่งั้นคงได้เขกหัวเจ้าลูกสาวเป็นการต้อนรับแน่ ส่วนเด็กสาวที่ยิ้มร่าชอบใจก็ชูสองนิ้วอย่างไม่นึกกลัว เพียงแววตาสอดประสานสองแม่ลูกจึงโผเข้ากอดกันกลมโดยไม่ต้องกล่าวอะไร ปล่อยให้ไออุ่นซึมซาบผ่านความคิดถึงที่มีต่อกันนานนับนาที
ยังไม่ทันได้ผละจากอ้อมกอด ผู้เป็นแม่ก็ร่ายคำถามใส่ลูกสาวสุดที่รักราวพายุจนเจ้าตัวตอบแทบไม่ทัน ซ้ำยังดุสาวเจ้าโทษฐานที่แอบออกจากบ้านไปทำภารกิจทั้งที่ร่างกายตัวเองก็ยังไม่ฟื้นดี ไหนจะเรื่องสเกตบอร์ดเหินฟ้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายซื้อให้เขาใหม่อีก เรียกว่าโดนไปหลายกระทงจนนาโอริลนลานเถียงไม่ออกเลยทีเดียว
ครั้นตระหนักว่าเรื่องที่ถามมันใกล้จะเฉียดไปหาภารกิจลับสุดยอดของเธอเข้าเรื่อย ๆ นาโอริเลยต้องดึงความสนใจด้วยกลิ่นหอมของอาหารเย็นซึ่งยูริได้เตรียมเอาไว้ต้อนรับเธอและออดอ้อนเธอว่าตนนั้นหิวไส้จะขาดแล้ว หญิงสาวเป็นต้องหัวเราะเอ็นดูพลางจูงมือนาโอริไปที่ห้องอาหารในทันใด บนโต๊ะไม้ถูกจัดวางด้วยจานอาหารหลากตาและทั้งหมดนั้นต่างเป็นของโปรดของนาโอริ ทำเอาเจ้าตัววาดยิ้มเปี่ยมด้วยความสุขพร้อมรับประทานมื้อเย็นสุดวิเศษนี้ร่วมกับผู้เป็นแม่
และชดเชยเวลาแสนสำคัญที่เสียไปให้คุ้มค่า...
“จริงสินาโอะ ภารกิจที่ลูกไปทำน่ะมันคืออะไรเหรอ ทำไมถึงใช้เวลานานจังกว่าจะกลับมา?” คำถามจี้จุดนั้นทำเอาคนที่เคี้ยวแก้มตุ่ยเกือบสำลักก่อนจะคว้าแก้วน้ำมากระดกทันควัน หัวใจเต้นรัวตื่นตระหนกไปหมด สุดท้ายก็หนีไม่รอดงั้นสินะเนี่ย
“ม มันก็เป็นงานทั่วไปนั่นแหละค่ะ แม่ได้ฟังจากรุ่นพี่หนูแล้วนี่นา”
“ก็แม่อยากฟังจากปากหนูมากกว่า ไหนเล่ามาหน่อยซิ”
“เอ่อ...” นาโอริเผลอกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อถูกถามซ้ำ หยาดเหงื่อปรากฏข้างขมับเช่นเดียวกับสมองที่พยายามสรรหาข้ออ้างนับพันมาตอบอีกฝ่าย ท้ายที่สุดสาวเจ้าจึงเลือกตอบไปว่าเธอได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมภารกิจตามจับเหล่าทหารรับจ้างกับรุ่นพี่ของเธอและคอยช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ชินระตามความเหมาะสม โดยไม่ลืมจะยัดรายละเอียดยิบย่อยที่ได้ฟังมาจากซากิเพื่อกลบรอยโหว่ไม่ให้ไหวพริบของมารดาจับได้
แม้จะต้องหยิบยืมเรื่องราวจากเหล่าเพื่อนมา แต่มันคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้...
“หนูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยค่ะแม่ สบายหายห่วง” เธอกล่าวพลางตบแขนตนเองเบา ๆ ให้เห็น ริมฝีปากบางวาดยิ้มด้วยความมั่นใจเพราะมีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่พอจะยืนยันกับอีกฝ่ายได้
“โธ่ ยังจะทำเป็นเล่นอีก รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงขนาดไหน?”
“หนูรู้ค่ะแม่...แต่มันปล่อยไว้ไม่ได้จริง ๆ นี่คะ”
“แม่เห็นสีหน้าลูกตอนอยู่โรงพยาบาลก็รู้แล้ว แต่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะเดินดุ่มเข้าไปจัดการได้นะ เรื่องความเป็นความตายต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน” นัยน์ตาสีเปลือกไม้หรี่ลงพลางจดจ้องเด็กสาวไม่วางตา ความห่วงใยที่เอ่อล้นออกมานั่นยิ่งตอกย้ำชนักที่ปักหลังในเวลานี้ของนาโอริให้แทงลึกกว่าเดิมจนสาวเจ้าไม่กล้าแม้จะสบตาอีกฝ่าย
“ค่ะแม่...”
“เฮ้อ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิจ๊ะ เดี๋ยวขนมที่แม่ทำไว้ก็เสียรสกันพอดี” ว่าจบหญิงสาวจึงลุกไปยังห้องครัวอีกครั้งก่อนจะกลับมาพร้อมเค้กสตรอว์เบอร์รี่ก้อนเล็กที่มาของกลิ่นหอมหวานซึ่งโชยมาต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูบ้าน กลิ่นรัญจวนเตะจมูกพลันไล่อารมณ์บูดบึ้งของนาโอริให้แตกกระเจิงแทบจะทันที ดวงตาสีซากุระทอประกายวิบวับอย่างกับเด็กที่ลืมความทุกข์ทุกสิ่งยามอยู่ต่อหน้าสิ่งที่ชอบ
อย่างน้อยในเรื่องร้าย...ก็ยังมีเรื่องดีอยู่สินะ
สองแม่ลูกลิ้มรสนุ่มละมุนของเค้กครีมนมเข้ากันกับรสเปรี้ยวหวานจากสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสด จนเวลาล่วงเลยผ่านเช่นเดียวกับท้องของเด็กสาวที่อิ่มตื้อ นาโอริไม่ลืมที่จะช่วยมารดาจัดแจงทำความสะอาดเครื่องใช้ในวันนี้ไปจนถึงบนโต๊ะอาหาร คงเพราะตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้เลย อะไรหลาย ๆ อย่างจึงดูน่าคิดถึงจนใจหาย บรรยากาศอบอุ่นไม่แพ้หอพักของเธอกับซากิ ทว่าคนที่คอยแย้มยิ้มต้อนรับอยู่ตลอดคือหญิงสาวคนเดียวในชีวิตที่มอบความรักให้แก่เธอตั้งแต่ลืมตาดูโลก เมื่อห่างหายไปนานจึงพาให้หัวใจกลวงเปล่าจนน่าแปลก ไม่ต้องพูดถึงหลังจากผ่านเรื่องหนักอึ้งมากมาย
ตอนนี้การได้มองใบหน้าอ่อนโยนของมารดาอยู่เงียบ ๆ ก็คือยารักษาอันดับหนึ่งของเธอ...
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมมองแม่แบบนั้นล่ะ?”
“เปล่าค่ะ...แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย” นาโอริเอ่ยขณะวางจานใบสุดท้ายบนชั้นวาง
ครั้นสวิตช์ไฟถูกปิดนำความมืดมาสู่ชั้นล่างของบ้าน ความล้าในตัวเด็กสาวนั้นสะสมจนถึงขีดสุด เธอจึงได้แต่หาวหวอดอยู่หลายครั้ง พอดีกับช่วงเวลาอันสมควรแก่การพักผ่อนกายาหลังจากใช้แรงมาทั้งวัน สองแม่ลูกจึงพากันขึ้นไปยังชั้นบนและเตรียมบอกฝันดีเพื่อแยกย้ายไปนอน
“นาโอริ...” ขณะที่มือเรียวกำลังจะเปิดประตู จู่ ๆ เสียงอ่อนโยนจากแม่ก็รั้งเธอไว้พาให้หันมอง ก่อนจะเห็นรอยยิ้มของมารดารออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมดึงตัวลูกสาวไปกอดแน่นอย่างไม่บอกกล่าว ทำเอานาโอริต้องเลิกคิ้วฉงนพลางกอดตอบอีกฝ่ายไปด้วย
“แม่?”
“แม่รักลูกนะ ขอให้ต่อจากนี้ไม่มีเรื่องอันตรายเข้ามาหาหนูอีก...แม่จะได้ไม่เป็นห่วง” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือกับแรงกอดที่เพิ่มขึ้น
ความห่วงใยแสนบริสุทธิ์ช่วยชโลมจิตใจเหนื่อยล้าของนาโอริเป็นอย่างดี ทว่าในเวลาเดียวกันมันก็บีบรัดหัวใจ ณ อกซ้ายจนทรมาน สาวเจ้าได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนยังไม่ได้บอกผู้เป็นแม่ อาการหน่วงเข้าตรึงร่างบางให้ทิ้งน้ำหนักลงบนบ่าเล็กของอีกฝ่ายราวหาที่พึ่ง ดวงตากลมวูบไหวฉายความรู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม ในใจเอาแต่คิดว่าความรู้สึกที่ยูริมอบให้แก่คนเป็นลูกอย่างเธอ มันช่างเสียเปล่าอะไรเช่นนี้...เพราะตัวเธอที่กำลังปิดบังเรื่องสำคัญไว้นั้นไม่คู่ควรเอาเสียเลย
“รักแม่เหมือนกันค่ะ หนูจะพยายาม...ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอีก...แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” นาโอริเอ่ยคำสุดท้ายอย่างแผ่วเบาพร้อมประทับริมฝีปากบนแก้มของอีกฝ่าย
รอกระทั่งยูริกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วจึงเข้ามายังห้องตัวเอง วินาทีที่บานประตูงับสนิท ร่างบางเผลอไผลพิงกับกำแพงและทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นราวหมดเรี่ยวแรง สองมือกอดเข่าพลางซุกหน้าปิดซ่อนอารมณ์ขุ่นมัวในตอนนี้ ปล่อยให้ความเงียบเชียบภายในห้องปกคลุมจนผ่านไปหลายนาที กระทั่งเสียงทุ้มจากคู่หูได้ทำลายมันเป็นเสี่ยง ๆ
“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ไหงถึงมานั่งซึมเสียเองล่ะ ไม่สมเป็นเธอเลย”
“นายไม่เห็นเหรอว่าแม่เป็นห่วงฉันอย่างจริงใจแค่ไหน แต่ฉันกลับ...หลอกแม่เพราะความเห็นแก่ตัวของฉันเอง” นาโอริเอ่ยเสียงอู้อี้ขณะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“เขาเรียกปิดบังไม่ใช่โกหก แค่รอหลังจากการทดสอบจบ เธอก็จะบอกแม่อยู่ดี”
“ฉันรู้...แต่เหมือนจะรู้อนาคตเลยว่าแม่ต้องเสียใจมากแน่ ๆ ฮือ..” หยาดน้ำใสไหลผ่านเนินแก้มพร้อมเสียงสะอื้นเบา ๆ ทว่ากลับดังในความเงียบ
“แล้วจะทำยังไง จะยอมล้มเลิกหนทางปกป้องเจ้าเด็กนั่นเหรอ?”
“ไม่เอา” เด็กสาวตอบทันควัน
“เห็นไหมล่ะ ในเมื่อดื้อจะทำก็ต้องไปให้สุด เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิดก็ไม่สาย...อีกอย่างคนเป็นพ่อแม่น่ะ อะไรที่ลูกมีความสุขเขาก็ยอมทำกันทั้งนั้นแหละ”
“พูดเหมือนเคยเป็นพ่อแม่คนงั้นแหละ”
“ถึงจะจำไม่ได้แต่ฉันก็เคยมีพ่อแม่นะ เรื่องแค่นี้ใครก็รู้” จูลิโอ้ส่งเสียงฮึดฮัดพาให้อีกฝ่ายต้องเบ้ปากทั้งน้ำตา แต่เพราะคำพูดของเขาหัวใจจึงแข็งแรงขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยเธอก็เห็นด้วยกับสิ่งที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์กล่าว
“ขอบใจนะ”
“ด้วยความยินดี แต่ถ้าเลิกเศร้าแล้วก็ไปนอนซะ อยากตาบวมจนแม่เธอสงสัยหรือไง”
“ต้องนอนแล้วเหรอ...”
ไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้งอแง สายลมอุ่นดันก่อตัวในห้องมืดและพัดชนแผ่นหลังบางให้ลุกขึ้น ทำเอานาโอริต้องปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าพลันลุกหนีการไล่ต้อนของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปยังเตียงนุ่ม ซ้ำยังโดนบังคับปิดตาหลับแต่โดยดี หากไม่ใช่เพราะความง่วงเป็นทุนเดิมเธอคงต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายต่อเป็นแน่
.
.
.
ดวงตะวันแรกแย้มสู่ท้องฟ้าครึ้ม เช่นเดียวกับอากาศหนาวยะเยือกที่ปะทะร่างกายซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วแดนอาทิตย์อุทัย ไม่เว้นแม้แต่ปราสาทไม้ญี่ปุ่นในอาณาเขตฮิบานะ ณ หนึ่งในปราสาทย่อย บัดนี้เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำขลับกำลังเท้าคางมองตัวอักษรเรียงรายบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาเป่าปากไล่ความเหนื่อยล้าจนเกิดเป็นควันสีขาวลอยฟุ้ง ก่อนจะต้องปรับเปลี่ยนท่านั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะจากประตูห้อง
ก๊อก ๆ
“เข้ามา”
ครั้นตอบรับเสียงดังฟังชัด บานเลื่อนไม้จึงเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มประดับตราดอกซากุระสีเงินบนอกซ้าย นัยน์ตาสีซากุระใต้กรอบแว่นหรี่ลงอย่างพินิจพลันลอบมองนาฬิกาข้อมือเรือนสวยซึ่งบ่งบอกเวลาหกโมงเช้า
“ทรงโต้รุ่งอีกแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”
“อ่า เราไม่รู้สึกง่วงก็เลยไม่นอนน่ะ” โซอิจิโร่เอ่ยไม่ยี่หระพลางกวาดตาอ่านตัวหนังสือต่อไป ภาพตรงหน้ายิ่งทำให้ซาโตชิขมวดคิ้วเหนื่อยใจเข้าไปใหญ่ เขาล่ะอยากแย้งใจจะขาดว่าต่อให้ไม่ง่วงยังไงแต่คนเราก็ต้องพักผ่อน แต่มันติดตรงที่เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เคยจะฟังนี่สิ เลยทำเพียงถอนหายใจให้เจ้าตัวได้ยิน
“เฮ้อ กระหม่อมมารายงานเรื่องการทดสอบวันแรกพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มสลัดความคิดทิ้งไปพร้อมก้าวเข้ามาในห้องและนั่งตรงเก้าอี้รับแขกติดกับหน้าต่าง ไม่นานโซอิจิโร่จึงเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่ลืมที่จะชงชาเขียวร้อนฉุยมาให้แขกรวมถึงตัวเขาเองด้วย ซาโตชิได้แต่ลอบถอนใจกับการที่เด็กคนหนึ่งเสพติดคาเฟอีนยิ่งกว่าผู้ใหญ่อย่างเขาเสียอีก ถึงมันจะเป็นแค่ชาก็เถอะ
“แล้ว...การคัดเลือกวันแรกราบรื่นดีไหม?” เจ้าของเรือนผมสีซากุระถูกดึงออกจากภวังค์ ทว่าก่อนจะได้เริ่มรายงานผลของการคัดเลือกเมื่อวานแก่ผู้เป็นนาย เขากลับมีข่าวน่ากังวลต้องแจ้งเสียก่อน
“ก่อนที่จะรายงาน กระหม่อมมีเรื่องต้องทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร?” โซอิจิโร่เลิกคิ้วฉงน
“กระหม่อมเกรงว่า...การคัดเลือกที่ทรงจัดขึ้นอาจจะถึงหูองค์จักรพรรดิไม่ทางใดก็ทางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ตรวจเจอคนของเสด็จพ่องั้นเหรอ?”
“ยังไม่แน่ใจว่าใช่คนของฝ่าบาทไหม แต่ดูเหมือนระบบเก็บข้อมูลรายละเอียดการคัดเลือกจะถูกทำให้เป็นสาธารณะไปชั่วขณะ จนเสี่ยงว่าจะหลุดออกไปข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ” ซาโตชิขมวดคิ้วเป็นปมพลางจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา ในใจนึกกังวลว่าอีกฝ่ายจะหัวเสียที่แผนการของตนไม่ราบรื่นหรือเปล่า เพราะหากมันไปถึงหูของผู้เป็นพ่อ คนที่จะต้องรับศึกหนักก็คือโซอิจิโร่เอง
“เฮ้อ...”
“โปรดยกโทษให้ความสะเพร่าของกระหม่อมด้วย ถ้าฝ่าบาทคิดจะเอาเรื่อง กระหม่อมจะ-...”
“ไม่เป็นไรหรอก เราคิดไว้อยู่แล้วว่าคงหนีสายตาคนของเขาไม่พ้น” โซอิจิโร่กลับไม่สะทกสะท้านต่อข่าวร้ายนั้น ซ้ำยังยกถ้วยชามาจิบสบายใจเฉิบอีกต่างหาก
“เอ๊ะ ไม่ทรงกริ้วที่กระหม่อมรักษาความลับไว้ไม่ได้เหรอพ่ะย่ะค่ะ?”
“จะเป็นแบบนั้นได้ไงล่ะ คนที่เรากำลังปิดบังคือเสด็จพ่อนะ...คุณก็รู้ว่าเขามีสายเยอะขนาดไหน ต่อให้นั่งอยู่เฉย ๆ ในห้องทำงานก็ยังรู้เลยมั้งว่าคุณมาหาเราที่นี่”
“แปลว่าพระองค์ทรงไม่คิดจะปิดเรื่องการคัดเลือกเป็นความลับแต่แรกแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกให้ถูกคือชะลอให้เสด็จพ่อรู้ช้าลงต่างหาก พอจบการคัดเลือกเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาขัดขวางแล้ว” เด็กหนุ่มกอดอกหลวม ๆ นัยน์ตาสีนิลนั้นส่อถึงการเตรียมใจที่จะเสี่ยงมาตั้งแต่แรก ซาโตชิที่เห็นมันแจ่มชัดจึงต้องยอมรับในการตัดสินใจของผู้เป็นนาย
แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่กำลังจะนำพาไปสู่การทะเลาะครั้งใหญ่ระหว่างพ่อกับลูกก็ตาม
โซอิจิโร่เลือกจะเปลี่ยนประเด็นให้กลับมาสู่การรายงานความคืบหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงรีบกลับเข้าโหมดทำงานและเล่าทุกสิ่งให้ฟังโดยละเอียด แน่นอนว่าซาโตชิยังรอบคอบพอจะปิดบังความลับเกี่ยวกับนาโอริไว้มิดชิด แม้จะรู้สึกผิดต่อโซอิจิโร่ก็ตาม แต่เขาเชื่อว่ามันจะดีต่ออีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“ดูจากทักษะรวม ๆ ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก เรียกว่าเป็นความสามารถทั่วไปของทหารก็ได้มั้ง” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางกวาดตาอ่านเอกสารที่ได้รับมาใหม่
“กระหม่อมกังวลว่าคนพวกนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของท่านเลย...”
“ฝีมือน่ะเป็นเรื่องรอง ที่เราต้องการคือคนที่ไว้ใจได้ต่างหาก”
“ถ้าอย่างนั้น การคัดเลือกนี่ก็ยิ่งไม่ช่วยอะไรเลยสิพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้เสร็จการคัดเลือกไปแล้วเราก็ตั้งใจจะจับมานั่งคุยสักหน่อย คุณเชื่อใจเราสิ” ซาโตชิย่นคิ้วเป็นกังวลเห็นได้ชัด แต่หาใช่เรื่องที่โซอิจิโร่จะได้คนไว้ใจหรือไม่แต่เป็นเพราะสงสารทหารผู้โชคร้ายคนนั้นมากกว่า ภาพจำเมื่อคราที่หนึ่งในองครักษ์คนสนิทของเด็กหนุ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผู้เป็นนายจับทหารในความดูแลไปนั่งพูดคุยตัวต่อตัวเป็นรายคน และหลังจากนั้นพวกเขาก็สงบเสงี่ยมขึ้นจนได้แต่สงสัยว่าโซอิจิโร่ไปพูดอะไรกับพวกเขากันแน่
“อีกอย่างการทดสอบครั้งที่สองใช่ว่าจะธรรมดา เดี๋ยวก็ได้เห็นธาตุแท้แต่ละคนเองล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านทรงไม่ลืมใช่ไหมว่า...”
“เรื่องเงินสนับสนุนโปรเจกต์ของอาจิซาวาระน่ะให้อยู่แล้ว แถมยังเอามาทดลองให้ฟรีอีกยัยนั่นว่าอะไรไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มเอ่ยขณะจรดปากกับถ้วย ซาโตชิจึงพยักหน้าตอบรับพลางนึกไปถึงผลการคัดเลือกที่จะออกมาโดยใช้เจ้า ‘โปรเจกต์’ ที่ว่านั่นในอีกสองวันนี้ มันอาจจะท้าทายสำหรับทหารคนอื่น ทว่ามันน่าจะเข้าทางนาโอริพอดียิ่งกว่าจับวาง เขาถึงกล้าชักชวนเธอให้เข้าร่วมการคัดเลือก
“เอ่อ ส่วนเรื่องการเสด็จ ทรงตัดสินใจว่ายังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้น...”
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะสามครั้งดังแทรกบทสนทนาเรียกให้ทั้งคู่หันมอง โซอิจิโร่เลิกคิ้วสูงพักหนึ่งเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาอีกนอกจากซาโตชิ เขาพลันรีบคว้าวิกผมสีขาวมาสวมใส่อย่างรวดเร็วก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาด้านในได้ สิ้นเสียงนุ่มบานประตูก็เลื่อนออกเผยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำขลับในชุดยูกาตะตัวโปรดกำลังแย้มยิ้มให้พวกเขาอยู่บนรถเข็นผู้ป่วยพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ ด้านหลังคือนายทหารคนสนิทของเขาซึ่งช่วยพาเขามาที่นี่
“ให้ตายสิ พวกคนโหมงานหนักมารวมกันอยู่ตรงนี้เหรอเนี่ย?”
“อ องค์ชาย!?” ซาโตชิอุทานลั่นพลันลุกไปช่วยประคองคนตัวเล็กจากรถเข็นและพาเขามานั่งแทนที่ตน เกนอิจิโร่ในคราบน้องชายเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อมและหันไปบอกกับคนของตนให้กลับไปก่อน ร่างสูงจึงก้มทำความเคารพพร้อมกลับไปในทันที กระทั่งไม่เหลือใครให้ต้องระวังอีก สองแฝดจึงพร้อมใจกันกลับเข้าบทบาทแท้จริงของตัวเอง ก่อนจะได้ยินเสียงนุ่มจากผู้เป็นน้องดังเรียกความสนใจ
“ไม่บอกกันก่อนว่าจะมา ฉันก็คิดว่าเป็นคนอื่นเลยรีบปลอมตัวแทบไม่ทัน”
“ฮ่า ๆ ถือว่าทดสอบไหวพริบของนายแล้วกันนะ” เกนอิจิโร่หัวเราะในลำคอ
“หึ แล้วนายว่าใครโหมงานหนักไม่ทราบ ตัวเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ทั้งที่ป่วยอยู่แท้ ๆ”
“ใจร้ายจริง ฉันแค่ร่างกายอ่อนแอไม่ได้ป่วยเสียหน่อย งานที่นั่งหน้าคอมฯน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว...อ่ะนี่ ฉันเอาเอกสารที่นายขอให้จัดการมาส่ง คิดว่าน่าจะตื่นแล้วเลยให้คนพามาน่ะ” เกนอิจิโร่ย่นคิ้วเล็กน้อยพลางยื่นเอกสารแก่แฝดผู้น้อง อีกฝ่ายรับมันมาและกวาดตาอ่านรวดเร็ว เมื่อไม่มีอะไรผิดพลาดโซอิจิโร่จึงวางมันไว้ข้างตัวพลันหันมาเอ่ยกับพี่ชายต่อ
“เหนื่อยหน่อยนะ ช่วงนี้นายจะพักหน่อยไหม ฉันจะได้ทูลเสด็จพ่อให้ลดงานลง”
“อย่าเลย ไม่งั้นนายก็หัวหมุนคนเดียวน่ะสิ ให้ฉันได้ช่วยนายนั่นแหละดีแล้ว”
“แต่อย่าทรงโต้รุ่งเหมือนท่านโซอิจิโร่นะพ่ะย่ะค่ะ มันไม่ดีต่อพระวรกาย” ซาโตชิเอ่ยแทรกทำเอาแฝดผู้พี่ต้องเลิกคิ้วสูงและไม่วายหรี่ตาดุใส่น้องชาย
“โต้รุ่ง? อย่าบอกนะว่านายยังไม่ได้นอนเลย!?”
“อือ ก็ฉันยังไม่ง่วงเสียหน่อย โอ๊ย!” เจ้าของเรือนผมสีดำขลับเผลออุทานพร้อมกุมหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ เพราะตนเองเพิ่งจะถูกฝาแฝดใช้นิ้วดีดใส่หน้าผากไปเต็มแรง
“โธ่ จริง ๆ เลย ร่างจะพังเอานะ”
“ช่างฉันเถอะน่า...กลับเข้าเรื่องเดิมก่อน ฉันยังคุยกับซาโตชิไม่เสร็จเลย”
“หือ หมายถึงเรื่องการคัดเลือกน่ะเหรอ?” เกนอิจิโร่เอียงคอสงสัย ก่อนจะได้ซาโตชิช่วยเท้าความว่าโซอิจิโร่กำลังจะให้คำตอบเขาเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้พอดี
“อย่างนี้เอง...งั้นให้ฉันไปด้วยนะ” วินาทีนั้นดวงตาสีซากุระถึงกับเบิกกว้างพลันหันขวับมององค์ชายหนุ่ม เขาเอ่ยปฏิเสธทันทีด้วยความเป็นห่วงว่ามันไม่ปลอดภัยกับเจ้าตัว อีกทั้งเสี่ยงที่ความลับของพวกเขาสองแฝดจะแตกได้ ทว่าคำของซาโตชิกลับไร้ผลแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะเป็นคำตอบ พร้อมคำดื้อดึงจะไปให้ได้ของเกนอิจิโร่
“ฉันยอมก็ได้” ไม่ทันไรแฝดคนน้องก็ดันตอบกลับมาเสียดื้อ ๆ
“ท่านโซอิจิโร่!? แบบนั้นมัน...”
“ไม่เป็นไร แค่เล่นสลับตัวเหมือนทุกครั้งก็พอ อีกอย่างเราให้องครักษ์ประจำรอบ ๆ อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าถึงตัวพวกเราหรอกคุณสบายใจได้” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางกอดอกหลวม ๆ เขารู้ดีว่าพี่ชายของตนหากตัดสินใจสิ่งใดแล้วก็จะยืนยันคำเดิม เพราะงั้นสู้ตอบรับไปเลยคงง่ายกว่า แม้ความเป็นห่วงจะยังไม่คลายก็ตาม
“แต่มีข้อแม้...” โซอิจิโร่ดันตัวลุกจากเก้าอี้พร้อมเดินไปใกล้เกนอิจิโร่ มือเล็กวางลงบนไหล่สองข้างของอีกฝ่ายพลันหรี่ตามอง
“นายห้ามอยู่ห่างจากฉันล่ะ เข้าใจไหม?”
“ฮ่า ๆ รู้แล้วน่า...” ผู้เป็นพี่วาดยิ้มละมุนพลางลุกมายืนในระดับเดียวกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้เรือนผมนุ่มสีดำอย่างนึกเอ็นดู
“ขอบใจนะ โซอิจิ”
ครั้นซาโตชิที่ได้แต่เฝ้ามองภาพตรงหน้าเป็นต้องยกยิ้มให้เห็น แม้จะเหนื่อยใจกับความดื้อที่ถอดแบบกันมาจนผู้ใหญ่อย่างเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แต่กลับอุ่นใจเมื่อเห็นสายสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองแน่นแฟ้นไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากภาระหนักอึ้งที่ทั้งคู่แบกรับ อีกทั้งเรื่องอ่อนไหวอย่างยศตำแหน่งที่ทำพี่น้องแตกหักกันมานักต่อนัก
เขาได้แต่หวังว่ามันจะไม่มาเยือนฝาแฝดคู่นี้...ในสักวัน
“ถ้างั้น...วันงานก็รบกวนด้วยนะครับ ซาโตชิซัง” เกนอิจิโร่หันมาเอ่ยกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม
“ให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ”
.
.
.
ในวันเดียวกันกับที่ซาโตชิไปพบกับโซอิจิโร่ หลังจากเสร็จกิจธุระชายหนุ่มก็ไม่ลืมจะแจ้งไปยังนาโอริเกี่ยวกับผลการทดสอบ แน่นอนว่าสาวเจ้าผ่านฉลุยแถมยังอยู่ในระดับดีมาก ซาโตชิเลยบอกให้เธอเตรียมพร้อมสำหรับการคัดเลือกรอบที่สองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งนัดแนะเธอว่าอาโอบะจะอาสาไปรับไปส่งอย่างเคย แม้จะถูกสาวเจ้าหลอกซักถามรายละเอียดการแข่ง แต่เขาก็ปากหนักพอที่จะไม่เอ่ยออกไปพร้อมบอกให้เจ้าตัวรอสัมผัสด้วยตัวเอง
ซาโตชิ
‘พยายามเข้าล่ะ’
นาโอริ
‘รับทราบค่ะ!’
นาโอริวางมือถือลงพลันถอนใจเฮือกใหญ่ นึกเสียดายที่ไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มยอมบอกใบ้กับเธอได้ แต่ใจหนึ่งกลับเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นกับบททดสอบที่จะได้พบในอีกสองวัน การที่เขาไม่ยอมบอกเช่นนี้แปลว่ามันจะต้องท้าทายมากเป็นแน่และไม่ว่าจะเป็นอย่างไรสาวเจ้าก็พร้อมเข้าสู้เสมอ!
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องใช้ดาบล่ะก็เธอเต็มใจมากเลยล่ะ
“จะแบบทดสอบอะไรก็เข้ามาเลย...” เธอชูกำปั้นขึ้นสูง นัยน์ตาสีซากุระเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจขั้นสุด
“ฉันพร้อมมาก!”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder