นางมีสัมผัสสวรรค์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ จึงเปิดสำนักดูดวงโดยมีบริวารผีเป็นหน่วยสอดแนม ในที่สุดสำนักดูดวงของนางก็มีชื่อเสียงขจรไปไกล
จีน,ชาย-หญิง,รัก,ย้อนยุค,นางเอกเก่ง,อนาคต,อดีต,จีนโบราณ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
นางมีสัมผัสสวรรค์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ จึงเปิดสำนักดูดวงโดยมีบริวารผีเป็นหน่วยสอดแนม ในที่สุดสำนักดูดวงของนางก็มีชื่อเสียงขจรไปไกล
ผู้แต่ง
หัตถ์หทัย
เรื่องย่อ
‘ไป๋อี้โยว’ หัวหน้าองครักษ์ประจำตัวฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หลิน
ได้รับคำสั่งให้ออกตามหาชินอ๋องผู้เป็นอนุชาอันเป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้
“หากเจ้าดูดวงแม่นจริง เช่นนั้นเจ้าบอกได้หรือไม่เล่าว่าคนที่ข้าตามหาอยู่ที่ใด”
‘เยว่ซิน’ หมอดูที่ร่ำลือกันว่าแม่นอย่างกับตาเห็น แท้จริงแล้วนั้นนางไม่ได้ดูดวงเป็นแต่อย่างใด หากแต่นางมีสัมผัสสวรรค์ที่ผู้อื่นไม่มี ทั้งยังมีบริวารผีทั้งหลายที่คอยสอดแนมเรื่องราวชาวเมืองมาให้นางต่างหากล่ะ
“คิดมิถึงว่าท่านองครักษ์ผู้เกรียงไกรก็เป็นทาสแมวกับเขาด้วย”
°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°
นิยายเรื่องนี้เป็นจินตนาการของนักเขียน ไม่ได้อ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งตัวละครและสถานที่ต่างๆเกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน
“มีคนมาขอพบ บ่าวให้รออยู่ที่ด้านนอกเจ้าค่ะ จะให้เขาเข้าพบหรือไม่เจ้าคะ” สาวรับใช้นางหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าว
“ใครหรือ เคยมาหรือไม่” ร่างบางขมวดคิ้วยุ่ง
“บ่าวมิเคยเห็นหน้าเลยเจ้าค่ะ แต่เขาบอกว่าจ้าวฮูหยินแนะนำมาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นให้เข้ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
เยว่ซินสบตาหานฉีเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าวิญญาณผู้นี้จะรู้ว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใด
“ท่านหานฉีผู้เก่งกาจบอกข้าได้หรือไม่ว่าเขาเป็นผู้ใด”
“หึ!มื้อเย็นวันนี้ข้าขอเป็นอาหารขึ้นชื่อจากเหลาอาหารชื่อดังฟู่เจิน” ดวงวิญญาณผู้มีผมสีเงินเชิดหน้าขึ้นคล้ายนางจิ้งจอกสาวผู้หยิ่งผยอง
“คราวที่แล้วเจ้าลืมสุราซีเฟิ่งของข้า ครานี้อย่าลืมเล่า”
เยว่ซินหันไปมองหลัวอันที่โปรดปรานสุราเหมาไถ่เป็นชีวิตจิตใจ แต่วันนี้เขากลับสั่งสุราซีเฟิ่งเสียอย่างนั้น ‘แต่ประเดี๋ยวนะ! สุราซีเฟิ่ง....มิใช่ว่าเป็นสุราโปรดของหานฉีหรอกหรือ’
แม่หมอเยว่จัดเตรียมเสื้อผ้าให้ตนเองจนเรียบร้อย แล้วไปนั่งยังหลังฉากกั้นไม้ไผ่ ภายในห้องดูดวงปกติของนาง คนผู้นี้มิต้องการปิดบังตัวตน ทั้งยังมาอย่างสง่าผ่าเผยเพื่อ ‘ท้าทาย’ ความสามารถของนาง แต่ก็เอาเถอะ แม้นางจะมิมีความสามารถเช่นนั้นจริง แต่นางมีพรสวรรค์ที่ผู้คนมิอาจล่วงรู้ได้ นั่นคือการติดต่อกับดวงวิญญาณ
“ข้าขอคารวะแม่หมอเยว่” ชายหนุ่มร่างสูง ผิวพรรณดูดีเฉกเช่นคนในเมืองหลวง นั่งลงบนเก้าอี้รับรองที่บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้
“ท่านมาที่นี่ต้องการสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ” แม้นางจะรู้ว่าเขามาเพื่อสิ่งใด แต่ก็จำต้องทำตัวตามปกติเช่นเดิมไป
“ท่านจะนั่งอยู่ตรงนั้นหรือ ใยมิออกมาคุยกันดีๆ ข้างนอกเล่า” นัยน์ตาคมสำรวจไปรอบๆ ห้อง
“ท่านเป็นคนแรกที่ถามข้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะออกไปนั่งคุยกับท่านดีๆ ด้านนอกนั่น ดีหรือไม่”
นัยน์ตาคมเฝ้ามองคนหลังฉากกั้นขยับตัวสักครู่จึงได้เดินออกมาด้านนอก แต่ช่างน่าขันเพราะแม่หมอเยว่นั่นกลับยังคงสวมหมวกที่มีผ้าผืนยาวปกปิดใบหน้าไว้เสียมิดชิด
“หึ! ท่านช่างดูลึกลับเสียจริง ข้าคงไม่มีวาสนาได้เห็นว่าที่แท้แล้วแม่หมอเยว่มีหน้าตาเช่นไร”
“ท่านองครักษ์ไป๋มีวาสนาได้ใกล้ชิดข้าเพียงนี้ ก็นับว่ามีบุญมากแล้วเจ้าค่ะ” นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
เมื่อได้ฟังวาจาโอหังที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าแล้ว เขาพลันยกยิ้มขึ้นอย่างถูกใจ “ดูท่าว่าที่ผู้คนร่ำลือกันด้านนอกจะไม่เกินจริงสินะ”
“ในเมื่อท่านก็รู้กิตติศัพท์ของข้าดีอยู่แล้ว เช่นนั้นก็บอกความต้องการของท่านมาเถอะ” นางมองใบหน้าคมที่หล่อเหลาเป็นเอกลักษณ์ กำลังมัวแต่ละเลียดชิมชาชั้นดีที่นางให้บ่าวไพร่เตรียมไว้ให้
“หากท่านเพียงมาเดินเล่นเฉยๆ ก็ควรกลับไปได้แล้ว โปรดอย่าทำให้ข้าเสียเวลาเลยเจ้าค่ะ”
“จะรีบร้อนไปใยเล่า ข้าเพียงแค่คิดว่าท่านจะรู้สิ่งที่ข้าต้องการเท่านั้นเอง ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก” เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“ผิดหวังเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขันยิ่งนัก” นางป้องปากหัวเราะราวกับพบเรื่องขบขัน
เขามองแม่หมอจอมปลอมในความคิดเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “หากเจ้าดูดวงแม่นจริง เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่เล่าว่าคนที่ข้าตามหาอยู่ที่ใด”
“ข้าคงต้องขออภัยท่านองครักษ์ด้วยเจ้าค่ะ ตอนนี้หมดเวลาแล้ว แม้ข้าจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใดแต่คงไม่อาจบอกท่านได้ เด็กๆ ส่งแขก” นางลุกขึ้นหมุนตัวกลับเข้าไปหลังฉากกั้น
“บอกข้ามิได้ หรือเจ้ามิรู้กันแน่เล่า”
“คนผู้นั้นที่ท่านตามหา เป็นคนสำคัญของฮ่องเต้ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ” แม้ไม่เห็นตัวคน แต่กลับมาเสียงหวานลอยออกมา
“ใช่! เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรจึงจะยอมบอกข้า”
“ท่านก็แค่...ต่อเวลาสิเจ้าคะ แต่ว่าค่าต่อเวลาดูดวงเนี่ย....จะต้องมากหน่อยนะเจ้าคะ”
“ได้!10 ตำลึงทองเป็นเช่นไร” เขาลองเสนอ
“ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก มิคิดว่าหัวหน้าองครักษ์เช่นท่านจะยากจนเช่นนี้..” นางจงใจยั่วโทสะเขา
“20 ตำลึงทอง” เขาวางถุงเงินไว้ที่โต๊ะรับแขก
“แหม๋! ข้าเป็นหมอดูชื่อดังเชียวนะ ทั้งเรื่องที่ท่านจะให้ข้าช่วยยังเป็นเรื่องสำคัญของฮ่องเต้เสียด้วย”
“100 ตำลึงทอง”
“1000 ตำลึงทอง” เยว่ซินต่อรอง
“ได้!”
ชายหนุ่มมองแม่หมอเยว่ที่กล้าต่อรองเขาเดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เพราะเขารู้สึกราวกับกำลังถูกคนตรงหน้าขูดรีดทรัพย์เสียอย่างนั้น แต่หากนางสามารถช่วยเขาตามหาคนได้จริง นั่นก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามิใช่หรือ
“ใต้เท้าช่างใจกว้างยิ่งนัก เช่นนั้นข้าก็จะยอมดูดวงให้ท่านต่อเจ้าค่ะ เชิญนั่งสิเจ้าคะ” นางเรียกเขาด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทั้งยังเชิญเขานั่งด้วยท่าทีที่ดีใจจนปิดไม่มิด
“หึ! หมอดูสำนักนี้ช่างค่าตัวแพงเสียจริง”
“เอาน่า..ถึงอย่างไรก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“หากไม่ได้ความแล้วล่ะก็ ข้าจะเขียนสารลับไปถึงฮ่องเต้ว่าเจ้าเป็นหมอดูจอมปลอม!” เขาขู่นาง
“คิกคิกๆ เช่นนั้น...ก็จะมีข่าวลือออกมาว่า หัวหน้าองครักษ์ไป๋ผู้ฉลาดปราดเปลื่อง เสียท่าให้หมอดูจอมปลอมหลอกลวงเข้าน่ะสิเจ้าคะ” ริมฝีปากสีแดงระเรื่อภายใต้หมวกคลุมผืนยาวสีขาวลายผีเสื้อวิจิตรหัวเราะอย่างถูกใจ เพราะหากกล่าวตามจริงแล้ว เขาก็กำลังถูกนางหลอกจริงๆ นั่นแหละ
“เจ้า! อย่าได้มากความ รีบบอกมาเสียว่าเขาผู้นั้นอยู่ที่ใด” คิ้วหนากระตุกเล็กน้อยเพราะถูกคนตรงหน้ายั่วโทสะ
“เมื่อ 18 ปีก่อน เขาได้รับมอบหมายให้ไปทำงานสำคัญยิ่งจากฮ่องเต้องค์ก่อน นั่นคือการปราบกบฏเริ่นจื่อ แต่ระหว่างทางนั้นเขาถูกซุ่มโจมตี ด้วยฝีมือที่เก่งกาจเช่นนั้น ท่านว่าแปลกหรือไม่ ที่พลาดท่าให้โจรภูเขา” นางหันไปถามคนข้างกาย
“จะว่าไปก็แปลกอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละ” เขาคิดตามแม่หมอเยว่
“หลังจากนั้นก็มีข่าวคราวว่าเขาถูกโจรภูเขาสังหารตาย แต่ทว่ากลับหาศพมิพบ ช่างน่าแปลกนัก คนทั้งคนจะหาศพมิพบได้อย่างไร” นางหันไปถามคนข้างกายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางกลับได้รับสายตาดุดันกลับมา จึงเริ่มเล่าต่อ
“แต่ความจริงแล้วที่หาศพมิพบ นั่นก็เพราะว่า เขายังมิตายอย่างไรเล่า! แต่ข้ารู้ว่าเขาไปที่ใดต่อ”
“ที่ใดเล่า! รีบพูดเสียทีเถอะ!” ไป๋อี้โยวเริ่มหมดความอดทนกับคนตรงหน้าขึ้นเรื่อยๆ