ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
ตะวันสาดแสงลอดหน้าต่างของบ้านกะทัดรัดปลุกเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ให้เหยียดตัวลุกจากเตียง อาการปวดตุบรอบดวงตายิ่งหนักกว่าเก่าเพราะหลังจากที่ถูกไล่ให้ขึ้นมาห้องสาวเจ้าก็นอนจมกองน้ำตาอยู่นานจนผล็อยหลับไป ซ้ำยังตื่นมากลางดึกเป็นพัก ๆ อีก สภาพเธอตอนนี้จึงทรุดโทรมผิดตากับเมื่อวาน ทั้งขอบตาคล้ำและรอยแดงจ้ำรอบดวงตา แม้แต่สีหน้ายามตื่นก็บึ้งตึงไม่สดใสอย่างทุกที ร่างบางพาตัวเองไปชโลมน้ำเย็นให้ตาสว่างพร้อมแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียนเพราะเป็นวันแรกของอาทิตย์ ครั้นจัดการทุกอย่างเรียบร้อยนาโอริจึงเดินลงไปชั้นล่างของบ้าน
กลิ่นหอมเตะจมูกต้อนรับเหมือนทุกที แม้ครานี้สาวเจ้าจะรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะเผชิญหน้ากับมารดา ทว่าความหิวมันชักนำให้ยอมโผล่หน้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ยูริจัดเตรียมทุกอย่างตามปกติแต่หากมองดี ๆ ดวงตาของเธอเองก็แดงก่ำไม่ต่างกัน
“อิ่มแล้วค่ะ...” นาโอริพนมมือลวก ๆ พลันลุกนำจานไปล้างอย่างรวดเร็วและออกจากบ้านมาทันที เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้กล่าวลาผู้เป็นแม่ก่อนออกไปไหน เพราะด้วยบรรยากาศหนักอึ้งแค่มองหน้าอีกฝ่ายยังไม่กล้าด้วยซ้ำ
.
.
.
ขณะคิดอะไรเพลิน ๆ รู้ตัวอีกทีขาก็มาหยุดที่หน้าประตูโทริอิยักษ์เสียแล้ว เด็กสาวรีบตบแก้มสองข้างเรียกสติและกลบความเศร้าหมองให้หายไปจากใบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตลอดทางที่เดินเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่านักเรียนต่างผ่านหูไปราวแมลงบิน เธอไม่ได้สนใจบทสนทนารอบข้างเหมือนดั่งทุกทีและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องเรียน
ครืด
เมื่อเปิดประตูไปเพื่อนนักเรียนบางคนก็ทักทาย รอยยิ้มสดใสราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำงานในทันควัน กระทั่งเห็นซากิที่นั่งประจำที่อยู่ก่อนกำลังโบกมือให้ สาวเจ้าจึงผ่อนคลายสีหน้าลงมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปกปิดอีกฝ่ายได้นานเท่าใด
“โอฮาโย(สวัสดีตอนเช้า) นาโอะจัง!”
“สวัสดีจ้า เป็นยังไงบ้างซากิ รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันนานเลยแฮะ แค่อาทิตย์เดียวแท้ ๆ” นาโอริเอ่ยขณะนั่งลงกับเก้าอี้ เพราะเธอจดจ่อกับการคัดเลือกที่ผ่านมาจนไม่ได้ติดต่อเพื่อนสาวไปหลายวันและรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานแสนนาน ซากิเองก็ยุ่งกับการดูแลคนที่บ้านบวกกับคิดว่าเพื่อนสาวอาจต้องการสมาธิ เธอเลยจงใจไม่รบกวนจนกว่าจะจบการคัดเลือก ได้ยินเช่นนั้นนาโอริถึงกับซาบซึ้งน้ำตาหยดติ๋ง ช่างเป็นเพื่อนที่ดีเสียจริง!
“แล้ว...การแข่งเป็นยังไงบ้างจ๊ะ นาโอะจังดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลยหรือว่าจะ...”
