ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

นาย๑๒ - 1. โลกใบใหม่ โดย Jring. @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

นาย๑๒

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL

รายละเอียด

ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

ผู้แต่ง

Jring.

เรื่องย่อ

เทาเภา นักฆ่าหนุ่มมากความสามารถที่อยู่ๆก็หลุดเข้าไปในวรรณคดีไทยเรื่องที่เพื่อนสาวแนะนำให้อ่าน 


เขาเป็นน้องเล็กสุดที่มีชื่อว่า ลำเภาจันทร์

น่าแปลกที่พวกเขาทั้ง ๑๒ คนนั้นเป็นบุรุษทั้งๆที่ตามเนื้อหาแล้วควรเป็นสตรี



หลังจากที่โดนท่านพ่อและท่านแม่ทอดทิ้งไว้ในป่า ลำเภาจันทร์ก็บังเอิญเดินไปพบเข้ากับพญายักษ์

จากวันนั้นคนงามก็โดนพญายักษาตัวใหญ่ไล่ตามวอแวไม่เลิก

 

"ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย"



เอาเถอะ ยังไงเสียเด็กๆทั้ง ๑๑ คนที่ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากกว่าเขาแค่ ๑ หรือ ๒ วิ แต่เขาที่มีจิตวิญญาณที่โตกว่าจะดูแลไม่ให้สูญเสียลูกตาเหมือนกับเนื้อเรื่องในวรรณคดีเอง

ถ้าทำตัวดีล่ะนะ



พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

สารบัญ

นาย๑๒-1. โลกใบใหม่,นาย๑๒-2 ตลาดท่าจันทคาม,นาย๑๒-3. การเติบโต,นาย๑๒-4 ผู้ใดมาเกี้ยวน้องเภาของข้า!,นาย๑๒-5 ท่านพ่อโดนยึดเกวียน,นาย๑๒-6 โดนทิ้งอีกครั้งก็พบเจอเข้ากับยักษา,นาย๑๒-7 กลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย,นาย๑๒-8 คิดเลี้ยงไว้กินหรือไร,นาย๑๒-9 ล่อลวงเข้าเมืองยักษ์,นาย๑๒-10 ห้องนอนข้างกัน,นาย๑๒-11 สับสน,นาย๑๒-12 เรียกพี่รามสูร,นาย๑๒-13. คงมิพอใจข้ามากสิหนา,นาย๑๒-14 เข้าใจข้าผิดแล้ว,นาย๑๒-15 ยาอายุวัฒนะ,นาย๑๒-16 ประลอง,นาย๑๒-17 ไปฟ้องเสด็จพ่อกัน,นาย๑๒-18 รักษา,นาย๑๒-19 รักษา 2,นาย๑๒-20 ข้าจะเข้าป่าต้องห้าม,นาย๑๒-21 แอบเข้าป่าต้องห้าม,นาย๑๒-22 รักษานาค,นาย๑๒-23 สหายคนแรก,นาย๑๒-24 สงคราม,นาย๑๒-25 เริ่มทำยา,นาย๑๒-26 บรรยากาศแปลกๆ,นาย๑๒-27 แข่งขี่ม้ายิงธนู,นาย๑๒-28 สายตาหน้าขยะแขยง,นาย๑๒-29 หลอกล่อพี่ชายคนที่ ๓,นาย๑๒-30 พี่กล้วข้ามากเลยหรือ,นาย๑๒-31 โดนจับตัวไป,นาย๑๒-32 รู้จุดมุ่งหมายของพวกมัน,นาย๑๒-33 เริ่มปรุงยา,นาย๑๒-34 แปรผัน,นาย๑๒-35 ดวลชิงบันลังก์ 1,นาย๑๒-36 ดวลชิงบันลังก์ 2,นาย๑๒-37 เรื่องทุกอย่างคลี่คลาย,นาย๑๒-38 ลำเภาจันทร์เข้าครัว,นาย๑๒-39 รักต่างเผ่าพันธุ์,นาย๑๒-40 ผลไม้ที่กินมาตลอดคือผลไม้วิเศษ,นาย๑๒-41 ปลามงคล,นาย๑๒-42 ชวนพี่ชายทานอาหาร,นาย๑๒-43 อร่อยที่สุดเท่าที่เลยทำ,นาย๑๒-44 แอบออกนอกวัง,นาย๑๒-45 อันธพาลแห่งนคร,นาย๑๒-46 ทูล (ฟ้อง) เสด็จพ่อ,นาย๑๒-47 มียักษ์มาสู่ขอพระโอรสลำเภาจันทร์,นาย๑๒-48 รู้ทันแผนทำให้พี่น้องแตกคอ,นาย๑๒-49 มนุษย์ที่ถูกขัง,นาย๑๒-50 นางยักษ์,นาย๑๒-๕๑. แผนการหลบหนี

เนื้อหา

1. โลกใบใหม่

เทาเภา เด็กหนุ่มที่ถูกพ่อแม่ขายให้กับองค์กรนักฆ่าตั้งแต่ยังเด็ก แม้คนอื่นอาจมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายและน่าสงสาร แต่ทว่าเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่เลยสักนิด เพราะพ่อแม่ดีๆ ที่ไหน จะสามารถขายลูกตัวเองได้ลงคอกัน?

พ่อแม่ของเทาเภามักจะทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ และทุกครั้งที่พวกเขากลับบ้านก็มักจะตบตี ด่าทอเด็กน้อยเพราะความหงุดหงิดจากเรื่องที่เจอมาระหว่างวันอยู่เสมอ บางวันก็ใช้กำลังทุบตีอย่างหนัก จนทำให้หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดและด้านชาไปในที่สุด


หลังจากถูกขาย เทาเภาก็ต้องอาศัยอยู่ในองค์กรนักฆ่าอย่างยากลำบาก เขายังจำได้ดีเลยว่าการทดสอบของเขาในตอนเยาว์วัยสมัยผู้นำองค์กรคนเก่ายังมีชีวิตอยู่นั้นโหดร้ายมากแค่ไหน มือเล็กๆ คู่นี้ต้องเปื้อนเลือดตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ความอึดอัดและความเศร้าหมองเสียใจทำให้เขาคิดว่ามีเพียงการใช้กำลังและการฆ่าฟันเท่านั้นที่สามารถช่วยปลดปล่อยให้เขารู้สึกดีได้ แต่ทว่าทุกครั้งที่ลงมือ เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังหลอกตัวเองว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งเสียมากกว่า ตอนนั้นเขาช่างไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เดินหลงทางอยู่ในความมืดไม่มีผิด

โชคดีที่เทาเภาเป็นคนหัวไวและเรียนรู้เร็ว เขาจึงขึ้นเป็นนักฆ่าที่มีความสามารถอยู่ในระดับแนวหน้าขององค์กรได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี ยิ่งนานวันความสามารถของเขาก็ยิ่งฉายชัด จนผู้คนในองค์กรต่างเรียกขานเขาว่า "อัจฉริยะ"! 

หลายปีที่ผ่านมาชีวิตเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานบางคนก็ยังหวังปลิดชีพของเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนเขายิ่งกลายเป็นคนเย็นชาสังหารผู้คนราวกับตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ถึงขนาดมีคนในองค์กรตั้งฉายาให้เขาว่า "ดอกไม้งามไร้หัวใจ" 

สำหรับเทาเภา สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกผิดที่เดินอยู่บนเส้นทางสายนี้คือ องค์กรที่เขาเป็นสมาชิกอยู่เป็นองค์กรสีเทา ที่ไม่ดำไม่ขาวฝั่งใดฝั่งหนึ่ง 

ตอนนี้องค์กรมีผู้นำคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอยู่พอสมควร แต่นั่นก็ใช่ว่าการเป็นอยู่ของเด็กๆ ในองค์กรจะง่ายขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่ล้วนอยู่ง่ายเพราะชินชากับเรื่องอันตราย แต่สำหรับเด็กน้อยที่พึ่งเข้ามาใหม่ต้องผ่านการทดสอบว่าแข็งแกร่งพอที่จะได้ไปต่อในเส้นทางนักฆ่าหรือไม่ หากไม่ผ่านก็จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อื่น ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ในองค์กรไม่ได้มีสายงานนักฆ่าเพียงงานเดียว



"เภา แกเอาวรรณคดีเรื่องนี้ไปลองอ่านดูสิ สนุกมากเลยนะจะบอกให้ แกพึ่งสำเร็จภารกิจลอบสังหารผู้นำบ้าอำนาจประเทศ X ไป ช่วงนี้แกคงไม่มีงานทำไปอีกสักพักต้องเหงามากแน่ๆ เลย ฉันรู้นะ อะ เอาไปได้แล้ว ฉันกับที่รักของฉันจะไปเดตกัน ไว้ว่างๆ เราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะเพื่อนรัก" หญิงสาวอกอวบอั๋นซึ่งเป็นนักวิจัยสาวในองค์กรเอ่ยกับเพื่อนเพียงคนเดียวของนางด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเดินควงแขนแฟนหนุ่มคนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของนางออกไปทันที "อย่าลืมอ่านนะเภา! ชื่อเรื่องว่านาง ๑๒!!"

"....." นัยน์ตางดงามเรียบนิ่งมองเพื่อนสาวที่ค่อยๆ เดินจากไป ก่อนจะเหลือบดูหนังสือเล่มขนาดกลางในมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินถือมันเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเย็นชา

ปกติเทาเภาชอบอ่านหนังสือที่ให้ความรู้และใช้ความคิดมากกว่า แต่ในเมื่อเพื่อนสาวหวังดีเอามาให้เขาจึงเปิดมันอ่านเพื่อถนอมน้ำใจนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ถือเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่จริงใจที่สุดในโลกสีเทาใบนี้ หากในอนาคตเขาตายก็คงมีแค่นางที่ยืนร้องไห้อย่างจริงใจให้กับเขา


หากถามว่าวรรณคดีเรื่อง "นาง ๑๒" ที่เพื่อนสาวให้มาสนุกไหม สำหรับเด็กน้อยอาจตอบว่าสนุก ทว่าสำหรับเทาเภาเขาคิดว่ามันไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น จึงได้ยอมอ่านมันจนจบ

เนื้อหาเป็นเรื่องราวของเด็กสาวทั้ง ๑๒ คนที่เกิดมาในครอบครัวเศรษฐี แต่เพราะจำนวนที่มากเกินไปพ่อแม่ของเด็กสาวจึงต้องนำไปทิ้งไว้ในป่าเพราะเลี้ยงดูไม่ไหว พอนางยักษ์มาพบเข้าจึงได้นำไปเลี้ยงดูต่อที่เมืองยักษ์

การดำเนินเรื่องค่อนข้างเรียบๆ เฉื่อยๆ จนมาถึงตอนที่ท้าวรถสิทธิ์ปรากฏตัว เทาเภามองว่าความรักของพวกเขานั้นไม่ได้มีสายใยหรือความผูกพันอะไรกันเลยสักนิด เพราะพวกเขาแค่เห็นหน้ากันครั้งแรกก็ตกลงแต่งงานกันทันที แม้เขาจะรู้ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาในยุคสมัยโบราณ แต่ทว่าจะมีคนที่ยอมแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่รู้จักนิสัยใจคอได้จริงๆ หรือ?

คิดไปคิดมาเขาก็เข้าใจว่านางเอกคงแค่ต้องการให้ท้าวรถสิทธิ์คอยปกป้องดูแลนางและพี่ๆ ของนางหรือเปล่า เพราะพวกนางในตอนนั้นพึ่งจะหนีออกมาจากเมืองยักษ์ คงจะหวาดกลัวกันมากและคงต้องการที่พึ่งพิงอยู่ไม่น้อย ท้าวรถสิทธิ์ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าชายผู้ปกครองเมือง ย่อมต้องมีความสามารถในการปกป้องเมียตัวเองบ้างต่อให้จะไม่ได้รักกันก็ตาม

ส่วนท้าวรถสิทธิ์ต้องการแต่งพวกนาง ๑๒ เข้าวังก็เพราะเชื่อคำทำนายที่ว่าหากเจอพวกนาง ๑๒ แล้วจะนำพาบ้านเมืองที่ตนปกครองอยู่นั้นให้ร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างล้วนไม่ได้เกิดจากความรักแต่เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ต่างหาก แต่เรื่องที่เทาเภาแปลกใจคือ กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองทั้งเมืองจะไม่สามารถป้องกันตัวเองจากมนต์คาถาของนางยักษ์ได้เลยหรือ? อ่อนแอจัง

"เฮ่ออ เรื่องแต่งก็คือเรื่องแต่งจริงๆ" น้ำเสียงทุ้มหวานติดเย็นชาเอ่ยออกมา ก่อนเขาจะวางหนังสือวรรณคดีที่เพิ่งอ่านจบไปไว้บนโต๊ะหัวเตียง พลางตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะต้องเอามันไปคืนเพื่อนสาวให้ได้ 

ทว่าเมื่อเทาเภาล้มตัวลงนอนและกำลังจะหลับตาลง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ กายเพรียวบางคล้ายหนักอึ้งขึ้นมาอย่างกะทันหันจนเขาอยากจะลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ทำไม่ได้ สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนหายพร้อมกับความรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดไปยังที่ใดที่หนึ่ง 




กึก!! ดวงตากลมใสสีนิลกาฬเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความรำคาญเมื่อมีเสียงเด็กร้องไห้ดังประสานกันอยู่ใกล้ๆ

"แงแงงงงง!!"

"ฮึก แง ฮึก แงงงงง!!!"

"ฮึก แงงง! ฮึก แงงงงง"

เทาเภามึนงงอยู่สักพัก ในหัวกำลังนึกสงสัยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ก่อนจะได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

"โอ๋นะลูกแม่ พวกเจ้า มาช่วยข้ากล่อมลูกชายทั้ง ๑๒ คนให้นอนเสีย"

"เจ้าค่ะคุณหญิง"

"น้อง ลูกร้องไห้อีกแล้วหรือ"

"เจ้าค่ะคุณพี่ พอคนหนึ่งร้องอีกหลายคนก็ร้องตาม น้องกล่อมลูกนอนยากยิ่งนักเจ้าค่ะ"

"เอาเถอะๆ เรามีลูกชายถึง ๑๒ คน หลังจากนี้คงต้องลำบากเจ้ามิน้อย"

นี่มันอะไรกัน?

คำถามนี้หลุดเข้ามาในหัวเล็กๆ หลังจากที่นอนฟังพวกเขาพูดคุยกันจนจบ และเมื่อความวุ่นวายจากเสียงร้องไห้ของเด็กทารกเริ่มเบาบางลง เทาเภาก็กลับมาคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้ง

ใบหน้าน่ารักมองฝ่ามือเล็กที่ดูแล้วคงเป็นฝ่ามือของตัวเองเป็นแน่ด้วยความตกใจปนตกตะลึง หรือว่าเขามาเกิดใหม่? แต่จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? เขายังไม่ได้ตายเสียหน่อย?!



ในตอนแรกเทาเภาตกใจมากที่อยู่ๆ ก็มาที่นี่ ใครจะไปคาดคิดว่าตัวเองที่กำลังล้มตัวลงนอน จะมาโผล่ในที่ที่ไม่เคยรู้จักได้ แถมรอบข้างยังมีเด็กทารกถึง ๑๑ คนร้องไห้โยเยอยู่เต็มไปหมด แรกๆ เทาเภาก็นึกรำคาญ แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มทำใจได้ และมาอยู่ที่นี่มาจนอายุย่างเข้าปีที่ ๖ แล้ว ทั้งยังได้ชื่อใหม่ว่า "ลำเภาจันทร์" ที่มีความหมายว่าดวงจันทร์ที่งดงามและเปล่งประกายเหนือใคร ด้วยว่าเขาเกิดมามีรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยแตกต่างจากพี่ชายคนอื่นๆ ท่านแม่จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้เขา
 

แม้เทาเภาจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองได้หลุดเข้ามาในวรรณคดีเรื่องนาง ๑๒ ที่เคยอ่านจบไปจริงๆ แต่เขาไม่รู้ว่าตอนไหนที่จะเข้าเนื้อเรื่องหลัก และไม่แน่ใจด้วยว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินไปในทิศทางใดเพราะพวกเขาไม่ใช่เด็กสาวแต่เป็นเด็กชาย ด้วยลักษณะนิสัยที่ต่างเพศกัน อาจส่งผลต่อเนื้อเรื่องที่เคยอ่านมาก็เป็นได้ ใครจะรู้

ระยะหลังมานี้เทาเภาหรือลำเภาจันทร์เห็นสีหน้าของท่านพ่อและท่านแม่ที่เริ่มดูลำบากใจกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยถึง ๑๒ คนพร้อมกัน จากครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีเงินใช้ไม่ขาด กลับแทบจะไม่เหลือข้าทาสบริวารอยู่เลย ท่านทั้งสองดูกลุ้มใจมากเรื่องกับการหาเงินมาเลี้ยงดูลูกชายทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะประคับประคองไปได้อีกนานแค่ไหน



"๑..๒..๓..๔..๕" ตอนนี้ลำเภาจันทร์กำลังฝึกร่างกายอยู่ในป่าใกล้ๆ เรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ของครอบครัว แม้ว่าจะมีอายุเพียง ๕ ขวบแต่เพราะเขาเคยฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยอยู่ที่โลกก่อน จึงได้รู้ดีว่าควรฝึกเช่นไรในช่วงแรก

หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ใบหน้าน่ารักก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อและออกอาการหอบเล็กน้อย แต่เขายังคงฝึกต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในหัวเล็กๆ คิดว่าหากในอนาคตเกิดเหตุให้ต้องไปอยู่เมืองยักษ์จริงๆ อย่างน้อยเขาก็ต้องมีความสามารถในการปกป้องพี่ๆ ได้บ้าง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงเด็กที่ตัวเล็กมาก แต่หากฝึกฝนอย่างถูกวิธีก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ 

"เอาล่ะนะ"

ลำเภาจันทร์มองไปที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งน่าจะมีอายุมากว่าหลายร้อยปี ขนาดลำต้นของมันใหญ่มากและสูงกว่าเด็กน้อยอย่างเขาหลายเท่า ฝ่ามือเรียวเล็กทั้งซ้ายและขวากำมีดสั้นที่ลับคมมาอย่างดีเอาไว้แน่น เมื่อนับ ๑ ถึง ๓ ในใจจบ รูปร่างเล็กน่ารักของเด็กชายตัวน้อยวัย ๕ ย่างเข้า ๖ ขวบก็รีบวิ่งไปที่ต้นไม้ต้นนั้นทันทีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปีนมันขึ้นไปด้วยมีดสั้นทั้ง ๒ ข้างในมืออย่างชำนาญ ไม่นานเขาก็ขึ้นไปถึงยอดไม้ที่สูงกว่าตัวเองมากได้สำเร็จ "...ถือว่าเร็วกว่าครั้งก่อนๆ" ริมฝีปากสีหวานน่ารักอมยิ้มบางๆ อย่างพอใจ ก่อนร่างเล็กจะนั่งลงบนกิ่งไม้แข็งแรงและพอรับน้ำหนักได้ แล้วกวาดนัยน์ตากลมใสเรียบนิ่งสีนิลกาฬมองทัศนียภาพเมืองโบราณในโลกใบใหม่อย่างชื่นชมเงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์โปรดโปร่ง

สายลมอ่อนๆ พัดผ่านใบหน้าน่ารักเนียนใสทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แม้ที่นี่จะไม่มีตึกหรือแสงสีเหมือนโลกที่จากมา แต่มันกลับดูงดงามและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง บ้านเรือนส่วนใหญ่ของชาวบ้านสร้างจากไม้รูปแบบง่ายๆ ส่วนเรือนของเหล่าขุนนางหรือผู้ร่ำรวยจะเป็นแบบบ้านเรือนไทยที่ทั้งหรูหราและตั้งตระหง่านอยู่ตามจุดต่างๆ ของเมือง แลดูเป็นระเบียบ และเต็มไปด้วยความสงบร่มเย็น

ผู้คนในพระนครแห่งนี้มักจะแต่งตัวเรียบง่ายคล้ายๆ กัน โดยชาวบ้านจะแต่งตัวกันสบายๆ สตรีสวมใส่ผ้าซิ่นสีซีดพร้อมกระโจมอก ส่วนบุรุษจะนุ่งโจงกระเบนด้วยผ้าสีเก่าและเปลือยท่อนบนเดินไปเดินมา หากผู้ใดพอมีเงินก็อาจซื้อผ้ามาตัดเสื้อแบบง่ายๆ ใส่ ในขณะที่เหล่าคนมีอันจะกินก็จะแต่งตัวดูดีขึ้นมาตามลำดับฐานะ โดยสตรีที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยหรือแต่งเข้าเรือนผู้ดีก็มักจะนุ่งห่มสไบลวดลายหรูหรา ผ้าซิ่นทำจากผ้าไหมชั้นดีที่ทั้งงดงามและประณีต ส่วนบุรุษจะแต่งกายตามความชอบของแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่มักแต่งตัวภูมิฐานองอาจสมฐานะของตน

คงเพราะฤดูหนาวพึ่งผ่านพ้นไป ผู้คนจึงออกมาจับจ่ายใช้สอยในตลาดกันอย่างครึกครื้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เทียมวัวและเทียมควายลากเกวียนไปมาตามท้องถนนอย่างช้าๆ ทำให้ดูไม่เงียบเหงาเลยสักนิด

อันที่จริงโลกโบราณหรือโลกในวรรณคดีแห่งนี้ก็น่าสนใจ เพราะมันไม่วุ่นวายเหมือนโลกใบก่อนที่ผู้คนมักจะตีสองหน้าเข้าหากัน เทาเภาเหนื่อยกับโลกแบบนั้น หากเขาไม่ต้องมาเป็นเภาในเรื่องนาง ๑๒ แบบนี้ เขาคงคิดว่าสวรรค์ให้ของขวัญแก่เขาไปแล้ว

"น้องเภา!! ไปตลาดกันเถอะ!!" [เอกาทศ]

"เจ้าเตี้ย!! เจ้าขึ้นไปได้อย่างไรกัน?!! ลงมาเสีย!!" [โททวี]

"โอ้โฮ!~ เจ้าเภา! เหตุใดจึงขึ้นไปสูงนักเล่า!!" [ฉะ]

"เจ้าเภา! วันหลังเจ้าสอนข้าปีนบ้างสิ!!" [อัฐ]

"...." ลำเภาจันทร์ก้มมองดูเด็กชายทั้งสี่คนที่พากันร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ใบหน้าของเด็กชายทั้งสี่คล้ายกันนัก พวกเขาคือพี่ชายของเขาเอง! พี่ๆ ทั้ง ๑๑ คนเหมือนกันเพียงแค่เส้นผมสีน้ำตาลเข้มและนัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมเท่านั้น ที่ต้องบอกว่า ๑๑ คนเพราะลำเภาจันทร์นั้นแตกต่างจากพี่ชายทุกคนอยู่มาก ไม่รู้ว่าตอนเกิดเขาถูกดูดสีไปหมดหรืออะไร ทำให้เส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลังของลำเภาจันทร์นั้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนเงางาม ส่วนนัยน์ตาเป็นสีนิลหรือสีดำอมเขียวเปล่งประกายดุจเพชรน้ำงาม ดังนั้นในยามที่พี่น้องทั้ง ๑๒ คนยืนอยู่รวมกัน ลำเภาจันทร์จึงมักจะโดดเด่นกว่าพี่ๆ คนอื่นๆอยู่เสมอ จนพี่ชายบางคนนึกหมั่นไส้เขาก็มี "...ท่านพี่"

เด็กชายตัวน้อยปีนลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากตอนที่ปีนขึ้นไป เส้นผมยาวสีอ่อนสะบัดพลิ้วไหวงดงาม และเมื่อลงมาถึงพื้นก็เดินไปหาพี่ๆ ทั้งสี่คนที่ยืนรออยู่ทันที

"พวกท่านมีกระไรหรือ?" ลำเภาจันทร์เอ่ยถามพี่ชายแม้ว่าจะได้ยินอยู่ก่อนแล้วก็ตาม

"ไปเที่ยวตลาดกันน้องเภา ข้าได้ข่าวมาว่าที่ตลาดท่าเรือมีของใหม่ๆ จากสำเภาแผ่นดินใหญ่มาเยอะแยะนัก บางทีอาจจะมีสิ่งใดที่น้องชื่นชอบนอกจากมีดสั้นอยู่บ้าง หากมีละก็เดี๋ยวพี่ชายผู้นี้จะซื้อให้น้องเอง" เอกาทศเอ่ยกับน้องชายอย่างร่าเริงเเละสนิทสนม แค่เพียงซื้อของให้น้องชายเพียงคนเดียวของตน จะเสียเบี้ยสักท่าไหร่กันเชียว! น้องชายของตนน่ารักถึงเพียงนี้ต้องสวมใส่เครื่องประดับสิถึงจะถูก!

"เจ้าเอกาทศ เจ้าร่ำรวยจากการรีดไถ่เงินจากเด็กบ้านอื่นมามากมายเพียงนี้ ทำไมเจ้ามิคิดซื้อเครื่องดนตรีให้ข้าบ้างเล่า ข้าได้ข่าวมาว่าเครื่องดนตรีที่สำเภาจากเมืองแผ่นดินใหญ่นำมามีเสียงบรรเลงที่ไพเราะนัก ข้าอยากได้" ฉะเอ่ยแซวน้องชายคนที่ ๑๑ ในช่วงต้น ก่อนจะเอ่ยอย่างเคลิบเคลิ้มเมื่อนึกถึงเครื่องดนตรีที่ตนอยากได้ในช่วงหลัง หากตนจำมิผิดละก็ เครื่องดนตรีที่ว่ามีชื่อเรียกว่า 'กู่ฉิน' ในชีวิตนี้ตนอยากจะมีมันไว้ในครอบครองสักตัวเสียจริง

"อยากได้ก็เรื่องของเจ้าสิ แล้วข้าก็มิได้ไปรีดไถผู้ใดมาเสียหน่อย เจ้าพวกนั้นมันแพ้พนันของข้าเอง" เอกาทศใช้สายตาขวางๆ มองพี่ชายคนที่ ๖ ที่กล้ามาพูดให้ตนเสียหายต่อหน้าน้องชายที่น่ารักของตน หากมิติดว่าเป็นพี่ชายละก็ตนต่อยไปแล้ว!

"เหอะ! พี่ฉะ ท่านอย่าไปพูดเลย ขนาดข้าผู้เป็นพี่ชายของเขาแท้ๆ ยังมาหลอกไถเงินจากข้าได้ลงคอ" อัฐเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อปนขุ่นเคือง เพราะตนนั้นก็หลงกลลวงของน้องชายคนที่ ๑๑ เช่นกัน เจ้าน้องชายหน้าเหม็นผู้นี้บอกให้ตนพนันไก่ตัวหนึ่งแล้วจะชนะ แต่ตัวเองกลับไปพนันไก่อีกตัวแทน รู้ตัวอีกทีตนก็แพ้พนันและเสียเบี้ยให้ไปเสียแล้ว มันช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!

"ข้าเปล่าเสียหน่อย ข้าเพียงแค่เห็นท่านจนกว่าผู้ใดจึงคิดอยากช่วย มิคิดแม้แต่น้อยว่ามันจะแพ้จริงๆ" เอกาทศเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว ท่าทางกวนบาทานั้นทำให้ฝ่าเท้าของพี่ชายทั้ง ๓ คนสั่นยิกๆ หากว่าลำเภาจันทร์มิได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยพวกเขาคงตีกันไปแล้ว! 

"พวกเจ้าจะเถียงกันไปไย ดูสิว่าเจ้าเตี้ยมองพวกเจ้าด้วยสายตาเช่นไร คงเหมือนมองหมากัดกันเลยใช่หรือไม่? เจ้าเตี้ย" โททวีส่ายหน้าไปมาให้กับน้องชายที่มักจะทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ ก่อนจะหันไปพยักหน้าเบาๆ ให้กับน้องชายที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มอย่างเหมาเอาเองว่าน้องชายคนสุดท้องเห็นด้วย

"เจ้าน่ะสิหมา ในปากก็มีแต่หมา น้องเภาของข้ามิมีทางเอ่ยเช่นนั้นแน่" เอกาทศด่าสวนกลับไปอย่างมิคิดยินยอม พี่ชายคนที่ ๒ ก็พี่ชายคนที่ ๒ เถอะ! มีหรือตนจะกลัว

"เจ้าน่ะสิหมา"

"เจ้านั่นแหละ!"

สองพี่น้องจ้องตากันไปมาอย่างมิมีใครยอมใคร หากมิมีผู้ใดจับแยกจากกันละก็ทั้งคู่คงได้ตีกันจริงๆ 


"พวกท่านจะพาข้าไปตลาดมิใช่หรือ รีบไปกันเถิด เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน" เป็นลำเภาจันทร์ที่หยุดสงครามประสาทของพี่ชายทั้งสองคน ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาแต่กลับชอบทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ คงเป็นเรื่องปกติของพี่น้องที่มักมีให้เห็นบ่อยๆ สินะ

"นั่นสิรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาอย่างที่เจ้าเภาว่า" ฉะเอ่ยอย่างเห็นด้วยกับน้องชายคนเล็ก เพราะตนนั้นก็อยากจะรีบไปดูเครื่องดนตรีกู่ฉินที่ว่าแล้วเช่นกัน ตนมิได้อยากรอดูพี่ชายคนที่ ๒ กับน้องชายคนที่ ๑๑ ตีกันเสียหน่อย


"เหอะ!/ชิ!" โททวีและเอกาทศหันหน้าหนีไปคนละทาง ก่อนจะเลิกสนใจแล้วคืนดีกันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นเด็กชายวัยเกือบ ๖ ขวบทั้งห้าคนก็พากันเดินดุ่มๆ ออกจากป่าที่ไม่ลึกนักเพื่อตรงไปที่ตลาดท่าเรือซึ่งอยู่มิไกลจากเรือนของพวกตน สามารถเดินไปได้โดยใช้เวลามินานก็ถึง 






TBC