ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

นาย๑๒ - 8 คิดเลี้ยงไว้กินหรือไร โดย Jring. @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

นาย๑๒

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL

รายละเอียด

ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

ผู้แต่ง

Jring.

เรื่องย่อ

เทาเภา นักฆ่าหนุ่มมากความสามารถที่อยู่ๆก็หลุดเข้าไปในวรรณคดีไทยเรื่องที่เพื่อนสาวแนะนำให้อ่าน 


เขาเป็นน้องเล็กสุดที่มีชื่อว่า ลำเภาจันทร์

น่าแปลกที่พวกเขาทั้ง ๑๒ คนนั้นเป็นบุรุษทั้งๆที่ตามเนื้อหาแล้วควรเป็นสตรี



หลังจากที่โดนท่านพ่อและท่านแม่ทอดทิ้งไว้ในป่า ลำเภาจันทร์ก็บังเอิญเดินไปพบเข้ากับพญายักษ์

จากวันนั้นคนงามก็โดนพญายักษาตัวใหญ่ไล่ตามวอแวไม่เลิก

 

"ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย"



เอาเถอะ ยังไงเสียเด็กๆทั้ง ๑๑ คนที่ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากกว่าเขาแค่ ๑ หรือ ๒ วิ แต่เขาที่มีจิตวิญญาณที่โตกว่าจะดูแลไม่ให้สูญเสียลูกตาเหมือนกับเนื้อเรื่องในวรรณคดีเอง

ถ้าทำตัวดีล่ะนะ



พญารามสูร×ลำเภาจันทร์

สารบัญ

นาย๑๒-1. โลกใบใหม่,นาย๑๒-2 ตลาดท่าจันทคาม,นาย๑๒-3. การเติบโต,นาย๑๒-4 ผู้ใดมาเกี้ยวน้องเภาของข้า!,นาย๑๒-5 ท่านพ่อโดนยึดเกวียน,นาย๑๒-6 โดนทิ้งอีกครั้งก็พบเจอเข้ากับยักษา,นาย๑๒-7 กลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย,นาย๑๒-8 คิดเลี้ยงไว้กินหรือไร,นาย๑๒-9 ล่อลวงเข้าเมืองยักษ์,นาย๑๒-10 ห้องนอนข้างกัน,นาย๑๒-11 สับสน,นาย๑๒-12 เรียกพี่รามสูร,นาย๑๒-13. คงมิพอใจข้ามากสิหนา,นาย๑๒-14 เข้าใจข้าผิดแล้ว,นาย๑๒-15 ยาอายุวัฒนะ,นาย๑๒-16 ประลอง,นาย๑๒-17 ไปฟ้องเสด็จพ่อกัน,นาย๑๒-18 รักษา,นาย๑๒-19 รักษา 2,นาย๑๒-20 ข้าจะเข้าป่าต้องห้าม,นาย๑๒-21 แอบเข้าป่าต้องห้าม,นาย๑๒-22 รักษานาค,นาย๑๒-23 สหายคนแรก,นาย๑๒-24 สงคราม,นาย๑๒-25 เริ่มทำยา,นาย๑๒-26 บรรยากาศแปลกๆ,นาย๑๒-27 แข่งขี่ม้ายิงธนู,นาย๑๒-28 สายตาหน้าขยะแขยง,นาย๑๒-29 หลอกล่อพี่ชายคนที่ ๓,นาย๑๒-30 พี่กล้วข้ามากเลยหรือ,นาย๑๒-31 โดนจับตัวไป,นาย๑๒-32 รู้จุดมุ่งหมายของพวกมัน,นาย๑๒-33 เริ่มปรุงยา,นาย๑๒-34 แปรผัน,นาย๑๒-35 ดวลชิงบันลังก์ 1,นาย๑๒-36 ดวลชิงบันลังก์ 2,นาย๑๒-37 เรื่องทุกอย่างคลี่คลาย,นาย๑๒-38 ลำเภาจันทร์เข้าครัว,นาย๑๒-39 รักต่างเผ่าพันธุ์,นาย๑๒-40 ผลไม้ที่กินมาตลอดคือผลไม้วิเศษ,นาย๑๒-41 ปลามงคล,นาย๑๒-42 ชวนพี่ชายทานอาหาร,นาย๑๒-43 อร่อยที่สุดเท่าที่เลยทำ,นาย๑๒-44 แอบออกนอกวัง,นาย๑๒-45 อันธพาลแห่งนคร,นาย๑๒-46 ทูล (ฟ้อง) เสด็จพ่อ,นาย๑๒-47 มียักษ์มาสู่ขอพระโอรสลำเภาจันทร์,นาย๑๒-48 รู้ทันแผนทำให้พี่น้องแตกคอ,นาย๑๒-49 มนุษย์ที่ถูกขัง,นาย๑๒-50 นางยักษ์,นาย๑๒-๕๑. แผนการหลบหนี

เนื้อหา

8 คิดเลี้ยงไว้กินหรือไร

เวลาล่วงเลยผ่านไปพักใหญ่จนยามนี้พญายักษ์ฟื้นสภาพร่างกายขึ้นมาก บาดแผลที่เคยสาหัสเริ่มสมานกันจนเป็นบาดแผลธรรมดา เนื่องจากเผ่าพันธุ์ยักษ์มีอิทธิฤทธิ์แรงกล้ากว่าทุกเผ่าพันธุ์ พญารามสูรจึงฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว บวกกับการได้กินเนื้อกระต่ายป่าและใช้ยาสมุนไพรสมานแผลของเด็กน้อยตัวเล็กจึงทำให้กำลังกลับคืนมาเกินกว่าครึ่งแล้ว



บุรุษร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวไปในทิศทางที่เด็กน้อยน่ารักเดินจากไป มินานก็ตระหนักว่าเด็กน้อยได้เลือกเดินเส้นทางที่คดเคี้ยวราวกับมิต้องการให้ตนนั้นล่วงรู้ว่าเจ้าตัวไปในทิศทางใด หึหึ ช่างเป็นเด็กที่ระมัดระวังตัวและขี้ระแวงเสียจริง แต่เพราะความเก่งกาจพญายักษ์จึงสามารถแกะรอยตามเด็กน้อยได้อย่างมิมีปัญหา แม้ระหว่างทางจะเจอร่องรอยปลอมแปลงอยู่หลายจุดจนตนถึงกับแอบขำที่เด็กน้อยตัวเล็กระแวงตนมากถึงเพียงนี้



ยิ่งกว่านั้นพญารามสูรยังอดเอ็นดูและตื่นตะลึงไปพร้อมกันมิได้เมื่อพบว่าเด็กน้อยได้ใช้สมุนไพรบริเวณนั้นปกปิดกลิ่นกายของตัวเองจนทำให้ตนที่เป็นถึงพญายักษ์แทบมิได้กลิ่นของอีกฝ่ายเลย หึ ช่างร้ายกาจกว่าที่ตนคิดไว้นัก



ทว่าเหตุใดเด็กน้อยตัวเล็กๆ ผู้นั้นจึงได้มีวิชาความรู้เรื่องการพรางตัวมากมายเช่นนี้? ทั้งวิธีการสังหารและกลวิธีการฆ่าฟันฝูงหมาป่า ตนอยากรู้นักว่าเด็กน้อยเล่าเรียนสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใดและครอบครัวเช่นใดที่สั่งสอนเลี้ยงดูบุตรหลานได้เช่นนี้ แววตาที่โดดเดี่ยวและไร้ความรู้สึกคู่นั้นมิแตกต่างจากตนเลยสักนิด แลทำให้อยากไปอยู่เคียงข้างและกอดปลอบใจเสียจริง



พญารามสูรเดินตามร่องรอยของเด็กน้อยอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำตกกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายที่พูดคุยกันอยู่มิไกล

พญายักษ์ใช้คาถาพรางกายหลบอยู่บนต้นไม้ นัยน์ตาคมลึกลับสีเทาหม่นดั่งเหล็กกล้าจ้องเขม็งไปที่กลุ่มเด็กชายทั้ง ๑๒ คนซึ่งกำลังนั่งกอดเข่าและกัดกินผลไม้กันอยู่หน้ากองไฟกองใหญ่ เด็กๆ เกือบทั้งหมดมีใบหน้าหมองเศร้าและเป็นกังวล แต่หนึ่งในนั้นมีเด็กชายตัวน้อยที่ตนกำลังตามหานั่งลับมีดสั้นอยู่มิไกลมากนักด้วยแววตาเรียบนิ่งและเยือกเย็นกว่าเด็กชายคนอื่น



"ฮือออ! ข้ากลัว! ฮึก ฮืออออ! ในป่ามืดและยังมีเสียงอะไรมิรู้อยู่เต็มไปหมด ฮึก! ฮือออ พี่เอกข้ากลัวขอรับ" ตรีไตรเกาะแขนพี่ชายคนที่ ๑ เอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด น้ำตาไหลนองอาบแก้มทั้งสองข้างนานจนทำให้เปลือกตาของตรีไตรบวมช้ำดูน่าสงสาร



"นะ นั่นสิ ข้าเองก็กลัวเช่นกัน มะ มิรู้ว่าจะมีสัตว์ร้ายหรือตัวอะไรโผล่ออกมาหรือไม่" เบญจเอ่ยเสียงสั่นกับพี่น้องของตน บรรยากาศรอบข้างที่มืดมิดทำให้กลัวจนอดหวาดระแวงไปทุกสิ่งมิได้



"ระ เราจะติดกันอยู่ที่นี่หรือ!? ถะ ถ้ามีสัตว์ป่าโผล่ออกมาจะทำเช่นไรดี!! ถะ ถ้าอาหารหมดพวกเราต้องหิวตายแน่ๆ!" อัฐสติแตกไปแล้ว วิตกกังวลไปเกือบทุกสิ่งแม้มันจะยังมิเกิดขึ้น จนฉะที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องเข้าไปปลอบน้องชายคนที่ ๘ ให้อารมณ์เย็นลงแม้ว่าตนจะหวาดกลัวมากเช่นกันก็ตาม ฉะไม่ถูกกับผี ต่อให้เป็นสัตว์ป่าก็ยังน่ากลัวน้อยกว่าผี! ตอนนี้ในป่าทั้งมืดทั้งวังเวง ไหนจะสายลมเย็นที่ทำให้ขนแขนลุกซู่นี้อีก ผู้ใดมิกลัวก็ช่าง! แต่พี่ชายคนที่ ๖ กลัวมาก!





"เจ้าเภา เจ้ามิหวาดกลัวบ้างเลยรึ? จะว่าไปเจ้าไปหาผลไม้ป่ามาเช่นนี้ คงมิใช่ว่าเจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าท่านพ่อจะทิ้งพวกเราไปกระมัง" สัตภัณฑ์เอ่ยแดกดันน้องชายน่าชังของตนทันทีเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ



"นั่นสิ ข้าว่าเจ้าต้องรู้อยู่ก่อนแล้วแน่ๆ ถึงได้รีบไปหาผลไม้ป่ามาเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงมิบอกพวกเรา คิดว่าตนเองนั้นฉลาดมากนักเลยหรืออย่างไร" ทศรักษ์เอ่ยสมทบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมิพอใจและเย่อหยิ่ง แม้ที่ผ่านมาตนจะมิค่อยอยากเข้าใกล้น้องชายผู้นี้มากนักเพราะกลัวแววตาที่อีกฝ่ายมองมา แต่พอตนต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็อดมิพอใจขึ้นมามิได้ "หากเจ้าบอกพวกเราเสียหน่อย พวกเราคงได้คิดหาวิธีกลับเรือนกันแล้ว"



"ฮึก ฮือออ ท่านพ่อทิ้งพวกเราไปแล้วจริงๆ หรือขอรับพี่เอก ฮืออออ" ตรีไตรร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจ



"เจ้าเภา เจ้าฉลาดนักมิใช่รึไง เจ้าต้องพาพวกเรากลับเรือนนะ" เบญจเอ่ยกับน้องชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงประชดอย่างเอาแต่ใจเพราะขุ่นมัวที่น้องชายผู้นี้ทำตัวมิทุกข์ร้อนราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ



ลำเภาจันทร์เหลือบสายตามองไปที่พี่น้องกลุ่มหนึ่งด้วยความเย็นชา ก่อนจะกล่าวเสียงนิ่งว่า
"...หากพวกเจ้ามีสมองก็น่าจะคิดกันได้ว่าท่านพ่อต้องการนำพวกเรามาทิ้ง หากพวกเจ้าคิดอยากที่จะกลับไปมากนักและมีความสามารถมากก็กลับไปเองเสียสิ มิใช่มัวเก่งแต่ปากอยู่เช่นนี้" ลำเภาจันทร์เอ่ยอย่างมิสบอารมณ์ เขาหรืออุตส่าห์เข้าป่าไปหาผลไม้มาให้ แต่กลับโดนจ้องจับผิดและหาเรื่องเสียอย่างนั้น "หากพูดกันตามตรงตัวปัญหาที่สุดก็คือพวกเจ้า ทำตัวล้างผลาญ หน้าใหญ่หน้าโต ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย โดยมิสนใจความเป็นอยู่ของครอบครัว มิคิดว่าท่านพ่อต้องลำบากมากเพียงใด ดูเอาเถิด หากท่านพ่อและท่านแม่เลี้ยงดูพวกเราไหวจะมาทอดทิ้งพวกเราเช่นนี้หรือ ทั้งที่อีกแค่ ๕-๖ ปีพี่ๆ บางคนก็สามารถเข้ารับราชการช่วยหารายได้ให้กับครอบครัวได้แล้ว หากพวกเจ้ามีหัวคิดช่วยประหยัดกันสักนิด ทั้งท่านพ่อและท่านแม่มีหรือจะมิคิดสู้เลี้ยงพวกเราต่อ? หากพวกเจ้าอยากกลับไปเป็นตัวภาระของพวกท่านอีกก็เชิญ ทางทิศตะวันออกทางด้านโน้น หึ ตัวไร้ประโยชน์เช่นพวกเจ้า หุบปากไปเสียเถอะ "



"เจ้า!!/เจ้า!!/เจ้า!!" เบญจ สัตภัณฑ์และทศรักษ์ตะโกนเสียงดังและกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น โดยเฉพาะเบญจที่ตั้งแต่เกิดมายังมิเคยมีผู้ใดเอ่ยเช่นนี้กับตนเลยสักครั้ง!



"เจ้าเภา เจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ กำลังกล่าวหาว่ามันเป็นความผิดของพวกเราทั้งหมดเลยรึ?! ทั้งๆ ที่ท่านพ่อและท่านแม่ก็เลี้ยงดูพวกเจ้าเหมือนกัน! เบี้ยที่ข้าใช้ก็เป็นเบี้ยที่ท่านพ่อให้พวกเรามาเอง!" เบญจเถียงอย่างมิพอใจ พรางจ้องน้องชายคนเล็กอย่างโกรธเกรี้ยวและดูถูก



"ให้? หึ" ลำเภาจันทร์ยกมุมปากยิ้มขำ นัยน์ตากลมสีนิลเยียบเย็นจ้องมองพี่ชายคนที่ ๕ อย่างดูแคลนในความโง่เขลาและเห็นแก่ตัว "เจ้ากำลังจะบอกว่าการเคี่ยวเข็ญคือการยอมให้เบี้ยเจ้าอย่างเต็มใจเช่นนั้นรึ? หึ ช่างน่าขันนัก ปลาเน่าตัวเดียวกลับทำปลาตัวอื่นๆ เน่าหมดบ่อ เจ้าควรหัดมองความผิดของตนและปรับปรุงตัวเองเสียบ้างเถิด โตไปเอาแต่ใจใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้คงมิแคล้วลำบากผัวในอนาคต หากผัวเจ้าจะมิคิดสนใจและแต่งเมียใหม่ ข้าเองก็คงมิรู้สึกแปลกใจอันใด"



"เจ้า!" เบญจลุกขึ้นชี้หน้าด้วยความโมโห ตนจะอยากเดินเข้าไปทุบตีน้องชายผู้นี้ยิ่งนัก แต่สายตาเหลือบกับไปเห็นมีดคมที่อีกฝ่ายถืออยู่เข้าเสียก่อน



"น้อง ๕ นั่งลง อย่าทะเลาะกันเลย กลางป่ากลางเขาเสียงดังเช่นนี้หากมีสัตว์ป่าโผล่ออกมาจะทำเช่นไร" เอกศึกเอ่ยเตือนน้องชายเสียงดุ แววตาที่เป็นผู้ใหญ่เกินเด็ก ๑๐ ขวบเหล่มองน้องชายคนเล็กที่มักอยู่เงียบๆ อย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่จำความได้ตนยังมิเคยเห็นน้องชายผู้นี้เอ่ยวาจาร้ายกาจเท่านี้มาก่อน น้อง ๑๒ คงจะเหลืออดและโกรธมากจริงๆ



"ท่านเข้าข้างมันรึ?!!" เบญจ สัตภัณฑ์และทศรักษ์ เอ่ยกับพี่ชายคนโตอย่างมิพอใจ เบญจกระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง



"หยุดเสียเบญจ เจ้าหาเรื่องเจ้าเตี้ยไปก็มิได้ประโยชน์อันใด เห็นๆ อยู่ว่าท่านพ่อต้องการทอดทิ้งพวกเรา หากจะกลับไปก็คงมิพ้นต้องโดนเอามาทิ้งอีกครั้งอยู่ดี" โททวีเอ่ยเสียงดุเข้มติดขุ่นเคืองเพราะเอือมระอากับนิสัยของน้องชายคนที่ ๕ ผู้นี้ ตนต้องเข้าข้างน้องชายคนเล็กอยู่แล้วเพราะตนรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี น้องชายผู้นี้เป็นคนนิ่งๆ มีเรื่องอันใดก็มิเคยเอ่ยบอกกัน แม้จะน่าน้อยใจทว่าตนรู้ดีว่าสิ่งที่น้องชายคนเล็กกระทำนั้นล้วนแล้วแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น



"ข้าเข้าข้างน้องเภาของข้า อีกอย่างที่น้องเภาเอ่ยออกมาก็ล้วนเป็นความจริง หากพวกเจ้าประหยัดกันเสียหน่อย ทนอีกสัก ๕-๖ ปี ข้าก็คิดที่จะเข้ารับข้าราชการในวังหลวงอยู่แล้ว เป็นเช่นนี้มีหรือที่ท่านพ่อจะมิทนเลี้ยงพวกเราต่ออีก?" เอกาทศเอ่ยปกป้องน้องชายสุดน่ารักของตน ตนสนิทกับน้องชายคนเล็กมากกว่าผู้ใดย่อมรู้ว่าน้องเภาของตนนั้นเป็นผู้ที่อ่อนโยนที่สุด แม้จะเย็นชาแต่ก็มิเคยเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัวกับพี่น้อง หนำซ้ำยังเป็นผู้ที่เสียสละที่สุด ตนเคยเห็นน้องเภาแอบนำเบี้ยของตัวเองไปไว้ในห้องนอนของท่านแม่เกือบทุกวัน ด้วยเหตุนี้เอกาทศจึงคิดอยากที่จะซื้อของให้และมักจะตามใจน้องชายคนนี้ที่มิเคยร้องขอสิ่งที่ต้องการเลยสักครั้ง



"อย่าได้ทะเลาะกันอีกเลยหนาขอรับ อีกอย่างเมื่อคิดดูแล้ว ข้าว่าพวกเราควรลองออกไปใช้ชีวิตกันเองดีหรือไม่ บางทีอาจโชคดีได้พบเจอเรื่องดีๆ ก็เป็นไปได้หนาขอรับ" นวรัตน์เอ่ยปลอบเสียงหวานอ่อนโยนพร้อมให้ความหวังแก่พี่และน้องชาย



"ยังไงมันก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะพวกเราคงกลับไปเป็นภาระให้ท่านพ่อและท่านแม่อีกมิได้แล้ว สงสารพวกท่าน ตลอดที่ผ่านมาพวกท่านคงลำบากมิน้อยที่ต้องเลี้ยงดูพวกเรา" เอกศึกพี่ชายคนโตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองน้องชายทั้ง ๑๑ คนทีละคนๆ อย่างหดหู่ แม้อายุจะห่างกันมิมากแต่ตนก็ถือเป็นพี่ที่โตสุดจึงต้องยืนหยัดและปกป้องดูแลน้องๆ ไว้ให้ได้



"ข้าเห็นด้วย" โททวีพยักหน้าสนับสนุนความคิดของพี่ชายคนโต



"ข้าเองก็ว่าน่าตื่นเต้นดี" เอกาทศเอ่ยบ้าง ตนนั้นเข้าป่าอยู่บ่อยครั้งแม้จะมิได้มากเท่าน้องชายสุดน่ารัก แต่ตนก็คุ้นเคยกับป่าดีกว่าพี่คนอื่นๆ จึงมิได้หวาดกลัวอันใด



"เหอะ เห็นเป็นเรื่องสนุกกันหรืออย่างไร" ทศรักษ์พึมพำออกมา



"นั่นสิ" เบญจที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงของน้องชายคนที่ ๑๐ จึงรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที ใครมันจะไปอยากมีชีวิตที่ลำบากกัน!



"อืมมม ข้าหิว ข้ากินผลไม้พวกนี้มิอิ่มเลย" จตุรงค์คร่ำครวญพร้อมทั้งลูบหน้าท้องกลมๆ ของตัวเองไปด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย



"จตุรงค์ ผลไม้ที่เจ้าเภาหามาได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเจ้าที่กิน ยังจะมาเอ่ยว่ามิอิ่มอีกรึ?" สัตภัณฑ์บ่นแดกดันพี่ชายคนที่ ๔ อย่างมิพอใจ เพราะผลไม้เกือบทั้งหมดที่มีล้วนตกไปอยู่ในท้องของพี่ชายผู้นี้! แล้วยังจะมีหน้ามาเอ่ยว่ามิอิ่มอีกรึ?!



"...." ลำเภาจันทร์หันกลับไปนั่งลับคมมีดเงียบๆ โดยมิได้สนใจสิ่งที่พี่ชายกำลังพูดคุยกัน ก่อนจะตวัดสายตาไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ในมุมมืดมิไกลจากตรงนี้นัก ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกเขาว่ายักษ์ที่เขาเคยช่วยเหลือเอาไว้กำลังซุ่มดูอยู่ตรงนั้น แม้จะมิได้สัมผัสถึงเจตนาร้าย ทว่าขึ้นชื่อว่าเป็นยักษ์ก็ล้วนมิอาจไว้วางใจ ทั้งตอนนี้พี่ๆ ของเขาก็อยู่กันครบเขาจึงเพิกเฉยมิได้โดยเด็ดขาด

พึ่บ



"น้องเภา นั่นเจ้าจะไปที่ใดรึ" เอกาทศถามน้องชายคนเล็กทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยืนขึ้น แต่พอตนกำลังจะลุกเพื่อตามไป น้องชายสุดน่ารักก็ขัดเอาไว้เสียก่อน



"ข้าจะไปปล่อยเบาน่ะขอรับ ประเดี๋ยวก็กลับ ท่านพี่รออยู่ที่นี่แหละ" ลำเภาจันทร์เอ่ยกับพี่ชายคนที่ ๑๑ ก่อนจะเดินไปหลังต้นไม้นั้นและตรงเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ โดยมียักษ์ตนนั้นตามเขามา เมื่อมั่นใจว่าอยู่ไกลจากจุดของพี่ๆ พอสมควร ลำเภาจันทร์จึงชักมีดสั้นแล้วจ่อไปที่ท้องของยักษ์ร่างใหญ่ด้านหลัง"เหตุใดจึงตามข้ามา? หากท่านกล้าแตะต้องพี่ๆ ของข้าล่ะก็ ข้าจะจบชีวิตของท่านเสีย"



"...ข้ามิได้จะทำอันใดพี่น้องของเจ้าเลยหนา" พญารามสูรก้มมองปลายแหลมของมีดสั้นด้ามเล็กๆ ก่อนจะยกมุมปากหนาที่มีเขี้ยวคมสองเขี้ยวขึ้นเล็กน้อย พญายักษ์มิคิดเลยว่าจิตสัมผัสและประสาทการรับรู้ของเด็กน้อยตัวเล็กจะดีเช่นนี้ ทั้งกลิ่นอายรอบกายก็ต่างจากเด็กชายคนอื่นๆ อยู่มากจนตนมิคิดเลยว่าเด็กน้อยทั้งหมดจะเป็นพี่น้องกัน "เจ้าช่างเป็นเด็กที่ดุร้ายยิ่งนัก เราคุยกันดีๆ ได้มิใช่หรือ" พญารามสูรคิดว่าเด็กๆ เหล่านั้นต่างดูเป็นบุตรหลานตระกูลผู้ดีหรือตระกูลร่ำรวยธรรมดาๆ แต่แล้วเหตุใดเด็กน้อยผู้นี้จึงได้ดูแตกต่างออกไป? หึ ช่างน่าสนใจเสียจริง



ลำเภาจันทร์จ้องยักษาตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบก่อนจะมองสำรวจร่างกายใหญ่โตของอีกฝ่ายจนเห็นว่าบาดแผลทั้งหมดดีขึ้นมากแล้ว "ในเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" ลำเภาจันทร์เดินถอยหลังไป ๒-๓ ก้าวเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาร้ายจริงๆ



"ข้าได้ยินพวกเจ้าทั้ง ๑๒ คนเอ่ยว่าถูกบิดามารดาทอดทิ้งไว้ในป่า เช่นนั้นให้ข้ารับเลี้ยงดูแลพวกเจ้าดีหรือไม่" พญารามสูรมิคิดสนใจคำเอ่ยไล่ของเด็กน้อยตรงหน้าแต่กลับเสนอทางช่วยเหลืออีกฝ่ายขึ้นมาแทน



"...." ลำเภาจันทร์มองยักษ์ใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ตามเนื้อเรื่องในวรรณคดีจะมีนางยักษ์ที่ชื่อว่านางสนธมารมารับพวกนาง ๑๒ ไปเลี้ยงดูเป็นลูก ทว่าตอนนี้เนื้อเรื่องต่างๆ ได้เปลี่ยนไป จากเดิมนางเภาจะสามารถหาวิธีกลับบ้านได้หนึ่งครั้งและถูกทิ้งอีกหนึ่งครั้ง แต่เพราะเขาไม่ได้หาวิธีกลับบ้าน ช่วงระยะเวลาจึงต่างกันอย่างแน่นอน แม้ตามเนื้อเรื่องนางยักษ์จะหาพวกนาง ๑๒ พบตอนปล่อยป่าครั้งที่ ๒ แต่ลำเภาจันทร์ก็มิอาจวางใจ ในเมื่อนาง ๑๒ ยังกลายเป็นนาย ๑๒ ได้ แล้วทำไมนางสนธมารจะรับบทโดยบุรุษไม่ได้? อีกอย่างนางเภาไม่ได้เดินเข้าป่าเหมือนเขา ดังนั้นการที่เขาบังเอิญเดินไปพบอีกฝ่ายอาจทำให้การพบเจอเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานในตอนนี้เท่านั้น



"...ช่วยบอกนามและหน้าที่การงานของท่านมาได้หรือไม่" ลำเภาจันทร์ถามอย่างมิวางใจเท่าใดนัก



"ได้ ข้ามีนามว่ารามสูร เป็นพญายักษ์แห่งนครอัสดง" พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าเดิมเพราะความดีใจที่เด็กน้อยตัวเล็กตรงหน้าถามถึงนามของตน "เจ้าล่ะมีนามว่าอันใด" แม้จะได้ยินเด็กคนอื่นๆ เอ่ยเรียกนามของเด็กน้อยตัวเล็กแล้ว แต่พญายักษ์ก็อยากที่จะได้ยินจากปากของเจ้าตัวเสียมากกว่า



"...ข้านามว่า ลำเภาจันทร์" ลำเภาจันทร์เอ่ยแนะนำชื่อของตัวเอง ขณะในหัวกำลังไตร่ตรองว่าจะเอาอย่างไรดี ยังไงเด็กๆ พวกนั้นก็มีอายุแค่ ๑๐ ปีเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะได้รับบทเป็นนางสนธมารจริงทว่ากว่านางจะควักลูกตาของพวกนางสิบสองก็ตอนที่พวกนางมีอายุครบ ๑๖ ปีแล้ว ดังนั้นยังมีเวลาเหลืออีก ๖ ปีที่จะได้อยู่แบบมิเป็นอันตรายหรือต้องระแวงอันใด ถ้าปฏิเสธก็มิรู้ว่าจะถูกตามล่าและถูกจับขังจนกว่าจะอายุครบ ๑๖ ปีหรือไม่ แต่ถ้าตอบตกลงโอกาสที่จะอยู่อย่างสุขสบายใน ๖ ปีนี้ย่อมมีแน่นอน



"ลำเภาจันทร์หรือ ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะและเหมาะกับเจ้ายิ่งนัก โฉมงามดั่งดวงจันทรา" พญารามสูรเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก นัยน์ตาคมกริบมองสำรวจเด็กน้อยผู้มีผิวกายนวลเนียนผุดผ่องปานเนื้อพระจันทร์ นัยน์ตาสีนิลงดงามระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงเต้นระบำอยู่ในนั้น ใบหน้ารูปไข่หวานละมุนดูน่ารักและสะสวยในเพลาเดียวกัน ยามเด็กน้อยเติบโตขึ้นคงมิพ้นเป็นบุรุษงามล่มเมืองแน่ ยิ่งมีเส้นผมยาวเงางามสีน้ำตาลอ่อนที่โดดเด่นจนสามารถสังเกตได้แต่ไกลก็ยิ่งดึงดูดบุรุษมากหน้าหลายตาให้เข้าหาและอยากดอมดมดอกไม้งามดอกนี้



"...." ลำเภาจันทร์ยืนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เมื่อเห็นว่ายักษ์ตรงหน้าจ้องสำรวจตนเองอยู่นานแล้ว



"อะ เอ่อ ตกลงเจ้าคิดเห็นเช่นไรหรือ ให้ข้ารับเลี้ยงพวกเจ้าพี่น้องดีหรือไม่ ข้าจะดูแลให้ดี โดยเฉพาะเจ้าเลยหนา" พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังปนอ่อนโยนทั้งยังแฝงความหยอกล้อและเจ้าเล่ห์



"คิดจะเลี้ยงไว้กินหรืออย่างไร เมืองที่เต็มไปด้วยยักษ์ล้วนอันตรายทั้งสิ้น" แม้การถูกรับเลี้ยงจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่เขาก็มิอาจมองข้ามความเสี่ยงของการอยู่ในเมืองยักษ์ได้



"หึหึ ถ้าเป็นเด็กดื้อก็มิแน่หรอกหนา" พญายักษ์มองเด็กน้อยที่ทั้งขาวนวลและเพรียวบาง ก่อนจะขมวดคิ้วกับความผอมแห้งเกินไปของอีกฝ่าย เด็กชายคนอื่นก็มิได้ดูผอมมากเช่นนี้ หรือว่าบิดามารดาของเด็กน้อยจะเลี้ยงดูบุตรอย่างลำเอียง? คนตัวเล็กตรงหน้าถูกเลี้ยงให้เจอกับเรื่องอันตรายต่างๆ ตามลำพังโดยพ่อแม่สนใจแต่ลูกชายคนอื่นๆ เช่นนั้นหรือ?
พญารามสูรคิดหนัก ถ้าเป็นจริงมันก็น่าโกรธ แต่ผิวพรรณของเด็กน้อยดีมาก ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนหรือบาดแผล ดังนั้นตนจึงมิได้ปักใจเชื่อทุกอย่างที่คิดเดาเอาเองจนลืมว่าเด็กตัวเล็กๆ นี่แหละที่แบกกระต่ายป่าตัวใหญ่มาให้ตนถึง ๒ ตัว



"...." ลำเภาจันทร์มิได้มองพญายักษ์ร่างใหญ่เพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จึงมิเห็นสายตาของพญารามสูรที่มองมาอย่างเป็นห่วง สำหรับลำเภาจันทร์ การเอาชีวิตรอดจากเมืองยักษ์มิใช่เรื่องยากหรือเกินกำลังอะไร แต่สำหรับพี่ๆ ของเขานี่สิเรื่องใหญ่ เฮ่ออ เอาเถอะ ยังไงตามเนื้อเรื่องพวกนาง ๑๒ ก็หนีออกมาได้ อีกอย่างเขาเองก็ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กๆ ทั้ง ๑๑ คนด้วยตัวคนเดียว เพราะงั้นคงมีแต่ต้องให้ยักษ์ตรงหน้ารับเลี้ยงพวกเขาเอาไว้



"...ข้าตกลง" ลำเภาจันทร์ตอบรับทว่ามิวายต่อรองกับพญายักษ์ตรงหน้าเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากที่สุด "แต่ว่า หากพวกเขาต้องการอยากออกจากเมืองยักษ์เมื่อใด ท่านและคนของท่านจะต้องห้ามขัดขวางและปล่อยให้พวกเขาออกจากเมืองได้โดยปลอดภัย"



"ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากพวกเขามิอยากอยู่ข้าเองย่อมมิรั้งคิดพวกเขาไว้" พญารามสูรเอ่ยเสียงทุ้มอ่อนโยน แต่สำหรับลำเภาจันทร์กลับเห็นเหมือนหูและหางกระดิกไปมาด้วยความดีใจ ริมฝีปากหนาซึ่งมีเขี้ยวงอกอยู่ทั้งสองข้างยกขึ้นอย่างมีเลศนัย เด็กๆ ทั้ง ๑๑ คนนั้นตนมิคิดใส่ใจอันใด หากจะใส่ใจก็แต่เด็กน้อยตรงหน้าของตนเสียมากกว่า "เช่นนั้นพวกเราไปกันยามนี้เลยดีหรือไม่"



"เดี๋ยวก่อน ข้ายังมีอีกเรื่อง" ลำเภาจันทร์เอ่ยขัด



"เรื่องอันใดหรือ?" พญารามสูรทำหน้าฉงน ตั้งใจยืนฟังเด็กน้อยตัวเล็กว่ามีเรื่องกระไรจะเอ่ยกับตนต่อ "หากทำให้ได้ ข้าจะทำให้อย่างแน่นอน"




TBC