“ไม่ใช่ ๆ ฉันผ่านฉลุยเลยต่างหาก” นาโอริยิ้มร่าพร้อมชูสองนิ้วทำเอาอีกฝ่ายดีใจตามเธอไปด้วย
“จริงเหรอ ยินดีด้วยนะนาโอจัง ฉันดีใจกับเธอด้วยนะ!” เด็กสาวผมสั้นแทบจะกระโจนกอดเพื่อนรักทำเอานาโอริหัวเราะคิกคักพลางกอดตอบ
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่าเขาแข่งอะไรกันบ้าง” ครั้นถูกรบเร้าให้เล่ารายละเอียดของการแข่ง สาวเจ้าจึงเล่าเกี่ยวกับการทดสอบในครั้งที่สองหรือตอนที่เข้าไปโลกเสมือนจริงให้ซากิฟังอย่างละเอียด ระหว่างนั้นนัยน์ตาสีเงินวาวเป็นต้องเบิกกว้างตื่นเต้นปนตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเจ้าตัวไม่คิดว่าการคัดคนของฮิบานะจะใช้วิธีที่แปลกจากที่เคยได้ยินถึงเพียงนี้
“เห็นว่าเป็นไอเดียของ...เอ่อ ขององค์รัชทายาทเองเลยล่ะ”
“ทรงมีความคิดแปลกใหม่มาก แต่ก็โชคดีสำหรับนาโอะจังที่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วเลยผ่านมาแบบสบาย ๆ เนอะ!”
“จะว่าสบายก็ไม่เชิง...เพราะได้หนึ่งในคนที่ร่วมแข่งคอยช่วยด้วยแหละ” ซากิเป็นต้องเลิกคิ้วสูง ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยถาม ใครอีกคนก็เอ่ยมันแทนเสียแล้ว
“ยังมีคนจิตใจดี ยอมช่วยคู่แข่งให้ชนะตัวเองอยู่ในโลกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”
“หึ นายไม่ได้เห็นตอนแข่งจะรู้อะไร ตอนนั้นฉันแทบจะแบกเลยด้วยซ้ำ” ร่างบางกอดอกเชิดหน้ามั่นใจพลางปรายตามองเจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงที่เดินเข้ามาหา พร้อมกับรูมเมตของเขาที่แอบแวบมาหาเพื่อนด้วยอีกคนและเป็นไคโตะที่วาดยิ้มให้สองสาวก่อน
“แหม น่าเสียดายที่พวกเราเข้าไปเชียร์ไม่ได้ อุตส่าห์อยากเห็นผลพวงจากการฝึกเสียหน่อย”
“ต้องขอบคุณนายเลยยูซึกะ เพราะเหมือนฉันจะได้ความช่างสังเกตมาจากนายไงล่ะ!” นาโอริขยิบตาตลกให้ร่างสูงอีกฝ่ายก็เล่นด้วยพร้อมดีดนิ้วดังเป๊าะ ก่อนจะพากันหัวเราะชอบใจยกใหญ่ แต่ไม่ทันไรนัยน์ตาสีซากุระกลับถูกบดบังด้วยใบหน้าหล่อซึ่งแทรกระหว่างเธอกับเจ้าหนุ่มแว่น ฮินาวะพลันหรี่ตาคาดคั้นราวต้องการอะไรสักอย่าง
“จะไม่ยกความดีความชอบให้ฉันบ้างหรือไง?”
“ฉันก็ขอบคุณทุกคนนั่นแหละ อย่าพูดเหมือนฉันลำเอียงสิ...เนอะ ซากิ” ว่าจบเธอจึงหันไปยิ้มกับเพื่อนสาวปล่อยร่างสูงให้ทำหน้าบึ้งตึงอยู่อย่างนั้น กระทั่งภาพของเซย์ตะถูกฉายในความคิดนาโอริ เธอพลันรีบหันขวับจ้องฮินาวะด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นจนสองหนุ่มต้องสะดุ้งโหยง
“โมโมเสะ นอกจากรุ่นพี่ฮิเมะแล้วนายมีพี่ชายอีกคนหรือเปล่า?”
