ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"พ่อลำเภา ข้ามีเรื่องจะเอ่ยกับเจ้า คือว่าเรื่องในยามนั้นเจ้ากำลังเข้าใจข้าผิดไปหนา"พญารามสูรเดินมาถึงพอดีก่อนที่เด็กน้อยตัวเล็กจะปิดประตูหนีตนไป นัยน์ตาคมสีเหล็กกล้าของพญายักษ์เหลือบมองขนมหน้าตาประหลาดในถาดที่เด็กน้อยน่ารักกำลังถืออยู่อย่างแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองกลุ่มพี่ชายของอีกฝ่ายที่กำลังพากันเดินจากไปโดยมีสาวใช้ ๒ นางในวังคอยเดินนำทางให้
เมื่อเห็นเช่นนั้น พญาอสุราก็คาดเดาได้ในทันทีว่าขนมพวกนี้อาจเป็นของพวกเขา
แต่ถึงอย่างไรก็น่าทานน้อยกว่าขนมที่ตนนำมาให้เด็กน้อยตัวเล็กอยู่หลายขุม
"...เข้าใจผิด? แล้วข้าเข้าใจผิดอันใด"ลำเภาจันทร์เอ่ยถามพญายักษ์ตัวใหญ่เสียงนิ่ง นัยน์ตากลมเย็นชาเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างมิพอใจนัก
"คือว่ายามนั้นข้ายอมรับว่าโกรธ แต่มิได้โกรธเรื่องที่เจ้าต้องการทานขนมทุกวันดอกหนา ที่ข้าปล่อยแรงกดดันออกมา ก็เป็นเพราะโมโหเรื่องที่เจ้าโดนกลุ่มพี่ชายบางคนรังแก"พญายักษ์รีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังปนอ่อนโยน นัยน์ตาคมของพญายักษ์มองสบกับดวงหน้าน่ารักของเด็กน้อยตัวเล็กอย่างมิละสายตา
"...."ลำเภาจันทร์มองพญายักษ์ตรงหน้าอย่างพิจารณา อันที่จริงแล้วอีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเอ่ยขอโทษเขาด้วยซ้ำ เพราะเขาก็เป็นแค่เด็กมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นการที่ได้เห็นอีกฝ่ายมาเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธไม่ลง"ข้าเข้าใจแล้ว เป็นข้าเองที่ด่วนสรุปไป"
"มิใช่ความผิดเจ้าแน่นอน เป็นข้าที่ควบคุมอารมณ์ของตนได้มิดี"พญารามสูรรีบเอ่ยเพราะกลัวเด็กน้อยน่ารักจะโทษตัวเอง
"เช่นนั้นสรุปว่าข้อตกลงของเรายังคงอยู่สิหนา"ลำเภาจันทร์เอ่ยถามพญายักษ์ตัวใหญ่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ ก่อนจะหยิบขนมในถาดที่พี่ชายให้มาเข้าปาก ๑ ชิ้น
"ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ไว้วันพรุ่งข้าจะนำขนมมาให้เจ้าอย่างแน่นอน"พญารามสูรยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา เมื่อความเข้าใจผิดได้ถูกคลี่คลายลงแล้ว
"อื้ม เช่นนั้นก็ให้บริวารของท่านมาติดกระจกในวันพรุ่งนี้เถิด "ลำเภาจันทร์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องการติดกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้งตามที่ตกลงกันไว้"ท่านมีธุระเท่านี้หรือ?"
"ช ใช่"พญารามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือปนความเหงาหงอยเล็กน้อย เพราะตนยังคงอยากเอ่ยพูดคุยกับเด็กน้อยตัวเล็กต่อ แต่ทว่าเมื่อเห็นเด็กน้อยากพักแล้ว พญาอสุราจึงได้เอ่ยเช่นนั้น
"เช่นนั้นข้าขอตัวเข้าห้องก่อน"ลำเภาจันทร์เอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูไป
"...."พญายักษ์มองบานประตูห้องบรรทมของเด็กน้อยตัวเล็กอย่างอาไรอาวรณ์ ก่อนจะค่อยๆ หันหลังเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตนเพื่อทำงานที่ยังคงค้างคาอยู่ต่อ แม้ในใจจะมิอยากก็ตามที
ภพค่ำราตรี
ณ เขตเมืองฝั้งตะวันตกที่มิเคยหลับใหล และหลากหลายไปด้วยแสงสี
"อ้าา~ ท่านขุนพลพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ท่านช่าง อะ! เร้าร้อนยิ่ง อ้าาา ก กระหม่อมเจ็บ อ้ายยย!!"
ยักษ์บุรุษร่างบางร้องครวญครางใต้ร้างสุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ ปานจะขาดใจ การเสพสังวาสครั้งนี้ของทั้งคู่ดูจะรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ มากนัก ราวกับสุทัศน์กระหายอยากมานานแรมเดือน ทั้งๆ ที่ก็มาเยือนย่านโลกีย์แห่งนี้มิเว้นทุกคืน
ตามตัวของยักษ์บุรุษร่างงามเต็มไปด้วยรอยกัดและรอยเคี้ยวจนเจือปนไปด้วยเลือดน่าเวทนา เขาหอบหายใจหนักน้ำตาไหลนองเต็มหน้าเมื่อมิอาจทนรับแรงกระแทกกระทั้นมหาศาลของผู้ที่อยู่เหนือกว่าได้ไหวอีกแล้ว
"ซื้ดด หุบปาก กูกำลังจะสุขสม"สุทัศน์เอ่ยเสียงทุ้มและมิคิดหยุดกระแทกกระทั้นตามใจตัวเอง ยักษาหนุ่มสนใจเพียงแค่ต้องสุขสมเท่านั้น ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่ทุกทนทรมานอยู่ใต้ร่าง สุทัศน์ก็ยิ่งรู้สึกพอใจและอยากจะกระทำให้มากยิ่งขึ้น
เสียงร้องของยักษ์บุรุษงามยังคงร้องครางเสียงหวานปานจะขาดใจเรื่อยๆ ก่อนจะเบาลงเมื่อยักษ์ผู้มากอำนาจเสร็จสมดั่งใจหวังเสียที
"อ้าาา! ก กระหม่อมทรงมีความสุขยิ่งนัก พ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพึงใจหรือไม่"ยักษ์บุรุษรูปงามฝืนสังขารพยายามลุกขึ้นมาซบอกกอดคลอเคลียผู้มีตำแหน่งเป็นขุนพลของนครอัสดงอย่างออดอ้อน
"...ยัง กูยังมิพึงใจ"สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ เอ่ยเสียงทุ้มเข้มและมีลมหายใจที่หอบถี่เพราะพึ่งเสร็จสม นัยน์ตาสีเหล็กกล้าลึกลับเหลือบมองไปยังยักษ์บุรุษร่างบางข้างกายที่งดงามที่สุดในย่างนายโลมแห่งนี้อย่างเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนยักษ์หนุ่มจะนึกไปถึงใบหน้าของเด็กมนุษย์ผู้หนึ่งที่ตนนึกสนใจ กลิ่นกายของเด็กน้อยมนุษย์ผู้นั้นชั่งหอมหวานน่าลิ้มลองนัก แม้จะเป็นเพียงเด็ก แต่กับทำให้ตนอยากรู้อยากลองมันยิ่ง"มึงไปเรียกผู้อื่นมาปฏิบัติกูเสี-"
สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ กำลังจะหันไปเอ่ยสั่งกับยักษ์บุรุษงามข้างกาย เพราะเมื่อตนนึกถึงเรื่องเช่นนั้นก็เกิดอารมณ์ขึ้นอีกครั้งและนึกอยากกระทำต่อ แต่ทว่ากับมีไอ้ยักษ์ทาสมาเอ่ยขัดเอาไว้เสียก่อน
"ท่านขุนพลพ่ะย่ะค่ะ ท่านหมอมืด ทรงมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ"
"...มากระไรยามนี้วะ"สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ สถบออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นไปแต่งตัวดีๆ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยมิเหลียวแลหรือสนใจยักษ์บุรุษที่นั่งอยู่บนเตียงเลยแม้แต่น้อย
สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ ก้าวเดินออกไปนั่งที่ตั่งรับรองของหอนายโลมที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่มเพื่อกลบความร้อนรุ่มในกายให้หายสิ้น แม้มันจะช่วยได้เพียงนิดก็ตามที
"เจ้าได้ข้อมูลมาแล้วรึ? เหตุใดจึงได้มาพบข้าเร็วเพียงนี้ อย่าลืมเสียสิว่ายามนี้ข้ากำลังถูกจับตามองอยู่"สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ เอ่ยเสียงทุ้มเข้มกับผู้ที่นั่งอยู่อีกฝั่ง การแต่งกายของหมอมืดผู้นี้มิดชิด มิสามารถมองเห็นใบหน้าได้ ผ้าคลุมที่ปิดบังกายของอีกฝ่ายเอาไว้ก็มืดสนิทยากที่จะรู้ว่าเป็นผู้ใด
"กระหม่อมทรงขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องสำคัญต้องเอ่ย เกี่ยวกับยาอายุวัฒนะพ่ะย่ะค่ะ"ยักษ์ชราใต้ผ้าคลุมเอ่ยเสียงแหบต่อผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
"...กล่าวมาเสีย อย่าได้ชักช้ายืดยาด"สุทัศน์วางจอกสุราลง นัยน์ตาสีเหล็กลึกลับเหลือบมองผู้ที่อยู่เบื่องหน้า เมื่อรู้สึกสนใจต่อเรื่องที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถึง
"การทำยาอายุวัฒนะเป็นสิ่งที่เหล่าแพทย์หลวงพากันศึกษากันอยู่ช่วงหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ส่วนผสมของมันจำเป็นต้องใช้ดวงตาของเด็กที่เกิดมาพร้อมกับ ๑๒ คนในวัย ๑๖ ปีเพื่อกลั่นยาออกมา และหากได้ทานเข้าไปแล้วจะช่วยต่ออายุขัยเพิ่มได้อีก ๑,๐๐๐ ปีพ่ะย่ะค่ะ"หมอชรามืดเอ่ยถึงข้อมูลที่ตนสืบค้นและหามาได้ ข้อมูลส่วนนี้มียักษ์น้อยตนนักที่จะรับรู้ เพราะพญายักษ์ที่ผู้ใดต่างก็สักขีประณามว่าเป็นมัจจุราชผู้เลือดเย็นของพระนครอัสดงได้สั่งให้ปกปิดมันเอาไว้
"๑๖ ปีเชียว? เจ้ามีวิธีที่เร็วกว่านี้หรือไม่ ข้าต้องการยาอายุวัฒนะนั้นในเร็ววัน"สุทัศน์เมื่อได้ยินข้อมูลที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงก็ยกยิ้มร้ายในทันที ถึงว่าไอ้พี่ชายมันออกไปแดนมนุษย์ ที่แท้ก็ไปตามหาเด็กมนุษย์พวกนั้นเพื่อเอามาเป็นส่วนผสมในการกลั่นยาอายุวัฒนะนี้เอง แต่ตนคงต้องทำให้เสด็จพี่ผิดหวังเสียแล้ว 'เพราะยาอายุวัฒนะนั้นมันต้องเป็นของข้าผู้นี้'
"ย่อมมีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ค้นพบวิธีการกลั่นยาโดยสตร์มืดในห้องหนังสือ หากเด็กมนุษย์มีอายุครบ ๑๒ ปีก็จะสามารถนำมาทำยาอายุวัฒนะได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ชีวิตของพวกเด็กมนุษย์เหล่านั้นจะต้องจบลงพ่ะย่ะค่ะ"หมอชรามืดเอ่ยตอบข้อสงสัยของผู้เป็นใหญ่เบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงแหบแห้งมั่นใจ
"ดี จะอันใดก็ชั่ง ขอเพียงแค่ข้าได้ยานั้นมาก็เป็นพอ"สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ ยกยิ้มมุมปาก นัตย์ตาคมลึกลับที่มีเส้นผมสีดำสนิทบดบังอยู่สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มว่า"เช่นนั้น ๒ ปีนี้พวกเราอย่าพึ่งเคลื่อนไหวสิ่งอันใด รอให้พวกมันตายใจแล้วค่อยลงมือ เมื่อยามที่ข้าได้ยานั้นมาไว้ในครอบครอง เมื่อนั้นบัลลังก์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรเป็นของข้า มันจะต้องตกมาอยู่ในน้ำมือของข้าผู้นี้ หึๆ"สุทัศน์มองฝ่ามือตนเองก่อนจะค่อยๆกำมันแน่น
เช้าวันใหม่
วันนี้ลำเภาจันทร์ยังคงเดินสำรวจรอบวังเพื่อดูว่ามีที่ตรงไหนที่สามารถฝึกซ้อมได้บ้าง ในพระราชวังยักษ์แม้จะกว้างใหญ่แต่หูตาบริวารของพญายักษ์กับมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่จริงๆ โดยเฉพาะเจ้าภูตเงาที่คอยตามติดอยู่ในกระจกตลอดเวลา และกระจกก็มีติดอยู่ทั่วทั้งรอบวัง
ดังนั้นมันจึงทำให้เขายังคงหาพื้นที่ในการฝึกซ้อมไม่ได้เสียทีจนถึงตอนนี้
"ยามใดเจ้าจะเลิกตามข้า"ลำเภาจันทร์เอ่ยเสียงนิ่งปนขุ่นมัว นัยน์ตากลมสีนิลเหลือบมองไปที่กระจกข้างกำแพง ซึ่งมีเจ้าก้อนกลมๆ ดำๆ ลอยตามติดอยู่ไม่ห่าง
'ม มิได้พ่ะย่ะค่ะพระโอรสลำเภาจันทร์ กะ กระหม่อมทรงถูกสั่งให้เฝ้าตามดูพระองค์พ่ะย่ะค่ะ'ภูตเงาเอ่ยตอบเสียงสั่น ระหว่างเอ่ยก็ลอยไปหลบตรงขอบกระจกด้วยความหวาดกลัว ร่างกายกลมๆ ดำๆ ของมันสั่นระริกเมื่อสบเข้ากับสายตาเฉียบคมเย็นชาที่มองมายังมัน
"...."ลำเภาจันทร์ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ปล่อยเลยตามเลยก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ ยังไงเสียตามมาเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรที่น่ารำคาญ เพียงแต่เขาแค่ไม่ชอบให้ใครมาอยู่ด้านหลังก็เท่านั้น เพราะลำเภาจันทร์มีนิสัยขี้ระแวง ซึ่งมันก็เป็นนิสัยติดตัวของนักฆ่าที่ต้องทำงานเสี่ยงตายทุกวัน ดังนั้นมันจึงทำให้ลำเภาจันทร์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นจุดอับสายตาที่มากที่สุด แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ภูตเงาที่อยู่ในกระจก ไม่สามารถลอยออกมาด้านนอกได้ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างรู้สึกวางใจอยู่บ้าง
'..พะ พระโอรสเภาพ่ะย่ะค่ะ ฝะ ฝ่าบาทได้จัดคนให้ไปสอนสั่งวิชาการต่อสู้แก่พระโอรสองค์อื่นๆ และยังให้มาดามซึ่งถูกยกย่องว่ามารยาทงามที่สุดไปสั่งสอนพระโอรสที่มิสนใจวิชาการต่อสู้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระโอรสเภาทรงอยากลองไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ'ภูตเงาตัวน้อยแม้จะหวาดกลัวเสียจนเสียงสั่นแต่มันก็ยังอยากที่จะหาทางสนิทสนมและพูดคุยด้วย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้รู้จักและได้พูดคุยกับมนุษย์สักคนที่มิหวาดกลัวมันหรือมองว่ามันเป็นตัวประหลาด
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยากสำหรับมันยิ่งนัก เพราะแม้พระโอรสเภาจะมีรูปโฉมที่งดงามน่ารัก แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับมีกลิ่นอายที่ทั้งเย็นชาเด็ดขาดมิต่างจากเจ้านายของมันเลยสักนิด
"...น่าสนใจดี"ลำเภาจันทร์เหลือบตามองภูตเงาในกระจกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เกี่ยวกับข่าวใหม่ จะว่าไปเจ้าก้อนกลมๆ ดำๆ นี่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว สามารถสืบข่าวสารและแจ้งข้อมูลได้ในเวลาอันรวดเร็ว ในยุคสมัยที่ไม่มีโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีแบบนี้ ก็นับว่าเป็นอะไรที่สะดวกไม่น้อยเลย
ลำเภาจันทร์เปลี่ยนทิศทางในการเดิน ก่อนจะก้าวเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อไปหาพี่ๆที่เรือนพักฝั่งตะวันออก
ในหัวก็คิดว่าการที่พญายักษ์จัดยักษ์ให้มาคอยสั่งสอนพี่ๆ ให้แบบนี้ก็ดีเช่นกัน เพราะเขาเองก็กะจะหาอะไรไปต่อรองกับพญายักษ์เพื่อให้อีกฝ่ายจัดคนมาคอยสั่งสอนพี่ๆในเร็วๆนี้ เพราะหากยามใดที่ต้องออกไปจากเมืองยักษ์ อย่างน้อยๆพวกพี่ๆก็จะได้มีทักษะในการเอาตัวรอดไว้บ้าง เพราะแค่เขาคนเดียวคงดูแลไม่ไหว
ลำเภาจันทร์เดินต่อไปเรื่อยๆจนสักพักก็มาถึง นัยน์ตากลมสีนิลเรียบนิ่งกวาดมองครูฝึกที่มาสอนพี่ๆว่าเป็นผู้ใด ก่อนจะพยักหน้าพอใจเมื่อเห็นว่าดูมิมีอันตรายใดๆ พวกเขามีอยู่ด้วยกัน ๓ ตนและอยู่ในร่างมนุษย์ ตนที่เป็นหัวหน้ามีชื่อว่าศวุตย์ดำรงตำแหน่งเป็นขุนทัพหน่อยที่ ๒ ดูแลเมืองทางฝั่งตะวันออกทั้งหมด
อีกฝ่ายมีใบหน้าที่เป็นมิตรอารมณ์ดีและเข้าถึงง่าย ไม่มีบรรยากาศอึมครึมลึกลับเหมือนดังขุนพลหน่วย ๑ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างรู้สึกวางใจเมื่อเป็นอีกฝ่ายที่มาสอนสั่งให้พี่ๆ ของเขา
ส่วนอีก ๒ ตนเป็นลูกน้องทหารยักษ์ตนสนิทของอีกฝ่าย มีชื่อว่า ตุลย์และฌาน ซึ่งค่อนข้างไว้ใจได้ทีเดียว
"น้องเภา เจ้ามาได้พอดีเลย เรามาฝึกดาบกันเถิด ดูสิวันนี้เสด็จพ่อบุญธรรมหาครูมาฝึกให้พวกเราด้วยหนา"เอกาทศเอ่ยกับเรียกน้องชายสุดน่ารักของตนเสียงดัง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดึงให้น้องชายเข้ามารวมกลุ่มกับพี่น้องคนอื่นๆ
"...."ลำเภาจันทร์เดินตามแรงจูงของพี่ชายคนที่ ๑๑ ช้าๆโดยไม่รีบร้อน แต่ดวงตากลมสีนิลกับกวาดมองสำรวจว่ามีพี่ชายคนไหนบ้างที่อยู่ฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้ในสนามหญ้าแห่งนี้
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ฝึกจะมี พี่เอกศึกพี่ชายคนที่ ๑ พี่โททวีพี่ชายคนที่ ๒ พี่จตุรงค์พี่ชายคนที่ ๔ พี่ฉะพี่ชายคนที่ ๖ สัตภัณฑ์พี่ชายคนที่ ๗ พี่อัฐพี่ชายคนที่ ๘ และคนสุดท้ายท่านพี่เอกาทศพี่ชายคนที่ ๑๑
ส่วนคนที่เหลือก็น่าจะไปร่ำเรียนมารยาทตามที่ภูตเงาเคยเอ่ยไว้ ซึ่งมันดีมากที่พวกเขาไม่ได้เรียนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ไม่งั้นคงน่ารำคาญน่าดู
"ถวายบังคมพระโอรสเภาพ่ะย่ะค่ะ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เดินเข้าไปโค้งคำนับพระโอรสที่นายเหนือหัวของตนทรงโปรดปรานที่สุดด้วยความนอบน้อมก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
"...ฝากตัวด้วย"ลำเภาจันทร์พยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยตอบกลับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
"เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มฝึกซ้อมกันเลยหนาพ่ะย่ะค่ะพระโอรส ไอ้ตุลย์เอ็งรีบมาแจกดาบไม้ให้พระโอรสเร็วๆ เข้า อย่าชักช้า"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ หันไปเอ่ยกับเหล่าพระโอรสด้วยน้ำเสียงนอบน้อมในช่วงแรก ก่อนช่วงหลังจะหันไปเอ่ยกับลูกน้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
"ขอรับท่านขุนทัพ อ้ายหัวหยิก เอ็งรีบมาช่วยข้าเลยหนา ยืนกอดอกคิดว่าตนเองหล่อนักรึ"ตุลย์เอ่ยตอบรับหัวหน้าในประโยคแรก แต่ทว่าในประโยคท้าย กับหันไปเอ่ยประชดประชันสหายที่มิคิดจะเข้ามาช่วยตนเลยแม้แต่น้อย ยืนกอดอกนิ่งมันช่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
"ไอ้ขี้เหร่ แจกดาบไม้เพียงแค่นี้ยังต้องให้ข้าช่วยอีกรึ"ฌานเอ่ยประชดกลับสหาย แต่ก็ยอมเดินเข้าไปช่วยอย่างช่วยมิได้อยู่ดี
"ขี้เหร่บ้านเอ็งสิว่ะไอ้หัวหยิก!"ตุลย์ด่าสหายด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ"เอาหัวหยิกๆ ของเอ็งปิดตาเช่นนั้นคิดว่าเท่นักรึ"
"ก็ดีกว่าหน้าสิวเช่นเอ็งล่ะหนา"ฌานเอ่ยด่ากลับด้วยน้ำเสียงที่มิพอใจเช่นกัน
"นี้พวกเจ้า อย่ามาทำตัวขายหน้าต่อหน้าเหล่าพระโอรสได้หรือไม่ ให้ตายสิ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เอ่ยปรามลูกน้องของตนก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายใจ จะมีครั้งใดหรือไม่ที่เจ้าพวกนี้จะมิทะเลาะกันเลยสักครั้ง"ข้าต้องขอโทษแทนพวกเขาด้วยหนาพ่ะย่ะค่ะพระโอรส"
"มิเป็นอันใดขอรับ โบราณว่าไว้ ยิ่งทะเลาะยิ่งสนิทขอรับ"ฉะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มละมุน ก่อนจะหันไปรับดาบไม้จากนายทหารที่มีนามว่าฌานมาถือไว้"ขอบพระคุณขอรับ"
"รีบเถิดข้าอยากฝึกแล้ว"โททวีแกว่งดาบไม้ในมืออย่างร้อนใจเพราะอยากร่ำเรียนให้เก่งกาจขึ้นแล้ว
"เจ้า ๒ วันนี้คึกเป็นพิเศษเลยหนา"เอกศึกไปกับน้องชายคนที่ ๒ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
"แน่นอน เพราะข้าอยากเก่งกาจเหนือผู้ใด"
"แต่ข้ามิอยากร่ำเรียนเลย ข้าอยากนอนอยู่เฉยๆ มากกว่า"จตุรงค์เอ่ยบ่น ก่อนจะก้มมองพุงกลมๆ ของตนเอง และที่ตนต้องมาเลือกเรียนวิชาการต่อสู้ ก็เป็นเพราะตนมิต้องการเรียนเรื่องมารยาทซึ่งดูน่าเบื่อกว่า แต่หากเลือกได้ตนก็มิอยากร่ำเรียนอันใดเลยทั้งนั้น เพราะตนอยากนอนแล้วก็กินอยู่เฉยๆ เพียงเท่านั้น
"พี่จตุรงค์ ท่านอ้วนเช่นนี้เดี๋ยวจะมิมีผู้ใดมาชอบพอเอาหนา ออกกำลังกายเข้าไว้จะได้หุ่นดีเช่นข้าอย่างไรเล่า"อัฐเดินไปกอดคอพี่ชายคนที่ ๔ พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจโดยชมตัวเองไปด้วย
"เฮ่ออ ช่างเป็นการให้กำลังใจที่ข้ามิอยากได้เอาเสียเลย"จตุรงค์เอ่ยบ่นน้องชายคนที่ ๘ เสียงเบา
"ข้าเองก็มิค่อยอยากเรียนวิชาดาบมากนัก เพราะข้าถนัดวิชายิงธนูเสียมากกว่า"สัตภัณฑ์ก็อดบ่นออกมามิได้เช่นกัน ก่อนจะก้มลงมองดูดาบไม้ในมือ ที่ดูแล้วมิเข้ากับตนเอาเสียเลย"แต่ลองดูก็มีเสียหายอันใด"
"รีบเถอะอย่ามัวเรื่องมากอยู่เลย"เอกาทศเอ่ยก่อนจะจับดาบไม้ในมือให้แน่ขึ้น ตนเองก็อยากร่ำเรียนให้เก่งกาจเช่นเดียวกัน ยามโตขึ้นจะได้มีปัญญาปกป้องน้องชายของตนเองเสียที
"เช่นนั้น เรามาเริ่มกันเลยหนาพ่ะย่ะค่ะ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรร่าเริง ใบหน้าเป็นมิตรหล่อเหลายิ้มยินดีที่จะสอนสั่งให้แก่เหล่าพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ ก็เริ่มสอนทักษะการฟันดาบให้เหล่าพระโอรสทั้ง ๘ คนทันที โดยมีลูกน้องทหารยักษ์อีก ๒ นายคอยช่วยเหลือ
การสอนสั่งเป็นไปได้อย่างราบรื่น ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เองก็คอยศึกษาว่าพระโอรสองค์ใดบ้างที่มีความสามารถในด้านนี้ เพราะหากมีความสามารถมากตนก็จะได้สอนสั่งกระบวนท่าต่างๆให้
"...."ลำเภาจันทร์ยืนถือดาบนิ่งๆ มองเหล่าพี่ๆ ที่พากันฝึกดาบกันอย่างขะมักเขม้น พี่โททวีกับท่านพี่เอกาทศไม่เท่าไหร่เพราะทั้งคู่เคยฝึกซ้อมด้วยกันอยู่ตลอด และคงมีทักษะอยู่ก่อนแล้วไม่น้อย
แต่คนที่เหมือนจะฝืนใจฝึกก็เห็นจะมีพี่จตุรงค์ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่นอนทั้งวัน หากจะขยับตัวก็เห็นจะมีแต่เรื่องกินซะส่วนใหญ่
ต่อมาก็พี่ฉะพี่อัฐ ซึ้งพี่อีกคนถนัดการเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลักไม่ได้ขยับตัวบ่อยเช่นนี้ ส่วนอีกคนก็ถนัดการใช้กำลังมากกว่า เวลาฝึกจึงได้ดูทุลักทุเลกว่าคนอื่น แต่ทว่าเขาก็เห็นถึงความมุ่งมั่นในสายตาของพวกเขามิน้อย
ส่วนคนที่เหลือก็ตามมีตามเกิดไป เพราะเขาไม่อยากอธิบายอะไรมากนัก
"พระโอรสเภาพ่ะย่ะค่ะ ทรงลองดวลกับกระหม่อมดูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้รู้ว่าต้องสอนสั่งสิ่งใดต่อพระองค์บ้าง"ตุลย์เดินเข้าไปเอ่ยกับพระโอรสองค์เล็กสุดที่ดูจะเข้าถึงยากที่สุด และยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมากอีกด้วยความประมาทเล็กน้อย
"อื้ม เช่นนั้น โปรดชี้แนะข้าด้วย"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบบุรุษยักษ์ทหารที่เดินเข้ามาเอ่ยกับเขา ก่อนจะจับดาบไม้ในมือให้มั่นเพื่อเตรียมดวลกับอีกฝ่าย
"เต็มที่เลยหนาพ่ะย่ะค่ะ"ตุลย์เองก็รีบตั้งท่าด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสายตาที่เรียบนิ่งและมั่นคงจากพระโอรสตัวน้อยตรงหน้า ทั้งฝีเท้าที่วางอย่างมั่นคง องศาการเอียงตัว ฝ่ามือที่กำดาบไว้แน่น และแววตาที่เยือกเย็นสงบคู่นั้น มันทำให้ตนที่ฝึกทหารมายาวนานอดรู้สึกประมาทได้มิน้อยเลยทีเดียว
"เช่นนั้นข้าขอมิเกรงใจ"ลำเภาจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะค่อยๆ ก้มใบหน้าลงซ้อมรอยยิ้มมุมปากที่แย้มยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกสนานเอาไว้ นานแล้วที่เขามิได้ประมือกับผู้ที่มีความสามารถ ในเมื่อมีผู้ให้ฝึกซ้อมด้วยเขาก็ขอดูหน่อยว่าฝีมือของเขาลดลงไปมากแค่ไหนแล้ว หลังจากที่ไม่ได้ปะทะกับผู้อื่นมานานนับ ๑๐ ปี
"ช เชิญพ่ะย่ะค่ะ"ตุลย์เอ่ยเสียงสั่นอย่างอดมิได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบรรยากาศที่ทั้งเยือกเย็นและน่าหวั่นเกรง จนตนแทบมิอยากจะเชื่อว่ามันจะมาจากเด็กน้อยมนุษย์ที่มีอายุน้อยเพียง ๑๐ ปีเท่านั้น!
"งั้นเรามาเริ่มกัน เลย!"เอ่บจบลำเภาจันทร์ก็กระโดดเข้าใส่อีกฝ่ายทันที และเหวี่ยงดาบเพื่อหวังฟาดลงที่กลางหัวอีกฝ่ายเต็มแรง!
เปลี้ย!!!
TBC