ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เย็นวันหนึ่ง ที่โต๊ะทานอาหาร ณ เรือนของนาย ๑๒
"ท่านพ่อขอรับ ของขวัญวันเกิดปีนี้ลูกอยากได้ผ้าไหมผืนใหม่ยิ่งนักขอรับ" เบญจ บุตรชายคนที่ ๕ กอดแขนออดอ้อนท่านพ่อของตนทันทีหลังจากที่ท่านเดินทางกลับมาถึงเรือนแล้ว
"ท่านพ่อ ข้าใส่เครื่องประดับที่มีอยู่จนเบื่อแล้ว อยากได้ชิ้นใหม่ยิ่งนักขอรับ" ทศรักษ์ บุตรชายคนที่ ๑๐ เดินเข้าไปเอ่ยขอของขวัญจากบิดาของตนบ้าง
"ท่านพี่เบญจ น้องทศรักษ์ ท่านพ่อพึ่งกลับมาเหนื่อยๆ ให้ท่านพ่อได้นั่งพักก่อนเถิดขอรับ" นวรัตน์ บุตรชายคนที่ ๙ เอ่ยกับพี่ชายคนที่ ๕ และน้องชายคนที่ ๑๐ ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปนสดใส ก่อนจะเข้าไปประคองท่านพ่อที่พึ่งกลับมาถึงให้นั่งพัก
"ข้าอยากกินหมูตัวใหญ่ๆ ทั้งตัวขอรับท่านพ่อ" จตุรงค์ บุตรชายคนที่ ๔ เอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนจะทำหน้าเคลิบเคลิ้มเมื่อนึกถึงหมูย่างตัวใหญ่ๆ หอมๆ น่ากิน นึกถึงของกินทีไร ใบหน้ากลมๆ ก็มักจะมีน้ำลายไหลย้อยออกมาจากริมฝีปากทันที ตามมาด้วยเสียงกลืนน้ำลายดังมาติดๆ
"เจ้า ๔ เจ้าจะกินเยอะไปแล้วหนา ตัวเจ้ายามนี้ก็มิน้อยแล้ว" เอกศึกผู้เป็นพี่ชายคนโตเอ่ยบ่นน้องชายคนที่ ๔ ที่กินได้กินดี นิ่งเป็นนอนขยับเป็นกิน เสียจนยามนี้ตัวของน้องชายผู้นี้ดูสมบูรณ์กว่าผู้ใดแล้ว
"พวกเจ้าใจเย็นๆ ปีนี้พ่อมิได้ซื้ออันใดมาให้พวกเจ้าเลย แต่จะให้เบี้ยพวกเจ้าไปเลือกซื้อของกันเองหนา" นายนนท์เอ่ยกับบุตรชายด้วยสีหน้าลำบากใจ ปีก่อนๆ ตนมักจะซื้อของที่บุตรชายอยากได้ให้ตลอด ทว่าปีนี้เศรษฐกิจตกต่ำ ตนคงมิสามารถทำเหมือนที่ผ่านมาได้ ดังนั้นตนจึงจะให้เบี้ยเท่าที่ตนให้ได้และให้ลูกๆ ไปซื้อของที่ต้องการกันเอง
"มิเป็นอันใดขอรับท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานหนักคงมิมีเวลาไปซื้อของขวัญมาให้พวกเรา เช่นนั้นพวกเราไปซื้อกันเองก็ได้ขอรับ" นวรัตน์เอ่ยกับบิดาอย่างเข้าใจ บิดาทั้งทำงานทั้งดูแลพวกตน คงมิมีเวลามากมายไปซื้อของให้แน่
"เด็กดี" นายนนท์ลูบหัวบุตรชายคนที่ ๙ อย่างอ่อนโยนและรักใคร่
"เอาเช่นนั้นก็ได้ขอรับ วันพรุ่งพวกเราจะไปเลือกซื้อที่ตลาดท่ากันเอง ว่าแต่ท่านพ่อจะให้พวกเราเท่าใดหรือขอรับ" ทศรักษ์เอ่ยถามบิดา แม้จะขัดใจเล็กน้อยแต่ตนก็มิอยากทำให้บิดาลำบากใจ
"คนละ ๑ กล่อมเป็นเช่นไร" นายนนท์ตอบบุตรชายคนที่ ๑๐ ก่อนจะนำกล่องเงินทั้ง ๑๒ กล่องขึ้นมา
"๑ กล่อม ๕๐ หอยเบี้ย แต่ผ้าไหมของลูกราคา ๑๕๐ เบี้ย มันมิพอหนาขอรับท่านพ่อ" เบญจเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูเอาแต่ใจ ใบหน้าที่ออกไปทางสตรีบูดบึ้งก่อนจะกอดอกเชิดหน้าหนี
"...เครื่องประดับของข้าก็มิพอเช่นกัน" ทศรักษ์เอ่ยหลังจากที่ได้ยินจำนวนเบี้ย
"พวกเจ้าจะเรื่องมากอันใด ท่านพ่อมอบเบี้ยให้พวกเราก็ดีเท่าใดแล้วหนา อยากได้เบี้ยเยอะๆ ก็ไปหาเองหรือไปช่วยท่านพ่อทำงานเสียสิ" เอกาทศเอ่ยว่าด้วยน้ำเสียงที่ติดมิพอใจเท่าใดนัก ตนกับพี่ชายก็ไปช่วยงานในไร่ของท่านพ่อบ่อยๆ ได้เงินเป็นเบี้ยตอบแทนมาก็มิน้อย บ้างก็ ๕ บ้างก็ ๑๐ เก็บสะสมไว้ก็สามารถซื้อขนมให้น้องเภาของตนกินได้หลายกระทงเช่นกัน
"นั่นสิ ทำเช่นนี้ท่านพ่อลำบากใจหนา ถึงข้าจะอยากได้ดาบไม้อันใหม่แต่ทว่าเก็บเบี้ยซื้อเองก็มิได้ยากอันใด หากพวกเจ้าอยากได้นักก็หัดเก็บเบี้ยซื้อเองเสียบ้าง" โททวีเอ่ยบ่นน้องชายคนที่ ๕ และคนที่ ๑๐ ที่มีนิสัยเอาแต่ใจกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ทั้งคู่ใช้เบี้ยกันสิ้นเปลืองนัก ได้เบี้ยมาก็ใช้หมดมิคิดเก็บเลยสักครั้ง ดูอย่างเจ้าอัฐสิ แม้จะโดนพวกตนหลอกเอาเงินอยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าก็มีเบี้ยที่เก็บอยู่ในห้องมากมายกว่าผู้ใดเป็นอันดับ ๓ รองจากเจ้าเตี้ยและเจ้าตรีไตร
"ข้ามิมีปัญหา ธนูใหม่ที่ข้าอยากได้มิแพงเท่าใดนัก ๕๐ เบี้ยยังพอสามารถซื้อลูกธนูได้อีก ๑๐ ดอกเลยด้วยขอรับท่านพ่อ" สัตภัณฑ์ บุตรชายคนที่ ๗ เอ่ยขึ้นมากลางวง ที่ตนอยากได้คันธนูใหม่เพราะสายของคันธนูที่ตนใช้อยู่เป็นประจำเริ่มหย่อนยานเสียแล้ว
"เหอะ! ก็พวกเจ้ามันคนมิมีระดับเช่นไรเล่า" ทศรักษ์เอ่ยพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น แม้เครื่องประดับที่ตนอยากได้จะแพงไปเสียหน่อย แต่หากได้มาตนก็มิอายลูกหลานบ้านอื่นเช่นกัน
"เหตุใดพวกเจ้ามิขายสิ่งที่มิได้ใช้แล้วเพื่อเอาเบี้ยเล่า จากนั้นก็เอาเบี้ยที่ได้ไปซื้อของที่อยากได้แทน" อัฐเสนอแนวคิดอย่างชาญฉลาด ก่อนจะกอดอกภูมิใจในความคิดของตนเอง ทั้งๆ ที่ก็ได้ยินมาอีกทอดหนึ่ง
"ข้าเห็นด้วยกับเจ้าอัฐนะ หากขายได้คงได้เบี้ยไปซื้อผ้าไหมที่อยากได้มิน้อย อีกทั้งข้าเองก็ใส่ของเก่าจนเบื่อแล้ว เก็บไว้ก็มิมีประโยชน์อันใด" เบญจเอ่ยเห็นด้วยกับน้องชายคนที่ ๘
"เจ้า ๘ เจ้านี่ช่างฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก" เอกศึกเอ่ยชื่นชมน้องชายคนที่ ๘ คราวแรกตนกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันขึ้นมาเสียแล้ว โชคดียิ่งนักที่น้องชายผู้นี้เสนอแนวคิดนี้ขึ้นมาเสียก่อน
"ของมันแน่นอนอยู่แล้วขอรับพี่ใหญ่ ก็ข้ามันฉลาดที่สุด" พอได้รับคำชมจากพี่ชายคนโตอัฐก็ตัวลอย ยืนขึ้นเชิดหน้าเชิดตาอย่างภาคภูมิใจ
"นานๆ ทีเจ้ามีแนวคิดที่ฉลาดๆ ขึ้นมาบ้าง ข้าดีใจด้วย" เอกาทศเอ่ยกวนประสาทด้วยน้ำเสียงจริงจังจนดูเหมือนกับเป็นคำชมจริงๆ
"ของมันแน่นอนอยู่แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า" อัฐหัวเราะชอบใจ
"...." ลำเภาจันทร์นั่งมองพี่ๆ และท่านพ่อเงียบๆ ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาอาหารเย็น เขาลองขอท่านแม่เข้าไปช่วยงานในครัวดูแล้ว แต่ท่านแม่ก็ไม่อนุญาตเขาเสียที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
"ท่านพี่จตุรงค์ พวกเราไปช่วยท่านแม่ในครัวกันเถิดขอรับ ป่านนี้คงเหนื่อยแย่แล้ว" นวรัตน์เอ่ยชวนพี่ชายคนที่ ๔ ให้เข้าครัวไปด้วยกันด้วยท่าทางสดใสเรียบร้อย
"ก็ได้ ข้าเองก็เริ่มหิวแล้วด้วย" จตุรงค์ยอมพาร่างกายอ้วนท้วนของตนลุกขึ้น ก่อนจะเดินข้างน้องชายคนที่ ๙ เพื่อเข้าครัวไปช่วยท่านแม่ทำอาหารด้วยกัน แม้ตนจะขี้เกียจแต่ตนชื่นชอบการกินของอร่อยยิ่งนัก ดังนั้นจตุรงค์จึงมักจะไปช่วยท่านแม่ทำอาหารในโรงครัวอยู่บ่อยครั้ง
"อ เออคือ นี่คือขนมที่ท่านป้าอู๋หมิงฝากมาให้ขอรับ ส่วนนี่ของ จ เจ้าเภา" ตรีไตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่า ก่อนจะรีบนำขนมสัญชาติจีนที่ท่านป้าอู๋หมิงสอนตนและอู๋เหลียงทำมาวางไว้บนโต๊ะ โดยมีกล่องไม้กล่องหนึ่งที่เป็นของน้องชายคนเล็กโดยเฉพาะ
"...ฝากขอบคุณท่านป้าอู๋หมิงด้วยขอรับ" ลำเภาจันทร์เอ่ยเสียงนิ่ง แต่ทว่าแววตากลับทอประกายความยินดีและพอใจออกมา
"อันใดกัน เหตุใดเจ้าเภาจึงได้เยอะกว่าข้าเล่า" สัตภัณฑ์โวยวายเมื่อเห็นกล่องไม้กล่องใหญ่วางอยู่ตรงหน้าน้องชายน่าชังของตน
"ก ก็เจ้าเภาเคยช่วยท่านป้าอู๋หมิงเอาไว้" ตรีไตรเอ่ยตอบน้องชายคนที่ ๗ เสียงสั่น
"เหอะ ข้าจะยอมให้ก็ได้" สัตภัณฑ์กอดอกก่อนจะหันหน้าหนีแล้วหยิบขนมตรงหน้าเข้าปาก ที่ยอมให้ก็เพราะตนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยดอกหนา วันนั้นตนไปฝึกยิงธนูที่เรือนของพี่สาวของอู๋ซือและอู๋เหลียงจึงได้ไปพบน้องชายคนเล็กที่ช่วยท่านป้าอู๋หมิงเอาไว้พอดี
"อันใดนะ ลูกเภาช่วยท่านป้าอู๋เอาไว้หรือลูก มิเห็นเล่าให้พ่อฟังเลย" นายนนท์หาเรื่องคุยกับบุตรชายคนเล็กที่กำลังนั่งหยิบขนมเข้าปากด้วยความเอ็นดู ตนมิค่อยได้เอ่ยพูดคุยกับบุตรชายผู้นี้มากนัก ต่างจากบุตรชายทั้ง ๑๑ คน เพราะหลังจากที่เจ้าตัวเคยขอให้ตนซื้อมีดสั้นให้ในตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย บุตรชายผู้นี้ก็มิเคยขอร้องอันใดตนอีกเลย
คราวนั้นตนมิค่อยอยากซื้อให้เท่าใดนักเพราะมันอันตรายต่อเด็กวัยเพียงมิกี่ขวบปี แต่พอเห็นใบหน้าที่ดูเรียบนิ่งมิแสดงอารมณ์ใดๆ จึงได้แต่ใจอ่อน พยักหน้าเบาๆ แล้วยอมซื้อให้
"แค่เพียงเล็กน้อยขอรับท่านพ่อ" ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบท่านพ่อด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ดวงตากลมสีนิลเหลือบมองบิดาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงกินขนมต่ออย่างมิสนใจ
"ง งั้นรึ" นายนนท์ผู้เป็นบิดายิ้มแห้งทันทีเมื่อเห็นบุตรชายคนเล็กทำท่าทางเย็นชาเช่นนั้น
"เอาล่ะลูกๆ หิวกันแล้วหรือยัง วันนี้วันเกิดอายุครบ ๑๐ ปีของพวกเจ้า แม่ทำของโปรดพวกเจ้าทั้งนั้นเลยหนา" นางพราหมณีเอ่ยกับบุตรชายทั้ง ๑๒ คนของนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่จัดโต๊ะสำรับเสร็จ ทั้งครอบครัวก็เริ่มรับประทานมื้อเย็นร่วมกัน โดยวันนี้เด็กๆ ทั้ง ๑๒ คน มีอายุครบ ๑๐ ปีเต็มแล้ว
บ่ายวันต่อมา
"...." ลำเภาจันทร์กำลังนั่งนับเบี้ยอยู่ในห้องนอนของตนเองเงียบๆ โดยตอนนี้มีเงินที่ท่านพ่อให้มา ๑ กล่องบรรจุเบี้ย ๕๐ เบี้ย กับเงินอีกหลายบาทที่เขานั้นได้มาจากการบังเอิญเก็บสมุนไพรดีๆ แล้วขายได้ เขาตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นหากครอบครัวถึงคราวเดือดร้อนขึ้นมา
ก๊อก! ก๊อก ก๊อก!
"น้องเภา! เราไปเที่ยวตลาดกันเถอะ!!" เอกาทศเรียกน้องชายสุดน่ารักของตนเสียงดัง
"...." ลำเภาจันทร์เหลือบมองประตูไม้ของห้องเล็กน้อย ก่อนจะเก็บถุงเงินลงในหีบ แล้วเอาเบี้ยติดตัวออกไปด้วยจำนวนหนึ่ง วันนี้เป็นวันที่เขามิคิดจะเข้าป่าล่าสัตว์เพราะในใจมีของอย่างหนึ่งที่อยากได้ จึงคิดจะไปเดินตลาดเพื่อหาดูอยู่พอดี
หลังจากเปิดประตู ลำเภาจันทร์ก็เห็นพี่ชายกลุ่มเดิมทั้งสี่คนยืนรออยู่หน้าห้อง
"เจ้าเตี้ย ปะ ไปตลาดกัน ท่านพ่อให้เบี้ยมาเมื่อวาน เจ้าควรเอาไปใช้เสียบ้าง" โททวีเอ่ยกับน้องชายคนเล็กก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมแกล้งน้องชาย "หรือจะเลี้ยงข้าพี่ชายสุดหล่อผู้นี้ก็ได้นะ"
"เหอะ หลงตัวเอง หากเจ้าหล่อเหลา ในพระนครไพสารีแห่งนี้คงมิมีผู้ใดขี้เหร่อีกแล้วกระมัง" เอกาทศปัดมือพี่ชายคนที่ ๒ ออกจากหัวของน้องชายสุดน่ารักของตน ก่อนจะจัดทรงผมให้น้องชายตัวเล็กจนเรียบร้อย
"ข้าได้ยินมาว่ามีตลาดป่าเปิดใหม่อยู่ใกล้ๆ พวกเราลองไปเที่ยวดูกันเถอะ" อัฐเอ่ยชวนพี่น้องของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
"ข้าเองก็อยากไปดูด้วยว่าจะมีเครื่องดนตรีใหม่ๆ หรือไม่" ฉะเองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสนใจมิแพ้กัน
"เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถิดขอรับ เดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน" ลำเภาจันทร์เอ่ยกับพี่ชายทั้งสี่คน
"อื้ม! รีบไปกันเถอะ มิได้เดินเล่นเสียนานป่านนี้แม่นางน้อยคงคิดถึงข้าแย่แล้วกระมัง" อัฐเอ่ยออกมาก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมระหว่างเดินออกจากเรือนเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
"หัวอ่อนเช่นเจ้ามีแม่นางน้อยสนใจด้วยรึ" โททวีเอ่ยแซวน้องชายคนที่ ๘ ด้วยน้ำเสียงกวนประสาท พออีกฝ่ายมองขวางผู้เป็นพี่ชายคนที่ ๒ ก็หัวเราะชอบใจออกมา
"ว่าแต่เจ้าอัฐ เจ้าเถอะ เกี้ยวอู๋เหลียงไปถึงไหนแล้ว" ฉะเอ่ยแซวพี่ชายคนที่ ๒ บ้าง พร้อมกับทำหน้าราวกับว่าตนรู้นะว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
"อะไร! เกี้ยวอันใด ข้าหาได้ชอบเขาเสียหน่อย!" โททวีแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิพอใจ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
"จะว่าไปหลายวันมานี้ ข้าก็เห็นเจ้าไปที่เรือนของท่านป้าอู๋หมิงบ่อยๆ ที่แท้ก็ไปเกี้ยวอู๋เหลียงลูกชายคนที่ ๓ ของท่านป้าอู่หมิงนี่เองรึ" เอกาทศร่วมเอ่ยแซวพี่ชายคนพี่ ๒ ยิ้มๆ ซึ่งรอยยิ้มนี้ทำให้บาทาของพี่ชายคนที่ ๒ สั่นยิ่งนัก!
"เจ้า! หุบปากไปเลย! ข้าไปหาเจ้าตรีไตรและเจ้าสัตภัณฑ์ต่างหาก เหอะ! เจ้านั่นมิเห็นมีสิ่งใดน่าสนใจเลยสักนิด!" โททวีเอ่ยแถหน้าดำหน้าแดง ตนก็แค่ไปหาน้องชายคนที่ ๓ และคนที่ ๗! มิได้ไปหาผู้ใดเสียหน่อย!
"เช่นนั้นหรือออ ข้าเชื่อๆ" เอกาทศเอ่ยพร้อมทำหน้าว่าเชื่อแล้วแบบยียวนกวนประสาท
"เจ้า รอก่อนเถอะ" โททวีชี้หน้าคาดโทษน้องชายคนที่ ๑๑ ก่อนจะทำหน้าสะใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง "เดี๋ยวข้าจะฟ้องเจ้าเตี้ยให้หมดเลยว่าเจ้าไปไถเงินผู้ใดมาบ้าง และก็จะบอกท่านแม่ด้วยว่าเจ้าไปตีกับเด็กบ้านอื่นมา"
"ขี้ฟ้อง!" เอกาทศเอ่ยทันทีด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
"หึ! และข้าก็รู้มาด้วยว่าน้องสาวของอ้ายแทนคุณที่ชื่อทันดาวนางชอบเจ้า!"
"!? น นี่เจ้ารู้เรื่องข้าได้ยังไง!?" เอกาทศถามเสียงตกใจ เพราะเรื่องที่ทันดาวแอบชอบตนนั้น ตนก็พึ่งจะรู้เมื่อมินานมานี้และยังมิได้บอกพี่น้องคนใดเลยสักคน แล้วพี่ชายคนที่ ๒ ไปรู้เรื่องมาจากที่ใดกัน!?
"เปล่าเสียหน่อย ข้าก็แค่ได้ยินมาผ่านๆ รู้แค่ว่าเจ้ากับนางกำลังแอบคบหาดูใจกันอยู่ เพียงเท่านี้จริงๆ" โททวีตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่กลับดูยียวนไม่น้อย
"หยุดๆ! นี่เจ้าได้ยินมาผ่านๆ จริงแน่รึ?! ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อ!!" เอกาทศทั้งขุ่นเคืองและยอมใจให้กับความสอดรู้สอดเห็นของพี่ชายคนที่ ๒ ยิ่งนัก เรื่องราวชาวบ้านขอให้ถามอีกฝ่ายเถิด เพราะพี่ชายผู้นี้สามารถตอบคำถามได้หมด! มิรู้จริงๆ ว่าพี่ชายผู้นี้ไปได้ยินมาจากที่ใด กะจะแกล้งเอาคืนเสียหน่อย แต่กลับโดนแฉเสียเองจนได้
"หึ!" โททวียิ้มมุมปากสะใจ
ณ ตลาดป่าไผ่ สถานที่ที่คนจีนมารวมตัวกันเพื่อทำการค้าการขายจนเกิดเป็นตลาดใหม่ขึ้นมา
บ่ายวันนี้แดดมิแรงมากนัก บรรยากาศดูร่มรื่นน่าเดินเล่น ร่มเงาของใบไผ่ส่ายไปส่ายมาทำให้เกิดสายลมเย็นและเสียงธรรมชาติที่ทั้งไพเราะและชวนให้ใจสงบ แต่เพราะนิสัยของพ่อค้าแม่ขายชาวจีนที่มักพูดจากันเสียงดัง จึงทำให้ลำเภาจันทร์แอบรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย
"พี่ฉะ ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่รึ" อัฐวางมือบนไหล่ของพี่ชายคนที่ ๖ เมื่อเห็นว่าพี่ชายยืนเหม่อมานานแล้วตั้งแต่เดินเข้ามาในตลาด และนั่นทำให้ฉะที่เป็นคนขวัญอ่อน และหากสนใจกับสิ่งใดแล้วก็มักจะมิค่อยสนใจสิ่งรอบตัว จึงสะดุ้งโหยงและร้องเสียงดังลั่น
"ว้ายย!! เจ้าอัฐ!! ข้าบอกเจ้าหลายคราวแล้วว่าอย่าเล่นเช่นนี้!!" ฉะที่ได้สติหลังจากสะดุ้งและร้องเสียงหลงหันไปเอ็ดน้องชายคนที่ ๘ ทันที ก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วก้มใบหน้าที่ฉายแววละมุนหล่อเหลาซึ่งเริ่มแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอาย
"ข้าก็บอกท่านหลายครั้งแล้วเช่นกันว่ามิควรร้องว้าย แต่ควรร้องเฮ้ยหรือโว้ย น่ะ เห็นไหมท่านอับอายเลย" อัฐกอดอกพร้อมกับส่ายหน้าไปมาให้กับความขวัญอ่อนและกลัวผีมากของพี่ชายผู้นี้
"กล้าแกล้งข้ารึเจ้าอัฐ? ได้! เช่นนั้นก็มากับข้าเลย ไปดูเครื่องดนตรีกับข้าดีกว่า หึ หึ หึ" ฉะยกยิ้มร้ายก่อนจะลากตัวน้องชายให้ไปดูเครื่องดนตรีที่ตนสนใจเมื่อสักครู่ด้วยกันทันที
"ม ไม่นะ! ไม่เอาาา เจ้าเภาช่วยข้าด้วยยย! พี่ฉะ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว!" อัฐเอ่ยคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินตามพี่ชายไปอยู่ดี ก่อนไปก็อดเอ่ยด้วยน้ำเสียงแง่งอนกับพี่น้องคนที่เหลือมิได้ "มิมีใครช่วยข้า จำเอาไว้เลยนะ"
"ดูให้สนุกล่ะ" เอกาทศเอ่ยยียวนใส่พี่ชายคนที่ ๘ ด้วยรู้ดีว่าเหตุใดพี่ชายผู้นี้จึงมิค่อยอยากไปเท่าใดนัก ก็เพราะมันน่าเบื่อยังไงล่ะ! แต่ทว่าตนยืนอารมณ์ดีอยู่ได้มินาน ก็มีอ้ายหนุ่มเดินเข้ามาเกี้ยวพาราสีน้องชายสุดน่ารักของตนซะงั้น จนเอกาทศต้องรีบหันขวับไปมองว่าเป็นผู้ใด!?
"เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยังหนอ น้องเภา"
TBC
ตอนนี้พี่ๆ ทั้ง ๑๑ คนของน้องได้มีบทบาทกันครบทุกคนแล้ว เรามาทวนชื่อกันดีกว่า
คนที่ ๑ ชื่อ เอกศึก (มีความเป็นผู้นำ รักน้องๆ พึ่งพาได้)
คนที่ ๒ ชื่อ โททวี (ปากแข็ง ขี้สงสัย ซึน)
คนที่ ๓ ชื่อ ตรีไตร (ขี้แย ขี้ขลาด ซุ่มซ่าม)
คนที่ ๔ ชื่อ จตุรงค์ (กินจุ ขี้เกียจ)
คนที่ ๕ ชื่อ เบญจ (เจ้าสำอาง เรื่องมาก เอาแต่ใจ)
คนที่ ๖ ชื่อ ฉะ (กลัวผี มาดเจ้าชู้ นิสัยแพรวพราว)
คนที่ ๗ ชื่อ สัตภัณฑ์ (ขี้อิจฉา คิดว่าตัวเองเก่ง ชอบแดกดันผู้อื่น)
คนที่ ๘ ชื่อ อัฐ (ซื่อบื้อ ซื่อตรง มักวิตกกังวลเมื่อเกิดเรื่อง)
คนที่ ๙ ชื่อ นวรัตน์ (ชอบเพ้อฝัน มักใหญ่ใฝ่สูง เรียบร้อย)
คนที่ ๑๐ ชื่อ ทศรักษ์ (หยิ่ง ถือตัว ใช้เงินเก่ง ดูถูกคนจน)
คนที่ ๑๑ ชื่อ เอกาทศ (ห้าว ปากร้าย ใจร้อน)
และนายเอกของเรา
คนที่ ๑๒ ชื่อ ลำเภาจันทร์ (เย็นชาแต่อ่อนโยน ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ)
ไรต์ใบ้ว่ามี ๑ คนในหมู่พี่น้องที่เป็นนายร้ายแบบสุด ทุกคนคิดว่าเป็นใครเอ่ย?