“หา มีที่ไหนล่ะ เธอไปเจอใครมาหรือไง?”
“ก็คนที่ช่วยฉันไว้ในการแข่งเขาชื่อ โมโมเสะ เซย์ตะ น่ะสิ เห็นนามสกุลเหมือนกันเลยคิดว่าพี่น้องกัน” เด็กหนุ่มถึงกับหลุบตาครุ่นคิดที่มาของชื่อแสนคุ้นเคยนี้ มันติดอยู่ที่ริมฝีปากกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็ผุดเข้ามาในหัว
“คนที่ตัวสูง ๆ หน้าตาน่ารักเหมือนผู้หญิงใช่ไหม?” นาโอริพยักหน้าตอบเขาจึงมั่นใจได้ทันทีว่าเป็นใคร
“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเองล่ะ รู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้วด้วย”
“เซย์ตะเหรอ....อ้อ หมายถึงพี่เซย์ที่ติดพวกนายสองพี่น้องแจเมื่อตอนเด็กสินะ!” ไคโตะที่ลองนึกตามดีดนิ้วเป๊าะพลันหันมองเพื่อนสนิทซึ่งขมวดคิ้วมองใส่เขาอยู่
“อย่าย้ำได้ไหม พูดแล้วขนลุก”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เคยโดนพี่เขาแกล้งตอนเด็ก ๆ เหรอ?” นาโอริเอียงคอฉงน
“ก ก็ไม่เชิง...”
“ฉันเหมือนจะจำได้ราง ๆ ว่าพี่เขาใจดีมากเลยนะ...แต่อาจจะจำผิดก็ได้เพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว” ครานี้เป็นซากิที่พึมพำครุ่นคิดก่อนจะเงยมองเพื่อนหนุ่มด้วยอีกคน ทำให้คนกลายเป็นประเด็นต้องถอนใจแรงและยอมเล่าให้เหล่าเพื่อนฟังว่าเซย์ตะนั้นรู้จักกับพวกเขาสองพี่น้องมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน ฮินาวะเลยได้เจอพี่ชายคนนี้มายาวนานเสียยิ่งกว่าเพื่อนสนิทอย่างไคโตะเสียอีก
ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาขนลุกซู่ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากนิสัยเอาใจใส่คนรอบข้างเกินเหตุของเซย์ตะเอง บวกกับความเอ็นดูที่เขามีให้น้องทั้งสองก็กลายเป็นว่าเขาคอยตามติดไปไหนด้วยเสมอราวกับองครักษ์ประจำตัวน้อง ๆ และดูเหมือนนิสัยนั้นจะติดไปยันทำงานจริงเลยล่ะ
“ไม่อยากจะชมเขาหรอก แต่ที่ฉันชอบอาชีพนักดาบก็เพราะเห็นพี่เขาเป็นแบบอย่างด้วย...”
“นารุโฮโดะ! (อย่างนี้นี่เอง)” สามเสียงเอ่ยประสานกันพลางวาดยิ้มชอบใจจนฮินาวะต้องเบนหน้าหนีด้วยความเขิน ก่อนจะได้ยินนาโอริส่งเสียงฮัมราวเห็นด้วย
“ฉันเข้าใจนายนะ เพราะเซย์ตะซังก็เก่งจริง ๆ นั่นล่ะ ฉันยังว้าวเลย”
“ช่างเรื่องนั้นก่อน ไม่ใช่ว่าเธอกำลังแข่งคัดเลือกเหรอ ทำไมพี่เขาที่เป็นองครักษ์อยู่แล้วถึงไปแข่งด้วยล่ะ?” เขาเลิกคิ้วฉงนไม่ต่างจากนาโอริ ครั้นอยู่กับชายหนุ่มเธอก็มัวแต่สนใจเรื่องนามสกุลของเขาจนไม่ทันคิดถึงสาเหตุของเรื่องนี้เลย
“นั่นสิ ทำไมองครักษ์ขององค์รั-...อ๊ะ!” ดวงตากลมพลันเบิกกว้างเมื่อปะติดปะต่อชิ้นส่วนในความคิดเป็นหนึ่งเดียว ทันใดนั้นจึงรู้สึกเหมือนไออุ่นกำลังโอบกอดหัวใจของเธอ รอยยิ้มดีใจปรากฏชัดยามนึกถึงใบหน้าขรึมทว่ากลับอ่อนโยนของโซอิจิโร่ คงไม่พ้นคำสั่งของเขาที่ให้คนของตัวเองเข้าไปในโลกเสมือนเพื่อมาหาเธอเป็นแน่ ทีนี้ก็คลายสงสัยได้เสียทีว่าทำไมเซย์ตะถึงไม่ยอมหนีไปกระทั่งตัวเธอเข้ามาช่วย รอยยิ้มแต่งแต้มจนเกือบปริออกมาแต่สาวเจ้าดันลืมไปสนิทว่าเธอไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ซ้ำยังอยู่กลางวงสนทนาเสียด้วย...
