ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
ณ กลางระเบียงเรือนกระจกต้นไม้รายล้อม เสียงของนาโอริดังกังวานไปทั่วเช่นเดียวกับในหัวของโซอิจิโร่ซึ่งสะท้อนประโยคเดิมนั้นซ้ำ ๆ บัดนี้เสียงระฆังหง่างเหง่งของงานวิวาห์กำลังบรรเลงในความคิดเพราะคำที่เจ้าตัวพูดออกมา หากจะอยู่ด้วยกันจนตายจากก็คงมีแต่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น หรือต่อให้คิดเป็นอย่างอื่นได้อีกเขาก็ห้ามร่างกายที่แข็งทื่อเป็นหินกับใบหน้าแดงแปร๊ดลามยันใบหูนั่นไม่ได้แล้ว!
“ต ตายจากกัน!?”
“ใช่! นายไม่มีวันหนีจากฉันได้แน่!” นาโอริยิ้มมั่นใจพลางหัวเราะหึ ๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่แทบหลุดมาดขรึม
“ธ เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!?”
“แน่นอน ฉันรู้ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่...ว่าแต่นายเถอะเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าแดงมากเลยนะ?”
“ไม่! ไม่เลยสักนิด” เด็กหนุ่มรีบยกมือบังหน้าที่แดงเรื่อพลันถอยหนีอีกฝ่ายที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ซึ่งท่าทีเด๋อด๋านี้ทำเอาสาวเจ้าเป็นต้องยิ้มกริ่มทันทีที่คิดสาเหตุของมันได้ เธอแกล้งทำเป็นครุ่นคิดพลันเม้มปากนึกสะใจน้อย ๆ ถือเสียว่าแก้แค้นที่เขากล้าทำร้ายจิตใจเธอก็แล้วกัน
“หรือว่า....กำลังเขินอยู่เหรอ อุ๊บ!”
เด็กสาวขี้แซวถูกมือเล็กป้องปากไม่ให้เอ่ยต่อและถูกโซอิจิโร่บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยจนแม่น้ำทั้งห้าก็ไม่พอ หนำซ้ำยังมีโอกาสได้เห็นใบหน้าหล่อแดงเป็นมะเขือเทศอีกต่างหาก แบบนี้จะอดไม่ให้แกล้งเขาได้อย่างไรกัน ถ้าไม่ติดว่าพวกเธอกำลังคุยเรื่องเกือบจริงจังอยู่ นาโอริคงไม่พ้นทำให้เขากลายเป็นมะเขือเทศสุกไปแล้ว
เมื่อโซอิจิโร่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีจะแกล้งเขาต่อเจ้าตัวจึงรีบเอ่ยแทรกและเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
“องครักษ์ไม่ใช่งานง่าย ๆ นะ เธอไม่น่าจะรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีระบบยังไง”
“ตอนนี้ไม่รู้ หลังจากนี้ก็จะรู้เอง ฉันตั้งใจจะเรียนรู้เต็มที่นั่นแหละ” นาโอริเชิดหน้าเพราะเธอตั้งใจจะทำเช่นนั้นจริง ๆ
“เราไม่ได้ล้อเล่นนะ ต่อให้ได้มาอยู่ข้างกันอย่างที่ตั้งใจจริงแต่เธอจะเหมือนเป็นคนใช้ของราชวงศ์เลยนะ เราไม่สบายใจเท่าไหร่...”
