ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
เจ้าของเรือนผมสีขาวหิมะเดินเข้ามามอบเอกสารแก่โซอิจิโร่ ในทีแรกแฝดผู้พี่ดูจะตระหนกอยู่บ้างที่คนตรงหน้าไม่แสดงท่าทีประหลาดใจกับตัวตนของพวกเขาแม้ตัวเกนอิจิโร่จะยังอยู่ในคราบของน้องชายก็ตาม ซ้ำยังพูดคุยรายละเอียดงานหน้าตาเฉย ก่อนจะเป็นโซอิจิโร่ที่อธิบายว่าชายผู้นี้คือคนที่เข้าไปช่วยเจ้าตัวพร้อมกับนาโอริทำให้รู้ความลับของสองแฝดเข้าอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องอื่นที่เขาไม่ได้เล่าให้พี่ชายฟังด้วย....
“มิน่าล่ะ นายถึงดูใจเย็นชอบกล” เกนอิจิโร่ได้แต่ย่นคิ้วมองสีหน้าไม่กังวลใจของอีกฝ่าย
“ฉันบอกแล้วไงว่าเขาเกี่ยวข้องกับความลับของพวกเรา...เอาล่ะ คุณรายงานต่อเถอะ” เด็กหนุ่มหันไปหาจิซากิ
“พ่ะย่ะค่ะ...” ชายหนุ่มเปิดปากพูดอีกครั้งและรายงานความคืบหน้าจากการตรวจสอบชนิดของอาวุธซึ่งถูกใช้โดยทหารรับจ้างและตกหล่นอยู่ในที่เกิดเหตุให้ผู้สูงศักดิ์ฟัง
“ระเบิดที่เก็บกู้จากเมืองร้างเป็นรูปแบบที่สามารถประดิษฐ์ขึ้นเองและนิยมใช้ในหมู่ทหารรับจ้างอยู่แล้ว...ส่วนระเบิดที่เก็บจากกระท่อมไม้ในป่านั้นเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างเก่าแต่รุนแรง ปัจจุบันก็แทบหาซื้อไม่ได้ทั้งในท้องตลาดและตลาดมืด ตอนนี้ซาโตชิซังเลยเร่งสอบปากคำคนร้ายที่จับมาได้ให้เร็วที่สุด เผื่อจะสืบไปจนเจอตำแหน่งที่อาจเป็นจุดซื้อขายอาวุธได้” เจ้าหน้าที่หนุ่มเอ่ยพลางปัดหน้าจอโฮโลแกรมไปทางองค์ชายหนุ่ม
“คนที่ใช้ระเบิดนี่คือผู้ชายที่ชินระรายงานว่าคอยแบกศพไปไหนมาไหนสินะ...อย่างที่คุณว่า มันมีราคาที่แพงมาก เป็นไปไม่ได้ที่ทหารรับจ้างธรรมดาจะมีปัญญาซื้อมาใช้เอง” โซอิจิโร่กอดอกครุ่นคิด
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่เรือบินที่พวกมันใช้ก็เป็นของที่ต้องใช้เงินในการสร้างและปรับแต่ง ถึงจะน่าเสียดายที่ของด้านในถูกแรงระเบิดทำลายไปเกือบหมด แต่ชิ้นส่วนพาหนะที่เก็บกู้มาได้เหมือนจะเป็นของที่ไม่ได้ผลิตในประเทศด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ธรรมดานัก”
“คงไม่พ้นตระกูลใหญ่สักตระกูลหรอก ไม่ว่าใครก็ต้องการผลประโยชน์จากราชวงศ์ทั้งนั้น อย่างเรื่องที่พวกมันพูดเกี่ยวกับเลือดของเร-...”
“อ อ่ะแฮ่ม!” โซอิจิโร่พลันถูกเสียงกระแอมจากจิซากิรั้งไว้ได้ทันพาให้เขาต้องลอบมองผู้เป็นพี่ซึ่งจดจ่อกับข้อมูลจนไม่ทันได้ยินคำหลุดปากของตัวเอง ก่อนจะรีบเอ่ยกลบเกลื่อนมัน
“ก เกี่ยวกับเลือดของตระกูลเราที่ใช้รักษาอะไรก็ได้ ถ้าทหารรับจ้างพวกนั้นถูกคนมีอำนาจจ้างให้มาชิงตัวเรา อีกไม่นานหลักฐานมัดตัวก็คงโผล่ออกมาจากปากคนร้ายสักคนหนึ่ง...แต่ที่สำคัญที่สุดคือคนที่เหลือรอดจากการจับกุมต่างหาก...”
“เรื่องของชายคนนั้นยังเป็นปริศนาอยู่พ่ะย่ะค่ะ ถึงรูปพรรณสัณฐานจะบ่งบอกถึงตระกูลซากุราซากุ แต่ทางผู้ปกครองเกาะซากุระศักดิ์สิทธิ์ก็ยืนยันว่าไม่รู้เห็นเรื่องที่คนของตัวไปเป็นทหารรับจ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“คนตระกูลซากุราซากุงั้นเหรอ...ไม่แน่เราอาจจะช่วยพวกคุณในเรื่องนี้ได้” ทั้งจิซากิและเกนอิจิโร่ต่างต้องมองเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว
“ชื่อของพวกเขา...ซาโซริกับเซระ ถึงจะช่วงสั้น ๆ แต่เราก็จำหน้ากับชื่อของทั้งสองได้ขึ้นใจ เพราะพวกเขาไม่คิดจะปิดบังเวลาอยู่ต่อหน้าเราเหมือนมั่นใจว่าแผนจะสำเร็จ” โซอิจิโร่หรี่ตาครุ่นคิดขณะนึกภาพครั้นที่เขาถูกพาตัวไปขังไว้ใต้ดินและได้ยินทั้งสองเรียกชื่อกันเอง หนำซ้ำจากท่าทางความเป็นห่วงเป็นใยที่เห็น พวกเขาคงเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดไม่ผิดแน่
“กระหม่อมจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งซาโตชิซังโดยด่วนที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งข้อมูลเจาะจงเท่าไหร่การตามตัวคนร้ายก็จะเร็วเท่านั้น”
“เดี๋ยวนะ แต่ถ้าเขายังลอยนวลอยู่ก็แปลว่าน้องของเราก็อาจมีอันตรายทุกเมื่อน่ะสิ” เกนอิจิโร่โพล่งขึ้นมา นัยน์ตาฉายความกังวลเคลื่อนมองเจ้าหน้าที่หน่วยเงาราวต้องการคำตอบ ทว่ากลับเป็นโซอิจิโร่ที่เอ่ยราบเรียบมาแทน
“ต่อให้บ้าเลือดแค่ไหน มันคงไม่กล้าเสนอหน้ามาเร็ว ๆ นี้หรอกเกนอิจิ เพราะตอนนี้พวกเราระวังตัวมากขึ้น รู้หน้าตารู้ชื่อของเขาแล้วด้วย ถ้าโผล่มาอีกรอบก็หนีไม่พ้นแน่”
“ถึงจะพูดงั้นก็เถอะ แต่รายงานล่าสุดก็บอกอยู่ว่าหน่วยเงาหลายคนถูกคนร้ายคนนั้นจัดการเรียบเลยนะ จะวางใจว่าปลอดภัยแค่เพราะเรารู้ตัวตนของเขาไม่ได้หรอก”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ เรายังวางใจไม่ได้เพราะจากรายงานของทีมสำรวจ คนร้ายอาจหาจังหวะช่วงที่ท่านต้องเสด็จออกนอกอาณาเขตเข้าทำร้ายก็ได้ ยิ่งมีตัวชนวนสำคัญอยู่ใกล้ ๆ อีก”
“ชนวนสำคัญเหรอ คุณหมายถึงใคร?” คำถามนั้นเปลี่ยนแววตาของจิซากิให้ฉายความกังวลออกมา เขาหลุบตาต่ำพลันถอนใจใต้หน้ากากเหล็ก
“ผู้ชายที่ชื่อซาโซริไม่ได้แค่แบกศพไปมา แต่เหมือนกำลังปกป้องเธอจากคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ เขาแสดงอาการคลุ้มคลั่งทันทีที่มีคนไปแตะต้องร่างของเธอ และอย่างที่ท่านทราบว่าคนที่ปลิดชีพผู้หญิงคนนั้นก็คือ...”