“แหนะ ยิ้มแบบนี้แปลว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสินะครับ” ไคโตะดันแว่นพลางยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะตามมาด้วยสายตาคาดคั้นจากซากิกับฮินาวะ บังคับให้เด็กสาวต้องลนลานหาทางแก้ตัวโดยด่วน
“ม ไม่ใช่แบบนั้นนะ แค่รู้สึกขอบคุณพี่เขาที่ช่วยต่างหาก ใช่ไหมจูลิโอ้!”
นัยน์ตาสีซากุระเผลอเบิกกว้างเมื่อได้รับความเงียบเป็นคำตอบจนต้องก้มมองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เอวซึ่งพบเพียงแต่ความว่างเปล่า นาโอริลุกพรวดพยายามควานหาทุกซอกมุมแถวที่นั่งแต่ก็ไม่พบ คำตอบสุดท้ายคือเธอมัวแต่กระอักกระอ่วนกับผู้เป็นแม่เสียจนลืมของสำคัญไว้บนห้องนอนนั่นเอง
“เวรล่ะ...”
.
.
.
เวลาเดียวกันกับที่เด็กสาวเพิ่งจะตระหนักได้ว่าลืมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่บ้าน ยูริซึ่งได้วันหยุดก็กำลังทำงานบ้านตามปกติและตั้งใจจะทำความสะอาดในส่วนชั้นสองของบ้านต่อ เธอถืออุปกรณ์ทำความสะอาดไต่บันไดขึ้นไปกระทั่งมาหยุดที่โถงทางเดินพลางกวาดตามองจุดที่ควรต้องปัดกวาดเป็นอันดับแรก
วี๊ด
เสียงเล็กแหลมของกระแสลมกระทบหูเบาหวิวดึงให้เธอต้องชะงักความคิดและหันตามทิศทางของมัน นัยน์ตาสีเปลือกไม้ถูกตรึงให้มองไปยังประตูห้องนอนของลูกสาวพลันเจ็บแปล๊บที่หัวใจ
สาเหตุที่เจ้าตัวลุกมาทำความสะอาดทั้งบ้านเช่นนี้เพราะอยากวางเรื่องกวนใจให้ห่าง อย่างน้อยก็แค่ตอนนี้เพราะเธอยังไม่อยากยอมรับมัน ทว่าอะไรบางอย่างกลับดลใจให้ร่างกายวางของทุกอย่างพลันเดินไปเปิดประตูห้องนอน ก่อนจะสัมผัสกับสายลมโชยออกมาจากห้อง สภาพห้องที่คุ้นชินไม่มีอะไรเปลี่ยนยกเว้นดาบสีน้ำเงินสวยบนตู้ไม้
“นาโอริลืมดาบไว้งั้นเหรอ แบบนี้จะเรียนวิชาช่วงเย็นยังไงล่ะ?” เอ่ยจบยูริจึงตัดสินใจเข้าไปด้านใน สายตาจดจ้องอยู่กับดาบคาตานะที่อยู่ห่างออกไป แม้จะเห็นลวดลายไม่ชัดเจนแต่สีน้ำเงินดุจมหาสมุทรของมันกลับดึงดูดให้หวนย้อนถึงอดีตที่แสนสุข แต่ก็ปนด้วยทุกข์จนแทบขาดใจและไม่วายได้ยินเสียงสะท้อนก้องในความคิด
“รู้ไหมว่าดาบไม่ได้มีไว้แค่ฆ่าคนหรอกนะ”
“ถ้าไม่ใช้มันฟันแทงก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ แล้วจะต่างอะไรกับการฆ่าแกงล่ะ?”
“ถึงจะฟันจะแทงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะต้องการฆ่าใครแต่ต้องการปกป้องต่างหาก”
“ปกป้อง?”
“ใช่ เหมือนที่ฉันใช้มันปกป้องเธอไง ยูริ”
อดีตพรั่งพรูในความทรงจำจนไม่ทันรู้สึกตัวว่าบัดนี้ปลายนิ้วกำลังจรดลงบนปลอกดาบสวย วินาทีที่สัมผัสนอกจากจะไม่ถูกเผานิ้วแล้ว กระแสลมที่เคยอ่อนโยนก็พลันโหมกระหนำพัดเรือนผมสีเปลือกไม้พลิ้วสยาย หัวใจเต้นรัวด้วยความตระหนก นัยน์ตาสวยนึกอยากรู้อยากเห็นตั้งท่าจะเคลื่อนไปมองลวดลายโกร่งดาบ ทว่าสายตากลับถูกกลีบดอกไม้สีชมพูปลิวผ่านบดบังวิสัยทัศน์ ยูริพลันต้องกะพริบตาถี่ยิบเพื่อมองเบื้องหน้าใหม่และพบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทั้งตู้ไม้ทั้งดาบของลูกสาว
“ตาฝาดงั้นเหรอ...”
หญิงสาวส่ายหัวไปมาพยายามดึงสติให้กลับคืน เธอตระหนักได้ว่าตนเสียมารยาทอยู่ในห้องของเด็กสาวนานเกินไปเจ้าตัวจึงปล่อยมือจากดาบพร้อมตั้งท่าเดินออกไป
“เดี๋ยวสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นตั้งใจจะรั้งหญิงสาวเอาไว้ ทว่าเธอกลับตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังประตูคล้ายจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน...ได้ยินมาตลอดด้วย” ครานี้ยูริเป็นฝ่ายชะงักเท้าทันทีก่อนจะลอบมองอาวุธศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังราวยืนยันคำพูดนั้น
“ถ้าฉันมารบกวนเวลาของคุณก็ต้องขอโทษด้วย จะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“นาโอริน่ะ...ลูกสาวเธอไม่เคยอยากทำให้เธอเสียใจหรอกนะ แต่เด็กคนนั้นก็ต้องมีความฝัน มีความตั้งใจเป็นของตัวเองเหมือนกัน” ผู้เป็นแม่ชะงักอีกคราและเลือกจะเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“ฉันรู้ว่าลูกสาวของฉันเป็นเด็กดี แต่ถ้าเธอกำลังเดินทางผิด แม่อย่างฉันก็จำเป็นต้องคอยชี้แนะ”
“ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่จริง การได้เห็นลูกเดินตามความฝันที่เขาเตรียมใจมาพร้อมก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ?”
“ดวงจิตอย่างคุณ...คนที่ตายไปแล้วอย่างคุณจะรู้หัวอกคนเป็นแม่ได้ยังไง” หญิงสาวหันมาประจันหน้ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าเคืองโกรธถูกวาดบนใบหน้าพาให้จูลิโอ้สัมผัสได้ไม่ยาก เขาได้แต่ถอนใจออกมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าทับซ้อนกับคู่หูตนเอง ช่างสมเป็นแม่ลูกกันเสียจริง
“ฉันไม่รู้หรอกว่าแม่คนมันเป็นยังไง แต่ฉันรู้ว่าลูกสาวเธอตั้งใจกับเรื่องนี้มากและดื้อแค่ไหน ต่อให้เธอยืนยันปฏิเสธเด็กคนนั้นก็จะฝืนอยู่ดี...เหมือนกับที่ผ่านมา”
ราวถูกตอกย้ำเห็นการณ์ที่แล้วมา คำโต้แย้งไหนก็หยิบยกมาใช้ไม่ได้ ยูริที่โกรธถึงขีดสุดพลันเข้าไปคว้าดาบเต็มแรงไม่สนว่ามันจะเผามือตัวเองหรือไม่ ดวงตาสั่นระริกจ้องเขม็งไปที่ดาบและโพล่งความคิดออกมาอย่างกับคนบ้า
“จะให้ฉันทำยังไงล่ะ! ให้ปล่อยนาโอริไปเจออันตรายส่วนตัวเองก็นั่งรอฟังข่าวร้ายในสักวันงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ยอมถูกลูกเกลียดไปจนตาย มันยังคุ้มกว่าด้วยซ้ำ!?” หยาดน้ำตาหยดแหมะลงบนปลอกดาบ มือบางออกแรงกำมันแน่นกว่าเดิม
“ขืนปล่อยให้นาโอริเดินทางนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เด็กคนนั้นก็จะ...เหมือนกับ...พ่อของเธอขึ้นทุกที ฉันไม่อยากแยกจากกับคนที่รักเพราะอาชีพนักดาบนี่อีกแล้ว...ไม่เอาแล้ว!”
เสียงสะอื้นเลือนหายไปกับความเงียบในห้อง ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งจนอยากจะลงไปกองกับพื้นเสียให้ได้เพราะการเอ่ยความอึดอัดในใจมันกินแรงยิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิตของเธอ เนื้อตัวสั่นเทิ้มส่งไปถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือซึ่งจูลิโอ้ที่รับฟังมันทั้งหมดกลับเลือกจะไม่ปริปากอันใด ปล่อยให้ความรู้สึกของมนุษย์ตรงหน้าหลั่งไหลไปตามที่เจ้าตัวต้องการ
“หือ?”
ทว่าจู่ ๆ ดวงจิตก็รู้สึกถึงกลิ่นอายบางอย่าง ความอบอุ่นและความโหยหามันส่งผ่านมือสั่นเทิ้มที่ถือเขาอยู่ ซึมซาบสู่จิตวิญญาณ ทำให้เขารู้สึก...เศร้าไปด้วย
“เฮ้อ เดี๋ยวอีกสักพักนาโอริก็คงกลับมาเอาฉันไป...ถึงตอนนั้นก็ดูหน้าลูกสาวให้ดี ๆ ล่ะว่าเธอรู้สึกยังไง” ดวงตาเรียวมองเจ้าของเสียงทุ้มไม่วางพลันตั้งใจจะขยับปากถาม หากไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงกุกกักที่ชั้นล่างเสียก่อน เป็นใครไม่ได้นอกจากนาโอริที่รีบกลับมาเอาคู่หูของตนเองจริง ๆ ยูริที่ตกผลึกว่าลูกสาวอยู่ด้านนอกจึงจัดการเช็ดน้ำตาบนหน้าพร้อมกับถือดาบลงไปด้านล่างด้วยกัน
แกร็ก
พอดีกับที่นาโอริเปิดประตูเข้ามา ทั้งสองจึงพบหน้ากันอีกครั้งก่อนจะเป็นเด็กสาวที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือมารดา เธอเข้าไปคว้ามันพลันหันมองอีกฝ่าย ในทีแรกยูริคิดว่าเธออาจถูกลูกสาวโกรธที่เข้าไปยุ่มย่ามกับของส่วนตัว ทว่าหัวใจพลันฟูฟ่องขึ้นมาเมื่อถูกลูกสาวดึงมือไปสอดส่องดูอย่างร้อนรน
“ทำไมถึงไปจับดาบล่ะคะ แม่ไม่ได้โดนเผามือใช่ไหม!?”
“ม ไม่จ้ะ แม่อยู่ในห้องพอดีเลยคิดว่าลูกน่าจะกลับมาเอาของ”
“โล่งอกไปที ตกใจหมดเลยค่ะ” ว่าจบเด็กสาวจึงหันไปพูดคุยกับคู่หูเล็กน้อยซ้ำยังถูกเสียงทุ้มเหน็บแนมที่กล้าลืมเขาไว้ที่บ้านเช่นนี้ นาโอริได้แต่แย้งอีกฝ่ายว่าตนอุตส่าห์ใช้เวลาช่วงพักเหาะสเกตบอร์ดเหินฟ้ากลับมาเพื่อคู่หู แล้วไหงเขาถึงมาว่าเธออยู่ฝ่ายเดียวกัน
ยูริที่ทอดมองภาพตรงหน้าอยู่พลันนึกถึงคำของดวงจิตเมื่อครู่ นัยน์ตาสีเปลือกไม้เคลื่อนมองใบหน้าที่สดใสขึ้นกว่าตอนเช้าของลูกสาว อีกทั้งท่าทางการเหน็บอาวุธไว้ที่เอวด้วยรอยยิ้มมันกลับไปทับซ้อนกับใครคนหนึ่ง...
ชายที่เธอรักสุดหัวใจ...
ทั้งสองมีรอยยิ้มที่เหมือนกัน...เป็นสีหน้าแห่งความสุขยามจับดาบ
“นี่เราทำอะไรลงไป...” เสียงหวานพึมพำแผ่วเบา ดวงตาสวยเผลอวูบไหวเมื่อตระหนักว่าตนอาจทำเรื่องเลวร้ายลงไป ตลอดมาคนที่ต้องทรมานที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเธอที่ไม่อยากเห็นพวกเขาเป็นอันตราย แต่เป็นคนสำคัญตรงหน้ายามฝืนใจบ่ายหนีจากความฝันของตัวเองต่างหาก
“งั้นหนูไปก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน!”
“เดี๋ยวก่อน นาโอริ” ร่างบางเบรกตัวโก่งพลันเลิกคิ้วฉงนรอให้มารดาเอ่ยสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวกุมมือตัวเองนั่นราวรวบรวมความกล้าที่จะตัดสินใจก่อนจะสวมกอดลูกสาวแน่น พยายามกลั้นหยาดน้ำใสที่เริ่มจะคลอเบ้าอีกครั้ง เสียงสะอื้นน้อย ๆ เหมือนจะสื่อไปถึงนาโอริ สาวเจ้าจึงกอดตอบพลางซุกหน้ารับไออุ่นจากแม่และเอ่ยออกมาไม่ลังเล
“เชื่อใจลูกสาวคนนี้นะคะ หนูไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
หัวใจของคนเป็นแม่เต้นตุบตอบรับคำพูดของลูก ไม่ว่าจะสักกี่ครั้งเธอคงต้องแพ้ให้กับความพยายามแรงกล้านี้ทุกครั้งเป็นแน่ เพราะตั้งแต่เด็กคนนี้ลืมตาดูโลกก็กลายเป็นทุกอย่างของเธอ ทั้งหัวใจ ยารักษาหรือแม้แต่ความหวัง...
“สัญญากับแม่สักอย่างได้ไหม?”
“ได้ทั้งนั้นค่ะแม่” นาโอริสัมผัสถึงแรงกอดที่เพิ่มจากอีกฝ่ายกับเสียงสะอื้นเล็ก ๆ ที่บรรเทาลง
“กลับบ้าน...มาหาแม่บ่อย ๆ นะ นาโอะ...แม่คิดถึง” ดวงตาสีซากุระเบิกกว้างและเลือกจะปิดลงพร้อมกับสลักคำพูดนั้นไว้ในใจ
เธอไม่มีทางยอมให้มันเลือนหายไปเป็นอันขาด
“ทุกครั้งที่มีโอกาสเลยค่ะ”
บัดนี้หัวใจสองดวงต่างเบาหวิวครั้นถูกปลดโซ่ตรวนบางอย่างออก เปิดทางให้อารมณ์มากมายพรั่งพรูในอก สองแม่ลูกจึงกอดกันแน่นเพื่อรักษาช่วงเวลาแสนมีค่าของทั้งคู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอีกไม่นานความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...ก็จะเกิดขึ้นแล้ว
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder