❝ผมไม่จูบปากคู่นอนและไม่เคยให้ใครนอนค้างบนเตียงของผม แต่ตอนนี้ผมอยากจูบคุณไวน์และอยากนอนกอดคุณไวน์ทั้งคืน...❞
ชาย-ชาย,ฟีลกู๊ด,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
คุณไวน์ครับขอบคุณที่ทำให้ผมนอนหลับ [Taste of Velvety Wine]❝ผมไม่จูบปากคู่นอนและไม่เคยให้ใครนอนค้างบนเตียงของผม แต่ตอนนี้ผมอยากจูบคุณไวน์และอยากนอนกอดคุณไวน์ทั้งคืน...❞
‘ไวน์’ พนักงานเสิร์ฟตัวเล็กๆ ที่บาร์แห่งหนึ่ง ต้องทำงานหาเงินใช้หนี้แทนพี่ชายที่สร้างหนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น สุดท้ายพี่ชายก็หนีหาย เหลือไว้ก็แต่หนี้ก้อนโต และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เจ้าหนี้ดันเป็นเจ้าของบาร์ที่ไวน์ทำงานอยู่
ริมฝีปากเล็กเม้มเรียบเป็นเส้นตรง พร้อมกับใจของผมที่เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ
“ผม…ผมขอไปเตรียม…เอ่อ…เตรียมมื้อกลางวันก่อนนะครับ” พูดติดๆ ขัดๆ ทุกทีเลยผม เวลาที่ทำอะไรไม่ถูก แย่ชะมัด
ทว่าไว้กว่าความคิด ยังไม่ทันที่เท้าเล็กจะได้ก้าวเดินไปจากจุดนี้ เจ้าของแขนแกร่งกลับรั้งตัวผมเข้าหาอย่างแนบชิด เขาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง ก่อนจะเอาคางเกยไหล่คล้ายกำลังอ้อนผมอย่างไรอย่างนั้น
“คุณแกมมา...อืม...” ปลายจมูกเริ่มซุกไซ้อยู่ที่ซอกคอขาว เขาดันตัวผมให้เข้าหาจนส่วนนั้นของเขาถูไถอยู่ที่เอวของผม คุณแกมมาจับตัวผมให้หันเข้าหาเขา มือหนาประคองใบหน้าของผมอย่างเบามือ ใบหน้าที่สวยได้รูปเคลื่อนเข้ามาใกล้ คลอเคลียอยู่ที่แก้มนุ่มไปมา ทั้งยังไล้ปลายจมูกช้าๆ ให้ผมจักจี้ “คุณแกมมาครับ...อย่าแกล้งไวน์...”
“คุณไวน์จูบผมได้ไหมครับ...”
ผมมองเขานิ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ แล้วค่อยๆ เขย่งปลายเท้ายืดตัวให้สูงขึ้น ประคองที่ใบหน้าของคนตัวสูงด้วยสองมือเล็ก จับจ้องที่ริมฝีปากอมชมพูที่แสนน่าจูบ แตะริมฝีปากสัมผัสเบาๆ ด้วยความงกเงิ่น ผมไม่รู้วิธีการสอดลิ้น ไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยทำกับผมมาบ้างแล้ว
ทว่าผมกลับทำแบบนั้นไม่เป็น ผมไม่ได้เรียนรู้อะไรมาจากเขาเลยด้วยซ้ำ เลยทำได้เพียงแค่แตะเบาๆ และขบเม้มที่ริมฝีปากทั้งบนและล่างเพียงเท่านั้น
เขิน...ผมเขินเขามากเสียจนไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขาเลยด้วยซ้ำ ผมโอบรอบคอของเขาและงุดหน้าซบลงที่ไหลกว้าง
ก่อนที่ผมจะออกมาทำงานผมทำไข่ยัดไส้ไว้ให้คุณแกมมาไว้กินเป็นมื้อกลางวัน กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ไวน์รับประกันความอร่อยเลยครับ! และไม่ลืมที่จะวางลูกอมรสเมลอนไว้ให้คุณแกมมาเหมือนเช่นเคย วันนี้ผมให้เขาตั้งห้าเม็ดแหนะ
“วันนี้เลิกงานแล้ว อย่าเพิ่งกลับบ้านกันนะ พี่มีเรื่องจะคุยกับพวกเราทุกคน”
“เรื่องอะไรวะแก?”
“นั่นสิ ดูหน้าพี่ซิปกับพี่ฟองดูว์ดิ เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่าเครียด สงสัยต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ” เสียงเพื่อนพนักงานที่ซุบซิบกันดังขึ้นเป็นระยะๆ เท่าที่สังเกตดูก็พบว่าสีหน้าของพี่ๆ ทั้งสองคนเป็นแบบนั้นจริงๆ
“ฉันแอบได้ยินพี่ซิปคุยกับพี่ฟองดูว์มาแก เหมือนว่าเหล้าที่เพิ่งเอาออกมาจากห้องเก็บเหล้าชั้นสี่จะหายไปหนึ่งขวด แล้วขวดนั้นราคาเจ็ดหมื่น แกอย่าเอ็ดไปนะ พอดีตอนที่ไปเข้าห้องน้ำฉันแอบได้ยินพี่ซิปกับพี่ฟองดูว์คุยกัน”
ผม พลเมืองและถิงถิงหันหน้ามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่นเป็นเพราะพวกเรา รวมถึงมิกะและเพื่อนๆ พนักงานอีกสามคน เป็นคนที่ไปยกเหล้าและไวน์ในห้องเก็บเหล้าเมื่อวานนี้ตามคำสั่งของพี่ซิป แล้วเหล้าจะหายไปตอนไหนในเมื่อทุกขวดตอนยกออกมาก็อยู่ครบ และตอนที่ผมนับขวดที่เหลือก่อนออกมาก็อยู่ครบทุกขวดเช่นกัน
“คนแถวนี้หรือเปล่าที่เอาไป...” มิกะเดินมาขนาบข้างผม มองผมราวกับว่าผมเป็นคนเอาไปอย่างไรนั้น พร้อมกับพูดจาชวนให้คนอื่นเข้าใจผมผิด แต่นี่มันมากไปหรือเปล่า ยังหาตัวคนผิดไม่ได้เลย แต่ไหนมาปรักปรำกันแบบนี้
“มิกะ พูดให้มันดีๆ หน่อย อย่าเที่ยวพูดจาว่าร้ายคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ปากเสียจริงๆ ผีเจาะปากมาพูดหรือไง?” พลเมืองสวนมิกะในทันควัน
“พลเมืองใจเย็นๆ นะ ช่างเขาเถอะ” ผมตบที่บ่าเบาๆ เพื่อปรามพลเมือง
“เดี๋ยวก็รู้ว่าที่พูดน่ะจริงไหม หึ...”
“เราไม่ไหวแล้วนะ ขอตบให้เลือดกบปากสักทีเหอะ!” เป็นถิงถิงที่พุ่งตัวประชิดมิกะ เงื้อมือเตรียมตบหน้า แต่โชคยังดีที่ผมคว้าข้อมือของถิงถิงเอาไว้ได้ทัน ผมเข้าใจที่เพื่อนรู้สึกโกรธแทนผม ผมเองก็โกรธเหมือนกันที่เขาพูดจาให้ร้ายกัน ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น แต่บางทีการยับยั้งชั่งใจก็เป็นสิ่งที่จำเป็น หนึ่งคือเราอยู่ในที่ทำงาน คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ถ้าตบตีกันที่นี่ และอีกไม่กี่นาทีลูกค้าก็จะเข้าร้านแล้วด้วย
“มิกะ เลิกว่าเราได้แล้ว เราไม่ได้ทำอะไรให้มิกะเลยนะ เราไม่เคยว่าร้าย ไม่เคยนินทาลับหลัง ไม่เคยพูดจาจิกกัดแบบที่มิกะทำกับเราเลยด้วยซ้ำ”
“ก็กูเกลียดมึง...” มิกะกระซิบที่ข้างหูและเดินชนไหล่ผมสุดแรงจนผมเซไปชนกับเสาด้านหลัง เขาโกรธแค้นอะไรผมนักนะ...
ตลอดการทำงานในคืนนี้ ผมเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งรู้สึกเกร็งและทำตัวไม่ถูก นั่นเป็นเพราะเพื่อนพนักงานเอาแต่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ พร้อมกับหันไปซุบซิบกันทุกรอบที่เราเดินสวนกันตอนเสิร์ฟเครื่องดื่ม ยิ่งเป็นการกระตุ้นความสงสัยของผมว่าทำไมทุกคนถึงทำแบบนั้น หรือว่าผมทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัวหรือเปล่า
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือวันนี้พี่ๆ ผู้จัดการทุกโซนรวมถึงคนที่ผมไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่กับพวกเราในวันนี้ด้วยก็คือ...คุณแกมมา คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกงกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความนิ่งงัน ส่วนผมยืนอยู่กับพลเมืองและถิงถิงตรงมุมเสา
พนักงานต่างก็พากันมองไปที่เขา และต่างพากันถามในทำนองเดียวกันว่าผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นคือใครกัน
“แก! คนนั้นคือคุณแกมมาเจ้าของบาร์ที่พวกเราทำงานอยู่จริงๆ เหรอ? นึกว่านายแบบ! หล่อมากกก!”
“สงสัยมาตลอดว่าหน้าตาจะเป็นยังไง พอได้เห็นแล้วลมแทบจับ เขาหล่อมาก!” เสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่องๆ ทั้งเกี่ยวกับเหล้าที่หายไปและเรื่องความน่าหลงใหลของคุณแกมมา
“พี่คิดว่าทุกคนน่าจะพอรู้แล้วว่าพี่เรียกพบพวกเราทำไม เราทำงานด้วยกันเป็นเหมือนครอบครัว พี่น้องนะ พี่เชื่อแบบนั้น...” ซิปพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แก ฉันแอบได้ยินมิกะคุยกับกลุ่มเพื่อนของนาง รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ”
“เรื่องอะไรๆ ไหนมาเม้าท์ซิ!”
“พวกแกได้ยินเรื่องที่เหล้าหายไปแล้วใช่ไหม?”
“ได้ยินๆ เห็นเพื่อนๆ จับกลุ่มคุยกันอยู่ สรุปเรื่องจริงเหรอ?”
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง แล้วคนทำก็คือ...ไวน์ เราได้ยินมาเต็มสองหูเลย”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ”
“ไวน์อย่าไปฟัง” พลเมืองเอามือปิดหูผมเอาไว้ ส่วนถิงถิงลากแขนผมให้เดินไปด้วยกันอีกทาง
“ทุกคนอยู่ในความสงบก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป เราควรรอหลักฐานให้แน่ชัดว่าใครเป็นคนทำจะดีกว่า จริงอยู่ว่าเหล้าขวดนั้นได้หายไป แต่เรายังหาตัวคนผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรกล่าวหาคนอื่น ที่พี่ทำได้ในเวลานี้คือรอไฟล์กล้องวงจรปิดจากทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งแน่นอนว่าคุณแกมมาจะต้องเป็นคนแรกที่มีสิทธิ์ตรวจสอบ อย่าเพิ่งปรักปรำใครสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ทำไมไวน์ถึงไม่ยอมรับล่ะ ไวน์น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วนี่” หนึ่งในคนที่ไปช่วยยกเหล้าเมื่อวานนี้โพล่งออกมาเสียงดังจนพนักงานในบาร์หันมองมาทางผมเป็นตาเดียว
“ผม?” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ใช่ ไวน์นั่นแหละ มิกะบอกเราว่าไวน์อยู่ในห้องเก็บเหล้าเป็นคนสุดท้าย”
“หยุดปรักปรำคนอื่นเขาไปทั่วนะหล่อน!” เป็นพลเมืองที่เถียงแทนผม พร้อมกับถิงถิงที่ยืนขนาบข้างกัน
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเราล่ะ? ทำไมถึงเจาะจงว่าเป็นเรา?”
ผมเอ่ยถามเพื่อนคนที่ปรักปรำผม นี่ผมกลายเป็นคนร้าย ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ความคิดเรื่องขโมยของไม่เคยอยู่หัวของผมเลยด้วยซ้ำ ผมจะทรยศคุณแกมมาแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อเขาดีกับผมขนาดนั้น
“กล้าไหมล่ะให้พี่ๆ ทุกคนตรวจล็อกเกอร์?”
มิกะยืนกอดอกมองผม เหยียดยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน รวมทั้งเพื่อนอีกสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มิกะ ต่างก็ทำท่าทางไม่ต่างกัน
“เอาล่ะๆ เพื่อความสบายใจของทุกคน พี่ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงพูดถึงเรื่องล็อกเกอร์ขึ้นมา แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย พี่จะตรวจ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นทุกคน”
ผมเห็นคุณแกมมาขมวดคิ้วคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขามองมาทางผมตลอดเวลา ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกอย่างที่มิกะพูดออกไป เขาได้รับฟังมันทั้งหมดแล้ว หรือว่าเขาจะเชื่อที่มิกะพูดไปแล้วว่าผมเป็นคนขโมยเหล้าขวดนั้น
พี่ๆ ผู้จัดการที่ดูแลโซนแต่ละโซนช่วยกันเดินตรวจล็อกเกอร์ของพนักงานทีละแถวๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่แถวของผม พี่ฟองดูว์กับพี่ซิปเริ่มตรวจของพลเมืองและถิงถิง จากนั้นก็มาหยุดอยู่หน้าล็อกเกอร์ของผม
“น้องไวน์ กุญแจล็อกเกอร์ของเราอยู่ไหน?” ผมเอามือล้วงกุญแจล็อกเกอร์ในกระเป๋าเสื้อให้พี่ซิป
ทันทีที่ล็อกเกอร์เปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาผมแทบล้มทั้งยืน เพราะเหล้าที่หายไปมันมาอยู่ในล็อกเกอร์ของผม...
“มีอะไรจะแก้ตัวไหมไวน์?” พี่ฟองดูว์ถามผมด้วยน้ำเสียงดุดัน “เราเป็นคนของโซน B นะ ทำเรื่องให้โซนของเราเสียชื่อแบบนี้ได้ยังไง? กล้ามากนะที่ขโมยของแบบนี้!”
เงยหน้าขึ้นสบตากับพวกพี่ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ผมไม่ได้เป็นคนทำครับ”
“หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ยังปฏิเสธอีกเหรอไวน์?”
“พวกเราเป็นพยานได้ครับ ไวน์ไม่ใช่ขโมย” พลเมืองและถิงถิงโอบไหล่ของผมเอาไว้แน่น ผมหันมองพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างผมไม่ห่าง
“ใช่ค่ะ ถิงถิงกับพลเมืองเป็นพยานให้ไวน์ได้ค่ะ ไวน์ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน อีกอย่างเมื่อวานก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น จู่ๆ กุญแจล็อกเกอร์ของไวน์ก็หายไป พวกเราสองคนยังพาไวน์ไปเอากุญแจดอกใหม่อยู่เลยค่ะ”
จริงสิ เมื่อวานกุญแจผมหายไป “กุญแจของผมหายไปหลังจากที่ผมไปช่วยยกเหล้าครับ พี่ฟองดูว์กับพี่ซิปสามารถถามพี่ที่อยู่ฝ่ายบริการได้เลยครับว่าผมไปเบิกกุญแจดอกใหม่มาจริงๆ”
ผมหันมองคนตัวสูง จึงได้ว่ารู้เขาไม่ได้ละสายตาไปจากผมเลย ในใจลึกๆ แอบหวังว่าเขาจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมถูกปรักปรำ แต่ทว่าอีกใจกลับหวาดหวั่นเพราะหลักฐานที่ปรากฏเด่นชัดเสียขนาดนั้น ผมส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อบอกกับเขาเป็นนัยๆ ว่าผมไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา และในจังหวะนั้นเองที่คุณแกมมาขยับริมฝีปากเอ่ยคำบางคำกับผม
‘I know... (ผมรู้ครับ) ’
เพียงเท่านั้นก้อนสะอื้นก็พลันแล่นมาจุกอยู่ที่อก ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวราวกับว่าจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ แปลว่าเขาไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ผมถูกปรักปรำอย่างนั้นใช่หรือเปล่า...
“กุญแจหายแล้วยังไง? ขโมยก็คือขโมย” พนักงานเสิร์ฟผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มิกะเอ่ยขึ้น เธอคือหนึ่งในพนักงานสามคนที่ช่วยยกของเมื่อวานนี้
“แล้วไม่คิดว่ามันบังเอิญเหรอ ที่กุญแจล็อกเกอร์เราหายไป แล้วอีกวันเหล้าขวดนั้นก็มาอยู่ในล็อกเกอร์ของเรา” ก่อนเข้างานผมเอากระเป๋าเก็บเข้าล็อกเกอร์ตามปกติพร้อมกับพลเมืองและถิงถิง เรายืนอยู่ข้างๆ กัน แน่นอนว่าทั้งสองคนต้องเห็นของทุกอย่างที่อยู่ภายในนั้นพร้อมๆ กับผม ซึ่งในเวลานั้นเหล้าขวดนั้นยังไม่ได้อยู่ในล็อกเกอร์ของผมเลยด้วยซ้ำ เป็นไปได้ว่ามีคนขโมยกุญแจของผมไป แล้วอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเอาเหล้าขวดนั้นมาใส่
เสียงของเพื่อนพนักงานที่จับกลุ่มคุยกันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมองกันด้วยสายตาที่รังเกียจ ราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาดก็ไม่ปาน ต่อให้ผมอยากพูดอธิบายอะไรออกไปตอนนี้ ก็คงไม่มีคนฟังในเมื่อหลักฐานมันชี้ชัดมาที่ผมแล้วว่าผมเป็นคนผิด
“พี่ซิป ผมขอเอาไวน์ออกจากโซน B นะ ผมรับไม่ได้จริงๆ ที่คนในโซนของผมขี้ขโมยแบบนี้”
“แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำนะครับพี่ฟองดูว์...” พี่ฟองดูว์ดูท่าแล้วจะไม่ฟังผมเลยสักนิด
“พวกเราเป็นพยานได้นะครับ/ นะคะ” พลเมืองและถิงถิงโอบไหล่ผมไว้ พวกเขาช่วยพูดและพยายามปกป้องผมอย่างสุดความสามารถ
“พี่ซิป นิ้งก็ขอบายนะ ไม่ต้องผลักภาระมาที่โซน A ในเมื่อคุณแกมมาให้สิทธิ์ขาดพี่ซิปในการดูแลเรื่องพนักงาน พี่ซิปจะไล่ออกเลยก็ได้ จริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงคุณแกมมาหรอก”
“เราจะทำแบบนั้นกับพนักงานของเราได้ยังไงฟองดูว์ นิ้ง อย่าเพิ่งด่วนสรุป พี่จะไม่เชื่อจนกว่าพี่จะได้เห็นไฟล์กว้างวงจรปิดก่อน”
“แต่หลักฐานชี้ชัดไปที่ไวน์ขนาดนี้แล้วนะพี่”
“ทุกคนที่เข้าไปช่วยยกของในห้องเก็บเหล้าเมื่อวานนี้ พรุ่งนี้มาพบพี่นะ เดี๋ยวพี่โทรบอกอีกทีว่าให้เรามากี่โมง ถึงพรุ่งนี้บาร์จะไม่ได้เปิด แต่ยังไงเราก็ต้องมา และถึงพี่จะมีสิทธิ์เด็ดขาดในเรื่องพนักงาน แต่ในเมื่อพี่ยังไม่ได้ไฟล์กล้องวงจรปิด พี่ก็จะไม่ตัดสินอะไรใครทั้งนั้น เอาล่ะ...ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว และพี่ขอว่าอย่าเอาเรื่องในบาร์ไปพูดข้างนอก อย่าทำให้บาร์ของเราเสียหายด้วยการเอาเรื่องภายในออกไปพูดให้คนนอกรับรู้ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ/ ค่ะ”
ผมไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้างมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต วันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อไป ผมจะยังได้ทำงานอยู่ที่บาร์ไหม? ผมรู้สึกท้อแท้จัง ทำไมผมถึงกลายเป็นคนผิดทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำ ทำไมถึงถูกปรักปรำทั้งๆ ที่ผมเองไม่ได้เป็นคนทำ พอจะมีสักทางไหมให้ผมได้พิสูจน์ความจริงว่าผมไม่ใช่คนร้ายอย่างที่ทุกคนเข้าใจ…
ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ อีกแล้วแฮะ รถประจำทางก็ยังไม่มาเสียที ไม่รู้ว่าคุณแกมมาอยู่ที่ไหนในเวลานี้ ผมไม่เห็นเขาอีกเลยตั้งแต่ที่เขาเห็นว่าหลักฐานชี้ชัดมาที่ผม
‘I know...’ แม้ว่าคำพูดนั้นจะไร้ซึ่งเสียงในการเอื้อนเอ่ย แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่แสนอบอุ่นของเขาราวกับว่าคำพูดนั้นดังอยู่ข้างๆ หูของผม
“ไวน์ กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยววันนี้เรากับพลเมืองจะไปส่งไวน์เอง เรากลับแท็กซี่ด้วยกันนะ”
“ฝนลงเม็ดแล้ว เดี๋ยวไม่สบายนะไวน์ กลับกับพวกเราเถอะ ไวน์พักอยู่กับคุณแกมมาใช่ไหม? อยู่แถวไหน เดี๋ยวเราบอกพี่แท็กซี่ให้ไปส่งไวน์ก่อน”
สิ่งที่พลเมืองพูดทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ผมมองหน้าทั้งสองคนสลับกัน
“พวกเรารู้ตั้งแต่วันที่ไวน์กับคุณแกมมาไปกินอุด้งด้วยกันแล้วล่ะ จริงๆ วันนั้นเรากับพลเมืองก็ไปกินร้านนั้นพอดี เลยเห็นไวน์กับคุณแกมมา ก็เลยรู้ว่าไวน์คบอยู่กับคุณเขา แต่ไวน์ไม่ต้องกลัวว่าเราจะเอาไปพูดนะ เรากับพลเมืองเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว ไวน์สบายใจได้เลยนะ”
“เรา...เราไม่ได้คบกับคุณแกมมาอย่างที่ทั้งสองคนเข้าใจหรอก เรา...”
“ไม่ต้องอธิบายเราหรอกไวน์ ยังไงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของไวน์นะ จะคบหรือไม่คบกับใคร อย่าคิดมากเลยนะไวน์ เรากลับกันเถอะ” เราทั้งสองสามคนโอบกอดกันแน่น ผมดีใจจังที่มีพลเมืองกับถิงถิงเป็นเพื่อน พวกเขาเชื่อผมและเข้าใจผม ทั้งยังคอยปกป้องกันเสมอ
[Special talk: Gamma]
ผมหันมองคุณภัคเป็นการส่งซิกให้รู้ว่าผมมีเรื่องที่จะต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว คุณภัครู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับผม เขาเป็นทั้งผู้ช่วย เป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง คุณภัคเป็นลูกชายของลูกน้องคนสนิทของคุณลุงผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ เขาโตมาไล่ๆ กับผม เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาเปรียบเสมือนพี่ชายของผมเลยก็ว่าได้
“ผมต้องการไฟล์กล้องวงจรหน้าห้องเก็บเหล้าและหน้าห้องล็อกเกอร์ครับคุณภัค รบกวนคุณภัคจัดการให้ผมด้วย”
“ครับคุณแกมมา”
“ฝากคุณภัคด้วยนะครับ ผมขอตัวกลับก่อน”
“คุณแกมมาครับ คุณท่านฝากมาบอกว่าวันพรุ่งนี้ให้คุณแกมมาไปทานข้าวที่บ้านด้วยกันครับ”
“ครับคุณภัค” ‘คุณท่าน’ ที่คุณภัคเอ่ยถึงคือคุณลุงผู้ที่เปรียบเสมือนพ่อของผม ชีวิตในวัยเด็กของผมเป็นสิ่งที่ผมอยากลืมมาโดยตลอด มันคือความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวที่ทำให้ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งคุณลุงรับผมมาเลี้ยง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีคุณลุงชีวิตของผมป่านนี้จะเป็นยังไง…
ตอนนี้ผมอยู่ที่ร้านอุด้งร้านเดิมที่ผมมาทานกับไวน์ ไม่รู้ว่าเขาจะเบื่อหรือยัง พูดตามตรงว่าตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย คิดแค่เพียงว่าผมควรจะซื้ออะไรกลับไปฝากคนตัวเล็ก ผมเป็นห่วงไวน์ คิดว่าเขาคงยังไม่ได้ทานอะไรแน่ๆ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง เขาคงกำลังคิดมาก ผมอยากกลับไปกอดเขาและบอกกับเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวล ผมไม่อยากให้แก้มนุ่มๆ นั่นต้องมีร่องรอยของหยาดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย...
เพนต์เฮาส์ดูเงียบสงัดผิดปกติ...
มีเพียงแสงไฟจากริมระเบียงเท่านั้นที่ส่องสว่างเข้ามาด้านใน คนตัวเล็กที่ผมกำลังมองหานั่งกอดเขาฟุบหน้าอยู่ตรงมุมนั้น ผมไม่อยากให้เขาต้องเศร้าเสียใจแบบนี้เลย ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มนั่นเหมาะกับรอยยิ้มที่สุด ผมเดินออกมาหาร่างบางที่ริมระเบียง ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตา เขาหันหน้ามองผมด้วยแววตาที่แสนเศร้า
“คุณไวน์ครับ ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ กลับมาถึงนานหรือยังครับ?” ผมย่อตัวลงนั่งอยู่ด้านหน้าของเขา เอื้อมมือวางสัมผัสที่ศีรษะของไวน์ ลูบเบาๆ เพื่อปลอบประโลมคนตัวเล็ก
“กลับมาถึงสักพักแล้วครับ...ฮึก คุณแกมมาครับ ผมลืมทำอาหารให้คุณแกมมาครับ ผมขอโทษ...”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมไม่โกรธคุณไวน์เลยสักนิด… ผมแวะซื้ออุด้งร้านเดิมมาฝากคุณไวน์ด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ...” มือหนาคว้าตัวคนตัวเล็กเข้ามากอดในอ้อมแขน ไวน์ฟุบหน้าลงที่อกของผม เสื้อสีดำที่ผมใส่เริ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำตาที่เปียกซึมทีละนิดๆ คนตัวเล็กร้องไห้สะอื้นเจียนจะขาดใจ ผมลูบที่แผ่นหลังของเขาช้าๆ และจูบที่ขมับเพื่อปลอบเขา
“ถ้าผมบอกคุณ...ฮึก...บอกคุณแกมมาว่าผมไม่ได้ทำ คุณแกมมาจะเชื่อผมไหมครับ? ฮือ...ไวน์ไม่ได้ขโมยเหล้าขวดนั้นนะครับ ไวน์ไม่ได้ทำ ฮือ...” ไวน์เงยหน้าสบตากับผม เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือปนเสียงสะอื้น
“No need to explain cus I do believe you, baby Wine. (ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยครับ เพราะผมเชื่อคุณไวน์อยู่แล้ว) ”
ร่างบางพยักหน้าทั้งน้ำตา แววตาที่มองมาช่างดูใสซื่อบริสุทธิ์ ผมเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มของคนตัวเล็กอย่างเบามือ “ถ้าผมไม่เชื่อใจคนของผม แล้วจะให้ผมไปเชื่อใคร...”