“ก็อยู่ในความดูแลของนายไม่ใช่เหรอ งั้นฉันก็ไม่แคร์ พูดให้ตายฉันก็ไม่ล้มเลิกหรอกนะ!” เด็กหนุ่มที่ได้ยินเป็นต้องถอนใจเหนื่อยหน่ายเพราะเขาลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายดื้อรั้นเพียงใด แถมตอนนี้เหมือนจะทวีคูณขึ้นอีกด้วย
แต่ยังไงก็ไม่อยากล้มเลิกความพยายามโซอิจิโร่จึงยกทั้งข้อเสีย ความน่ากลัวของหน้าที่นี้ อีกทั้งเรื่องผลกระทบต่อการเรียนของสาวเจ้าที่เป็นเรื่องใหญ่สุด หากเธอเข้ามารับหน้าที่จริง ๆ เวลาในรั้วโรงเรียนจะถูกแทนที่จนไม่เหลือ มองทางไหนก็ไม่ได้เกิดผลดีกับเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งเลย
“เรื่องนั้นฉันเคยคุยกับประธานนักเรียนแล้ว รุ่นพี่เขารับปากจะจัดการให้น่ะ” นาโอริยืนยันเสียงเรียบ ซ้ำยังส่งแววตาแน่วแน่ไปให้โซอิจิโร่พยายามสุดชีวิตที่จะเถียงให้ชนะเขา
“เราคิดว่ามันบ้าบิ่นไปหน่อยนะที่ทำแบบนี้”
“ฉันก็คิด...แต่ตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่ถอยหรอก”
“เฮ้อ ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย...ยิ่งทำให้เป็นห่วงกว่าเดิมอีกไม่ใช่หรือไงเนี่ย” ประโยคสุดท้ายนั้นพึมพำออกมาแผ่วเบาให้แค่ตัวเองได้ยิน แต่มีหรือจะรอดพ้นประสาทหูเฉียบไวของสาวเจ้าไปได้
“เป็นห่วงกันขนาดนี้ก็ยิ่งต้องจับตาดูฉันสิ จะไล่กันไม่ได้แล้วนะ หุ ๆ”
“ค ใครว่าเราห่วง แค่เหนื่อยใจกับความดื้อของเธอต่างหาก” เด็กหนุ่มรีบหันหลังหนีสายตารู้ทันของนาโอริทำเอาเสียงใสหัวเราะชอบใจดังกังวานไปทั่ว ร่างบางจงใจเดินเข้าไปใกล้พลางโน้มตัวมองใบหน้าอมชมพูจากด้านข้าง อีกฝ่ายที่เห็นได้แต่มุ่ยหน้าเป็นคำตอบเรียกรอยยิ้มน่ารักปนสนุกสนานจากเด็กสาวไม่ยาก
“ทรงไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเพคะ...ฝ่าบาท?” เธอดัดเสียงเล็กเสียงน้อย
“อะแฮ่ม เลิกล้อเราเล่นได้แล้ว ทีนี้ก็ส่งเหรียญตรามาให้เราทีสิ” โซอิจิโร่กระแอมกลบเกลื่อนพลางยื่นมือออกไปทั้งที่หลบดวงตากลมนั้นอยู่ แม้นาโอริจะยังรู้สึกเอาคืนไม่หนำใจแต่ก็ยอมส่งเหรียญให้แต่โดยดี อีกฝ่ายครั้นรับมาแล้วก็รีบปรับสีหน้ากลับเป็นดังเดิมก่อนจะยอมหันกลับมาสบนัยน์ตาสีซากุระอีกครั้ง
“นายจะทำอะไรเหรอ?”
