ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ณ โต๊ะทานสำรับอาหารในมื้อเย็น
"วันนี้ลูกชายของพ่อไปซื้ออันใดมากันบ้างรึ? ไหนเล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ" นายนนท์เอ่ยถามบุตรชายทั้ง ๑๒ คนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักโดยพยายามปกปิดความเศร้าหมองในใจเอาไว้ ดวงตาที่เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามอายุดูเหนื่อยล้ามากขึ้นทุกวัน
"วันนี้ลูกไปซื้อผ้าพับใหม่ที่ตลาดป่าไผ่ขอรับท่านพ่อ และลูกยังได้เดินกับท่านพี่แทนคุณด้วยนะขอรับ" เบญจตอบบิดาของตนอย่างอารมณ์ดี
"ข้าไปที่เรือนท่านป้าอู๋หมิงกับพี่เอกศึกและพี่ตรีไตรมาขอรับท่านพ่อ ไปช่วยท่านลุงอู๋เปิดร้านขนม และยังได้รับชิมขนมของท่านป้าอู๋หมิงด้วยขอรับ อร่อยยิ่งนัก" จตุรงค์เอ่ยกับบิดา ใบหน้าอ้วนกลมแย้มยิ้มอย่างมีความสุข "แต่ข้าต้องขอโทษเจ้าเภาด้วยหนา ขนมที่ท่านป้าอู๋หมิงฝากมาให้เจ้าข้าดันเผลอกินไปหมดแล้ว ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ"
"...อืม มิเป็นอันใดขอรับ" ลำเภาจันทร์ตอบพี่ชายคนที่ ๔ อย่างไม่ถือโกรธ นัยน์ตากลมเรียบนิ่งเหลือบมองท่านพ่อและท่านแม่ที่นั่งรับประทานข้าวกันเงียบๆ โดยมิพูดมิจามีเพียงเงยหน้าขึ้นมารับฟังพี่ๆ เป็นระยะเท่านั้น และแม้พวกเขาจะพยายามซ่อนแววตาที่เศร้าหมองแค่ไหนแต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อยู่ดี
นึกย้อนไปเมื่อยามเย็นหลังจากที่เห็นเหตุการณ์นั้นลำเภาจันทร์ก็มิรู้เลยว่าควรทำอย่างไร เขาเดินไปนั่งเงียบๆ ที่เตียง ในหัวขบคิดทบทวนเนื้อเรื่องหลักที่ท่านพ่อจะพาพวกเขาไปปล่อยทิ้งไว้ในป่าหลังจากวันที่เกวียนถูกยึด เขานั่งทำใจอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหัวเตียงเพื่อเปิดหีบไม้แล้วนำถุงเงินที่เก็บสะสมเบี้ยจากการขายสมุนไพรออกมา ซึ่งเขาหวังว่ามันอาจจะพอช่วยได้บ้างแม้จะมิมากมายก็ตาม
กลับมาที่ปัจจุบัน
พี่ๆ ทุกคนยังคงทำตัวปกติมิได้มีท่าทีติดใจอันใด คาดว่าน่าจะยังคงมิรู้เรื่องที่ท่านพ่อและท่านแม่พึ่งถูกยึดเกวียนไป
"เอาล่ะลูกๆ ได้เวลาเข้านอนกันแล้วจ้ะ" นางพราหมณีเอ่ยกับบุตรชายทั้ง ๑๒ คนของนาง ถึงแม้จะเศร้าใจเพราะวันนี้สามีพึ่งสูญเสียเกวียนแต่นางมิอยากแสดงออกให้ลูกๆ เห็นจึงฝืนยิ้มอ่อนโยนเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าหมอง
"ขอรับ!" เด็กๆ ทั้ง ๑๑ คนขานรับมารดาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะพากันทยอยเดินออกไปเข้าห้องนอนของตัวเอง
".... " ลำเภาจันทร์เดินตามหลังพี่ๆ แต่ก่อนออกไปก็อดที่จะหันไปมองท่านพ่อและท่านแม่ที่เลี้ยงเขามาถึง ๑๐ ปีไม่ได้ แม้เมื่อก่อนจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คนอื่นเพราะอยู่ๆ เขาก็มาโผล่ที่โลกแห่งนี้ แต่พอได้อยู่ด้วยกันนานถึง ๑๐ ปี เขาก็เริ่มรู้สึกว่าทั้งคู่เป็นท่านพ่อและท่านแม่ของเขาจริงๆ เสียแล้ว
ลำเภาจันทร์เคยเป็นเด็กที่พ่อแม่มิต้องการมาก่อน เขามีชีวิตที่ทั้งเหงาและโดดเดี่ยวในทุกวัน มิเคยได้รับความรักความอบอุ่นอย่างที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับ ดังนั้นพอมาที่นี่เขาจึงอดคาดหวังอยู่ลึกๆ มิได้ว่าจะมีพวกเขาเป็นพ่อแม่จริงๆ เพราะมิว่าลูกชายจะต้องการอะไร พวกเขาก็พร้อมที่จะหามาให้ ดูอย่างพี่ๆ ของเขาสิได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้มิเคยขาด ถึงแม้ทางบ้านจะขาดแคลนเงินทองมากมายเพียงใด แต่ทว่าพวกเขาก็ยังคอยดูแลลูกชายทั้ง ๑๒ คนด้วยความรักอยู่เสมอ
หลายปีก่อนลำเภาจันทร์ก็เคยร้องขอให้ท่านพ่อซื้อมีดสั้นให้ ท่านพ่อก็ตามใจแม้ว่าเขาจะยังเด็กมาก แต่ก่อนจะให้ก็ได้เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการใช้ของมีคม
ทั้งคู่พยายามเลี้ยงดูลูกชายทั้ง ๑๒ คนอย่างดีที่สุดแล้ว เพราะอย่างนั้นแม้จะเสียใจแต่หากท่านพ่อและท่านแม่เลือกที่จะทอดทิ้งเขาและพี่ๆ ไว้ในป่าจริงๆ ลำเภาจันทร์ก็คงจะโกรธพวกเขามิลง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขามิอาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้
หลังจากที่บุตรชายทั้ง ๑๒ เดินออกจากห้องรับประทานอาหารแล้ว สองสามีภรรยาก็พากันเดินออกไปนั่งพูดคุยที่นอกระเบียง
"คุณพี่ เกวียนถูกยึดไปเช่นนี้พวกเราก็สูญเสียรายได้ ทั้งเรามีลูกตั้ง ๑๒ คน ข้ากลุ้มใจยิ่งนักเจ้าค่ะ"
"ภรรยาข้า หากเรายังคงมีลูกเยอะอยู่เช่นนี้อีกหน่อยพวกเราคงได้อดตายกันจริงๆ แน่ หรือพวกเราควรลดจำนวนลูกของพวกเราลงดีหนา? เจ้าคิดว่าอย่างไร" นายนนท์ถามภรรยาอย่างกลัดกลุ้มใจมิแพ้กัน
"จะให้เลือกคนออกหรือคุณพี่ มิได้นะเจ้าคะ" นางพราหมณีเอ่ยขึ้นมาทันที นางทำใจมิได้แน่หากต้องเลือกทอดทิ้งลูกคนใดคนหนึ่งไป
"แล้วน้องจะให้พี่ทำเช่นไร ขืนเป็นแบบนี้คงได้อดตายกันหมด" นายนนท์ผู้เป็นสามีเอ่ยกับภรรยาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "พี่ว่าเอาบางคนไปปล่อยไว้ในป่าให้หาทางเอาชีวิตรอดกันเองดีหรือไม่ ถือว่าให้ลูกๆ ได้ออกไปหาประสบการณ์อย่างไรเล่า"
"...ขืนเราเหลือใครไว้แล้วคนอื่นๆ จะว่าอย่างไรล่ะคุณพี่" นางพราหมณีเอ่ยด้วยความทุกข์ใจ
"ถ้าอย่างนั้น เอ้า เอาไปปล่อยป่าทั้ง ๑๒ คนเลย หากมีอันตรายเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ พวกเขาจะได้ช่วยเหลือกันได้" สามีเอ่ยกับภรรยาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเมื่อตนนั้นตัดสินใจแล้วว่าจะทิ้งลูกทุกคนพร้อมกันแม้จะรู้สึกเสียใจยิ่งนักก็ตาม ตนนั้นเลี้ยงดูบุตรชายทั้ง ๑๒ คนมากับมือมีหรือที่จะมิรักและผูกพัน
"ข้ากลัวว่าจะมิมีผู้ใดเหลือรอดสักคนเลยสิคุณพี่" นางพราหมณีน้ำตานองอาบแก้มเมื่อนึกภาพบุตรชายตัวน้อยทั้ง ๑๒ คนที่ต้องเสียขวัญและหวาดกลัวเมื่อหลงทางอยู่ในป่า
"เทวดากลั่นแกล้งเราชัดๆ เทวดาต้องรับผิดชอบ! ท่านต้องทำให้ลูกๆ ของพวกเราทั้ง ๑๒ คนรอดให้ได้!" นายนนท์เหม่อมองท้องฟ้าที่มืดมิดพร้อมคร่ำครวญออกมาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าปนขุ่นมัว "พรุ่งนี้พี่จะเอาลูกๆ ทั้งหมดไปปล่อยไว้ในป่า"
"ฮึก เทวดาอารักษ์ ได้โปรดช่วยคุ้มครองดูแลลูกๆ ทั้ง ๑๒ คนของพวกเราด้วยเถิด" นางพราหมณีพนมมืออธิษฐานพร้อมอ้อนวอนเทวดาบนฟากฟ้า นัยน์ตาเหนื่อยล้าทั้งสองข้างยังคงมีน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ
ด้านหลังประตูระเบียง
"...." ลำเภาจันทร์ยืนกำถุงเงินพร้อมพิงผนังฟังสิ่งที่ท่านพ่อและท่านแม่คุยกันเงียบๆ จนจบ ก่อนจะเดินจากไปด้วยสีหน้าเฉยชาทั้งที่รู้สึกปวดใจเช่นเดียวกัน
เขาดีใจมากที่ได้มาอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง ๑๐ ปี แต่เขาก็มีความสุขมากที่ได้มีครอบครัว มันเป็นความสุขที่ยิ่งกว่าตอนเป็นนักฆ่าเมื่อชาติก่อนเสียอีก
"...๑๐ ปีก็ถือว่านานมากแล้ว" ลำเภาจันทร์พึมพำปลอบใจตัวเอง ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมากหลังจากที่ห่างหายจากการฆ่าฟันมานานถึง ๑๐ ปีตั้งแต่เข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้ ยิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วไปก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกด้านชาค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ โดยไม่รู้ตัว แม้จะมิแน่ใจว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่แต่เขากลับมิได้รังเกียจมันถึงจะต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากก็ตามที
เช้าวันรุ่งขึ้น
นางพราหมณีตื่นขึ้นมาจัดเตรียมข้าวห่อใบตองใส่กระด้งตั้งแต่รุ่งสางเพื่อว่าบุตรชายของนางจะมีอะไรทานบ้างตอนอยู่ในป่า ส่วนนายนนท์ก็ไปจัดเตรียมเกวียนและบอกกับบุตรชายทั้ง ๑๒ คนว่าวันนี้ตนจะพาไปเที่ยวที่ไกลๆ เด็กๆ เกือบทุกคนตื่นเต้นดีใจมากที่บิดาผู้แทบจะมิมีเวลาว่างจะพาออกไปเที่ยว
หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จและเด็กทั้ง ๑๒ คนขึ้นนั่งบนเกวียนเรียบร้อย นายนนท์ก็ขี่เกวียนออกไปทันทีโดยมีนางพราหมณียืนโบกมือลาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่สีหน้าและแววตาของนางกลับดูเศร้าหมองอย่างมิอาจปิดบังได้
"มีชีวิตรอดให้ได้หนาลูกๆ ของแม่ เทพเทวดาช่วยปกป้องดูแลพวกเขาด้วยเถิดหนาเจ้าคะ" นางพราหมณีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบา นัยน์ตาของนางเหม่อมองเกวียนของสามีที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนนางมิอาจอดกลั้นปล่อยหยดน้ำตาไหลรินออกมาอาบแก้มอีกครั้ง "แม่จะคิดถึงพวกเจ้าหนา ลูกรักของแม่"
"ท่านพ่อ ท่านจะพาพวกเราไปเที่ยวที่ใดหรือขอรับ" โททวีถามบิดาด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วท่านพ่อมิค่อยมีเวลา แม้ตนจะดีใจที่ได้ออกไปเที่ยวแต่ก็อดสงสัยมิได้ว่าท่านพ่อจะพาพวกเขาพี่น้องไปที่ใด
"ต้องเป็นวัดธาตุที่เมืองข้างๆ แน่ ข้าได้ยินมาว่ามีงานวัดที่นั่น ในงานมีขายเครื่องประดับมากมาย ข้าอยากไปดูยิ่งนัก" ทศรักษ์เอ่ยอย่างอารมณ์ดีเมื่อคิดว่าตนจะได้ไปเที่ยวงานวัดที่เฝ้ารอคอยมาหลายเดือน
"มีอาหารอร่อยๆ ด้วยหรือเปล่า ข้าหิว" จตุรงค์เอ่ยกับพี่น้องของตนพร้อมกับลูบพุงป่องๆ ของตัวเองไปด้วย
"ข้าได้ยินมาว่างานวัดแห่งนั้นมีของนำเข้าจากพื้นที่แดนไกลมากมาย ช่างน่าสนใจยิ่ง บางทีข้าอาจจะได้ผ้าผืนใหม่มาสักผืน" เบญจเอ่ยกับพี่น้องทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปนตื่นเต้น
"อันใดกัน มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งซื้อมาใหม่หรอกรึ" เอกาทศเอ่ยกับพี่ชายคนที่ ๕ ด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย คนอะไรสิ้นเปลืองยิ่งนัก หากพี่ชายผู้นี้ใช้เงินน้อยลงเสียบ้าง ท่านพ่อและท่านแม่คงมิต้องลำบากมากเช่นนี้
"ก็เผื่อข้าสวมใส่จนเบื่อแล้วเจ้าจะทำไม?" เบญจเอ่ยกระแทกกระทั้นใส่น้องชายคนที่ ๑๑ พร้อมหันไปมองด้วยหางตา
"ข้าเองก็สวมใส่เครื่องประดับของข้า จนเบื่อแล้วเช่นกันขอรับ เจ้าเอกาทศนี่มิรู้ความเอาเสียเลย ของที่สวมใส่ซ้ำบ่อยๆ จนเบื่อแล้วผู้ใดจะอยากสวมใส่อีก" ทศรักษ์เอ่ยกับน้องชายคนที่ ๑๑ อย่างเย่อหยิ่ง ดวงตายโสก้มมองกำไลเลื่อมทองที่ตนสวมใส่อยู่อย่างดูแคลน "ชิ น่าเบื่อ! ใส่มาตั้งนานวันแล้ว เบี้ยที่ท่านพ่อให้มาก็มิพอซื้ออันใหม่สักชิ้น"
"เหอะ! ทำตัวเป็นผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินไปได้ ทุเรศ มิเห็นหรือว่าบ้านของพวกเราลำบากขึ้นมาก แต่พวกเจ้าก็ยังมิคิดจะประหยัดช่วยเหลือครอบครัวอีก เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าอะไร เจ้าชงโคที่ลากเกวียนอยู่ยังมีประโยชน์มากกว่าพวกเจ้าเสียอีก!" เอกาทศมีหรือที่จะยอมโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว ยิ่งมีนิสัยนักเลงอยู่แล้วก็ยิ่งด่าสวนกลับไปอย่างมิไว้หน้า หากมิคิดว่าเป็นพี่น้องตนคงลุกขึ้นไปต่อยปากพวกเขาแล้ว
"เจ้า!/เจ้า!" เบญจและทศรักษ์ชี้หน้าเอกาทศด้วยความมิพอใจ ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองน้องชายคนที่ ๑๑ ด้วยความขุ่นเคือง
"อันใด? หรือว่ามิจริง" เอกาทศตอบกลับด้วยท่าทียียวนกวนประสาท ดวงตาขวางๆ มองบนอย่างมิใส่ใจ ก่อนจะเอนกายไปซบไหล่เล็กของน้องชายสุดน่ารักของตนที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเกวียนอย่างสบายใจ
"เอ่อ ลูกๆ อย่าทะเลาะกันเลยหนา และพ่อก็คงต้องขอโทษพวกเจ้าด้วยที่ทำให้ผิดหวังแล้ว เพราะวันนี้พ่อจะพาพวกเจ้าไปเล่นที่น้ำตกบนภูเขาต่างหาก" พอนายนนท์ได้ยินสิ่งที่ลูกๆ เอ่ยก็แอบรู้สึกผิดที่ตนนั้นมิมีกำลังมากพอจะเลี้ยงดูลูกๆ ได้ ในขณะเดียวกันตนก็มิสามารถโกหกว่าจะพาลูกๆ ไปเที่ยวที่อื่นเพราะวางแผนไว้แล้วว่าจะทิ้งลูกๆ ไว้ที่น้ำตกตรงนั้น
"น้ำตกหรือขอรับ" เอกศึกถามย้ำ "แต่ว่าพวกเรามิได้เอาอาภรณ์มาเปลี่ยนเลยหนาขอรับท่านพ่อ"
"มิเป็นอันใด เล่นเสร็จก็กลับเรือนกันเลย" นายนนท์ตอบบุตรชายคนโตโดยซ่อนสีหน้าหมองเศร้าเอาไว้
"ข้าอยากเล่นน้ำตกขอรับท่านพ่อ" ตรีไตรเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าดีใจ
"ข้าด้วยขอรับ น้ำตกยามเช้าต้องงดงามมากแน่" นวรัตน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานร่าเริง
ท่านพ่อขี่เกวียนพาพวกตนขึ้นเขาตามเส้นทางคดเคี้ยว ตลอดทางมิมีผู้ใดสนใจดูเส้นทางเลยเพราะมัวแต่พูดคุยกันเรื่องน้ำตกอย่างสนุกสนาน
"...." ลำเภาจันทร์นั่งนิ่งมิได้เอ่ยอะไรระหว่างการเดินทาง ถ้าเป็นไปตามในวรรณคดีนางเภาจะฉีกใบตองแล้วหย่อนไปตามทางเพื่อให้ตัวเองและพี่ๆ สามารถกลับเรือนได้ถูก ทว่าการจดจำเส้นทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับลำเภาจันทร์ แต่เขาไม่คิดที่จะกลับไปหาคนที่ตั้งใจจะทอดทิ้งเขาต่างหากเพราะมิว่ายังไงก็คงจะโดนพามาทิ้งอีกครั้งอยู่ดี เหมือนกับในวรรณคดีนั่นแหละที่ครั้งแรกนางเภาสามารถพาพี่ๆ ของนางกลับถึงเรือนได้ แต่ทว่าวันถัดมาท่านพ่อของนางก็พาพวกนางไปทิ้งไว้ในป่าอีกครั้งอยู่ดี
...
"เอาล่ะ ถึงแล้วลูกๆ น้ำตกอยู่ทางด้านโน้นไปเล่นกันให้สนุกนะ" นายนนท์เอ่ยกับบุตรชายทั้ง ๑๒ คนหลังจากที่ขี่เกวียนมาถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว
"ขอรับ!!" เด็กๆ ทั้ง ๑๑ คนต่างพากันวิ่งไปทางน้ำตกทันทีด้วยความตื่นเต้นเพราะยามน้ำตกตกกระทบโขดหินจะเกิดเป็นละอองน้ำ และเมื่อต้องแสงแดดยามเช้าจะระยิบระยับมากเสียจนเกิดเป็นภาพที่งดงามเรียกความสนใจของเด็กๆ ได้มิน้อยเลยทีเดียว
...เว้นเสียแต่เด็กน้อยผู้หนึ่ง
"ลูกเภา ลูกมิลงไปเล่นน้ำกับพี่ๆ หรือ" นายนนท์หันไปถามบุตรชายคนเล็กอย่างกังวล บุตรชายผู้นี้ฉลาดที่สุดและเป็นผู้ที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินเด็ก แม้ตนมิได้มีเวลาดูแลบุตรชายทั้ง ๑๒ คนมากนักเพราะต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่ตนก็พอรู้ว่าบุตรชายผู้นี้ทั้งฉลาดและมีไหวพริบมากเพียงใด
"...." ลำเภาจันทร์มองผู้ที่เป็นบิดาให้เขามาตลอด ๑๐ ปี ก่อนจะเดินลงจากเกวียนและไปยืนอยู่ตรงหน้าของท่าน "ขอบคุณท่านพ่อและฝากขอบคุณท่านแม่ที่เลี้ยงข้ามาตลอด ๑๐ ปีขอรับ เงินบาทในหีบในห้องนอนของข้า ท่านพ่อและท่านแม่นำมันไปสร้างตัวเถิดหนาขอรับ" หลังจากเอ่ยจบลำเภาจันทร์ก็เดินเงียบๆ ไปหาพี่ๆ ที่กำลังเล่นน้ำตกกันอย่างสนุกสนาน อย่างน้อยเขาก็ได้เอ่ยขอบคุณผู้ที่เลี้ยงตัวเองมา มิรู้ว่าในวันข้างหน้าจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แม้ในวรรณคดีพวกนาง ๑๒ จะได้พบกับท่านพ่อและท่านแม่ของตัวเองอีกครั้งหลังจากแต่งงานกับท้าวรถสิทธิ์ แต่เรื่องราวของพวกเขาพี่น้องอาจจะต่างออกไป เขามิอยากคาดหวังและคาดเดาเอาเอง
"ล ลูกเภา" ผู้เป็นบิดาน้ำตานองหน้าเมื่อได้ยินบุตรชายคนเล็กเอ่ยเช่นนั้น แต่ตนก็ต้องทำใจแข็งรีบหันเกวียนกลับแล้วขี่หนีออกไปอย่างรวดเร็ว "ฮึก ขอให้เทวดาฟ้าดินคุ้มครองพวกเจ้าทั้ง ๑๒ คนด้วยเถิด ฮึก พ่อขอโทษพวกเจ้าด้วยจริงๆ ที่มิสามารถเลี้ยงดูพวกเจ้าได้"
"...." ลำเภาจันทร์ยืนมองพี่ๆ วัย ๑๐ ปีทั้ง ๑๑ คนด้วยสายตาเรียบนิ่ง ยามนี้พวกเขากำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานโดยที่มิรู้เลยว่าท่านพ่อและท่านแม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาเสียแล้ว
"ชิ เจ้าเภา มิลงมาเล่นน้ำรึ ยืนเป็นพระเอกละครโขนไปได้" สัตภัณฑ์เอ่ยแดกดันน้องชายน่าชังของตน ทว่าเมื่อเขาเห็นสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายก็ต้องรีบหลบตาทันทีอย่างหวาดกลัวโดยมิทราบสาเหตุ เหตุใดวันนี้เขาถึงรู้สึกว่าน้องชายดูอารมณ์เสียยิ่งนัก!! อย่าเอามาลงที่ตนเชียวหนา เข้าใจหรือไม่!!
"...." ลำเภาจันทร์มิคิดจะเอ่ยอันใดกับพี่ชายคนที่ ๗ เพราะเขากำลังคิดว่าจะทำเช่นไรดี แต่ไหนๆ ก็ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในป่า อย่างนั้นเขาควรเข้าไปหาอาหารเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตรอดก่อนแล้วกัน แม้พี่น้องบางคนจะมีนิสัยมิดีนัก แต่หากเขาที่มีจิตวิญญาณอาวุโสกว่าปล่อยปละละเลยก็คงจะดูเลือดเย็นเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นลำเภาจันทร์จึงเริ่มมองไปรอบๆ ว่ามีผลไม้ให้เก็บหรือมีสัตว์ป่าให้ล่าบ้างหรือไม่ แต่ดูเหมือนบริเวณนี้จะไม่มี เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าใกล้กับน้ำตกเพื่อไปเก็บผลไม้มาเป็นเสบียง
ลำเภาจันทร์เดินอยู่ในป่าสักพักใหญ่ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆ ด้วยสัญชาตญาณร่างเล็กผอมบางของเด็กน้อยมิรอช้ารีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็วทันที แต่ดูเหมือนว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นจะมิได้เพ่งเล็งมาที่เขา ทว่ากลับเพ่งเล็งไปที่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดและมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายจุด ใบหน้าของอีกฝ่ายดูโทรมราวกับว่าไปปะทะหรือต่อสู้กับอะไรบางอย่างมาหนักหน่วงและเนิ่นนาน กระทั่งยามนี้ยังเจอกลุ่มหมาป่าถึง ๑๐ ตัวซุ่มโจมตี มิรู้เลยว่าจะรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร แต่กระนั้นลำเภาจันทร์กับลังเลที่จะเข้าไปช่วยเหลือเพราะเขาสังเกตเห็นเขี้ยวคมทั้ง ๒ ที่มุมปากของอีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ยักษ์!
TBC