น้ำหยดลงหินทุกวัน หินบอกรำคาญ แต่ถามว่าจะหยุดไหม ก็...ไม่จ้ะ! //ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหม~~
รัก,ตลก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ในวันที่ฝนตกกับเธอ (2)
[ เตย์ ทมโภลี ]
ช่วงนี้พายุเข้าฝนจึงตกทุกวัน ตกทีเป็นชั่วโมง เดินทางไปไหนมาไหนก็ค่อนข้างลำบาก
เมื่อสองวันก่อนกับกุ๋งกิ๋ง... จะพูดยังไงดี ถ้ามองเป็นเพื่อนต่างเพศก็คงได้ แต่ถามว่ามีสิทธิ์พัฒนาไปมากกว่านั้นไหมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่แน่นอน
นาน ๆ ทีจะกลับบ้านหากไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างเรื่องงาน ผมต้องพยายามมากหน่อยเพื่อให้หลุดพ้นจากเงื่อนไขที่พ่อตั้งไว้
' เตย์... สิ่งที่ทำอยู่มีความสุขดีใช่ไหม '
เหอะ! ถามผมราวกับรู้ทุกอย่าง
เธอใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอยู่แล้วเพราะไม่ต้องมานั่งเครียดอะไร ในขณะที่ผมต้องการจะหลุดพ้นจากตระกูล
เป็นเพียงแค่ ทมโภลี คนธรรมดา ไม่ใช่ ทมโภลี ธฤติพันธ์ ลูกชายคนเล็กที่ต้องอยู่ในวังวนแสนเผด็จการของผู้เป็นพ่อ
เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าทำไมผมถึงดิ้นรนอยากได้อิสรภาพนักหนา
"มาแล้วเหรอลูกชายแม่"
ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในบ้านคุณแม่ที่รออยู่ก็พุ่งตรงมาหาทันที สวมกอดพลางหอมแก้มด้วยความรักความคิดถึงตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน
หนึ่งทุ่มตรงทันเวลาอาหารเย็นพอดิบพอดี
"วันนี้แม่ขอนะคะน้องเตย์"
"ขอไม่รับปากนะครับ แต่จะพยายามคุยแค่เรื่องงาน"
"เอางั้นก็ได้ค่ะ มาเถอะลูกรัก อาหารจัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อยหมดแล้ว ทุกคนกำลังรออยู่"
เดินตามคุณแม่ไปทางห้องอาหาร คฤหาสน์หลังใหญ่ไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างต้องทำให้เงียบและเบาที่สุดเพราะเจ้าของที่นี่เป็นคนหงุดหงิดง่าย หูไวต่อเสียง นิดหน่อยก็อารมณ์เสียแล้ว
ภายในห้องอาหารจะพบกับพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ พี่ชายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่คนละฝั่งถัดจากท่าน แม่พาผมมานั่งข้างพี่โต๋ส่วนตัวเองรีบเดินไปนั่งข้างพี่ตาม
ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นใหญ่ แน่นอนว่าสายตาไม่พอใจมักตวัดมามองผมอยู่บ่อยครั้ง
"มาครบเสียที ลงมือทานได้แล้ว" เสียงประกาศิตเอ่ย
จะไม่มีการพูดคุยขณะรับประทานอาหารเด็ดขาด ต้องทานเบา ๆ ให้ได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบกับจานข้าวน้อยที่สุด
นี่คือด่านแรกของความอึดอัดที่ผมเจอมาตั้งแต่เด็ก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ส่วนผมตามท่านขึ้นมายังห้องทำงานโดยมีคุณแม่คอยอยู่ด้านนอก
"สรุปยังไง เรื่องธุรกิจที่ฉันให้ไปคิด ได้ยินจากทนายว่าแกตัดสินใจซื้อที่แล้วหนิ"
"ใช่ครับ ผมจะสร้างโรงงานแล้วก็อีกหลายอย่าง..."
"ฉันแค่อยากรู้ว่าธุรกิจที่ว่าคืออะไรตอบให้ตรงคำถาม"
ความดุดันผสมความจริงจังไม่มีผ่อนปรนแม้จะเป็นคนในครอบครัว กดดันกันทางน้ำเสียงและสายตา
หากบอกว่าเกลียดชังผมก็เชื่อนะ
นับว่าโชคดีที่คำแนะนำของกุ๋งกิ๋งมีประโยชน์ ผมเก็บไปคิดแล้วเขียนเรียบเรียงเอาไว้คร่าว ๆ ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง
"ผมจะทำเกี่ยวกับของกิน แล้วก็ทำบริษัทเกี่ยวกับเวชสำอาง"
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำควบสองธุรกิจให้ไปรอดในเวลาเดียวกันขณะที่ตัวเองนั้นก็เป็นแค่มือใหม่ ต้องสละเวลาส่วนตัวทั้งหมดเพื่อทุ่มเทกับมัน นี่เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่อยากรักใคร
...อย่างน้อยก็จนกว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไป รวมถึงการได้เป็นอิสระจากตระกูลนี้ด้วย
"สองอย่างเลยรึ?"
"ครับ"
"เกินตัวไป เลือกมาแค่อย่างเดียว"
ก็นั่นแหละ ไม่เคยมีอะไรเป็นที่พอใจสำหรับท่านนอกจากความคิดของท่านเอง
"บริษัทผลิตขนมก็ได้ครับ" ผมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ไม่ไกลตัวเท่าไรนัก
"ศึกษาตลาดแล้วหรือยัง คิดว่าจะไปรอดแน่ใช่ไหม"
ตลาดขนมมีเป็นร้อยเป็นพันเจ้า ไหนจะนำเข้ามาจากต่างประเทศอีก ต้องสร้างจุดขายให้ได้ไม่งั้นจบเห่
ซึ่งผมคิดว่าอะไรที่เป็นของกินมันขายได้ในประเทศนี้อยู่แล้ว ขอแค่สะอาดปลอดภัยถูกหลักอนามัย อร่อย แล้วก็สมราคา ที่สำคัญทำยังไงก็ได้ให้ติดตลาดโดยเร็วที่สุด
"พ่อก็ต้องให้เวลาผมได้ศึกษาหาข้อมูลหน่อย เครืื่องจักร การผลิต พนักงาน ทุกอย่างต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อม"
"คนถือดีแบบแกจะมาขอเวลาอะไร อยากไปจากที่นี่ใจจะขาดไม่ใช่หรือไง ถ้าเก่งฉลาดจริงก็เร่งมือเข้าสิ แกจะได้ไปจากฉันเร็ว ๆ ไม่ดีเหรอ"
"แล้วที่ผมเอามาเสนออนุมัติหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าอนุมัติผมจะได้เร่งมือ" ทุกอย่างต้องใช้เงินทุน
ตลกตรงที่คนอวดดีคนนี้ไม่มีเงินมากพอที่จะออกไปสร้างตัว จนคนที่เกลียดนักหนายื่นเงินมาให้เพื่อวัดใจว่าถ้าทำได้...รางวัลแห่งอิสระภาพก็จะเป็นของแก ราวกับรู้อนาคตว่ายังไงก็ไม่มีทางทำสำเร็จแน่
"ปกติฉันเซ็นปากเปล่าหรือไง ทำเป็นโปรเจคแล้วก็แนบเอกสารของบประมาณมาสิ ถึงมือเมื่อไรก็จะเซ็นให้เมื่อนั้น"
"ได้ครับ ขอเวลาไม่เกินสามวัน"
"ก็แล้วแต่ ถ้าเชื่อฟังฉันเหมือนกับคนอื่น ๆ แกคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้"
"เฮอะ! พ่อนี่ช่างไม่รู้บ้างเลยนะครับ"
"แล้วฉันต้องรู้อะไรล่ะ"
ผมกำมือแน่นมองสบตาคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน รังสีความน่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจนบรรยากาศเย็นวาบไปหมด
"รู้ว่าทุกคนเกลียดฉันแต่ก็ยังอยู่กับฉันเพราะสมบัติน่ะเหรอ"
ทุกคนยกเว้นผมไม่ได้เกลียดท่านเลยสักนิด ออกจะรักและเป็นห่วงด้วยซ้ำ แต่เพราะอยู่ด้วยแล้วอึดอัดใจต่างหากจึงเป็นเหตุผลทำให้ทุกก้มหัวจำยอม เพื่อที่ท่านจะได้ไม่อารมณ์เสีย
"หมดธุระแล้ว งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกันนะครับ"
เดินกลับออกมาก็พบว่าคุณแม่ยังรออยู่ ผมจึงจับจูงมือท่านไปส่งที่ห้องนอน แววตากังวลด้วยกลัวว่าผมจะทะเลาะกับพ่อ แน่นอนว่าผมเองก็พยายามเลี่ยงเพราะคิดว่าเราสามารถคุยกันดี ๆ ได้
"ถ้ามันหนักไปบอกแม่ได้นะคะ" มือบางลูบหน้าลูบตาพลางมองสำรวจตรวจเช็คว่าผมยังสบายดี ตอนที่รู้ว่าจะออกจากตระกูลท่านตกใจแล้วก็เสียใจมาก
ถึงอย่างนั้นท่านก็เข้าใจเหตุผลที่ผมไม่อยากทน
"เข้าไปพักผ่อนเถอะครับ"
"ค้างสักคืนสิลูก ฝนตกขับรถมันอันตราย"
"ผมต้องกลับไปทำงานต่อครับ"
คนหนึ่งรั้งไว้ส่วนอีกคนอยากรีบออกไปใจจะขาด ไม่มีจิตใจจะอยู่ที่นี่ต่อสักวินาที
"งั้นเอาไว้เรานัดทานข้าวด้วยกันนะคะลูก อย่าหักโหมมากนะแม่เป็นห่วง"
"ครับ"
คุณแม่กอดหอมยื้อเวลาอยู่หลายนาทีก่อนจะจำใจกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องอย่างเสียดาย ผมยิ้มให้ท่านเป็นการบอกลาจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับคอนโด
---100%---