“ทำพิธีแต่งตั้งองครักษ์ไง ในเมื่อเธอมัดมือชกเราขนาดนี้จะให้ทำไงได้” คำพูดนั้นเหนื่อยใจนั้นผุดเครื่องหมายคำถามในความคิดนาโอริ เธอนึกว่าการแต่งตั้งของทหารจะต้องมีพิธีรีตองอะไรมากกว่านี้เสียอีกและในเมื่อคนตรงหน้าคือเด็กสาว โซอิจิโร่จึงไม่คิดปิดบังพร้อมเล่าเรื่องที่ปิดการคัดเลือกนี้เป็นความลับจากจักรพรรดิให้ฟัง
“เพราะไม่ใช่การคัดเลือกทางการเลยจัดพิธีแต่งตั้งให้สมเกียรติไม่ได้ เราขอโทษจริง ๆ นะ”
“ความจริงฉันไม่สนใจหรอก แต่ถ้านายทำให้ ฉันก็ยินดี ฮิ ๆ” ยามมองรอยยิ้มเจิดจ้านั่นเขาก็อดจะยิ้มตามไม่ได้
โซอิจิโร่ได้เริ่มกล่าวคำอวยพรแก่ทหารผู้ภักดีต่อเขา คำที่เอ่ยไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เคยพูดกับทหารนับร้อยทว่าครั้นดวงตาสบกันหัวใจมันกลับลิงโลดจนวูบวาบ ความปีติตลบอบอวลในใจจนน่าประหลาด เด็กหนุ่มไม่เข้าใจความรู้สึกในตัวเวลานี้เลยเพราะก่อนหน้านี้เขายังปวดร้าวที่ต้องเห็นนาโอริดั้นด้นฝ่าแบบทดสอบเพื่อมาหาเขา แต่หลังจากมองดูเธอกับความเตรียมใจที่ไม่ได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนกับเขาทิฐิก็พลันสลายไป เหลือแต่ความอบอุ่นปลอดภัยและวางใจแสนคุ้นเคยเมื่อมีคนนึกถึงเขาถึงเพียงนี้ คล้ายกับครั้งนั้น...ที่เขาไม่เคยลืมเลือน
“เข้ามาใกล้เราหน่อยสิ”
นาโอริเขยิบเข้าไปตามคำกล่าวและจ้องดูอีกฝ่ายที่กำลังแนบเหรียญใกล้กับริมฝีปากตนเอง จุมพิตนุ่มนวลประทับลงบนลายดอกฮิกันบานะก่อนจะผละออกพร้อมเอื้อมติดมันที่อกเสื้อฝั่งซ้ายคนตรงหน้าอย่างเบามือ เท่านี้พิธีก็เป็นอันเสร็จสิ้นและอาจหมายถึงการที่โซอิจิโร่ยอมรับในตัวนาโอริด้วย
“ปกตินายต้องจูบที่เหรียญทุกครั้งเลยเหรอ?”
“ก ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง คิดในใจว่าทำไมสาวเจ้าจะต้องสงสัยในเรื่องแบบนี้ด้วย
“อย่างนี้เอง...แปลว่าทำให้เฉพาะทหารคนสนิทสินะ”
“จะว่างั้น...ก็ได้” โซอิจิโร่เผลอเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้ เพราะใครจะกล้าบอกกันล่ะว่าเขาเพิ่งทำให้เธอเป็นคนแรกเนี่ย!
“ดีจัง เหมือนได้เครื่องรางที่นายอวยพรให้เลย!” เมื่อก้มมองเหรียญบนตัว สาวเจ้าก็ตาเป็นประกายขึ้นมาพลันนึกอะไรออก เธอจึงรีบยืดตัวตรงไพล่แขนไปด้านหลังอย่างขึงขัง นัยน์ตาสีซากุระสะท้อนใบหน้านิ่งที่ฉายความฉงนนั้นชัดเจนก่อนจะเอื้อนเอ่ยหนักแน่นด้วยรอยยิ้ม
“ต่อจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...หม่อมฉันขอปฏิญาณว่าจะอยู่เคียงข้างฝ่าบาททั้งสุขและทุกข์ ไม่ว่าเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่หม่อมฉันก็จะอยู่ปกป้องทั้งตัวและหัวใจของฝ่าบาท จนกว่าจะมีอะไรแยกพวกเราจากกันเพคะ”
ครั้นได้ยินคำปฏิญาณสุดแปลกจากนาโอริ โซอิจิโร่เป็นต้องสะอึกหนักเข้าไปใหญ่ เสียงหวานกับคำพูดพวกนั้นพาให้ความร้อนในตัวซึ่งเพิ่งจะดับไปพุ่งปรี๊ดจนใบหูแต้มสีแดงเรื่อ หนำซ้ำยังรู้สึกเหมือนเสียงระฆังวิวาห์กำลังตีอยู่รอบตัวจนเก็บอารมณ์เขินไม่อยู่ ทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นแค่คำปฏิญาณตามฉบับคนไม่เคยเป็นทหารแต่ไอ้หัวใจบ้านี่ก็ดันไม่ฟังคำสั่งเอาเสียเลย เขาล่ะอยากตบตัวเองให้มันรู้แล้วรู้รอดที่กล้าคิดเลยเถิดเช่นนี้!