“นาโอริ?” จิซากิพยักหน้าตอบก่อนจะเอ่ยต่อ
“ถ้าเขารู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคนสำคัญของตัวเอง ก็คงเล็งเป้าหมายไปที่เจ้าตัวและท่านเองจะพลอยไม่ปลอดภัยไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ความเงียบพลันปกคลุมห้องทำงาน ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเข้าปะทะหน้าสองพี่น้องอย่างจังโดยเฉพาะโซอิจิโร่ซึ่งขมวดคิ้วเป็นปม เขาไม่ได้กำลังห่วงตัวเองแต่เป็นเด็กสาวที่ต้องเจอเรื่องหนักหนานี่ต่างหาก ลำพังแค่หน้าที่องครักษ์ก็แทบจะเลี่ยงความอันตรายไม่ได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโดนหมายหัวเลย
“เพราะฉันอยากปกป้องนายไงโซว์!”
ทว่านั่นคงเป็นตัวเขาเมื่อครั้งรู้จักกับเด็กสาวแรก ๆ และมีภาพจำที่เธอล้มลงต่อหน้า...
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เราคงตัดชื่อนาโอริทิ้งจากรายชื่อทหารและบังคับให้เธออยู่ห่าง ๆ เราไว้” ร่างเล็กเอ่ยขณะเปิดหน้าต่างข้อมูลเกี่ยวกับนาโอริขึ้นมาดู นัยน์ตาคมสีนิลจ้องรูปของเธออย่างมั่นคงกว่าครั้งไหน
“แต่นาโอริในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นมากและเราก็เชื่อใจเธอว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เราตกอยู่ในอันตราย” โซอิจิโร่ปิดตาลงพลันปล่อยใจให้สงบ เขาไม่มีความจำเป็นต้องกระวนกระวายหรือเป็นห่วงออกนอกหน้า เพราะต่อให้นาโอริต้องเจอกับอันตรายที่ยากจะรับมือ เวลานั้นตัวเขาเองก็พร้อมจะแกว่งดาบปกป้องเธอไม่ต่างกัน ยังไงเสียนั่นก็เป็นคติในใจของเขามาแต่ไหนแต่ไรและจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้คนตรงหน้าไม่ใช่นาโอริก็ตาม
บัดนี้สีหน้ามั่นใจได้ถูกเกนอิจิโร่มองออกจนหมดเปลือก ทำเอาผู้เป็นพี่ได้แต่วาดยิ้มนุ่มนวลนับถือในความเชื่อมั่นของน้องชาย ผิดกับจิซากิที่เลิกคิ้วฉงนและมององค์ชายหนุ่มไม่วาง เขาเข้าไม่ถึงความหมายจากคำพูดที่เจ้าตัวพูดเลยสักนิดทว่าในท้ายที่สุดโซอิจิโร่ก็ยืนยันหนักแน่นให้เขาสบายใจกับเรื่องนี้ พลันขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยเงาปฏิบัติหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ต่อไปและไม่ลืมจะยื่นคำสั่งใหม่ที่เพิ่งตัดสินใจหมาด ๆ แก่ชายหนุ่ม
“จะให้กระหม่อมไปอยู่ในความดูแลของท่านเหรอพ่ะย่ะค่ะ?” จิซากิถามย้ำ
“ใช่ ต่อจากนี้เราอยากให้คุณรับคำสั่งจากเราเป็นหลักและคอยเป็นหูตาให้กับเรา”
“ร เรื่องนั้นกระหม่อมคิดว่าควรปรึกษาซาโตชิซังก่อน...”
