❝ผมไม่จูบปากคู่นอนและไม่เคยให้ใครนอนค้างบนเตียงของผม แต่ตอนนี้ผมอยากจูบคุณไวน์และอยากนอนกอดคุณไวน์ทั้งคืน...❞
ชาย-ชาย,ฟีลกู๊ด,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
คุณไวน์ครับขอบคุณที่ทำให้ผมนอนหลับ [Taste of Velvety Wine]❝ผมไม่จูบปากคู่นอนและไม่เคยให้ใครนอนค้างบนเตียงของผม แต่ตอนนี้ผมอยากจูบคุณไวน์และอยากนอนกอดคุณไวน์ทั้งคืน...❞
‘ไวน์’ พนักงานเสิร์ฟตัวเล็กๆ ที่บาร์แห่งหนึ่ง ต้องทำงานหาเงินใช้หนี้แทนพี่ชายที่สร้างหนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น สุดท้ายพี่ชายก็หนีหาย เหลือไว้ก็แต่หนี้ก้อนโต และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เจ้าหนี้ดันเป็นเจ้าของบาร์ที่ไวน์ทำงานอยู่
เครียด...
ผมโคตรเครียดเลย เครียดจนกินข้าวไม่ลง ก่อนหน้านี้ผมได้โทรหาพี่ซิป ผู้จัดการบาร์ที่ผมทำงานอยู่ เพื่อหาทางติดต่อกับคุณแกมมาแบบส่วนตัว ซึ่งผมไม่ได้ลงลึกรายละเอียดอะไรให้พี่เขาฟัง เพราะไม่อยากให้ใครในที่ทำงานรู้เรื่องนี้ พี่เขาบอกผมว่าให้ผมเข้ามาพบคุณ ‘แกมมา’ เจ้าของบาร์ได้ช่วงก่อนเริ่มงาน เพราะตอนนี้คุณแกมมาติดธุระข้างนอก
อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเข้างานแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าควรจะคุยกับเขายังไงดี...
ติ๊ดๆ
“ (น้องไวน์ เรามาเลยก็ได้นะ พอดีวันนี้คุณแกมมาบอกว่าจะเข้ามาเร็ว เขาจะเข้ามาเคลียร์เอกสาร เดี๋ยวพี่บอกคุณแกมมาเอาไว้ให้ก่อนว่าเราจะขอเข้าพบ ยังไงก็รีบมานะ) ”
“ขอบคุณครับพี่ซิป ไวน์จะรีบไปครับ”
ไม่รู้ว่าคุณแกมมาจะเรียกเงินก้อนแรกก่อนหรือเปล่า แต่ถึงเขาต้องการตอนนี้ผมก็ยังไม่มีให้เขาหรอก เลยคิดว่าจะเอาสร้อยคอของยายที่ยายให้ผมไว้ให้คุณแกมมาไปก่อน ถึงมันจะไม่ได้มีราคามากมาย แต่มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ผมมี เพราะนอกนั้นพี่เบียร์แอบขโมยเอาไปขายหมดแล้ว ยังดีที่ผมเอาซ่อนไว้ให้พ้นสายตาของเขา ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เหลืออะไรของคนในครอบครัวเอาไว้ดูต่างหน้าเลย
“ยายครับ...ยายอย่าโกรธไวน์นะ ไวน์ไม่ได้คิดจะให้เขาไปเลยหรอก ไว้ไวน์มีเงินเมื่อไร ไวน์ก็จะเอาสร้อยเส้นนี้กลับมาจนได้ ตอนนี้ไวน์จำเป็นนะยาย” ผมกำสร้อยที่ถือในมือเอาไว้แน่น พลางพูดกับสร้อยไปด้วย เพื่อขออนุญาตยาย อุตส่าห์เก็บเอาไว้อย่างดี สุดท้ายต้องเอาออกมาจนได้ เฮ้อ...
ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือว่ากลัวถึงได้มือเย็นเฉียบขนาดนี้ ผมรู้สึกประหม่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะผมไม่เคยเจอคุณแกมมามาก่อนเลย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน โดยปกติแล้ว ชั้นที่คุณแกมมาอยู่จะไม่อนุญาตให้พนักงานขึ้นไป คนที่สามารถเจอคุณแกมมาได้คือพี่ซิปที่เป็นผู้จัดการบาร์หรือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่สำคัญในบาร์เท่านั้น
ผมทำงานที่นี่มาเกือบปี แต่เป็นเรื่องน่าแปลกใช่ไหมล่ะ ที่ผมยังไม่เคยเจอเจ้านายของตัวเองเลยสักครั้ง นั่นเป็นเพราะคุณแกมมาไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่พบปะกับใคร เวลาลงมาตรวจงานมักจะมาแบบเงียบๆ เดินปะปนกับพนักงาน โดยที่พนักงานอย่างเราๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่เดินสวนกันไปคือเจ้าของบาร์ที่เราทำงานอยู่
“น้องไวน์ ขึ้นไปได้เลย เราเดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาก็ถึงห้องทำงานของคุณแกมมาแล้ว”
ผมเดินเข้าลิฟต์และกดที่เลขห้า ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของบาร์ บาร์นี้มีทั้งหมดห้าชั้น ชั้นหนึ่งมีไว้สำหรับลูกค้าทั่วไปและชั้นสองกับชั้นสามมีไว้สำหรับลูกค้าวีไอพี ชั้นสี่เป็นชั้นว่างที่เอาไว้เก็บเหล้า เบียร์และไวน์ราคาสูง และชั้นสุดท้าย คือชั้นส่วนตัวของคุณแกมมาเจ้าของบาร์นี้
Velvety (เว็ลวิทิ) ถือได้ว่าบาร์ชื่อดังและเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงานที่มีฐานะพอสมควร ซึ่งบาร์นี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและล้อมรอบไปด้วยร้านอาหารและมีจุดชมวิวที่สวยงามที่อยู่ไม่ไกลจากที่บาร์มากนัก นอกจากนี้บาร์นี้ยังเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ก๊อกๆ
“เชิญ...” เสียงของเขาทุ้มๆ นุ่มๆ แฮะ แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้
ทันทีที่เข้ามาในห้องทำงาน สิ่งที่ผมสัมผัสได้สิ่งแรกคือกลิ่นบุหรี่ที่คลุ้งอยู่ทั่วห้อง ผสมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ลอยมาจากตัวของเขา ดูเหมือนว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกประหม่ามากขึ้นเท่านั้น เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเทาเงยหน้าขึ้นสบตากับผม ใบหน้าที่ผมกำลังจับจ้องอยู่นี้คือใบหน้าของเทพเจ้าหรือเปล่านะ นัยน์ตาสีเฮเซลที่มองมาช่างดูงดงาม ราวกับมีมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากลับดูลึกลับไม่น้อยเลย
“ว่าธุระของคุณมาได้เลยครับ”
“เอ่อ...ผมชื่อไวน์นะครับ ผมอยากคุยกับคุณแกมมาเรื่องหนี้ของพี่ชายผม”
เขาไม่พูดอะไรกลับมาเลย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกร็งเข้าไปใหญ่
“ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินใช้หนี้ให้คุณแกมมา ผมขอเป็นเดือนหน้าแทนได้ไหมครับ?”
“แล้วเดือนหน้าคุณจะมีใช้ผม...หรือเปล่า?” เขาลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินตรงมายังผมที่เอาแต่ยืนตัวเกร็ง
“เอ่อ...คิดว่ามีครับ”
“ผมเป็นเจ้าของเงินที่พี่ชายของคุณเอาไป แต่ในวันนั้นผมไม่ใช่คนที่พิจารณาว่าสมควรให้เงินหรือไม่สมควรให้ ผมเป็นเพียงผู้อนุมัติเรื่องเงินเท่านั้นครับ คนที่พิจารณาเรื่องเงินก้อนนั้นคือคุณภัค ผู้ช่วยของผม เท่าที่ฟังมา พี่ชายของคุณอ้างว่าเขาจะนำเงินไปรักษาแม่ที่ป่วยและที่คุณภัคอนุมัติด้วยความรวดเร็วขนาดนั้น เป็นเพราะว่าเขาคือพี่ชายของพนักงานที่ทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นก็คือคุณ”
รักษาแม่ที่ป่วย?
“พี่ของผมโกหกครับ เขาไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องเอาเงินไปรักษาแม่ เพราะแม่ของเราทิ้งเราไปนานแล้วครับและเราไม่เคยติดต่อกับแม่อีกเลยนับตั้งแต่นั้น เราอยู่กันแค่สองคนพี่น้อง...”
คุณแกมมาเงียบไปชั่วครู่ ทว่าสายตายังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างพินิจพิจารณา
“ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินใช้หนี้ให้คุณแกมมา แต่ผมขอเอาสร้อยเป็นหลักประกันไว้ก่อนได้ไหมครับ? ของที่มีค่าติดตัวตอนนี้คงมีเพียงแค่สร้อยคอเส้นนี้และโทรศัพท์มือถือของผม” ไม่รู้ว่าจะใช้เป็นหลักประกันได้ไหม แค่อยากทำให้เขารู้ว่าผมจะไม่หนีหายไปไหนแน่นอน ผมยื่นสร้อยคอเส้นนั้นให้เขาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่เก็บเงินแทบตายเพื่อซื้อมันมา
“ผมขอรับเป็นสร้อยเส้นนี้ไว้แล้วกันครับ ส่วนโทรศัพท์ของคุณ คุณเก็บเอาไว้ใช้”
ได้แต่มองตามสร้อยเส้นนั้นตาละห้อย คุณแกมมาเอาสร้อยของผมวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
“สร้อยเส้นนี้มีความสำคัญกับคุณยังไงครับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ พลางเลื่อนสายตามองสร้อยที่วางอยู่ด้านหน้าเขา
“เป็นสร้อยที่ยายให้ผมไว้ก่อนที่ยายจะเสียครับ”
คุณแกมมาพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าผม ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบโต๊ะ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมกับเขาอยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบเท่านั้น ผมเดินถอยหลังหนึ่งก้าวเพราะผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมทำตัวเสมอนาย
“ปกติคุณทำอยู่ที่โซนไหนของบาร์?”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาในฉับพลันที่ได้ยินเขาเอ่ยถาม
“ผมอยู่โซน B ครับ เป็นพนักงานเสิร์ฟธรรมดา”
“เท่ากับว่าคุณได้เงินหนึ่งหมื่นห้าพันบาทต่อเดือน ถ้าหักค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว คุณเหลือเงินประมาณเท่าไรครับ?”
หักทุกอย่างแล้ว...แทบจะไม่เหลือ
ถ้าขืนตอบไปแบบนั้น เขาต้องคิดว่าผมจะต้องเบี้ยวหนี้เขาในสักวันหรือเปล่านะ จะให้เขาเข้าใจแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“ประมาณสี่ถึงห้าพันครับ”
เขาเงียบไปชั่วครู่
“ผมมีข้อเสนอมาให้คุณ ถ้าคุณตกลงทำ ผมจะจ่ายเงินในคุณส่วนนั้นให้คุณเพราะถือเป็นค่าจ้าง คุณสนใจที่จะฟังข้อเสนอของผมหรือเปล่าครับ...” ข้อเสนออย่างนั้นเหรอ?
“ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด ผมทำได้หมดครับ”
เหมือนจะได้ยินเขาหัวเราะในลำคอแฮะ เขาจะคิดว่าผมตัดสินเขาไปแล้วหรือเปล่านะ ตายล่ะ ทำยังไงดีล่ะทีนี้
“เอ่อ...คือ ผม...ผมไม่ได้จะว่าคุณว่าคุณเป็นคนไม่ดีนะครับ คือ...”
“ผมเข้าใจ… ไม่ใช่เรื่องยาเสพติดครับ คุณสบายใจได้”
ค่อยโล่งอก... ผมอาจจะคิดในแง่ร้ายไปหน่อย แต่สมัยนี้มีเรื่องแบบนี้เยอะแยะไปหมด หลอกใช้ให้คนไปส่งยาให้ แต่สุดท้ายนายใหญ่ก็ลอยนวล ส่วนคนที่โดนหลอกใช้ให้ไปส่งยากลับติดคุกแทน
“ถ้าอย่างนั้นผมตกลงทำครับ ผมไม่เกี่ยงงานอยู่แล้ว งานหนักงานเบาผมทำได้หมดเลยครับ”
“คุณทำอาหารเป็นไหมครับ?” เป็นคำถามที่แปลกดีแฮะ แปลกในที่นี้คือผมคิดว่าเขาจะมาถามผมในสถานการณ์แบบนี้
“เอ่อ...ทำเป็นครับ”
“แล้วคุณพอทำงานด้านเอกสารได้หรือเปล่า?”
“พอได้ครับ”
คุณแกมมาไม่พูดอะไรต่อจากนั้น เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
มือหนาเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนที่เขาจะยื่นมันให้ผม ผมมองหน้าเขาสลับกับโทรศัพท์เครื่องนั้นด้วยความสงสัยว่าเขาจะยื่นมันมาให้ผมทำไม
“เมมเบอร์ของคุณให้ผมด้วยครับ”
ผมพยักหน้าหงึกๆ และเมมเบอร์ของผมลงไป
“หลังเลิกงานแล้ว ผมจะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอทั้งหมดให้คุณ”
“ครับคุณแกมมา”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าข้อเสนอที่เขาพูดนั้นจริงๆ แล้วหมายถึงอะไร แต่ที่รู้ๆ เขาบอกว่าเขาจะจ่ายเงินในส่วนนั้นให้กับผม ชีวิตของผมตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าเงินแล้วด้วยสิ เพราะนอกจากที่พี่เบียร์จะเป็นหนี้คุณแกมมาแล้ว ยังมีหนี้เก่าที่ผมยังใช้ไม่หมดเหลืออยู่อีกหนึ่งงวดสุดท้าย หนี้ที่ผมไม่ได้ก่อนั่นแหละ...
“คุณมีแฟนหรือเปล่าครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของคำถามในทันใด เมื่อได้ยินคำถามนั้น “ผมจำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นครับ เพราะการที่คุณจะทำตามข้อเสนอของผมได้ คุณจะต้องไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนอื่น เพราะหนึ่งในข้อเสนอของผมคือข้อผูกมัดที่จะทำให้คุณไร้ซึ่งอิสระ...”
ข้อผูกมัดที่จะทำให้ผมไร้ซึ่งอิสระ?
“ผม...ไม่มีแฟนครับ”
เขามองผมนิ่ง คล้ายกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอย่างไรอย่างนั้น
“ช่วงสามทุ่ม รบกวนคุณมาพบผมอีกรอบนะครับ ผมมีเรื่องเอกสารให้คุณช่วย”
“ได้ครับ”
วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันที่ผมเหนื่อยสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อนร่วมงานที่เดินเสิร์ฟโซนเดียวกับผมไม่มา ผมเลยต้องทำในส่วนของเขาแทน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยกว่าเดิมถึงสองเท่าแต่มันคุ้ม เพราะผมจะได้เงินเพิ่มจากการทำงานแทนเพื่อนในวันนี้ อีกอย่างวันนี้ผมได้ทิปเยอะกว่าเดิม เนื่องจากเดินเสิร์ฟโต๊ะเดิมๆ ซ้ำๆ หลายรอบ ลูกค้าเลยให้ทิปผมกันเยอะเลย
ทิปที่ได้วันนี้น่าจะพอจ่ายหนี้ของเบียร์ที่ติดเจ้าหนี้อีกคนเอาไว้ เหลืออีกหนึ่งหมื่นบาทผมก็จะใช้หนี้ก้อนนั้นหมดแล้วล่ะ ทุกวันนี้ผมไม่ได้หวังอะไรมากกว่าการมีเงินพอเหลือให้ผมได้ซื้อของกินที่ผมอยากกินในแต่ละเดือน ถึงแม้ว่าเงินจะเหลือไม่มากนัก แต่ผมก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอดเลยสักครั้ง เพราะผมทำงานเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งหิว ผมต้องได้กินของที่ผมอยากกินบ้าง
พูดแล้วคิดถึงยายจัง ยายของผมทำกับข้าวอร่อยมากๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปมาหาสู่ยายบ่อยๆ เพราะต้องทำงานต่างที่ แต่ยายก็จะทำอาหารและจ้างให้คนรู้จักเอามาส่งผมตลอด ต้มจับฉ่ายที่ยายทำอร่อยที่สุดในโลกเลย! ยายจะผิดหวังในตัวผมไหมนะ ที่ผมเอาสร้อยที่ยายให้ไปเป็นหลักประกันแบบนั้น เฮ้อ...
เมื่อเห็นว่าตรงโซนนี้มีพนักงานมาประจำจุดเสิร์ฟมากพอสมควร ผมเลยขึ้นมาที่ห้องทำงานของคุณแกมมา ผมบอกมิกะ เพื่อนผู้ชายที่หน้าหวานๆ ที่ทำงานอยู่โซนเดียวกันไว้ว่าผมต้องขึ้นมาช่วยงานข้างบน วานให้เขาบอกพี่ฟองดูว์พี่ที่เป็นหัวหน้าโซนที่ผมประจำอยู่ให้ผมด้วย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่คุณแกมมานัดผมแล้ว แต่พี่ฟองดูว์ไม่ได้อยู่ที่โซนตอนนี้เพราะยังคงติดธุระอยู่ที่โซน VIP ผมเลยต้องรีบออกมาก่อน เกรงว่าคุณแกมมาจะรอ
ผมเคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องและยืนรอคุณแกมมาอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานของเขา สายตาพลันเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่ ในภาพปรากฏรูปของหญิงสาวชาวตะวันคนหนึ่งที่หน้าตาสะสวย ดูแล้วน่าจะอายุอานามมากกว่าผมหลายสิบปีเลยล่ะ และด้านล่างของรูปลงชื่อไว้ว่า ‘Lyla’
กลิ่นหอมๆ ที่ลอยฟุ้งมาจากทางด้านหลัง มันหอมมากเสียจนทำให้ผมต้องหันไปมอง คุณแกมมา...ชุดที่เขาใส่ในเวลานี้คือชุดที่ต่างไปจากที่ผมเพิ่งเจอเขาเมื่อตอนก่อนเข้างาน ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งอาบน้ำมาแฮะ กลุ่มผมสีน้ำตาลเทาดูสลวยยังคงเปียกชุ่ม คนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้จุดที่ผมยืนอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อหลบให้เขาเดิน
ซึ่งนั่นเป็นเพราะความน่าเกรงขามของเขาและผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมทำตัวเสมอนายอยากที่ผมเคยบอกเอาไว้ แต่ทว่าผมกลับเสียหลักหงายหลังในจังหวะนั้น
ผมหลับตาปี๋เพราะคิดว่ายังไงหัวคงโขกเข้ากับขอบโต๊ะตรงโซฟาหรือไม่ก็ที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นแน่ แต่เอ…สัมผัสอุ่นๆ แบบนี้คืออะไรนะ ทันทีที่ลืมตาขึ้น
ก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีเฮเซลที่บัดนี้อยู่ใกล้ใบหน้าของผมเพียงแค่ปลายจมูกเท่านั้น นั่นเป็นเพราะคุณแกมมาคว้าเอวของผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะหงายหลังล้ม
“คุณกลัวผมมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองเจ้าของใบหน้างดงามดั่งภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า คล้ายว่าผมกำลังตกอยู่ในภวังค์
ดวงตาของเขาทำไมถึงได้สวยขนาดนี้ เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นใครตาสวยเท่าเขามาก่อนเลย มันช่าง…น่าหลงใหล
“ตาสวยจัง…”
“คุณชอบเหรอครับ?” ผมกะพริบตาปริบๆ ในฉับพลันที่ผมได้สติ ไวน์เอ๊ย...คิดอะไรอยู่วะเนี่ย ผมกำลังทำตัวเสียมารยาทกับเขา แย่จริงๆ เลยผม แล้วนี่ผมพูดอะไรออกไป...แง
“เอ่อ…คือ ผมขอโทษครับคุณแกมมา” เขายิ้มบางๆ กลับมาในจังหวะเดียวกันกับที่ผมกำลังผละตัวออกจากเขา คุณแกมมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงานพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ บรรจงเช็ดผมที่เปียกชุ่ม
“วันนี้สถานการณ์ข้างล่างเป็นยังไงบ้างครับ?”
“คนเยอะครับ เยอะเหมือนทุกๆ วันเลยครับ แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวันตรงที่ผมได้ทิปเยอะครับคุณแกมมา” ผมพูดไปยิ้มไปราวกับพูดกับเพื่อน จนลืมไปว่าคู่สนทนาของผมในตอนนี้คือเป็นเจ้านาย ดูเหมือนว่าเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยจะตั้งใจฟังที่ผมพูดไม่น้อย ผมหุบยิ้มและเม้มปากเรียบในทันใดเมื่อคิดได้ว่าผมพูดเยอะเกินไปแล้ว
“ขอให้ทุกๆ วันคุณได้รับทิปเยอะแบบนี้นะครับ...” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา พร้อมกับยกยิ้มด้วยความดีใจ สำหรับพนักงานอย่างผมแล้วนั้น ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าได้รับทิปเยอะๆ จากลูกค้า เพราะนั่นถือเป็นค่าขนมสำหรับผม คิดถึงขนมแล้วมีความสุขชะมัด เรียกได้ว่ามีกำลังใจทำงานต่อเลยก็ว่าได้
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไรแล้วที่ผมอยู่ในห้องทำงานของคุณแกมมา งานที่ผมได้รับมอบหมายคือจัดเรียงเอกสารที่ปะปนกันอยู่เป็นกองๆ ทั้งของใหม่ของเก่า โดยคุณแกมมาให้ผมช่วยเรียงตามปีของเอกสาร ในระหว่างที่ผมกำลังจัดเอกสารอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นคุณแกมมาเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องทำงานและระเบียงด้านนอก เขาจุดบุหรี่สูบเรื่อยๆ ซึ่งมวนนี้น่าจะเป็นมวนที่สามแล้วที่ผมสังเกตดู เป็นเพราะว่าเขาติดบุหรี่อย่างนั้นสินะ...
หลังจากที่จัดเอกสารทุกอย่างจนเสร็จสรรพ ถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไปทำงานของผมแล้ว อีกไม่ถึงชั่วโมงบาร์ก็จะปิดลง เพราะนี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า โดยปกติบาร์จะปิดเวลาเที่ยงคืนหรือตีหนึ่งบ้างแล้วแต่วัน แต่ด้วยความที่ผมเป็นพนักงาน ผมจึงมีหน้าที่ที่ต้องทำความสะอาดบริเวณต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงจะกลับบ้านได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าผมจะได้กลับบ้านอีกทีตีสองหรือไม่ก็ตีสองครึ่ง เร็วสุดก็คงเป็นเกือบๆ ตีหนึ่ง แต่ผมคิดว่าวันนี้ผมคงได้กลับช้ากว่าทุกวันเพราะผมต้องทำในส่วนของเพื่อนอีกคนที่หยุดงานไปด้วย
ก่อนที่ผมจะลงมาชั้นล่าง ผมได้เขียนข้อความใส่โพสต์อิททิ้งไว้ให้คุณแกมมา เนื่องจากว่าผมเห็นเขากำลังเช็กอะไรบางอย่างอยู่ในไอแพด ท่าทางของเขาดูเครียดๆ ผมเลยคิดว่าผมไม่ควรที่จะรบกวนเขา จึงตัดสินใจเขียนข้อความทิ้งเอาไว้และแปะไว้ที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะของเขาแทน พร้อมกับลูกอมรสเมลอนที่ผมชอบกินให้เขาไปหนึ่งเม็ด ผมเคยอ่านมาว่าการอมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยให้เราสามารถลดความอยากบุหรี่ลงได้
...เขาจะคิดว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องหรือเปล่านะ?
ผมโดนพี่ฟองดูว์บ่นชุดใหญ่ว่าทำไมถึงไม่แจ้งให้เขารู้ว่าจะไปไหน จู่ๆ ถึงได้ทิ้งงานกะทันหันแบบนี้ ผมเลยบอกเขาว่าผมฝากมิกะบอกเขาแล้วผมต้องไปช่วยงานคุณแกมมา แต่มิกะดันบอกว่าผมไม่ได้บอกเขา ให้ตายเถอะ...
“มิกะ เราจำได้ว่าเราบอกมิกะแล้วนะ ว่าให้ช่วยบอกพี่ฟองดูว์ทีว่าเราต้องทิ้งโซนไปช่วยงานคุณแกมมา”
“บอกตอนไหน? เราไม่เห็นจำได้เลยไวน์” เป็นอย่างนั้นไป...ช่างเถอะ พูดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ
“โอเค...ไม่เป็นไร”
ผมจำได้ว่าผมพูดอะไรกับใครไปบ้าง อาจจะเป็นไปได้ว่ามิกะคงลืม แต่จะโทษมิกะก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่รอบคอบ ผมควรที่จะรอบอกพี่ฟองดูว์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฝากคนอื่นบอก
เพื่อนๆ พนักงานค่อยๆ ทยอยกลับกันทีละคนสองคน จนในที่สุดเหลือเพียงผมกับพี่ซิเคียวริตีที่ยืนประจำหน้าบาร์หนึ่งกลุ่ม ผมมักจะแวะทักทายพวกเขาทุกครั้งหลังเลิกงาน
“น้อง วันนี้ทำไมเลิกช้ากว่าคนอื่นเขาล่ะ?”
“ผมทำงานแทนเพื่อนที่ไม่มาครับเลยเสร็จช้า ผมไปก่อนนะครับพี่ๆ”
“กลับดีๆ ไอ้น้อง”
ผมเดินมารอรถที่หน้าบาร์ ในใจคิดเพียงแค่ว่าวันนี้จำได้กลับบ้านไหม เพราะดูท่าแล้วจะไม่มีรถผ่านมาเลย เพราะนี่ก็ปาเข้าไปตีสองสิบห้านาทีแล้ว ร่างกายผมล้ามากและง่วงนอนสุดๆ ผมสามารถยืนหลับกลางอากาศได้เลยในเวลานี้
ในจังหวะที่กำลังยืนเคลิ้ม จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ก็เป็นอันต้องสะดุ้งในฉับพลัน เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามของรถเฟอร์รารี่คันเทาที่แล่นผ่านมาและจอดอยู่ตรงหน้าผม กระจกที่ถูกลดลงเผยให้เห็นคนขับซึ่งเป็นเจ้าของดวงตาคู่สวยที่ผมหลุดปากชมไปโดยไม่รู้ตัว...
“ขึ้นรถครับ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับคุณแกมมา อีกพักสักรถน่าจะมาถึง” ซึ่ง....ไม่รู้ว่าจะมาจริงๆ ไหม
“ขึ้นมา...”