“ป ปกติเขาไม่พูดกันแบบนั้นหรอก ไม่งั้นมันเหมือน...” เสียงนุ่มพลันตะกุกตะกักเพราะจะอธิบายก็รู้สึกอายเกินกว่าจะกล้าพูดออกไป
“เหมือนอะไรเหรอ? เป็นองครักษ์ก็ต้องปกป้องกับอยู่ข้างเจ้านายทุกเวลานี่นา”
“อ อือ มันก็ใช่ แต่...เฮ้อ ช่างมันเถอะ”
หากเถียงมากกว่านี้เด็กหนุ่มก็กลัวอีกฝ่ายจะยิ่งสงสัยเขาเลยยอมแพ้และปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น เรื่องอะไรจะยอมให้คนตรงหน้ารู้ความคิดบ้า ๆ ของเขากันล่ะ ดวงตาคมเลยเลือกเบี่ยงหาที่พึ่งอื่นช่วยให้ใจสงบก่อนจะสังเกตเห็นแสงสีส้มทอผ่านหน้าต่างเรือนกระจก บ่งบอกว่าพวกเขาใช้เวลาคุยกันนานเกินควรเสียแล้ว
“อ่ะแฮ่ม เราว่ารีบกลับไปกันเถอะซาโตชิคงรอเธอแย่แล้ว ส่วนเราจะปล่อยพี่ชายให้รอนานกว่านี้คงไม่ดีเหมือนกัน”
“พี่? หมายถึงองค์รัชาทายาทตัวจริ-...”
“ชู่! หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง พูดอะไรต้องระวังหน่อย” นาโอริรีบปิดปากตามคำห้ามพลางพยักหน้าเป็นคำตอบพาให้โซอิจิโร่ต้องเป่าปากโล่งใจ
“ไปกันเถอะ” ว่าจบเด็กหนุ่มพลันตั้งท่าจะเดินนำไปแต่ไม่ทันไรก็ถูกรั้งแขนไว้ เขาย่นคิ้วฉงนให้นาโอรินึกไปว่าเธอยังมีเรื่องที่ต้องการพูดหรือเปล่า ทว่ากลับต้องเหงื่อตกเมื่อสาวเจ้าเสนอให้เขารอตรงนี้และอย่าเพิ่งออกไปด้านนอกจนกว่าเธอจะตรวจสอบแน่ชัดว่าไม่มีใครอยู่ โซอิจิโร่ไม่วายยกมือมาป้องรอยยิ้มที่ห้ามไม่อยู่ขณะมองร่างบางชะเง้อชะแง้ไปด้านนอก เขาอดเอ็นดูนาโอริที่ทำตัวเป็นองครักษ์ตั้งแต่ยังไม่ทันสวมเครื่องแบบไม่ได้ เพราะท่าทีระแวดระวังเกินเหตุนั่นมันทั้งน่ารักและตลกในเวลาเดียวกัน
“ทางสะดวก! ไปกันเถอะ”
สองหนุ่มสาวพากันเดินออกมาจากเรือนกระจกไปตามทางเดินยาว นาโอริยังคอยสอดส่องรอบด้านอย่างขันแข็งตลอดทางกลับ ท้ายที่สุดพวกเขาก็กลับมาหาคนอื่น ๆ ได้โดยสวัสดิภาพ เซย์ตะนั้นยิ้มแย้มต้อนรับทั้งสองผิดกับซาโตชิซึ่งดูมีสีหน้าขรึมกว่าปกติและแทบจะเผลอดุเด็กสาวยกใหญ่ หากไม่ใช่เพราะถูกโซอิจิโร่ยกเรื่องที่ปกปิดความจริงจากเขามาพูดพร้อมส่งสายตาคาดโทษให้ ชายหนุ่มจึงยอมรับผิดอย่างไม่มีข้อแก้ตัวและยอมฟังคำบ่นจนหูชา
“ทุกอย่างราบรื่นดีไหม นาโอริจัง?” ร่างบางหันขวับมองเจ้าของเสียงสดใสอย่างเซย์ตะที่เข้ามาหาระหว่างที่เจ้านายของตนกำลังเทศนาซาโตชิอยู่
“ราบรื่นดีค่ะ แถมได้โซ- เอ๊ย ได้องค์ชายทำพิธีแต่งตั้งองครักษ์ให้ด้วย!”
“ดีจังเลยครับ งั้นผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยอีกรอบนะ”
“ขอบคุณนะคะ....เอ๊ะ จะว่าไปทำไมคุณขึ้นมาที่ชั้นนี้เหรอคะ เห็นซาโตชิซังบอกว่าปิดเรื่องที่พวกองค์ชายมากันนี่นา”
“เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่เก็ทน่ะ?” นาโอริเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายหัวเราะพรวดออกมาพลางปาดหยดน้ำตา เซย์ตะถึงกับต้องกลั้นเสียงหัวเราะไว้ครั้นเห็นว่าใบหน้าฉงนของสาวเจ้าไม่ยอมหายไปเสียที ดูท่าจะปล่อยให้คาราคาซังต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เขาเลยตั้งใจจะอธิบายความจริงแก่คนตรงหน้า
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นให้ผมแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกสักทีนะครับ” ชายหนุ่มแย้มยิ้มพลางยกมือข้างหนึ่งทาบอกพลันโค้งตัวน้อย ๆ ให้ร่างบาง
“ผม โมโมเสะ เซย์ตะ องครักษ์ประจำตัวองค์รัชทายาทลำดับที่สาม...หรือจะเรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอในอีกไม่ช้าก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ฟังคำแนะนำตัวจบ สมองของนาโอริเป็นต้องชะงักไปชั่วขณะเพราะอะไรหลายอย่างดันตีกันในหัว ไม่นานคำตอบที่ตกผลึกมาเป็นอย่างแรกก็คือคนตรงหน้าได้ซ่อนตัวตนจริง ๆ ไว้และเข้าไปในโลกเสมือนพร้อมกับเธอ คำตอบที่สองคือเธอเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงไม่กระตือรือร้นอยากเป็นองครักษ์ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องพยายามแต่แรกแล้วต่างหาก
ทว่านาโอริกลับไม่ได้ตกตะลึงสิ่งพวกนั้นเท่ากับชื่อเต็มของเขา...
“ม โมโมเสะเหรอคะ!?”
“เอ๋ ทำไมเธอตกใจชื่อผมยิ่งกว่าตำแหน่งเสียอีกล่ะ?” ร่างสูงทำหน้าเหวอ
“พอดีเพื่อนกับรุ่นพี่ฉันก็นามสกุลเดียวกัน...หรือว่าคุณจะรู้จั-”
“นาโอริ เธอควรกลับไปหาเรย์กะได้แล้วนะ เดี๋ยวกลับบ้านเย็นพอดี” ทั้งคู่ถูกซาโตชิแทรกขึ้นถูกเวลาจนเด็กสาวเป็นต้องมุ่ยหน้าเพราะกำลังคุยถึงช่วงสำคัญ แต่เซย์ตะก็ทิ้งท้ายไว้กับเธอว่าจะเล่าส่วนที่เหลือให้ฟังเมื่อพบกันอีกครั้ง ซึ่งคงอีกไม่นานเกินรอ
“โธ่...ก็ได้ค่ะ แต่ถึงตอนนั้นต้องยอมเล่านะคะ”
“แน่นอนครับ” นาโอริที่ได้รับคำตอบก็พยักหน้ารับและตั้งท่าจะหันไปบอกลากับเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกล แต่แล้วกลับเป็นอีกฝ่ายที่เข้ามาหาเธอเอง
“ไว้เจอกันนะนาโอริ เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” โซอิจิโร่เดินเข้ามาใกล้พลันยกยิ้มอ่อนโยน ทว่ากลับต้องสะดุ้งเพราะถูกอีกฝ่ายสวมกอดไม่ทันตั้งตัวจนเหล่าผู้ใหญ่อ้าปากค้างกันเป็นแถบ ส่วนแฝดผู้พี่ที่แอบดูอยู่ด้านในห้องก็ลอบหัวเราะชอบใจใหญ่
“ไว้เจอกันนะโซว์” นาโอริกระซิบใกล้ใบหูแดงเรื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน ร่างบางนั้นแนบชิดกับอีกฝ่ายจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจจากโซอิจิโร่ที่รัวดั่งกลองผ่านมาถึงตัว เธอได้แต่หัวเราะชอบใจพลันผละออกมามองหน้าแต้มสีแดงเรื่อให้คุ้มกับที่ลงทุนแกล้งเขา เธอล่ะชอบสีหน้าชวนหยิกนี้เหลือเกิน
“รักษาตัวนะเพคะ ฝ่าบาท” สาวเจ้าไม่วายกล่าวทิ้งท้ายพร้อมก้มโค้งให้อย่างนอบน้อมและวิ่งกลับลงบันไดไป รอกระทั่งร่างบางลับสายตาโซอิจิโร่จึงเรียกดึงสติทหารของเขาให้ตื่นจากภาพชวนตกใจเมื่อครู่ และออกคำสั่งให้เดินทางกลับกันเสียที
.
.
.
บัดนี้เมื่อไม่มีความแคลงใจระหว่างทั้งคู่อีก สีหน้าของเด็กหนุ่มที่แม้จะนิ่งขรึมเหมือนเดิมแต่มันก็สดใสมากพอให้เกนอิจิโร่จับสังเกตได้และแซวเล่นตลอดทางกลับ ไม่ต่างกับนาโอริที่ได้อาโอบะมาส่งถึงบ้านพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม ต่อให้หญิงสาวจะสงสัยไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่นาโอริกับซาโตชิหายขึ้นไปชั้นบนของตึก แต่เธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะคาดคั้นสาเหตุให้ยุ่งยาก ขอแค่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้ว
“ฉันกลับก่อนล่ะ”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มาส่งนะคะ อาโอบะซัง” เด็กสาววาดยิ้มขอบคุณ อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางบอกว่าเป็นหน้าที่และบึ่งรถออกจากหน้าบ้านชิสึจิไปในทันใด กระทั่งเหลือเพียงร่างบางที่พ่วงอารมณ์สุขใจไว้พร้อมด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ข้างเอว
ทว่านาโอริเป็นต้องหยุดความดีใจไว้เท่านั้น เมื่อตัดสินใจเหยียบมาหยุดตรงหน้าประตูและถึงเวลาที่ต้องเผชิญความจริง...
“ยังไงวันนี้ก็ต้องเล่าให้แม่เธอฟังนะ” จูลิโอ้เอ่ยดักทางความคิดคู่หู
“ไม่ต้องย้ำหรอก...แค่ขอเตรียมใจโดนโกรธหน่อย”
“เตรียมมาตั้งเท่าไหร่แล้ว”
“ถึงเวลาจริงมันก็กลัวไหมล่ะ!” เด็กสาวเบ้ปากพลันถอนใจแรง นัยน์ตาสีซากุระจ้องลูกบิดประตูอยู่พักหนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าเปิดมันเข้าไปและได้การต้อนรับจากยูริพร้อมร่วมรับประทานอาหารกับเธอ
บรรยากาศแสนสุขช่วยค้ำจุนความรู้สึกของนาโอริ เธอตัดสินใจที่จะเล่ามันระหว่างรับประทานอาหารเพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสไหนดีเท่าช่วงเวลานี้อีก แต่เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของมารดากับคำพูดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ใจมันก็พลันแป้วขึ้นมา
“นาโอริ...” เสียงทุ้มเตือนเธออีกครา
“รู้แล้วน่า”
“มีอะไรหรือเปล่าลูก?” ยูริที่เห็นท่าทางของลูกสาวจึงเลิกคิ้วสงสัย เด็กสาวจ้องนัยน์ตาสีเปลือกไม้นั้นไม่วางพร้อมสูดหายใจลึก ถึงเวลายอมรับผลการตัดสินใจของตัวเองแล้ว...
“แม่คะ คือว่า...”
ริมฝีปากเรียวขยับเล่าเรื่องทั้งหมดที่ปกปิดไว้ออกไป ทุกคำพูด ทุกประโยคยิ่งค่อย ๆ เปลี่ยนสีหน้าของผู้เป็นแม่ให้ซีดเผือดลงจนแม้แต่แรงจะจับช้อนส้อมก็ไม่มี เสียงเหล็กกระทบจานก้องในความเงียบพาบรรยากาศให้อึดอัด ราวหัวใจมันรวดร้าวหยาดน้ำใสจึงเอ่อนองหน้ามีริ้วรอยจนนาโอริต้องรีบลุกไปหาเธอ
“แม่...”
“ลูกปิดบังเรื่องนี้กับแม่ได้ยังไง!? ทำไมถึงทำอะไรไม่คิดแบบนี้!” ยูริพรวดเข้าจับไหล่ลูกสาวทั้งน้ำตา
“หนูขอโทษ แต่เพราะรู้ว่าแม่จะต้องเป็นแบบนี้เลยไม่ได้บอกตั้งแต่แรก”
“ใช่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแม่ไม่มีทางยอมให้เอาชีวิตไปทิ้งแน่ ๆ ลูกเพิ่งจะสิบหกเองนะ!”
“หนูไม่ได้เอาชีวิตไปทิ้งนะคะ หนูทั้งฝึก ทั้งเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อที่จะเป็นทหาร”
“ลูกรู้หรือเปล่าว่าไปเป็นทหารมันหมายถึงอะไร มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่อยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออกนะลูก!” หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือพลันพยายามสะกดความโกรธเอาไว้และโน้มน้าวลูกสาวทุกวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะทำยังไงนาโอริก็แย้งเธอกลับแทบจะทุกประโยคทั้งยังยืนยันความตั้งใจให้ผู้เป็นแม่ฟัง
“เป็นเพราะสภาเจ็ดซามูไรกับชินระใช่ไหมที่ยัดความคิดบ้า ๆ นี้ให้ลูก แม่จะไปจัดการให้รู้เรื่อง”
“ไม่ใช่นะคะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย หนูเป็นคนตัดสินใจเองต่างหาก!”
“จะใช่หรือไม่ แม่ก็จะเอาเรื่องอยู่ดีเพราะเดิมทีเด็กอย่างพวกลูกก็ไม่ควรถูกปฏิบัติเยี่ยงทหารด้วยซ้ำ ควรใช้ชีวิตปกติและได้เติบโตสิ” ยูริสะอื้นพลันทรุดตัวลงกับพื้นทำเอานาโอริต้องเข้าประคองเธอ หัวใจเด็กสาวบีบรัดทรมานกว่าครั้งใด เพราะคนที่ไม่อยากจะทำให้เสียใจที่สุดคือแม่บังเกิดเกล้า แต่จะให้ยอมทิ้งความฝันหรือความตั้งใจของตนเองเธอก็ไม่ยอมเช่นกัน
ตอนนี้เธอจึงได้แต่ร้องไห้มองหัวใจของแม่แตกร้าวและฝืนยึดมั่นในสิ่งที่ตัดสินใจ...
“หนูรู้ว่าแม่ไม่อยากให้เดินเส้นทางนักดาบมาแต่ไหนแต่ไร และแม่ก็ยอมเจ็บปวดทุกครั้งเพราะความเห็นแก่ตัวของลูกคนนี้...” เด็กสาวเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือไม่ต่างกัน
“แม่ยอมเจ็บเพื่อความสุขของหนู... ไม่ว่าเมื่อไหร่แม่ก็จะซ่อนความทรมานไว้และเป็นกำลังให้ทุกครั้งที่หนูท้อ ทำให้ ชิสึจิ นาโอริ เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลกมาตลอด....และวันนี้ นาโอริ ได้มีความฝันเป็นรูปเป็นร่างและอยากทำให้มันเป็นจริง” เด็กสาวสวมกอดผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน
“ถึงมันจะเป็นเส้นทางอันตราย แต่หนูก็อยากจะลองเดินไปด้วยตัวเองค่ะ มันคงเต็มไปด้วยอุปสรรคจนต้องการกำลังใจจากคนสำคัญคนเดิมที่เคยได้รับมาตลอด...แม่ช่วยเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดของหนูแบบนี้ตลอดไปได้ไหม”
น้ำตาพรั่งพรูจากดวงตาสั่นไหวของยูริ เธอไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไปและร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดลูกสาว ทุกประโยคของนาโอริสลักบนหัวใจร้าวบีบให้ทรมานกว่าเดิม เธอได้แต่คิดมาตลอดว่าลูกสาวของเธอนั้นตัวเล็กจ้อย บอบบางและต้องการการปกป้องจากแม่ ทว่าสิ่งที่นาโอริเอ่ยเปรียบดั่งสายน้ำชะล้างความพร่ามัวบนดวงตาให้สว่าง บัดนี้เด็กคนนั้นสูงพอ ๆ กับเธอหรืออาจมากกว่า กล้าคิดกล้าทำและเด็ดเดี่ยวในความคิดของตัวเอง ไม่ใช่คนที่เธอต้องประคบประหงมอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้น...จิตใจก็ยังรับได้ลำบากอยู่ดี
“แม่...ขออยู่คนเดียวสักพักนะ”
“โธ่ แม่คะ”
“ขอร้องล่ะนาโอริ ลูกกลับขึ้นห้องไปก่อนเถอะ” ยูริเอ่ยเสียงเบาพร้อมผละออกจากอ้อมกอด ดวงตาบอบช้ำจ้องลูกสาวราวยืนยันคำขอร้องนั้น ทำให้นาโอริต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้และเดินจากไปแต่โดยดี
บัดนี้ความมัวหมองได้ก่อตัวในใจ ต่างคนต่างต้องเสียน้ำตากับเรื่องที่ไม่ต้องการให้มันเกิด ต่อให้เป็นความต้องการของคนที่รักสุดหัวใจแต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์จะมีสักกี่คนที่ยกความรู้สึกคนอื่นเหนือตนเอง ท้องฟ้านั้นจึงเป็นใจนำพาหยาดฝนตกกระทบบ้านหลังกะทัดรัดราวปลอบโยนคนในบ้านชะล้างมลทินให้กระจ่าง ให้พวกเธอพร้อมจะรับมือกับความจริงที่ใครก็หลีกไม่ได้
ความจริงที่ว่า...ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder