ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"เรื่องอันใดหรือ?"พญารามสูรทำหน้าฉงน ตั้งใจยืนฟังว่าเด็กน้อยตัวเล็กมีเรื่องกระไรจะเอ่ยกับตน"หากทำให้ได้ ข้าจะทำให้อย่างแน่นอน"
"ห้ามให้พี่ชายของข้ารู้ว่าที่นั่นคือเมืองยักษ์"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบพญายักษ์ ตามเนื้อเรื่องแล้วนางสนธมารจะกลายร่างเป็นมนุษย์และหลอกพวกนางสิบสองให้ไปเมืองยักษ์ของนาง จากนั้นจึงสั่งให้ยักษ์ในเมืองจำแลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด
อีกอย่างคือการที่จะให้เด็กมนุษย์ไปอยู่ในเมืองยักษ์นั้นก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากมาก เขาคิดว่าพวกพี่ชายต้องไม่ยอมรับแน่หากบอกว่าจะไปอยู่ในเมืองยักษ์กัน อีกอย่าง เนื้อเรื่องมันอาจจะเปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป ซึ่งเขาจะคาดเดาทิศทางมิได้
"...ย่อมได้"พญาอสุราตอบตกลง ตนเข้าใจดีว่าเด็กๆเหล่านั้นอาจหวาดกลัวและมิอยากอยู่อย่างหวาดระแวง เพราะเมืองของเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นอันตรายมากยิ่งนักสำหรับเด็กมนุษย์
"ดี เช่นนั้นข้าจะไปหาพวกพี่ๆของข้า ส่วนท่านก็จำแลงกายเป็นมนุษย์เสียเถิด แล้วค่อยไปหาพวกเรา"ลำเภาจันทร์เอ่ยเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินผ่านพญายักษ์เพื่อไปหาพี่ๆที่น้ำตก
"เดียวก่อน ข้ามีเรื่องอยากเอ่ยถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้าสามารถตอบได้หรือไม่"พญารามสูรเอ่ยรั้งเด็กน้อยเอาไว้
"เรื่องอันใด? หากตอบได้ข้าจะตอบ"ลำเภาจันทร์เอียงหน้ามองไปที่พญายักษ์ตัวใหญ่ด้านหลัง เพื่อยืนรอฟังว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคำถามอันใดออกมา
"เจ้ามิหวาดกลัวข้าที่เป็นยักษ์เลยหรือ"พญารามสูรเอ่ยถามข้อสงสัยที่มีมานานหลายเพลา ยามนี้ตนมิได้อยู่ในร่างมนุษย์แต่อยู่ในร่างยักษ์ที่พวกมนุษย์นั้นต่างล้วนหวาดกลัวและรังเกียจ เนื้อตัวยามนี้หรือก็โชกไปด้วยเลือดเพราะยังมิได้ทำความสะอาดและชะล้างร่างกาย จนแม้แต่พญายักษ์เองก็ยังอดคิดมิได้ว่าสภาพของตนยามนี้นั้นดูมิได้เอาเสียเลย
"...มีอันใดให้น่าหวาดกลัว ท่านเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้วนมีสมองและหัวใจ เช่นนั้นแล้วจุดตายเองก็มิต่างกัน ข้าว่าท่านควรรีบไปจัดการตัวเองเสียเถิด พวกพี่ๆ ของข้าคงยอมรับมิได้แน่หากพบท่านในสภาพเช่นนี้"ลำเภาจันทร์เอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปหาเหล่าพี่ชายที่น้ำตก
"หึหึ"พญารามสูรยกยิ้มมุมปากหนาที่มีเขี้ยวคมอย่างพอใจในคำตอบ นัยน์ตาคมสีเทาเหล็กดุดันจดจ้องมองเด็กน้อยตัวขาวจนลับสายตาก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมาว่า"ช่างดุร้ายยิ่งนัก หากโตขึ้นจะมิข่มเหงข้ามากกว่านี้หลอกหรือ"
พญารามสูรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เพียงตนเดียว ก่อนจะชะงักเมื่อนึกถึงประโยคที่หลุดเอ่ยออกมาเมื่อครู่
"เหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับอยากให้ในอนาคตมีเขาอยู่ด้วยกัน?"พญารามสูรส่ายหัวไปมาเบาๆ และคิดว่าตนคงแค่คิดมากไปเอง คงเพราะมิเคยเห็นเด็กที่แตกต่างเช่นนี้ จึงได้เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาเพียงเท่านั้น
พญายักษ์เลิกคิดแล้วรีบตรงไปที่ลำธารที่ใกล้ที่สุดเพื่อชำระล้างร่างกายก่อนจะร่ายมนตร์เพื่อเปลี่ยนชุดและจำแลงกลายเป็นมนุษย์ทันที เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พญาอสุราก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กบุรุษที่กำลังนั่งล้อมวงรอบกองไฟกันอยู่ โดยกำลังพากันสนทนาว่าจะเอาเช่นไรกับการเอาชีวิตรอดในป่าวันพรุ่งนี้ดี
พึบ พึบ พึบ
"เฮ้ย!! อะไรน่ะ!!?"ฉะสะดุ้งตัวโหยงไปเกาะแขนน้องชายคนที่ ๘ เมื่ออยู่ๆพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆก็ขยับแล้วส่งเสียงเหมือนมีอะไรอยู่ในนั้น
"ฮึก! ฮืออออ หรือจะเป็นเสือ! ฮือออ ข้ากลัวๆ"ตรีไตรรีบกระโจนเข้าไปเกาะแขนพี่ชายคนที่ ๑ ทันทีด้วยร่างกายสั่นเทา ใบหน้าเปื้อนน้ำตาซุกลงที่แขนของพี่ชายคนโตอยากน่าสงสารด้วยความกลัว
"ค คนมิใช่หรือ?"โททวีเอ่ยออกมาอย่างหวั่นๆ แต่เมื่อเห็นเงาซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์จึงได้วางใจลง
"ค คนจริงๆด้วย พวกเรารอดแล้ว!"อัฐเอ่ยออกมาอย่างดีใจก่อนจะกระโดดโลดเต้นไปมาทั้งๆที่ในอ้อมกอดยังมีพี่ชายคนที่ ๖ เกาะอยู่
"โอ้ยยย ปล่อยข้าลงก่อนเจ้าอัฐ"ฉะคร่ำครวญเมื่อเริ่มรู้สึกมึนหัวเพราะน้องชายคนที่ ๘ จับหมุนไปหมุนมาอยู่หลายครั้ง
"ดีจริง ข้าจะได้มิต้องนอนพื้นแล้ว"เบญจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีขึ้นมิน้อย
"จริงด้วยขอรับ พวกเราต้องขอให้เขาช่วยพวกเราไว้ให้ได้"ทศรักษ์พยักหน้าด้วยความดีใจ
"...."พญารามสูรเดินออกมาจากพุ่มไม้ ในใจแอบรู้สึกรำคาญเสียงโวยวายของเด็กๆกลุ่มนี้ นัยน์ตาสีเทาดั่งเหล็กคมเหลือบมองไปยังเด็กน้อยตัวขาวซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่นิ่งๆโดยที่มิได้เอ่ยอันใด พญายักษ์วางสายตาทิ้งไว้มินาน ก็ต้องหันไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสแสร้งว่าเป็นห่วง?กับเด็กบุรุษทั้ง ๑๑ คนที่เหลือ"พวกเจ้าทั้ง ๑๒ เหตุใดจึงได้มาอยู่ในป่าเช่นนี้ ดึกดื่นป่านนี้มิกลับบ้านกลับเรือนกันรึ?"
ยามนี้พญายักษ์กำลังสวมบทเป็นนายพรานที่ออกมาล่าสัตว์ในป่ายามดึก ชุดที่สวมใส่เป็นชุดที่ใช้สำหรับการออกล่าสัตว์บวกกับคันธนูที่ห้อยไว้ด้านหลังจึงยิ่งทำให้ดูเหมือนนายพรานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังแฝงไปด้วยความองอาจและความดุดัน แตกต่างจากตอนที่มีร่างกายสะบักสะบอมยิ่งนัก
"ข้าไหว้ขอรับท่านนายพราน พวกเราทั้ง ๑๒ คนถูกทิ้งไว้ในป่าขอรับ"เอกศึกผู้เป็นพี่ชายคนโตเอ่ยกับบุรุษผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"พวกเจ้าทั้ง ๑๒ คนเป็นพี่น้องกันหรือ"พญารามสูรเอ่ยถามเพราะมิค่อยแน่ใจนัก เด็กๆในที่นี้มีเพียง ๒-๓ คู่เท่านั้นที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกัน อย่างเด็กน้อยของตนก็แทบจะมิเหมือนผู้ใดเลยในหมู่พี่น้องคนอื่นๆ ใบหน้าขาวนวลน่ารัก ผิวกายผ่องใสดูนุ่มนิ่ง.?. รวมๆแล้วดูดีกว่าเห็นๆ
"ใช่ขอรับ พวกเราทั้ง ๑๒ คนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ข้ามีชื่อว่าเอกศึกเป็นพี่ชายคนโตขอรับ"เอกศึกเอ่ยตอบบุรุษที่ตนคิดว่าเป็นนายพราน ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงสุภาพ
"ฝาแฝด ๑๒ คน?"พญารามสูรหลุดอุทานเสียงเบาออกมาด้วยความตกใจ นัยน์ตาคมสีเทาเหล็กสั่นไหวก่อนจะหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อเด็กคนต่อมาเอ่ยแนะนำตัวต่อ
"ส่วนข้ามีนามว่าโททวีขอรับ เป็นพี่ชายคนที่ ๒ "
"ข ข้า ม มีนามว่าตรีไตรขอรับ ป เป็นพี่ชายคนที่ ๓"ตรีไตรเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมาเอ่ยแนะนำตัวเองเสียงสั่น แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมน่ากลัวของผู้ใหญ่ ตรีไตรก็รีบหันไปซุกแขนพี่ชายคนโตอีกครั้งทันที!
บ บุรุษผู้นี้ตัวใหญ่น่ากลัวเกินไปแล้ว! แงแงงง
"ข้าชื่อว่าจตุรงค์ขอรับ ชอบกินอาหารอร่อยๆที่สุด"จตุรงค์เอ่ยแนะนำตัวเองพร้อมกับตบพุงอ้วนๆ ดังป๊อก ป๊อก
"ส่วนข้ามีนานว่าเบญจ เป็นพี่ชายคนที่ ๕ "
"ข้าชื่อฉะขอรับ เป็นพี่ชายคนที่ ๖"
"ข้านามว่าสัตภัณขอรับ เป็นพี่ชายคนที่ ๗ ธนูของท่านสวยนัก ข้าเองก็มีอยู่อันหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่มิได้นำมาด้วย"
"ข้านามว่าอัฐขอรับ เป็นพี่ชายคนที่ ๘"
"ข้ามีนามว่านวรัตน์ขอรับท่านนายพราน เป็นน้องชายคนที่ ๙"
"ตัวข้านามว่าทศรักษ์ เป็นแฝดชายคนที่ ๑๐"
"ส่วนข้านามว่าเอกาทศขอรับ เป็นพี่ชายของน้องเภา"
"...ข้านามว่าลำเภาจันทร์ เป็นน้องคนเล็กสุด ขอรับ"ลำเภาจันทร์เอ่ยแนะนำตัวเองเป็นคนสุดท้าย
จะว่าไปแล้วแม้จะเอ่ยว่าให้อีกฝ่ายจำแลงกายเป็นมนุษย์ แต่ก็มีเพียงเคี่ยวเท่านั้นที่หายไป ใบหน้าและส่วนอื่นๆในร่างกายของพญาอสุรากับยังคงเป็นเช่นเดิม
ครั้งก่อนลำเภาจันทร์มิได้สังเกตอีกฝ่ายดีๆเพราะตามร่างกายของพญายักษ์ยามนั้นมันโชกไปด้วยเลือด แต่พอได้มาสังเกตชัดๆแล้ว เขาก็พบว่าอีกฝ่ายหล่อเหลามากมิน้อย ใบหน้าหล่อคมดิบเถื่อนฉบับชายไทยโบราณ ความสูงน่าจะสักราวๆ ๑๙๘ เซนติเมตรได้ คิ้วดกหนาเข้มคมดั่งคมกระบี่ ดวงตาคมกริบเป็นสีเหล็กกล้าที่แสนดุร้ายทั้งยังดูลึกลับ ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยกล้ามมัด บวกกับรูปร่างที่สูงใหญ่จึงยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูภูมิฐานและสูงศักดิ์ ยิ่งกลิ่นอายรอบกายแพร่อำนาจบารมีและความน่าเกรงขามออกมา ก็จึงยิ่งเสริมให้ผู้ใดก็ตามที่พบเห็นรู้สึกหวั่นเกรง
"พวกเจ้าโดนบิดามารดานำมาทิ้งไว้ในป่ารึ?"พญารามสูรเอ่ยถามออกไปตรงๆเพื่อที่จะได้เข้าประเด็นง่ายๆ ตนมิได้อยากอ้อมค้อมเพราะมิได้อยากเสวนากับเด็กๆเหล่านี้นานนัก ตนอยากจะเอ่ยพูดคุยกับเด็กน้อยที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นมากกว่า
"ใช่ขอรับ"เอกศึกผู้เป็นพี่ชายคนโตเอ่ยตอบเสียงเศร้า"คงเป็นเพราะพวกเรามีจำนวนที่มากเกินไป ท่านพ่อและท่านแม่จึงเลี้ยงดูพวกเรามิไหวแล้วขอรับ"
"เช่นนั้นมากับข้าดีหรือไม่ ข้าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าเอง"พญายักษ์เริ่มที่จะหว่านล้อมเด็กๆให้ไปอยู่ที่เมืองยักษ์ของตน หากเด็กๆ เหล่านี้ไป เด็กน้อยน่ารักต้องยอมไปอยู่ที่เมืองยักษ์ของตนด้วยแน่
"ท่านจะรับเลี้ยงพวกเราทั้ง ๑๒ คนเลยหรือขอรับ"จตุรงค์เอ่ยถามอย่างดีใจเมื่อคิดว่าจะมีคนมารับตนไปเลี้ยงแล้ว"แต่ว่าข้าทานข้าวเยอะมากเลยหนาขอรับ"
"ท่านจะสามารถเลี้ยงดูพวกเราได้ไหวหรือขอรับ"โททวีเอ่ยถามด้วยความสงสัย ขนาดท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งเคยเป็นมหาเศรษฐียังเลี้ยงดูพวกเรามิไหวเลย แล้วบุรุษผู้นี้ซึ่งเป็นเพียงนายพรานจะรับเลี้ยงพวกเขาได้ไหวหรือไร?
"ข้าเป็นเจ้าเมืองของนครแห่งหนึ่ง นานๆครั้งมักจะออกมาล่าสัตว์คลายเครียด เมื่อสักครู่ข้าเพิ่งปะทะกับฝูงหมาป่าดุร้ายใกล้ๆนี้ไป หากพอจะหาที่ค้างแรม ระหว่างเดินก็มาพบเข้ากับพวกเจ้าพอดี"พญารามสูรปั้นน้ำเป็นตุเป็นตะ แม้จะแอบเขินอายเล็กน้อยเพราะตนมิได้เป็นผู้สังหารฝูงหมาป่าไปจริงๆ แต่ที่ตนต้องหยิบยกเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเอ่ยก็เป็นเพราะอยากให้เด็กๆ เหล่านี้รู้ว่าป่าแห่งนี้นั้นมันอันตรายมากเพียงใด จะได้ตัดสินใจกันเร็วขึ้น
พอหลังจากพญายักษ์เอ่ยจบ นัยน์ตาคมกริบสีเหล็กก็เหลือบมองไปที่เด็กน้อยตัวเล็กทันที ซึ่งมันก็ทำให้พญาอสุราเบาใจลงเพราะมิเห็นท่าทีอันใดของเด็กน้อยตัวเล็ก
"ม หมาป่าหรือขอรับ"ตรีไตรเอ่ยถามอย่างตกใจปนตื่นตระหนก นั้งเกาะพี่ชายจนตัวสั่น และพยายามกลั้นน้ำตาอยู่ด้านหลังพี่ชายคนโต
"ท ท่าน จัดการมันแล้วใช่หรือไม่"เบญจเอ่ยเพื่อความแน่ใจเพราะหวาดกลัว นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ทั้งยังมืดมิดอย่างหวาดระแวง
"มิต้องกังวลไป ข้าจัดการพวกมันแล้ว"พญารามสูรเอ่ยพรางยิ้มมุมปาก
"ท่านสุดยอดยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นหากท่านรับเลี้ยงพวกเรา ก็แสดงว่าท่านจะเป็นท่านพ่อของพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ"เอกาทศเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น บางทีหากตนถูกรับเลี้ยง ตนอาจจะได้ร่ำเรียนวิชาเพื่อปราบหมาป่าบางก็ได้!
ตนอยากมีวิชาเพื่อปกป้องน้องชายสุดน่ารักของตน!
"...หึ"ลำเภาจันทร์ยิ้มมุมปากขำขันเมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านพี่เอกาทศเอ่ย จะว่าไปแล้วนางสนธมารเองก็รับเลี้ยงพวกนางสิบสองเป็นลูกสาว เช่นนั้นแล้วจะให้พญายักษาตรงหน้ารับพวกเขาเป็นลูกชายบ้างก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอๆของพญายักษ์ มันก็ทำให้ลำเภาจันทร์อดรู้สึกขำขันมิได้อยู่ดี
"....เออข้า"พญารามสูรมองไปที่เจ้าเด็กน้อยตัวแสบที่แอบหัวเราะเยาะตน"ข้าสามารถรับเลี้ยงพวกเจ้าได้ในสถานะพี่ช-"
"ท่านกำลังหมายความถึงจะเป็นท่านพ่อของพวกเราอย่างนั้นหรือขอรับ"ลำเภาจันทร์เอ่ยขัดจังหวะ เมื่อรับรู้ว่าพญาอสุราตัวใหญ่ตรงหน้ากำลังจะเอ่ยอะไร ไหนๆเนื้อเรื่องในวรรณคดีนางยักษ์ก็รับพวกนาง ๑๒ เป็นลูก เช่นนั้นก็ให้ยักษาตรงหน้ารับเลี้ยงพวกเขาเป็นลูกไปเลยก็ไม่ได้แย่อะไร
"ท่านพ่อ ข้าดีใจที่สุดที่จะได้ท่านพ่อเป็นเจ้าเมือง"ทศรักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีเป็นเท่าตัว แม้จะถูกท่านพ่อและท่านแม่ทอดทิ้ง แต่หากว่าการถูกรับเลี้ยงโดยเจ้าเมืองนั้นก็เป็นอะไรที่มิน่าอายเช่นกัน!
"พวกเราจะมีท่านพ่อกันแล้วทุกคน!"อัฐเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ
"ท่านพ่อข้าหิวจังเลย"จตุรงค์เอ่ยเสียงอ้อนทันที
"..เออ..คือ"พญารามสูรมองไปที่เจ้าเด็กแสบซึ่งกำลังนั่งนิ่งและมองมาที่ตนด้วยสีหน้าพอใจ ในใจแอบขุ่นเคืองเล็กน้อยแต่ก็มิได้จริงจังนัก ในเมื่อเด็กน้อยอยากให้ตนเป็นท่านพ่อ เช่นนั้นตนก็จะเป็นท่านพ่อให้จนกว่าจะโตก็แล้วกันหนา
พญารามสูรพาเด็กๆทั้ง ๑๒ คนเดินเท้าไปที่เมืองยักษ์ของตน โดยระหว่างทางเข้าเมืองพญายักษ์ก็ได้ใช้มนตราในการบดบังดวงตาและหูของเด็กๆทั้ง ๑๑ คนเอาไว้ มีเพียงเด็กน้อยตัวเล็กที่กำลังเดินตามมาอย่างเงียบๆเท่านั้นที่ตนยกเว้น
เหตุเพราะเด็กน้อยยินดีที่จะมาอยู่ในเมืองยักษ์ของตน ดังนั้นอีกฝ่ายย่อมมิคิดหนีไปที่ใด ที่สำคัญคือหากพี่ๆของอีกฝ่ายยังอยู่ในเมืองยักษ์ เจ้าตัวก็ย่อมมิคิดหนีไปที่ใดทั้งนั้น
"...."ลำเภาจันทร์เหลือบมองไปรอบๆ ในระหว่างที่เดินอยู่ในถ้ำ ตามในวรรณคดีนางสนธมารจะให้นางทั้ง ๑๒ ปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะพาเข้าเมืองยักษ์ จะมีก็เพียงแค่นางเภาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แอบลืมตาขึ้นมาในระหว่างเดิน
ลำเภาจันทร์หันมองไปทางพี่ๆทั้ง ๑๑ คนเมื่อเห็นว่าอยู่ๆก็เงียบเสียงไป ก่อนจะเห็นสิ่งผิดปกติเพราะทุกคนดูราวกับโดนสะกดจิตให้เดินตามอยู่นิ่งๆเงียบๆ แววตาของแต่ละคนดูเหม่อลอยราวกับไร้ชีวิตกันเสียอย่างนั้น
ลำเภาจันทร์ตวาดสายตามองไปที่แผ่นหลังของพญาอสุราที่เดินนำอยู่ เขาพอจะเดาได้ว่าอาจจะเป็นมนต์สะกดอะไรบางอย่างที่พญายักษ์ตัวใหญ่ตรงหน้าร่ายใส่พี่ๆของเขา
"ท่านทำอันใดพี่ๆของข้า"ลำเภาจันทร์เอ่ยถามอย่างมิไว้วางใจ มือข้างซ้ายกำมีดสั้นเอาไว้แน่นพร้อมที่จะสังหารยักษาตรงหน้าได้ทุกเมื่อ ยามนี้ยังมิได้เข้าไปในเมืองยักษ์ ดังนั้นจึงยังพอมีโอกาสรอดอยู่บ้างถ้าเร่งมือ
"เจ้าอย่าเพิ่งปล่อยจิตสังหารออกมาข่มขู่ข้านักเลย ข้าเพียงแค่ร่ายมนต์บังตาใส่พี่ๆของเจ้าเพื่อมิให้รับรู้เส้นทางเข้าออกของนครยักษ์เพียงเท่านั้น"พญารามสูรยกยิ้มขำกับปฏิกิริยาน่ารักของเด็กน้อยตัวเล็ก แต่ทว่าตนก็ต้องรีบเอ่ยไขข้อข้องใจของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน เพราะมิเช่นนั้นการพาเด็กน้อยไปที่เมืองยักษ์ของตนอาจจะมิสำเร็จก็เป็นได้
"...เช่นนั้นเหตุใดจึงเหลือข้า หรือมนต์ของท่านใช้กับข้ามิได้ผล?"ลำเภาจันทร์เอ่ยถามยักษาตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"เปล่า เพียงแต่ข้ามิคิดร่ายมนต์ใส่เจ้า เพราะเจ้าคือข้อยกเว้น"พญารามสูรหันไปยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ใส่เด็กน้อยน่ารักซึ่งกำลังทำหน้านิ่งคิ้วขมวดอยู่
อ้า น่ารักน่าแกล้งเสียจริง
"...."ลำเภาจันทร์หันหน้าหนีรำคาญสายตากวนประสาทของพญายักษ์
"ข้ามีคำถามอยากเอ่ยถามเจ้า หากเจ้ามิอยากตอบก็มิเป็นอันใด"พญายักษ์หันกลับไป ก่อนจะเอ่ยกับเด็กน้อยในขณะที่พาเด็กๆทั้ง ๑๒ คนเดินเข้าเมืองยักษ์
"เรื่องอันใด? หากข้าตอบได้ข้าจะตอบ"ลำเภาจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงมิสนใจ แม้จะพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะถามถึงความสามารถของตนก็ตาม
"เหตุใดเจ้าจึงได้ดูดุร้ายกว่าพี่ๆของเจ้านักเล่า มิน่ารักเอาเสียเลย"พญารามสูรเอ่ยหยอกเย้าและแอบยิ้มขำตนเดียวเมื่อนึกถึงยามที่ตนนั้นได้อยู่กับเด็กน้อยตัวเล็ก ยามนั้นเด็กน้อยผู้นี้ทั้งข่มขู่ทั้งปล่อยจิตสังหารใส่ตนมิหยุด กลับกันในยามที่เด็กน้อยอยู่กับพี่ๆ เจ้าตัวกับทำราวกับเด็กธรรมดาๆ ทั่วไปเสียอย่างนั้น
แต่พญารามสูรก็อดนึกสงสัยเรื่องที่อีกฝ่ายมีความสามารถเกินเด็กวัย ๑๐ ปีมิได้ บวกกับการมีจิตสังหารที่แข็งแกร่งและแรงใจที่มิหวาดหวั่น ไหนจะจิตใจที่สงบมิมีความลังเลต่อสิ่งใด ความสามารถเช่นนี้ของเด็กน้อยสูงกว่ายักษาธรรมดาซึ่งอยู่ในวัย ๕๐๐ ปีไปแล้วเสียอีก
หากเด็กน้อยถูกเลี้ยงมาอย่างเขี้ยวกรรมและอยู่ในสถานที่ซึ่งมีแต่เรื่องป่าเถื่อนจริงๆ แล้วเหตุใดเด็กๆ คนอื่นจึงได้ดูเหมือนลูกหลานเศรษฐีธรรมดาๆ กันเล่า?
"ท่านกำลังต่อว่าข้ารึ?"ลำเภาจันทร์เอ่ยเสียงนิ่งมิพอใจ คิ้วบางขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างขุ่นเคือง
"ข้าเปล่าเสียหน่อย แต่หากเจ้าจะเข้าใจเช่นนั้นข้าก็มิได้ว่าอันใด"พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อปนกวนประสาทเล็กน้อย
"...ถ้าเช่นนั้นข้าก็มิขอตอบ"ลำเภาจันทร์หันหน้าหนีอย่างเย็นชา
"ข้าเพียงล้อเจ้าเล่น อย่าเง้างอนไปเลยหนา"พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงขำขันปนอ่อนโยน"ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงได้ดูต่างออกไปเพียงเท่านั้น"
"...เรื่องนี้ ข้าจะบอกให้แก่ผู้ที่ข้าให้ความสำคัญเพียงเท่านั้น"ลำเภาจันทร์เอ่ย ใครมันจะไปบอกคนอื่นง่ายๆกันว่าตัวเองมาจากที่อื่นแล้วเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กแบบนี้ ถ้าบอกไปมีหวังโดนหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ
"ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องพยายามให้มากกว่านี้แล้วสิหนา"พญารามสูรยกยิ้ม"ถึงจะได้เป็นคนสำคัญของเจ้า"
"...."
"อีกประเดี๋ยวก็จะถึงนครอัสดงของข้าแล้ว ไว้เข้าวังเมื่อใดข้าจะถอนคาถาบังตาให้พี่ๆของเจ้า ยามนี้ข้ายังมิได้ปราวประกาศเรื่องการรับเลี้ยงลูกมนุษย์ ดังนั้นหากเจ้าเข้าไปแล้วและพบเจอกับยักษ์ ก็จงอย่าได้ตกใจไปเลยหนา เจ้าสวมใส่นี้ไว้ พวกเขาจะได้มิเห็นใบหน้างดงามเจ้า"พญารามสูรเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังในช่วงแรก แต่มินานก็กลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นในช่วงหลัง พร้อมกับยื่นชุดคลุมให้เด็กน้อยเพื่อสวมใส่ปิดบังหน้าตาน่ารักเอาไว้ เพราะหากยักษาที่มิประสงค์ดีพบเจอเข้า ก็คงมิพ้นเกิดเรื่องที่เลวร้ายตามมา
"...อือ"ลำเภาจันทร์ครางตอบพญายักษ์นิ่งๆและเย็นชา ก่อนจะยื่นมือเรียวเล็กไปรับเสื้อคลุมตัวใหญ่มาสามใส่ หลังจากสวมใส่เสร็จนัยน์ตาสีนิลทั้งสองข้างก็มองเห็นแสงสว่างซึ่งอยู่สุดขอบถ้ำ นั้นจึงทำให้เขารับรู้แล้วว่าใกล้ถึงเมืองยักษ์เข้าไปเต็มที
TBC