“แน่นอน เดี๋ยวเราจะไปแจ้งเขาหลังจากนี้แหละ...ถึงเขาจะหงุดหงิดที่จู่ ๆ เราก็ดึงคนของเขามาไม่บอกแต่ก็ขัดเราไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มยักไหล่ไม่ยี่หระพลางจ้องใบหน้าลำบากใจของจิซากิ ก่อนจะเลือกขู่เนือง ๆ จนอีกฝ่ายต้องเหงื่อตก
“อีกอย่างคือคุณรู้ความลับหลายเรื่องเกี่ยวกับเรามากไป ขืนไม่จับตาดูมีหวังโดนทรยศง่าย ๆ น่ะสิ”
“กระหม่อมไม่ใช่คนแบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ สาบานด้วยชีวิตก็ย่อมได้”
“ไม่ต้องหรอก รักษาชีวิตของคุณไว้และตั้งใจทำงานให้เราเสียดีกว่า...ใช่ไหมล่ะ จิซากิ?” เจ้าของชื่อเป็นต้องสะดุ้งกับน้ำเสียงกดต่ำนั่น บ่งบอกว่าเขาถูกล็อกคอให้กลายเป็นเงาขององค์ชายผู้นี้ไปเรียบร้อย
แล้วเจ้าหน้าที่ตัวจ้อยอย่างเขาจะขัดอะไรได้...
ครั้นเรื่องกลายเป็นเช่นนั้น งานต่อไปของชายหนุ่มก็คือเข้าร่วมการสอบปากคำทหารรับจ้างทั้งหมดและนำมารายงานแก่โซอิจิโร่ แน่นอนว่าจิซากิยังต้องคอยประสานงานกับหัวหน้าเก่าอย่างซาโตชิดังเดิม แต่ตัวเขาแค่ต้องคอยเป็นหูและตาอยู่ในเงามืดเพื่อดูแลความปลอดภัยของเจ้านายซ้อนกับเหล่าองครักษ์อีกทีเหมือนที่คนในราชวงศ์คนอื่นมี เพราะที่ผ่านมาเด็กหนุ่มปฏิเสธที่จะเรียกใช้หน่วยเงาและเลือกพึ่งพาตนเองมากกว่า แต่หลังจากภัยร้ายครั้งใหญ่เจ้าตัวก็ต้องหัดพึ่งพารอบข้างเสียบ้าง...
“โอเค วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะ อย่าลืมคำสั่งของเราเสียล่ะ”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ” ว่าจบจิซากิจึงถอยหลังไปทางประตู จังหวะที่หันไปเปิดมันเพียงชั่วพริบตาร่างสูงก็หายลับไปราวหายตัวได้ แต่สองแฝดที่นั่งอยู่ในห้องก็ไม่ได้ตระหนกกับภาพตรงหน้าและกลับมานั่งคุยกันต่อในทันใด
“เฮ้อ ฉันหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ” เกนอิจิโร่เอ่ย
“ฉันก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ต้องพึ่งทางชินระให้ทำงานหนักกันหน่อย ถ้าไม่ติดว่าต้องระวังตัวตลอดเวลาฉันก็อยากจะไปดูการสอบปากคำด้วยตัวเองอยู่หรอก”
“อย่าเลย ถ้านายต้องทำถึงขั้นนั้นตำรวจทั้งประเทศคงตกงานกันหมดแล้วล่ะ...อีกอย่างซาโตชิซังก็ไม่มีทางยอมแน่”
“หึ เพราะไม่อยากสร้างเรื่องให้เขาถึงยอมอยู่เฉย ๆ หรอกนะ” โซอิจิโร่กอดอกมุ่ยหน้าเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากพี่ชายได้ไม่ยาก
“ฮ่ะ ๆ ไปดึงตัวคนในความดูแลเขามาโดยพลการนี่นับไหมนะ”
“ไม่นับ...จริงสิ ติดต่อหาเขาเลยดีกว่า” มือเล็กเอื้อมหยิบมือถือคู่ใจขึ้นมาและต่อสายหาเลขาในนามของเขาในทันใด
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่แจ้งเรื่องจิซากิกับเขา ซาโตชิก็เอาแต่บ่นอุบอิบที่อีกฝ่ายตัดสินใจกะทันหันเกินไป ซ้ำยังเลือกคนฝีมือดีได้ถูกตัวอีก เพราะเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยคนอื่น สองพี่น้องเอนโดถือเป็นเพชรล้ำค่าเลยก็ว่าได้ ทว่าคำสั่งจากเจ้านายก็เป็นสิ่งที่ขัดไม่ได้ชายหนุ่มจึงได้แต่ตอบรับว่า “ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ โซอิจิโร่เลยรับปากว่าจะไม่ใช้งานเขาหนักเกินไป
ซึ่งเชื่อถือไม่ได้สักเท่าไหร่สำหรับซาโตชิ...
.
.
.
เวลาผ่านไปนับหนึ่งสัปดาห์หลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือก ในที่สุดวันที่นาโอริต้องเข้ารับหน้าที่ก็มาเยือน บัดนี้สาวเจ้ากำลังจัดแจงสัมภาระจำเป็นใส่กระเป๋าสะพายบ่า และได้ความช่วยเหลือจากซากิซึ่งมีสีหน้าเศร้าสร้อยพลางบ่นเหงาเมื่อไม่มีเพื่อนสาวสุดที่รักอยู่ด้วย แม้เธอจะยิ้มเข้มแข็งแต่นาโอริก็มองออกได้ไม่ยากจากการอยู่ร่วมห้องกันมานาน
“อย่าเศร้าไปเลยนะซากิ ไว้ครั้งไหนที่ว่างจะกลับมานอนเป็นเพื่อนแน่นอน!” เด็กสาวยิ้มร่าพลันสวมกอดเพื่อนสาว ซากิก็พลันกอดตอบแน่นราวปลอบโยนตัวเอง
เธอพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะก่อนหน้านี้นาโอริเล่าว่าตนได้รับการติดต่อจากองค์ชายคนเดิมเกี่ยวกับตารางเวลาของเจ้าตัว ดูเหมือนเขาจะอนุญาตให้เธอเข้าเรียนได้ตามปกติและไปกลับหอพักโรงเรียนได้เสมอเมื่อมีโอกาส ยังไงเสียระยะทางก็แทบไม่ต่างกันเด็กหนุ่มจึงตามใจนาโอริให้อย่างน้อยเธอก็ไม่ตัดขาดจากชีวิตวัยเรียนไปทั้งหมด
“ว่าแต่ใครกันนะ ที่จะพาฉันเข้าไปในอาณาเขตฮิบานะ?”
“องค์รัชทายาทไม่ได้ตรัสไว้เหรอ?” ซากิเลิกคิ้วสูง ส่วนนาโอริก็ได้แต่ส่ายหน้าพลันนึกถึงข้อความที่คุยกับโซอิจิโร่ เขาบอกเพียงว่าจะมีคนมานำทางแต่ไม่ได้บอกว่าใคร
ครั้นคิดไปเพลิน ๆ สองสาวก็เดินมาถึงสะพานข้ามสวนฮิกันบานะเสียแล้ว เบื้องหน้าใกล้กับประตูโทริอิยักษ์มีหญิงสาวในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งยืนเหม่อลอยอยู่ ไม่ทันไรเธอจึงสังเกตเห็นพวกนาโอริผ่านหางตายาว เช่นเดียวกับเด็กสาวที่ต้องอ้าปากค้างอุทานชื่อคนตรงหน้าออกมา
“อาจารย์ซาวาเบะ!?”
“กำลังรออยู่เลย ชิสึจิ”
“อ อาจารย์จะเป็นคนพานาโอะจังเข้าไปเหรอคะ?” ซากิเบิกตาคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ก่อนจะได้ยินเสียงฮัมจากอาจารย์สาวและตกผลึกสาเหตุที่วิชาปฏิบัติในวันนั้นถูกยกเลิก เพราะหญิงสาวถูกองค์ชายหนุ่มเรียกตัวไปพบโดยตรงในวันเดียวกับที่พวกเธอรวมตัวไปเที่ยวสนุกสนานนั่นเอง...
“ไปกันเลยไหม? เดี๋ยวต้องจัดของอะไรอีก” นาโอริพยักหน้ารับเรื่อง เธอไม่ลืมจะกอดเพื่อนสาวทิ้งท้ายอีกครั้งและโบกมือลากระทั่งลับสายตา
ทันทีที่เดินลึกเข้ามาในส่วนของปราสาท ดวงตาสีซากุระเป็นต้องกวาดมองความวิจิตรของสิ่งก่อสร้างรอบตัวอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสวนดอกไม้นานาชนิดหรือแม้แต่เนินเขาสูงต่างก็ดึงดูดสายตาไปเสียหมด เธอไม่คิดว่าของสวยงามเหล่านี้จะอยู่แค่ด้านข้างโรงเรียนตัวเองและไม่วาดฝันว่าวันหนึ่งตนจะได้เดินเข้ามา ณ ที่ต้องห้ามนี้
“ถึงแล้วล่ะ”
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็มาถึงที่พักของเหล่าทหารซึ่งทำเอานาโอริตาเป็นประกาย ครั้นเห็นหน้าตาของบ้านที่สร้างเป็นทรงญี่ปุ่นชั้นเดียวทว่าขนาดของบ้านนั้นใหญ่เอาเรื่อง หนำซ้ำภายในยังจัดมาเสียดิบดี มีห้องแยกส่วนตัวและสะดวกมากจนสาวเจ้าต้องอ้าปากค้างตกตะลึง
“ส สมแล้วที่เป็นที่พักทหารในความดูแลของโซว์...”
“ของใครนะ?”
“ม หมายถึงองค์รัชทายาทน่ะค่ะ พระองค์ทรงใส่พระทัยคนของตัวเองดีมากเลยนะคะ แหะ ๆ” นาโอริยกยิ้มลนลาน ภาวนาให้อีกฝ่ายไม่สงสัยพลันรีบขอให้เธอช่วยจัดการข้าวของส่วนตัว แม้จะดูเสียมารยาทไปบ้างแต่สาวเจ้าคิดทางกลบเกลื่อนที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วจริง ๆ ซึ่งซาวาเบะก็ยอมอยู่ช่วยลูกศิษย์จัดการข้าวของจนเสร็จสรรพ ไม่ทันไรหญิงสาวก็เรียกนาโอริให้ตามเธอไปยังโรงฝึกแห่งหนึ่งในอาณาเขตครั้นบอกว่านอกจากย้ายของเข้ามา นาโอริยังต้องไปพบหน้าเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยยังไงล่ะ
“ก กดดันจัง คนต้องเยอะมากแน่ ๆ เลย”
“เยอะ? เธอเข้าใจผิดแล้ว พวกเรากำลังจะไปเจอคนแค่สามคนต่างหาก” คิ้วเรียวของนาโอริเลิกสูงพลันหันมองอีกฝ่ายทันควัน
“เอ๊ะ แค่สามคนเองเหรอคะ?”
“อ่า ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเจอคนแปลกหน้าเยอะหรอก เพราะเวลาทำงานจริงเธอก็จะได้ร่วมงานแค่กับคนยศตำแหน่งเดียวกันเท่านั้น พวกที่เหลือน่ะเจอประปราย” ซาวาเบะเอ่ยราบเรียบ
“ม เหมือนจะสบายใจแต่ฉันก็ยังหวั่นใจอยู่ดีค่ะ” เด็กสาวเบ้ปากพลางลูบแขนสองข้างทำเอาหญิงสาวลอบหัวเราะออกมา
“ไม่เป็นไร...พวกเขาไม่ทำอะไรเธอหรอก”
ซาวาเบะทิ้งปริศนาไว้เท่านั้นและเดินนำเด็กสาวไปไม่สนว่าเครื่องหมายคำถามจะผุดบนหน้าลูกศิษย์แค่ไหน นาโอริที่เห็นว่าอีกฝ่ายจงใจปล่อยให้สงสัย เลยได้แต่สูดหายใจลึกเตรียมพร้อมรับอะไรหรือใครก็ตามที่จะเจอ
ทันทีที่ขาสองคู่หยุดตรงด้านหน้าประตูโรงฝึกขนาดใหญ่ ดูเผิน ๆ อาจเหมือนที่ฝึกซ้อมธรรมดา ทว่ากลิ่นอายของมันกลับชวนเสียวสันหลังวาบจนเด็กสาวเผลอกลืนน้ำลาย พอดีกับที่หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปด้านในพาให้นัยน์ตาสีซากุระสะท้อนร่างใครคนหนึ่งที่สังเกตการณ์มาของพวกเธอพลันแย้มยิ้มต้อนรับเบิกบานมาแต่ไกล เหมือนคราที่เจอในโลกเสมือน...
“โอ้! ในที่สุดก็มาเสียที รุ่นน้องที่น่ารักของผมกับลูกศิษย์ของเธอ!” เจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงตะโกนลั่นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาสองสาว แต่เขาดันถูกซาวาเบะชี้นิ้วปรามให้หยุดทันควัน
“หยุดค่ะ ช่วยแสดงความน่าเคารพให้นักเรียนของฉันเห็นหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“โธ่ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะจุนจัง ผมไม่น่าเคารพตรงไหน เนอะนาโอริจัง?” เซย์ตะหันยิ้มตาหยีให้นาโอริที่ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ พลันนึกประหลาดใจ ไม่ใช่เรื่องนิสัยของชายหนุ่มแต่เป็นความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ของเธอต่างหาก
“ฉันหมดหน้าที่แล้ว...ยังไงก็ฝากชิสึจิด้วยนะคะ” ซาวาเบะปรับสีหน้าจริงจังพลางลูบศีรษะลูกศิษย์ แววตาเฉียบคมนั้นฉายความเป็นห่วงไม่ปิดบัง แน่นอนว่าเซย์ตะเองก็สังเกตมันพร้อมกับวาดยิ้มอ่อนโยนเป็นคำตอบ
“ผมเคยทำให้ผิดหวังด้วยเหรอ?”
“หึ...ก็ไม่เคยหรอกค่ะ”
เมื่อเสร็จหน้าที่ของอาจารย์สาว นาโอริจึงต้องเผชิญที่เหลือต่อด้วยตัวเอง โชคยังดีที่สาวเจ้าได้เซย์ตะชวนคุยให้หายประหม่าระหว่างที่รอเพื่อนร่วมงานอีกสองคนปลีกตัวจากหน้าที่มาทำความรู้จักกับเธอ แม้ชายหนุ่มจะย้ำว่าพวกเขาอัธยาศัยดีและไม่มีพิษภัยแต่สำหรับคนมาใหม่อย่างเธอ พวกเขาจะยังดีด้วยหรือเปล่า...
ครืด
เสียงเปิดประตูดังก้องโรงฝึกเรียกสายตาสองคู่ให้จ้องไปหา ดวงตาสีซากุระสบเข้ากับหนึ่งในผู้มาใหม่ นัยน์ตาสีน้ำเงินดุจแซฟไฟร์มีเสน่ห์เช่นเดียวกับเรือนผมที่ไว้หน้าม้ายาวปรกคิ้วได้รูปและรวมผมเป็นหางม้าสูง ใบหน้างามงดคล้ายงานแกะสลักทำเอาแวบแรกนาโอริเผลอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวมาดนิ่งคล้ายซาวาเบะ ทว่าจากร่างที่สูงโปร่งและคำกล่าวของเซย์ตะ คนตรงหน้าเธอคือชายแท้ที่มีหน้าของเทพบุตรก็เท่านั้น
แต่แล้วสาวเจ้าเป็นต้องสะดุ้งลืมหายใจเมื่อสายตาเคลื่อนไปมองชายอีกคนหนึ่ง สิ่งแรกที่เตะตาคือส่วนสูงที่แทบจะเลยขอบประตูทั่วไปกับร่างกายกำยำจนเครื่องแบบทหารนั้นซ่อนกล้ามเนื้อไม่มิด ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแววดุดันมาแต่ไกลราวกับว่าหากสบตาด้วยคงจะแหลกเป็นชิ้น ๆ เรือนผมสีเดียวกันถูกตัดสั้นเหลือไว้ประใบหน้าเล็กน้อย นอกจากสายตาแล้วสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูบอกบุญไม่รับสักเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นนาโอริคิ้วหนาก็พลันขมวดหากันจนน่ากลัวกว่าเดิม
“ไหน ๆ ก็มากันแล้ว งั้นขอแนะนำให้รู้จักกับ ชิสึจิ นาโอริ ที่จะมาร่วมงานกับพวกเราตั้งแต่วันนี้ไป พวกนายก็สนิทกับน้องเขาไว้ล่ะ!” เซย์ตะเอ่ยร่าเริงขณะดึงร่างบางมายืนข้างหน้าให้เพื่อนของเขาเห็นชัด ๆ ซึ่งสีหน้าของสองหนุ่มดูจะไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ คนหนึ่งพยักหน้าตอบส่วนอีกคนก็ขมวดคิ้วให้อยู่อย่างนั้น นาโอริรู้สึกได้ว่าชายผมเขียวกำลังจ้องเธอเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเองก่อนจะถูกความดุดันกลบดังเดิม แต่ไม่ทันได้สงสัยก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ฟุรุยะ คามิกิ...ยินดีที่ได้รู้จัก” เสียงต่ำกล่อมให้เคลิ้มนั้นมาจากชายหน้าสวย เขาเอ่ยพร้อมยื่นมือให้นาโอริ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฟุรุยะซัง...”
“เขาเป็นคนพูดน้อยน่ะครับ อย่าถือสาเลย” เซย์ตะวาดยิ้มขณะที่คามิกิพยักหน้าเป็นคำตอบ เสร็จไปหนึ่งคนสายตาทุกคู่จึงจับจ้องที่คนร่างยักษ์ซึ่งทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา เจ้าตัวสะดุ้งเมื่อตระหนักว่าถูกมองก่อนจะเดินมาข้างหน้าเด็กสาวพลันยื่นมือออกไป
“ฉัน ฮัตสึโนะ ฮารุ...”
“ย ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฮัตสึโนะซัง” นาโอริยกยิ้มพลางเอื้อมจับมืออีกฝ่ายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ทว่าทันทีที่ถูกมือหนาจับตอบ ความเจ็บก็พลันแผ่ซ่านไปทั้งฝ่ามือจนต้องชักมันออกทันควัน ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นรอยแดงเป็นจ้ำที่ฝ่ามือทำเอาเซย์ตะต้องดึงไปดู
“เจ็บมากไหมครับ!?”
“ม ไม่ค่ะ แค่ชานิดหน่อยค่ะ..”
“ขอโทษจริง ๆ นะ ฮารุเขาออมแรงไม่เป็นและชอบทำคนอื่นเจ็บบ่อย ๆ น่ะ...”
“ชิ ใครว่าฉันออมแรงไม่เป็นกันล่ะ” เสียงห้วนดังแทรกขึ้นไม่สนว่าตนทำถูกหรือผิด นัยน์ตาดุสีเขียวเข้มตวัดไปหานาโอริชัดเจนไม่แม้แต่จะปิดบังคำว่า ‘เหยียดหยาม’ ที่ฉายออกมา
“แต่ยัยเด็กนี่มันอ่อนแอเกินไปต่างหาก”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder