ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ๑ เดือน
ตลอด ๑ เดือนที่ผ่านมา ลำเภาจันทร์ได้ใช้เวลาทั้งหมดในการสำรวจพระราชวังของพญายักษ์ที่ใหญ่โตแห่งนี้
รวมไปถึงสำรวจยักษาที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ภายในวังแห่งนี้ไปด้วย
วิถีชีวิตในวังของเหล่ายักษาค่อนข้างเรียบง่ายกว่าที่เขาคิดไว้นัก เขตในวังทั้งหมดแบ่งออกเป็น ๓ เขตใหญ่ๆ คือเขตวังหลัก เขตทิศตะวันออกและเขตทิศตะวันตก
"พระโอรสเภา ทรงออกมาเดินเล่นอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ แดดยามบ่ายวันนี้ร้อนแรงยิ่งนัก ทรงระวังผิวกายละเอียดอ่อนของพระโอรสเสียหนาพ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มเข้มละมุนเจ้าชู้ดังขึ้น
"...."ลำเภาจันทร์หยุดฝีเท้าเล็กลง ก่อนนัยน์ตาสีนิลงดงามเย็นชาจะเหลือบมองไปที่อสุราทหารยักษ์ ๓ ตนที่เดินเข้ามาเอ่ยทักทายนิ่งๆ หนึ่งในนั้นที่เอ่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้เจ้าเล่ห์มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าพลทหารยักษ์ นามคือสุทัศน์ หัวหน้าขุนพลหน่วยที่ ๑ ดูแลกองกำลังทหารฝั่งทิศตะวันตก และดูแลความปลอดภัยของนครทางฝั่งทิศตะวันตกทั้งหมด
ลำเภาจันทร์เงยหน้ามองพิจารณาอีกฝ่ายนิ่งๆ นัยน์ตางดงามมองสบกับนัยน์ตาสีเหล็กกล้าผ่านเส้นผมยาวสีดำสนิทของอีกฝ่าย เพราะทรงผมของหัวหน้ายักษ์ทหารผู้นี้มิได้เสยขึ้นหรือตัดสั้น แต่กับปกลงจนบดบังนัยน์ตาคมเจ้าเล่ห์ไปเกือบทั้งหมด แลดูลึกลับ แต่กับมีวาจาที่แพรวพราวมิน้อย
รูปหน้าและรูปร่างของอีกฝ่ายนับว่าเป็นบุรุษที่ดูแลตัวเองมาอย่างดี มิได้ล่ำบึกเกินไปออกจะไปทางสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อเสียมากกว่า ผิวกายหยาบแดงคล้ำ แลจนปิดบังความป่าเถื่อนและกลิ่นอายความเผด็จการมิมิด
บรรยากาศรอบกายนี้ มิน่าเข้าใกล้เอาเสียเลย
"...ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง ข้าเพียงจะเดินไปหาพี่ๆ ของข้าเพียงเท่านั้น"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่มิแสดงความรู้สึกใดๆ นัยน์ตากลมเรียบนิ่งยังคงเงยขึ้นมองสบกับนัตน์ตาสีเหล็กของอีกฝ่ายที่ก้มมองลงมาผ่านเส้นผมและส่งยิ้มแพรวพราวมาให้เขา
"เช่นนั้นเดินระวังๆหนาพ่ะย่ะค่ะ หากพระโอรสทรงสะดุดล้มจนเป็นแผล กระหม่อมคงปวดใจมากมิน้อย"สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเจ้าเล่ห์
"...ข้าจะระวัง ยามนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้ว"ลำเภาจันทร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินผ่านขุนพลยักษ์และลูกน้องอีก ๒ ตนของอีกฝ่ายไปอย่างมิสนใจ ใบหน้าของลำเภาจันทร์ในยามนี้ยังคงมิแสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าภายในใจดวงเล็กกับยังคงนึกถึงบรรยากาศอันแสนอันตรายของหัวหน้ายักษาตนเมื่อครู่
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลำเภาจันทร์รู้สึกตหงิดตะกั่วในใจ สิ่งนั้นคือสีนัตย์ตาของอีกฝ่ายที่เป็นเหมือนดั่งสีนัยน์ตาของพญารามสูร
นัตน์ตาสีเหล็กกล้า ดั่งคมกระบี่เงิน แต่กับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ
นัยน์ตาของพญายักษ์ แม้จะมีบ้างที่ชอบมองมาอย่างกวนประสาท แต่ก็ยังคงองอาจดุดัน แฝงไปด้วยอำนาจบารมี หากเป็นคมกระบี่ ก็คงเป็นกระบี่ที่พร้อมปกป้องราษฎร
ทว่านัยน์ตาของยักษาตนเมื่อครู่ ทั้งแข็งกร้าว สกปรก โลภและเห็นแก่ตัว เปรียบได้ดั่งคมกระบี่ที่พร้อมเข่นฆ่าผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
"...."สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ หันมองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กน้อยมนุษย์ด้วยความใคร่สนใจ ตามเนื้อตามตัวของเด็กน้อยผู้นั้นทั้งหอมหวานและดูนุ่มนิ่มแลจนน่ากินไปหมด และเมื่อพอตนเผลอคิดเช่นนั้น ลิ้นหนาก็ยื่นออกมาเลียเขี้ยวคมที่เผยองอกขึ้นมาทันที
ยักษ์ทหารอีก ๒ ตนที่ตามนายของมันมาลอบมองแผ่นหลังของเด็กน้อยมนุษย์ร่างเล็กด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองหน้ากันอย่างถูกใจ
ทางฝั่งของลำเภาจันทร์
ที่อยู่ของพวกพี่ชายอยู่ในตึกทางฝั่งทิศตะวันออก เขตแถวนั้นจะมีต้นไม้สูงใหญ่มากมายและมีสนามหญ้าที่สามารถนั่งเล่นนอนเล่นได้ และส่วนใหญ่พี่ๆของเขาก็มักจะไปเล่นกันอยู่ตรงนั้น
การอยู่ภายในวังแห่งนี้พวกเขาสามารถเดินไปที่ใดก็ได้ ยกเว้นเสียแต่สถานที่แห่งหนึ่งแถวฝั่งทิศตะวันตก
เพราะสถานที่แถวนั้นเป็นสถานที่ที่ใช้กักขังมนุษย์ซึ่งแอบลักลอบเข้ามาภายในเมืองยักษ์ อีกทั้งที่แถวนั้นยังเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกและกลิ่นเหม็นเน่ามากมาย หากว่าพี่ๆของเขาเข้าไปพบละก็ ก็คงมิโผล่หวาดกลัวกันจนหนีหายไปก่อนเวลา
และหากถามว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้ได้ นั้นก็เป็นเพราะเขาเคยแอบเข้าไปสำรวจเมื่อไม่กี่วันก่อน
"น้องเภา!! น้องมาแล้ว พอดีเลย! พวกเรามาแข่งยิงหน้าไม้กันเถอะ!"เอกาทศรีบวิ่งเข้าไปหาน้องชายสุดน่ารักของตนทันที ก่อนจะจับมือและลากให้ไปเล่นด้วยกันกับพี่น้องคนอื่นๆในสนามหญ้า
"...."ลำเภาจันทร์มองสำรวจเหล่าพี่ชายที่พากันแยกออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่เพื่อเล่นด้วยกัน กลุ่มที่ ๑ มี พี่เอกศึก พี่ตรีไตร พี่จตุรงค์ พี่ฉะและพี่อัฐที่เล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ ส่วนกลุ่มที่ ๒ มีเบญจเป็นแกนนำ พาพูดคุยเรื่องการแต่งตัวหรือความสวยความงามกับพี่ชายคนที่ ๙ นวรัตน์และพี่ชายคนที่ ๑๐ ทศรักษ์
ส่วนพี่ชายคนที่เหลือเช่น พี่โททวี สัตภัณฑ์ และท่านพี่เอกาทศก็ดูเหมือนว่าจะพากันแข่งยิงหน้าไม้ให้เข้าเป้า
"เจ้าเตี้ย วันนี้ดูอารมณ์มิดีเลยหนา ไปเจออันใดมารึ?"โททวีวางมือไว้บนหัวน้องชายคนเล็ก ก่อนจะขยี้เบาๆเป็นการแกล้งเพื่อให้น้องชายผู้นี้มีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาบ้าง จะได้ลืมเรื่องราวทุกข์ใจที่เป็นอยู่ แต่ทว่าน่าเสียดายที่น้องชายกับมิสนใจเลยแม้แต่น้อย
"มิมีอันใดขอรับ"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบพี่ชายคนที่ ๒ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะค่อยๆ ปัดมือของพี่ชายออก
"เจ้าเภา! เรามาแข่งยิงหน้าไม้กัน! แม้การยิงธนูข้าอาจจะมิเทียบเจ้า แต่หากว่าเป็นหน้าไม้ข้าชนะเจ้าได้แน่!"สัตภัณฑ์เอ่ยท้าทายน้องชายคนเล็กสุดด้วยน้ำเสียงแดกดันและมั่นใจในตัวเองนัก ก่อนจะยื่นหน้าไม้ในมืออีกข้างไปให้น้องชายคนเล็กสุด เพื่อแข่งขัน
"...คนเราจะมั่นใจในตนเอง ก็ควรมีให้พอดี"ลำเภาจันทร์รับหน้าไม้จากพี่ชายคนที่ ๗ มา ก่อนจะเช็กสภาพว่ามันใช้การได้หรือไม่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะปกติดีไม่ได้มีอะไรเสียหาย"มิเช่นนั้นประเดี๋ยวจะหน้าแตกเอาเสียก่อน"
"เจ้า!!"สัตภัณฑ์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อารมณ์เสียขึ้นมา ก่อนจะมองค้อนน้องชายคนที่ ๑๑ ซึ่งกำลังหัวเราะเยาะตนเสียงดัง
"ฮ้าฮ้าฮ้าฮ้า เจ้าน่ะสิที่จะแพ้ แม้ว่าข้าจะแพ้ให้เจ้า แต่นั่นก็เป็นเพราะข้ามิถนัดต่างหาก แต่หากว่าเป็นน้องเภาละก็ เจ้ามิมีทางชนะได้แน่!"เอกาทศเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนประสาทและมีท่าทางชวนหาเรื่องกับพี่ชายคนที่ ๗
"ใช่แล้ว ที่พวกเราแพ้เจ้าก็เป็นเพราะว่าพวกเรามิถนัดอาวุธประเภทนี้ ลองเจ้ามาดวลดาบกับข้า ข้ามิแพ้แน่"โททวีเอ่ยด้วยอีกคน เพราะตนเองก็แอบเจ็บใจที่ยิงหน้าไม้แพ้อีกฝ่าย
"เหอะ ก็ค่อยดู"สัตภัณฑ์ชี้หน้าพี่ชายคนที่ ๒ และน้องชายคนที่ ๑๑ อย่างมิพอใจ ก่อนจะรีบเดินไปประจำตำแหน่งเมื่อเห็นว่าเจ้าน้องชายหน้าเหม็นได้เดินนำไปยืนรออยู่ก่อนแล้ว และยังส่งสายตาเร่งเร้ามาให้ตนอีกด้วย
ช่างอารมณ์ขึ้นๆลงๆเสียจริง! แต่อย่างเอามาลงกับตนนะ!
"พวกเจ้าดูนั้นว่าผู้ใดมา"เบญจเอ่ยกับน้องชายในกลุ่ม ก่อนจะจิกสายตามองไปที่น้องชายคนเล็กสุด"เหอะ ดูเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเจ้านั่นสิ เสด็จพ่อช่างลำเอียงเสียจริง ถึงขนาดที่ให้มันได้นอนห้องนอนหรูหราข้างห้องบรรทมของเสด็จพ่ออีกด้วย"
"ชิ คิดว่าตัวเองดีเด่นมากนักหรือไง"ทศรักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทางอย่างมิพอใจ เมื่อพบว่าเครื่องประดับของตนนั้นมิงดงามสู้
"ก็คงจะเดินตามเสด็จพ่อต้อยๆ เพื่อคอยเอาใจจนได้ของทุกอย่างมากระมัง"เบญจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉาปนสมเพช และยามที่ตนเอ่ย เบญจก็จะพยายามเอ่ยให้เสียงดังเพื่อเจาะจงให้อีกฝ่ายได้ยิน
"ฮ้าฮ้าฮ้า น่าขำเนอะท่านพี่เบญจ"ทศรักษ์ปิดปากขำอย่างชอบใจ โดยมีนวรัตน์นั่งทำหน้าลำบากใจอยู่ข้างๆ แต่กับมิได้กล่าวอันใดออกมาทั้งนั้น
ปลี้วว พึก! พึก!
"อ๊ากกก !/อะ!!"เบญจและทศรักษ์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆก็มีลูกศรลอยมาปักที่พื้นใกล้ๆพวกตนอย่างกะทันหันและเฉียดผิวของพวกเขาไปเพียงนิดเท่านั้น!
นวรัตน์ที่เห็นเช่นนั้นก็อดสะดุ้งตามไปด้วยมิได้ แต่เมื่อมองไปที่ที่มาของลูกศรตนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะว่าน้องชายคนเล็กสุดยังคงเล็งหน้าไม้มาทางพวกตนอยู่ และบนหน้าไม้ยังมีลูกศรอยู่ถึง ๒ ลูกด้วยกัน
พึบ! พึบ!
"มึง!! อ๊ากก!! แขนข้า!!/ข้าจะฟ้องเสด็จพ่อ! โอ็ย!! จะ เจ็บ!!"
เบญจและทศรักษ์ร้องโวยวายออกมาพร้อมน้ำตาคลอหน่วยเป้า ลูกศรที่ลำเภาจันทร์ยิงบาดเข้าที่แขนของพวกเขาจนได้แผลคนละแผล ซึ่งสำหรับลูกคุณหนูที่มิเคยได้รับบาดเจ็บเลยสักครั้ง ล้วนแล้วรู้สึกเจ็บยิ่งนัก!!
พี่น้องทุกคนต่างพากันตกใจจนหยุดนิ่ง เพราะมิเคยเห็นน้องชายคนเล็กทำร้ายผู้ใดมาก่อน เอกศึกผู้เป็นพี่ชายคนโตรีบวิ่งไปดูน้องชายคนที่ ๕ และคนที่ ๑๐ ทันทีด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับน้องชายคนเล็กสุดด้วยความขัดข้องใจและสงสัย
"เจ้าเล็ก เหตุใดจึงทำร้ายพวกเขาเล่า"
"ถามปากของพวกเขาเอาเสียเถิด ดีนักหนาแล้วที่ข้ามิยิงปากให้ฉีกไปถึงหู"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบพี่ชายคนโตด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัตน์ตาสีนิลงดงามเรียบนิ่งเหลือบมองไปที่บาดแผลเล็กๆของอีกฝ่ายที่เขาเป็นคนมอบให้ หึ ก็แค่บาดแผลถากๆและมีเลือดออกซิบๆ จะมาทำเป็นสำออยไปไย"มิเห็นเก่งดั่งปากว่า"
"วันนี้เจ้าอารมณ์มิดีจริงๆ ด้วยสิหนา"โททวีที่เผลอยืนอึ้งเพราะผลการแข่งขันยิงหน้าไม้ของน้องชายคนคนเล็ก ต้องรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆอีกฝ่ายทันที ก่อนจะค่อยๆดึงหน้าไม้ในมือของน้องชายคนเล็กออกมาถือไว้เอง เพื่อมิให้อีกฝ่ายโมโหจนเผลอยิงผู้ใดอีก
"สมควรแล้ว อยากมาปากดีใส่น้องเภาของข้าเอง โดยเท่านี้อย่าสำออยเลย"เอกาทศเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความพอใจและสะใจ หลังจากที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ น้องชายสุดน่ารักของตน
"พวกเจ้านี้หนา"เอกศึกส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจก่อนจะค่อยๆ พยุงน้องชายคนที่ ๕ ขึ้น และปล่อยน้องชายคนที่ ๑๐ ให้น้องชายคนที่ ๙ พยุง"มาเถิด ข้าจะพาพวกเจ้าไปทำแผล เจ้า ๓ เจ้า ๔ พวกเจ้าช่วยไปตามแม่นมบานชื่นมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ให้นางมาช่วยทำแผลให้พวกเขา"
"ข ขอรับ/ขอรับ"ตรีไตรและจตุรงค์ขานรับผู้เป็นพี่ชายคนโต ก่อนจะรีบออกไปตามหาแม่นมของพวกตนทันที
เหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นไปเมื่อพี่ชายคนโตพาคนเจ็บทั้งสองเข้าไปในเรือนพักเพื่อทำแผล
ดังนั้นยามนี้ ที่สนามหญ้าจึงมีพวกเขาอยู่กันเพียงแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
"เจ้าเภา เจ้าโมโหอันใดมารึ ปกติแล้วเจ้าใจเย็นยิ่งนัก"ฉะเอ่ยถามน้องชายคนเล็กที่อารมณ์เย็นลงแล้ว น้ำเสียงที่ใช้มิได้ขุ่นมัวหรือเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ กลับกันมันกับเต็มไปด้วยความห่วงใย"หากเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอันใด สามารถเอ่ยกับพวกเราได้เลยหนา"
"ใช้แล้วเจ้าเภา เจ้าสามารถเอ่ยกับพวกเราได้เต็มที พวกเราจะช่วยเจ้าเอง"อัฐเอ่ยขึ้นมาด้วยอีกคนพร้อมกับยืดอกขึ้น
"บางที อาจจะเป็นเพราะมิได้ทานขนมหวานก็ได้ จะว่าไปแล้วแต่ก่อนท่านป้าอู๋หมิงฝากข้าหรือพี่ตรีไตรเอาขนมมาให้เจ้าเภาตลอด แต่ทว่าที่เมืองของเสด็จพ่อมิมีขนมอยู่เลย เจ้าเภาคงหงุดหงิดเพราะขาดน้ำตาลกระมัง"สัตภัณฑ์เอ่ยออกความเห็น ตนมิเคยเห็นน้องชายหน้าเหม็นผู้นี้โมโหจนถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นเลยสักครั้ง แม้กับตนที่มักชอบหาเรื่องอีกฝ่าย น้องชายผู้นี้ก็ทำเพียงแค่ด่าสวนกลับมาเท่านั้นเอง
เรื่องเมื่อสักครู่ช่างเกิดขึ้นไวนัก เพราะสัตภัณฑ์มัวแต่อึ้งกับลูกศรของน้องชายคนเล็กที่ยิงจนทะลุเป้าในการแข่งขัน ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงแค่หน้าไม้ธรรมดา แต่กับสามารถยิงลูกศรให้ทะลุเป้าไม้หนาๆได้เช่นนี้ จะมิให้ตนตกใจได้อย่างไร?
แต่พอตนหันกลับมาอีกที เจ้าน้องชายหน้าเหม็นผู้นี้ก็ก่อเรื่องขึ้นเสียแล้ว
"เช่นนั้นพวกเราไปทำขนมให้เจ้าเตี้ยกันดีหรือไม่"โททวีเอ่ยเสนอขึ้นมา เพราะมูลเหตุที่น้องชายคนที่ ๗ เอ่ยมีความเป็นไปได้มากทีเดียว เพราะน้องชายคนเล็กของตนผู้นี้ชื่นชอบการกินขนมหวานเป็นที่สุด แต่ทว่าตลอด ๑ เดือนมานี้เจ้าตัวกับมิได้ทานเลยสักครั้ง
"ข้าอยากทำขนมให้น้องเภา! ข้าจะทำให้เยอะๆเลย"เอกาทศเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น และรู้สึกเห็นด้วยมากๆ กับการทำขนมให้น้องชายสุดน่ารักทาน
เพราะเอกาทศนั้นรักน้องชายผู้นี้ของตนมาก ดังนั้นตนจึงมิอยากให้น้องชายของตนอารมณ์มิดี ตนอยากให้น้องชายของตนอารมณ์ดีและสดใสอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าน้องชายของตนจะมิค่อยยิ้มเลยก็ตาม
"ขอบคุณพวกท่านมากขอรับ ข้ารู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวกลับห้องนอนก่อนหนาขอรับ"ลำเภาจันทร์เอ่ยกับพี่ชายทุกคนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ก่อนจะเดินแทรกออกมาแล้วตรงกลับห้องนอนของตัวเองทันที
"...ข้าว่า พวกเรารีบไปทำขนมกันเถอะ"โททวีมองตามน้องชายคนเล็กสุดก่อนจะเอ่ยกับน้องชายทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้
ทุกคนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะรีบตรงไปที่ห้องเครื่องเพื่อทำขนมหวานให้น้องชายคนเล็กของพวกเขา
วันนี้ลำเภาจันทร์รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ บางทีอาจเป็นเพราะเขาพบกับบุรุษยักษ์ตนนั้น แม้แต่ในยามนี้เขาเองก็ยังคงเอาแต่คิดถึงเรื่องราวของอีกฝ่ายด้วยความกังวล
เฮ่ออ ลำเภาจันทร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินตามโถงทางเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองช้าๆ มิได้เร่งรีบอะไร
ตลอด ๑ เดือนมานี้ ลำเภาจันทร์แทบมิได้ฝึกอย่างจริงจังเลยสักครั้ง นอกจากฝึกพื้นฐานร่างกายในห้องนอนของตัวเองแล้ว เวลาว่างส่วนใหญ่เขาก็มักจะออกมาเล่นกับพวกพี่ๆ หรือไม่ก็เดินสำรวจรอบวังไปทีละน้อยเท่านั้น เพื่อหาสถานที่เหมาะๆ ในการฝึกฝน
"พ่อลำเภา เจ้าอยู่ที่นี้นี่เอง"พญารามสูรเดินเข้าไปหาเด็กน้อยที่ตนออกตามหาเกือบรอบวัง เหตุเพราะคนตัวเล็กชอบเดินไปเดินมาอยู่ภายในวังบ่อยๆ ดังนั้นตนจึงได้ตามหาตัวอีกฝ่ายยากยิ่งนัก
"ท่านมีเรื่องอันใด?"ลำเภาจันทร์เอ่ยถามพญายักษ์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ก่อนจมูกเล็กๆ จะได้กลิ่นหอมหวานบางอย่างที่คุ้นเคย จนเผลอให้ความสนใจไป"ขนมหวานหรือ?"
"หึหึ เจ้านี้ช่างจมูกดีเสียจริง"พญายักษ์ยกมุมปากหนายิ้มอย่างขำขัน ก่อนจะนำถาดขนมน่าทานออกมาล่อเด็กน้อยตรงหน้าด้วยใบหน้าอารมณ์ดี"สิ่งนี้เป็นขนมขึ้นชื่อในเมืองมนุษย์ เจ้าอยากจะรองทานดูหรือไม่"
"ท่านนำมาให้ข้ารึ?"ลำเภาจันทร์เตรียมรับถาดขนมมาทันทีที่เห็น มาอยู่ที่นี่เขาไม่ได้ทานขนมหวานเลยอย่างที่พี่ชายว่าไว้ เพราะของกินส่วนใหญ่ของที่นี่มีเพียงแค่อาหารคาวเท่านั้น อีกอย่างพ่อครัวที่นี่ทำอาหารปรุงสุกเป็นก็นับว่าบุญมากแล้ว
"รอก่อน รีบจริงๆ เลยหนา เรามาตกลงกัน หากเจ้ายอมเรียกข้าว่า พี่รามสูร เขาจะยอมยกขนมในถาดนี้ให้เจ้าทั้งหมดเลย ดีหรือไม่"พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ทว่าในแววตาที่จ้องมองเด็กน้อยตัวเล็ก กับเต็มไปด้วยความกรุบกริบและคาดหวังอยู่เต็มไปหมด
"...แต่ท่านเป็นเสด็จพ่อของข้าแล้ว ยังอยากจะเป็นพี่ชายของข้าอีกรึ?"ลำเภาจันทร์เอ่ยกับพญายักษ์ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงมิพอใจ ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา"ข้ามีพี่ชายเยอะแล้ว มิต้องการเพิ่ม"
"ข้ามิได้อยากเป็นเสด็จพ่อของเจ้าเสียหน่อย แล้วก็เป็นเจ้าที่ยัดเยียดให้ข้าเป็นเสด็จพ่อเอง เอาละ ข้ารอให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่รามสูรอยู่"พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอนในช่วงแรก ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วในช่วงหลังและเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงยียวนแทน ทว่าในมือก็ยังคงโชถาดขนมหลอกล่อเด็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
"...."ลำเภาจันทร์กัดฟันเล็กน้อย นัยน์ตากลมจ้องมองพญายักษ์ตรงหน้าตาเขม็ง"พี่ รามสูร"
"หึหึ อันใดหนาข้ามิได้ยินเลย"พญารามสูรทำทีท่าเหมือนมิได้ยินเพราะอยากแกล้งเด็กน้อย
ยิ่งได้เห็นใบหน้าน่ารักๆ ที่มักชอบทำหน้ามิสนใจสิ่งใดเริ่มโกรธเคือง พญายักษ์ก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูและอยากกลั่นแกล้งให้มากขึ้น
"ท่าน อย่าให้มันมากไปนัก"ลำเภาจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก เพราะเริ่มรู้สึกเคืองและมิพอใจกับยักษาตรงหน้าแล้ว
"หึหึ ใบหน้าเจ้ายานนี้ดูแค้นเคืองข้ามิน้อย แต่จะว่าไปแล้วก็น่ารักน่าชังดีหนาใบหน้าเช่นนี้"พญารามสูรยิ้มอ่อนโยนก่อนจะย่อตัวลงจนใบหน้าของพวกเขาเสมอกัน "อะนี่ เจ้าจะได้อารมณ์ดีขึ้น"
พญารามสูรรีบยื่นถาดขนมแสนหอมหวานให้เด็กน้อย เมื่อตนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่เริ่มรุนแรงขึ้นมาเลื่อยๆ จากร่างกายเล็กๆ ของเด็กน่ารักตรงหน้า
อาา ช่างเป็นอะไรที่น่ากลัวเสียจริงตัวเท่านี้ หากโตขึ้นจะเป็นเช่นไรหนอ
"....ขอบคุณ"ลำเภาจันทร์รับถาดขนมน่าทานมาจากพญายักษ์ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไปตามโถงทางเดินของพระราชวังต่อ เพราะมิอยากอยู่คุยด้วยแล้ว
ระหว่างที่ก้าวเดินลำเภาจันทร์ก็หยิบขนมเข้าปากไปด้วยหลายชิ้น ซึ่งพอเขาได้ทานขนม อารมณ์ของเขาที่เคยขุ่นมัวก็เริ่มดีขึ้นมา สงสัยการกินขนมหวานจะใช้ได้ผลจริงๆ
"เดี๋ยวสิ ได้ขนมแล้วก็ทิ้งกันเลยหรือ เจ้าจะใจร้ายเกินไปแล้วหนา"
TBC