ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง นักฆ่าผู้มีฉายาว่าดอกไม้งามไร้หัวใจ จะหลุดเข้าไปในวรรณคดีที่เพื่อนสาวเอามาให้อ่านได้ "ในเมื่อท่านเป็นยักษ์ ท่านก็ควรกลับเมืองยักษ์ของท่านไปเสีย" #พญารามสูร×ลำเภาจันทร์
ชาย-ชาย,ไทย,ย้อนยุค,รัก,แฟนตาซี,อ่านสบายๆ,พีเรียดไทย,พระเอกเป็นยักษ์,นายเองเป็นนักฆ่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,นาย๑๒,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ! รอพวกข้าก่อน!"เบญจเอ่ยร้องตะโกนเสียงดัง เมื่อเห็นว่าเสด็จพ่อรูปงามกำลังจะไปที่ใดสักที่กับน้องชายน่าชังของตน ยิ่งตนได้เห็นท่าทีที่สนิทสนมกันของพวกเขา เบญจก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาและมิชอบใจเป็นอย่างมาก
ตนอยู่ที่นี่มาจะ ๑ เดือนแล้ว แม้ว่าจะได้ของที่ต้องการทุกอย่าง แต่ทว่าเบญจกับได้พบเจอเสด็จพ่อน้อยนัก ต่างจากน้องชายผู้นี้ที่ได้เจอเสด็จพ่อทุกวัน รู้เช่นนี้ตนก็ยิ่งรู้สึกมิพอใจ ที่เจ้าน้องชายน่าชังได้แต่สิ่งที่ดีกว่าตนและได้รับความสนใจจากเสด็จพ่อมากกว่า
"...พวกเจ้ามีกระไร"พญารามสูรเอ่ยถามเสียงเข้มขึ้นมาหลายส่วน ซึ่งแตกต่างจากน้ำเสียงเอ็นดูหยอกล้อที่ใช้กับพ่อลำเภาตัวน้อยอย่างเห็นได้ชัด
"เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านดู เจ้าเภาทำร้ายพวกเรา"เบญจแยกน้ำเสียงของบุรุษหนุ่มที่ตนนับถือเป็นพ่อบุญธรรมมิออก รีบยื่นแขนที่มีรอยบาดแผลซึ่งเป็นรอยขีดยาวๆให้อีกฝ่ายดู บาดแผลของเบญจและทศรักษ์ แม้จะทิ้งรอยแดงไว้เพียงนิดแต่ทว่าก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ดี สำหรับเบญจที่รักสวยรักงามและมักจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องบาดแผลจึงเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งนัก
"ข้าก็ด้วยพ่ะย่ะค่ะ"ทศรักษ์เปิดแผลของตนเองบ้าง ซึ่งตำแหน่งและรอยก็มิต่างกัน บ่งบอกว่าผู้ยิงมีทักษะและแม่นยำมากเพียงใด"เสด็จพ่อต้องลงโทษเจ้าเภาให้พวกเราหนาพ่ะย่ะค่ะ เขาทำร้ายพี่น้องของตัวเอง"
"พวกเรามิยอมถ้าเจ้าเภามิได้รับโทษที่สมควรพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อช่วยคืนความเป็นธรรมให้พวกเราด้วย เขาคงคิดว่าเสด็จพ่อรักเขามาก จึงได้เกเรกล้าลงมือทำร้ายพี่ชายเช่นพวกเรา"เบญจเอ่ยฟ้องโดยพูดให้ตนเองดูน่าสงสารและมิได้รับความเป็นธรรมที่สุด เพราะน้องชายคนที่ ๙ เคยเอ่ยกับตนว่าเสด็จพ่อนั้นเป็นกษัตริย์ ถ้าลงไปโวยวายเหมือนดั่งที่เคยทำกับบิดาและมารดาแท้ๆ พวกเขาคงสร้างความรำคาญใจให้แก่เสด็จพ่อบุญธรรมเป็นแน่แท้
"..."พญารามสูรขมวดคิ้วเข้มจนเกือบชนกัน ใบหน้าคมหล่อเหลาเคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมดุดันว่า"แล้วพวกเจ้าไปปากดีเอ่ยอันใดไว้? จิตใจคิดอิจฉาริษยาผู้อื่น โดนเพียงเท่านี้ยังน้อยนัก"
"ท ท่าน"เบญจและทศรักษ์หน้าซีด ก่อนจะตวาดสายตามองไปที่น้องชายคนเล็กสุดอย่างโกรธเคืองเพราะคิดว่าอีกฝ่ายต้องวิ่งไปฟ้องเสด็จพ่อก่อนพวกตนแน่ๆ
ใบหน้าของทั้งคู่บิดเบี้ยวมิพอใจเมื่อโดยขัดใจ แต่ทว่าด้วยเพราะมิสนิทชิดเชื่อกับบิดาผู้นี้ ทั้งคู่จึงได้มิกล้าเรียกร้องอันใดอีก เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อตามใจและเข้าข้างเจ้าน้องชายน่าชังมาก ยิ่งคิดพวกตนก็ยิ่งเจ็บใจ!
"...."ลำเภาจันทร์มองสบกับนัยน์ตาของพี่ชายทั้งสองเงียบๆ ไม่คิดสนใจสายตาแค้นเคืองที่มองมาสักนิด
และเมื่อเบญจและทศรักษ์มิได้ดั่งใจ ทั้งคู่ก็รีบวิ่งหนีออกไปทันทีเพราะพญายักษ์ข้างกายเริ่มทำหน้าน่ากลัวแล้ว ลำเภาจันทร์เองก็พึ่งเคยเห็น แบบนี้สิถึงจะเหมาะกับตำแหน่งกษัตริย์หน่อย ปกติแม้จะมีกลิ่นอายของอำนาจบารมีแผ่ออกมาตลอด แต่ทว่าอีกฝ่ายกับชอบทำตัวเป็นลูกหมาเจ้าเล่ห์ซะอย่างงั้น ยิ่งหลังๆมานี้ยิ่งหนักขึ้นทุกวัน จนลำเภาจันทร์เองก็มิรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพญายักษ์หรือลูกหมาตัวใหญ่กันแน่
และเรื่องนี้ลำเภาจันทร์ก็มิรู้เลยว่า นิสัยเช่นนั้นของพญารามสูรมีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่ได้รับมัน
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินขนานข้างกันมาที่ห้องโถงสำหรับทานอาหารขนาดใหญ่ของวังหลัก พวกเขาทั้งสองเริ่มทานมื้อเย็นรวมกัน หลังจากที่นางผิงหัวหน้าสาวใช้ยักษ์วัยกลางตนได้เตรียมสำรับอาหารเสร็จแล้ว
แต่ทว่าที่ด้านข้างของนางผิง เหมือนจะมีนางยักษ์สาวใช้หน้าตาธรรมดาหน้าอกแบนราบนางหนึ่ง แอบมองมาทางนี้ด้วยสายตาริษยาอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเพียงแค่แว๊บเดียวเท่านั้น จึงทำให้มิมียักษ์ตนใดมองเห็น ที่สำคัญคือนางและนางผิงยืนอยู่ทางด้านหลังของพญายักษ์ มันจึงทำให้พญายักษ์เองก็มองมิเห็นด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทว่าสำหรับลำเภาจันทร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
อันที่จริงมันก็คงมิแปลกอันใดที่จะมียักษ์สาวมาชอบพอพญายักษ์ เพราะพญารามสูรเองก็มากไปด้วยอำนาจและกำลัง ใบหน้าหรือก็หล่อเหลาคมคายตามแบบฉบับชายไทยดูดิบเถื่อน ทั้งนิสัยยังเป็นที่ต้องใจของสตรี หรือมิเว้นแม้แต่เพศเดียวกันอีกด้วย
แต่ที่ลำเภาจันทร์นึกแปลกใจคือ เหตุใดนางต้องมาหวงหึงเขากับพญารามสูรด้วย?
"ออกไป"พญารามสูรเอียงใบหน้าคมคายหันไปเอ่ยสั่งยักษ์สาวรับใช้ทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังมิใกล้มิไกลเสียงเข้ม เมื่อเขามองเห็นว่าเด็กน้อยมิสนใจตนเลย แต่กับให้ความสนใจนางยักษ์รับใช้ด้านหลังของตนเสียแทน มิได้ นี้คือการทานมื้ออาหารร่วมกันครั้งแรก พญายักษ์ต้องการใช้เวลาร่วมกับเด็กน้อยตัวเล็กให้มากที่สุด
มิรู้ตั้งแต่ยามใดที่พญาอสุราติดเด็กน้อยมากมายเช่นนี้ เพราะเมื่อยามที่พญายักษ์ได้อยู่ใกล้กับอีกฝ่าย เรื่องราวเคร่งเครียดที่ตนเจอมาจากงานก็หายสิ้นไปจนหมด แลจนทำให้พญาอสุรานึกอยากจะอยู่ใกล้ๆ ยิ่งได้เป็นตัวของตัวเองเช่นที่มิเคยเป็น พญารามสูรก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นมีความสุขกว่าแต่ก่อนนัก แลหัวใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผา บัดนี้มันกับเริ่มสั่นไหวมิหยุดจนตนมิรู้จะทำเช่นไรดีแล้ว
แม้พญารามสูรจะมิรู้ว่านี้ใช้รักหรือไม่ แต่ทว่าตนนั้นกับชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก
"อร่อยถูกปากเจ้าหรือไม่"พญารามสูรเอ่ยถามเด็กน้อยน่ารักตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นัยน์ตาคมสีเหล็กกล้า จดจ้องมองคนน้องอย่างรอคอยคำตอบ
"ใช้ได้"ลำเภาจันทร์พยักหน้าเบาๆ"ข้าชอบมัน"
"เช่นนั้นเจ้าทานเยอะๆเลยหนา จะได้โตไวๆ"พญารามสูรยกยิ้มกรุ้มกริ่ม พร้อมทั้งรีบตักอาหารชาววังจากเมืองมนุษย์ให้เด็กน้อยอีกเสียหลายๆชิ้น"รีบๆโตหนาพ่อลำเภา พี่รออยู่"
"...."
๒ ปีผ่านไป
"พระโอรสเพคะ ผ้าโจงกระเบนพับนี้เข้ากับพระองค์ยิ่งเพคะ"นางผ่อง สาวใช้ส่วนตัวของลำเภาจันทร์เอ่ยได้น้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของนาง พร้อมทั้งโชว์ผ้าโจงกระเบนผืนสีฟ้าสดใส ที่หากพระโอรสของนางได้สวมใส่ ต้องขับให้ผิวกายขาวผ่องมากยิ่งขึ้นเป็นแน่
"พระโอรสเพคะ เครื่องประดับทองฝังไข่มุกชุดนี้ต้องเข้ากับผ้าโจงกระเบนพับนั้นมิน้อยแน่เพคะ เดียวพวกหม่อมฉันทรงแต่งโฉมให้หนาเพคะ"เปรมสาวใช้ที่มีนิสัยใจร้อนกว่าสาวใช้อีกตนเอ่ย หลังจากเอ่ยจบนางและสหายก็จับพระโอรสของพวกนางแต่งองค์ทรงเครื่องทันที
"...."ลำเภาจันทร์ยืนนิ่งๆหน้ากระจก ใบหน้างดงามราวกับนางอัปสรสวรรค์มิมีความรู้สึกใดๆแสดงออกมาทั้งนั้น สงสัยล่ะสิว่าทำไมเขาถึงมีสาวใช้ได้ทั้งที่เคยบอกว่าไม่อยากมี
เหตุผลก็เป็นเพราะสมุดรวมพฤกษาพิษที่วางอยู่บนโซฟาข้างห้องอย่างไรล่ะ พญายักษ์เจ้าเล่ห์ตนนั้น ต่อรองให้เขายอมรับสาวใช้ไว้ค่อยดูแลถึงจะยอมมอบมันให้เขา เหตุผลหนึ่งก็คงเพราะกลัวเขาจะสร้างอันตรายจากเนื้อหาในสมุด แต่เหตุผลหลักคือ ช่วงหลังมานี้สุทัศน์หรือขุนพลหน่วย ๑ ชอบมาตามรังควานเขาไม่เลิก บ้างก็ทำเป็นบังเอิญเจอ บ้างก็ชวนไปโน่นไปนี่ พอพญาอสุรามาพบเข้า อีกฝ่ายจึงได้อยากให้เขามีสาวใช้ไว้คอยอยู่ข้างกาย ยังดีที่พญายักษ์ให้เขาเป็นคนเลือกเอง ทั้งคู่จึงได้เป็นยักษ์สาวรับใช้ที่มีจิตใจดีมาก ทั้งยังซื่อสัตย์ แม้จะซื่อสัตย์กับพญารามสูร แต่ทว่าก็ไม่คิดกับเขาในแง่ร้าย
"งดงามนักเพคะ"ผ่องยิ้มอ่อนโยนเมื่อพระโอรสของนางแต่งพระวรกายเสร็จแล้ว
ใบหน้าที่น่ารักและงดงามของพระโอรส ช่างเข้ากับผ้าไหมผืนฟ้าสดใสยิ่งนัก ทั้งเครื่องประดับที่มีจุดเด่นเป็นไข่มุกสวยสดอ่อนช้อย ก็ยิ่งขับให้ผิวกายพระโอรสของนางขาวกระจ่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
"งดงามมิมีผู้ใดเทียบได้เลยเพคะ นางนารีหรือนางอักษรก็มิอาจเทียบได้ หากพระโอรสของหม่อมฉันโตขึ้นต้องงามล้มแผ่นดินทั้งสามภพเป็นแน่แท้เพคะ"เปรมเอ่ยกับพระโอรสของนางด้วยสายตาปลาบปลื้ม
"เจ้าก็เว่อร์ไป"ลำเภาจันทร์ส่ายหน้าเบาๆให้กับสาวรับใช้ของตน"ข้าจะไปหอสมุด"
"เพคะ/เพคะ"
เหตุที่ลำเภาจันทร์จะไปหอสมุดก็เป็นเพราะเขาอยากจะหาหนังสือเพื่อศึกษาเรื่องชีพจรและเส้นเลือดต่างๆของเผ่ายักษ์ ตลอดมาแม้เขาจะพยายามศึกษามาโดนตลอด แต่ทว่าแม้แต่ในหอคอยแพทย์ยักษ์ก็ยังมีตำราน้องมาก แต่ก่อนเขาเองก็มิกล้าทดลองกับยักษาจริงๆ เพราะมีพื้นฐานไม่เพียงพอ
แม้ตอนนี้จะพอรู้มาบ้างแล้วว่ามิได้แตกต่างไปจากเส้นเลือดของมนุษย์นัก แต่ลำเภาจันทร์ก็ชอบเข้าไปศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้อยู่ดี
"พระโอรสพ่ะย่ะค่ะ ทรงจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เดินเข้าไปโค้งคำนับพระโอรสคนโปรดของนายเหนือหัวอย่างนอบน้อม ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร
"...ข้าจะไปที่หอสมุด"ลำเภาจันทร์เอ่ยตอบขุนทัพหน่อยที่ ๒ ตรงหน้า ดวงตากลมโตมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาหลายครั้ง เพราะเขารู้สึกตงิดใจว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะป่วยอยู่หรือเปล่า แม้ภายนอกจะดูปกติ แต่ทว่าจังหวะการหายใจดูติดขัดไม่น้อย ทั้งการก้าวเดินก็เหมือนจะลงน้ำหนักต่างกันอีกด้วย
"ให้กระหม่อมไปส่งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เอ่ยด้วยน้ำรอยยิ้มเป็นมิตร
"...อืม"ลำเภาจันทร์พยักหน้าเบาๆ ไหนก็ไหนๆแล้วใช้อีกฝ่ายเป็นหนูทดลองไปเลยก็แล้วกัน ทั้งยังได้สำรวจชีพจรเผ่ายักษ์ไปในตัวด้วย
"เช่นนั้นเชิญพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาพระโอรสไปส่งให้ถึงหอสมุดเลยพ่ะย่ะค่ะ"ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ เอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี ก่อนจะเปิดทางให้พระโอรสคนโปรดของนายเหนือหัวเดินนำ แล้วตนค่อยเดินอารักขาด้านหลังแทน
หลังการที่มาถึงหอสมุดศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ ก็เตรียมจะของตัวลา แต่ทว่าก็โดนพระโอรสองค์โปรดของฝ่าบาทรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
"ท่านศวุตย์ ท่านป่วยใช้หรือไม่"ลำเภาจันทร์เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม ดวงตากลมโตมองอีกฝ่ายขึ้นลงก่อนจะยกมุมปากยิ้มบางๆ"ให้ข้าช่วยดีหรือไม่"
จากประวัติที่เขาเคยถามภูตเงามา อีกฝ่ายเคยเป็นหัวหน้าขุนพลหน่อยที่ ๑ มาก่อน แต่ด้วยเพราะเจออุบัตติเหตุไม่คาดฝัน จึงทำให้แรงกายของอีกฝ่ายลดฮวบจนสู้ได้มิเต็มที่ เวลาขยับตัวหรือหายใจก็จะติดขัดมากกว่านายทหารยักษ์ตนอื่น ดังนั้นตำแหน่งหน่อยที่ ๑ จึงถูกแย่งไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนวิธีการรักษา แพทย์ของที่นี่ไม่สามารถทำอันใดได้เลย ใช้ยาก็แล้ว ใช้น้ำตกวิเศษก็แล้ว เขาได้ยินแว่วๆมาจากภูตเงาด้วยว่า มันเป็นโรคที่เกิดจากวิชามืด วิธีรักษาเป็นปริศนา ทั้งยังมียักษ์หลายตนที่เป็น ยักษ์ตนใดที่เป็นโรคนี้สังเกตง่ายๆคือดวงตาสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองผิดปกติ
"ช ช่วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? แต่กระหม่อมทรงหาวิธีรักษามาตั้งหลายวิธีแล้ว แต่ก็ยัง.."ศวุตย์หรือขุนทัพหน่อยที่ ๒ รู้สึกลำบากใจนัก แม้จะมิรู้ว่าพระโอรสตรงหน้ารู้ได้เช่นไรว่าตนป่วยอยู่ แต่หลายปีมานี้ตนพยายามรักษาจนท้อแท้และหมดหวัง แต่ถึงกระนั้นศวุตย์ก็ยังอยากที่จะหายจากโรคที่เป็นอยู่เช่นกัน ยิ่งนานวันเข้าโรคที่เป็นก็ยิ่งหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ แลจนบางครั้งก็เกิดความทรมานขึ้นมา ยามที่ศวุตย์คิดอยากจะช่วยเหลือฝ่าบาทเพื่อปกป้องแผ่นดิน ก็ยังทำได้มิเต็มที่
TBC