นางมีสัมผัสสวรรค์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ จึงเปิดสำนักดูดวงโดยมีบริวารผีเป็นหน่วยสอดแนม ในที่สุดสำนักดูดวงของนางก็มีชื่อเสียงขจรไปไกล
จีน,ชาย-หญิง,รัก,ย้อนยุค,นางเอกเก่ง,อนาคต,อดีต,จีนโบราณ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ยามนี้รถม้าได้วิ่งออกจากประตูเมืองเฉินซานมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ มือเรียวแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อสำรวจบรรยากาศโดยรอบ เธอกระชับผ้าคลุมกันหนาวตัวนอกให้แน่นกว่าเดิมเพราะยามนี้ด้านนอกมีอากาศหนาวเย็นพอสมควร โชคดีที่วันนี้หิมะไม่ได้โปรยปรายลงมา จึงทำให้การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างสะดวกอยู่มาก
คราแรกเยว่ซินก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่มาก แต่เมื่อนั่งรถม้าที่โคลงเคลงไปมาอยู่สักระยะก็เริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ด้วยหมวกคลุมที่นางสวมใส่จึงทำให้ไม่มีใครเห็นใบหน้าสวยที่เริ่มซีดเซียว
“ด้านหน้ามีโรงน้ำชาขอรับ พวกเราจะแวะพักกันสักหน่อยหรือไม่” อาเซี่ยที่คอยคุ้มกันรถม้าอยู่ด้านนอกเอ่ยบอก
“ก็ดีเหมือนกัน แวะพักสักครู่ค่อยออกเดินทาง”
โรงน้ำชา
สามบุรุษสวมชุดเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไปเดินเข้าไปยังโรงน้ำชาเล็กๆ ในเมืองห่างไกล พวกเขาจงใจใช้บริการอยู่เพียงชั้นล่างเท่านั้น
“น้องสามคิดว่าพวกเราจะพบพี่ใหญ่หรือไม่”
“ข้าคิดว่าหากมิพบ จะบั่นคอหมอดูผู้นั้นเสีย”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ แต่ข้าว่าพวกเราเก็บนางไว้ก่อนเถิด มิแน่ว่านางอาจจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า”
หญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังหาโต๊ะนั่งแต่ทว่าวันนี้มีผู้คนผ่านทางมาเส้นทางนี้เยอะมากนักจึงทำให้ที่นั่งเต็มไปเสียทุกโรงน้ำชา ทันใดนั้นนางก็หันไปเห็นบุรุษรูปงามในชุดชาวบ้านทั่วไป แต่เนื่องจากความหล่อเหล่าที่เปล่างประกายนั้นทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต้องเป็นคุณชายจวนใดสักจวนเป็นแน่ “มิทราบว่าข้าขอร่วมโต๊ะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ขออภัยแม่นาง โต๊ะนี้เต็มแล้วขอรับ” อาเซี่ยเอ่ยปฏิเสธแทนเจ้านายตน
“เห็นว่ามีที่ว่างอยู่แท้ๆ แต่พวกท่านกลับปฏิเสธข้า ช่างน่าน้อยใจยิ่งนัก” นางทำท่าทางน้อยอกน้อยใจ
“คือ..ที่นั่งมันมิว่างจริงๆ ขอรับ” อาเซี่ยพยายามปฏิเสธ
“น้องชาย เจ้าอย่าปฏิเสธนางเลย นางเป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองแห่งนี้เชียวนะ” บุรุษร่างท้วมที่อยู่โต๊ะด้านข้างเอ่ยขึ้น
“ใช่ๆ เช่นนั้นแม่นางคนงามมานั่งที่โต๊ะข้าดีหรือไม่” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะเอ่ยชักชวนสาวงาม
ขณะที่ผู้คนกำลังยื้อแย่งกันชักชวนสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองนี้ให้ไปร่วมโต๊ะอยู่นั้น ที่ด้านหน้าทางเข้าโรงน้ำชาได้ปรากฏในร่างบางในชุดสาวชาวบ้านผู้หนึ่งกำลังยืนมองหาใครบางคน ทันใดนั้นนัยน์ตาดอกท้อที่โผล่พ้นขอบผ้าที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ทอดมองมายังโต๊ะน้ำชาที่มีบุรุษสามคนนั่งอยู่
องค์รัชทายาทมองดูหญิงสาวชาวบ้านนางนั้นที่มีลักษณะผิวพรรณแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ยามที่ดวงตาหวานคู่นั้นมองมามันช่างดูราวกับกำลังสะกดผู้คนให้หลงใหลมัวเมาไปกับความงามของนาง ครั้นร่างบางขยับกายเดินเข้ามาใกล้ทุกท่วงท่าช่างดูราวกับเทพธิดาลงมาจุติ แม้แต่บรรดาสาวงามในวังหลวงยังมิอาจงามสู้นางได้
“ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” นางนั่งลงบนเก้าอี้
หลินเจาเจินมองสบตากับหัวหน้าองค์รักไป๋คล้ายมีคำถามมากมายที่อยากเอ่ย แต่มิอาจทำได้ ก่อนจะมองสำรวจหญิงสาวผู้มาใหม่อยู่ครู่หนึ่ง จึงนึกได้ว่าเขายังมีอีกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
“น้องเล็กมาแล้วหรือ หิวหรือไม่”
เยว่ซินมองหน้าเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเห็นหญิงสาวอีกนางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มอีกคน จึงเข้าใจความต้องการของเขาทันที “เจ้าค่ะ”
“ที่แท้พวกท่านก็รอน้องสาวอยู่นี่เอง ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทนะเจ้าคะ” หญิงงามเอ่ยขึ้น ก่อนจะหมุนกายไปนั่งโต๊ะน้ำชาที่เพิ่งว่างไม่ไกลกันนัก
“น้องเล็กอยากสั่งอะไรเพิ่มหรือไม่” องค์รัชทายาทหันมาถามหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ร่วมโต๊ะน้ำชากับเขา
“เท่านี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“วันนี้พี่สามช่างโชคดีนักที่มีโอกาสได้เห็นน้องเล็กในรูปลักษณ์เช่นนี้” เขาสำรวจร่างบางด้านข้าง
“นับว่าพี่สามยังมีบุญเจ้าค่ะ ท่านต้องเร่งทำบุญทำทานเยอะๆ นะเจ้าคะ เพราะข้าคิดว่าบุญเก่าของท่านน่าจะใกล้หมดแล้ว”
“ฮ่าๆ น้องเล็กช่างเข้าขากับน้องสามได้ดียิ่งนัก เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่น้องสี่” เขาหันไปถามความคิดเห็นของอาเซี่ยที่รับบทน้องสี่
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ” เขาหัวเราะเบาๆ
ในขณะที่พวกเขากำลังแสดงละครพี่น้องที่รักใคร่กันอยู่นั้น ได้มีสายตาอิจฉาของสาวงามอันดับหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักพุ่งตรงมายังดรุณีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ภายใต้อาภรณ์เนื้อดี มือเล็กกำลังกำเข้าหากันอย่างแน่นขนัด นางมองสำรวจผู้คนภายในร้านที่เอาแต่ลอบมองหญิงสาวผู้นั้นด้วยสายตายากจะคาดเดา เดิมทีเมืองนี้ยังมีสาวงามอีกคน แต่น่าเสียดายที่นางได้ติดโรคร้ายตายไปเสียก่อน หากจำมิผิดสาวงามผู้โชคร้ายคนนั้นงามเสียยิ่งกว่าสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองคนนี้หลายเท่าตัวนัก
“หลันเจียวขอคารวะคุณชายทั้งหลายเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าได้เสียมารยาทไป เมื่อกลับไปคิดทบทวนแล้ว ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก จึงได้นำสิ่งนี้มาแทนคำขอโทษเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายสาวงามส่งกล่องขนมที่ทำจากไม้เนื้อดีให้นาง
“นี่เป็นขนมที่ข้าได้ทำขึ้นมาด้วยตนเอง พวกท่านโปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ” นางยื่นกล่องขนมไปตรงหน้าองค์รักไป๋ ทั้งนัยน์ตายังคลอไปด้วยหยดน้ำดูน่าทะนุถนอม
“ขอบใจเจ้ามาก” อาเซี่ยยื่นมือออกไปรับแทนนายตน แม้คราแรกนางจะฝืนเอาไว้ไม่ปล่อยกล่องขนมมาให้เขา แต่ด้วยแรงบุรุษที่มีมากกว่าจึงสามารถดึงกลับมาได้
“ขอเสียมารยาทถามพวกท่านได้หรือไม่ ว่าพวกท่านจะเดินทางไปที่ใดหรือเจ้าคะ” นางปรายตามองหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว
“พวกเรากำลังเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่ใหญ่น่ะ” รัชทายาทในคราบชายหนุ่มชาวบ้านธรรมดาตอบ
“เช่นนั้นขออวยพรให้พวกท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” พูดจบหลันเจียวก็หมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้น ริมฝีปากสวยยกยิ้มอย่างมาดร้าย ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อผู้ร่วมเดินทางเริ่มคลายจากความเหนื่อยล้าแล้ว จึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงเยว่ซินและหลินเจาเจินองค์รัชทายาทอยู่ภายในรถม้าตามลำพังเท่านั้น
“เหตุใดเจ้าจึงทำอาชีพหมอดูเล่า” เขาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เดิมทีหม่อมชั้นเป็นเพียงเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แต่ต่อมาได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์สั่งสอนวิชาดูดวงให้ จากนั้นข้าจึงทำอาชีพนี้หาเลี้ยงครอบครัวเรื่อยมาเจ้าค่ะ”
“หึ!แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้ามิใช่หมอธรรมดาๆ ทั่วไปเล่า” หลินเจาเจินรู้สึกว่านางไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ยามที่ได้อยู่ใกล้นางเขารู้สึกราวกับว่ามีใครอีกคนที่อยู่ข้างกายนาง จะว่าเป็นสาวใช้ประจำตัวก็มิน่าใช่ หากเป็นผู้ดูแลเงาก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขารู้สึกว่าคนผู้นั้นอยู่ใกล้ๆนางตลอดเวลา เวลานี้ก็เช่นกันทั้งที่เขาอยู่ตามลำพังกับนางในรถม้า แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนแออัดอยู่กันหลายคนเสียอย่างนั้น
“อาจเป็นเพราะว่าหม่อมชั้นเก่งกาจกระมังเพคะ” เยว่ซินพูดติดตลก ทั้งยังส่งสายตาปรามเหยียนเหยาที่กำลังลูบไล้แขนแกร่งขององค์รัชทายาทอยู่
“มิคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้อยู่ใกล้องค์รัชทายาทเยี่ยงนี้ ทรงหล่อมากเพคะ ” คิก วิญญาณสาวงามหัวเราะอย่างถูกใจ
“อีกเดี๋ยวเจ้าจงอยู่แต่ในมิติ อย่าได้ออกมาเพล่นพล่านเล่า” หานฉีเอ่ยบอกเหยียนเหยาด้วยความหมั่นไส้
“ทำไมล่ะเจ้าคะ เช่นนี้ข้าก็ไม่ได้องค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาน่ะสิ” นางทำหน้าเสียดาย
“เพราะเจ้ายังมิแข็งแกร่งพอ เมื่อข้ามเขตแดนไปแล้ว เจ้าห้ามห่างกายนายเจ้าเด็ดขาด ทางที่ดีก็อย่าออกมาจากในมิติเลย” เขาพูดราวกับประชด
“ขอบคุณท่านหานฉีผู้รูปงามและเก่งกาจที่เตือนข้าเจ้าค่ะ แต่จะว่าไป...ข้ารู้สึกว่าท่านงามยิ่งกว่าองค์รัชทายาทอีกเจ้าคะ” นางเยินยอเขาเล็กน้อย
“ดี! เช่นนั้นอย่าไปเที่ยวเล่นไกลจากเยว่ซินเล่า” เขารับน้ำชาที่หลัวอันส่งให้อย่างอารมณ์ดี
พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มหม่นแสงลงเรื่อย ๆ อากาศรอบด้านเริ่มหนาวเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนในรถม้าอดหยิบผ้าคลุมขึ้นมาสวมใส่มิได้ ทันใดนั้นรถม้าคันที่เยว่ซินกำลังนั่งอยู่นั้นก็ได้หยุดลงอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลินเจาเจินเอ่ยถาม
“คืนนี้เราจะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ พวกเจ้าลงมาก่อนเถอะ”
เยว่ซินเดินลงมาจากรถม้า นางมองสำรวจไปรอบๆด้าน โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านเล็กๆ ชายแดนติดต่ออีกเมืองหนึ่ง ผู้ที่ผ่านมาเส้นทางนี้ มักจะแวะพักโรงเตี๊ยมแห่งนี้กันเสมอ
“เชิญนายท่านเลือกห้องได้เลยขอรับ วันนี้ช่างโชคดียิ่งนักที่มีห้องว่างให้ได้เลือกเยอะ”
“ห้องที่กว้างที่สุด 4 ห้อง” ไป๋อี้โยวไม่เลือกห้องพักแต่กลับบอกความต้องการไปทันที
“ได้ขอรับ”
เมื่อคนดูแลได้จัดเตรียมห้องให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว จึงได้ให้สาวใช้นำทางไปยังห้องพัก ทันใดนั้นระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องพักที่ทางโรงเตี๊ยมได้คัดสรรให้ เยว่ซินกลับได้กลิ่นประหลาดโชยมาปะทะกับจมูกทันควัน “กลิ่นอะไรกัน!”