เมื่อหนุ่มออฟฟิศบังเอิญมาติดอยู่ในลูป 24 ชั่วโมงทุกวัน ทางออกเดียวคือต้องแก้ปัญหาชีวิตและความรักไปพร้อม ๆ กัน แต่จะทำอย่างไรให้ความรักมันคืบหน้า เพราะเมื่อวันใหม่มาถึงเธอก็ลืมเรื่องราวของเขาไปทั้งหมด
รัก,แอคชั่น,แฟนตาซี,ไทย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ร้านบ็อทเทิลแอนด์บลูส์เปิดไฟสลัว ฝนที่ตกลงมาช่วงเย็นทำให้อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไอดิน ขณะนั้นเป็นเวลาหัวค่ำ ร้านเกือบจะว่างเปล่า ลูกค้าเพียงคนเดียวเป็นชายวัยกลางคนตัวสูงใหญ่ท่าทางหยาบกระด้างนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่บาร์ บรรยากาศผ่อนคลายถูกทำลายลงทันทีเมื่อร่างหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในร้านอย่างกระหืดกระหอบ หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่ในอก ผู้มาใหม่พักหายใจมองไปรอบ ๆ สังเกตเห็นไหล่กว้างและรูปร่างกำยำของชายที่นั่งอยู่ก่อน คนนี้อาจช่วยเขาได้
แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป เมื่ออันธพาลสามคนเดินผ่านประตูเข้ามาถึงข้างในร้าน ทางออกเดียวถูกปิดเขาจนมุมไม่มีที่ให้หนีอีกต่อไป นักเลงร่างยักษ์และเด็กวัยรุ่นย้อมผมแดงจู่เข้าคว้าแขนทั้งสองข้างไว้อย่างรวดเร็ว ชายร่างผอมแห้งซึ่งเป็นหัวหน้าเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มอันน่ากลัว
“วิ่งเป็นลิงวอกเลยนะไอ้หน้าจืด นึกว่าจะปีนหนีขึ้นเสาไฟฟ้า ดันวิ่งเข้ามาในร้านเหล้าเสียนี่” เสียงแหบพร่าร้องถาม “แต่ยังไงคืนนี้แกก็ไม่รอดแน่ เลือกมาจะให้ฉันชกตรงไหน ตา หู จมูก หรือว่าที่ปาก”
“ขอไม่ชกที่หน้าได้ไหม พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานนะ” หนุ่มหน้าจืดขอร้องเสียงสั่นขณะถูกจับตัวไว้แน่น เขาเอียงศีรษะหนีด้วยความกลัว
“แกเอาหน้าเดินไปทำงานหรือยังไง ฉันไม่ได้จะตัดขาแกเสียหน่อย” ชายร่างผอมคำรามพร้อมกับยกกำปั้นขึ้น
“เฮ่ย! หยุด ห้ามมาทะเลาะกันในร้านของฉัน ไปตีกันที่อื่น” เสียงเจ้าของร้านตะโกนพร้อมกับคว้าปืนลูกซองยาวที่ซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์มาถือไว้ในมือ ท่าทีของเขาทำให้ทุกคนหยุดชะงัก
ทันใดนั้น ลูกค้าร่างใหญ่ในเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์สีซีด ๆ ก็ยืนขึ้น “เก็บปืนเสีย เดี๋ยวก็มีใครตายหรอก” ชายหุ่นหมีพูดกับเจ้าของร้านอย่างใจเย็น เขาเดินจากบาร์ไปหากลุ่มนักเลงด้วยฝีเท้าหนักแน่น
“สามรุมหนึ่งเขาเรียกหมาหมู่ ฉันว่าพวกแกปล่อยไอ้หน้าจืดนี่ไปเสียดีกว่า” ร่างกำยำพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อย่ามาจุ้นจ้าน นี่ไม่ใช่เรื่องของหมีควายอย่างแก หรืออยากโดนฉันจับส่งกลับสวนสัตว์” ไอ้ผอมขู่ตะคอกเสียงดัง
“ฉันเตือนดี ๆ แล้วนะ” ใบหน้าเหี้ยมตอบอย่างเย็นชา
ขณะที่อันธพาลร่างตัวโตกว่าอ้อมไปข้างหลังหมายจะคว้าตัวเขาไว้ ชายในเสื้อแจ็คเก็ตมอมแมมเอี้ยวตัวหลบอย่างมีชั้นเชิงพร้อมกับต่อยเข้าที่ปลายคางของมันอย่างรวดเร็ว ไอ้ตัวโตเสียหลัก เขาฉวยจังหวะกระทุ้งเข่าเข้าที่ลิ้นปี่ของมันอีกครั้ง ยักษ์ใหญ่ทรุดตัวลง สองมือยันพื้นด้วยความเจ็บปวด
เด็กวัยรุ่นผมแดงพุ่งเข้ามาช่วยอีกแรง มันเหวี่ยงหมัดเข้าที่ลำตัวของฝ่ายตรงข้ามด้วยความคะนองแต่เหมือนชกกำแพง แขนกำยำสะบัดหลังมือเข้าไปที่ใบหน้าของมันกระเด็นไปกองกับไอ้ยักษ์ทันที
เมื่อเห็นว่าลูกน้องสู้ไม่ได้ ตัวหัวหน้าจึงผละจากหนุ่มหน้าอ่อนรีบวิ่งออกจากประตูร้าน แต่ชายหุ่นหมีไวกว่าเขาคว้าคอเสื้อมันไว้ทันแล้วชกเข้าที่ตาซ้ายอย่างแรง ร่างผอมร้องขึ้นทันทีพร้อมกับวิ่งหนีไปในความมืด โดยมีลูกน้องทั้งสองเดินกระโผลกกะเผลกตามไป
“เรียบร้อย” คนชนะร้องบอกอย่างอารมณ์ดี
เจ้าของร้านร่างท้วมยิ้มอยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์บาร์อย่างพึงพอใจ ก่อนจะเก็บปืนลูกซองกลับเข้าที่เดิม
หนุ่มหน้าจืดยังคงยืนตัวสั่น “ขอบคุณครับน้า” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งด้วยความโล่งใจ
คนมือหนักพยักหน้าตอบ “เรื่องเล็กน้อย อยู่ห่าง ๆ ปัญหาเอาไว้ไอ้หนุ่ม” เขากลับไปนั่งที่บาร์ ปล่อยตัวตามสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บรรยากาศในร้านกลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มผู้เกือบตกเป็นเหยื่อของอันธพาลหายใจเข้าลึก ๆ “เบียร์ขวดหนึ่งครับ” เขาพูดกับเจ้าของร้าน จากนั้นจึงหันไปหาชายร่างใหญ่และเริ่มทักทายเขาอีกครั้ง
“จะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอนั่งด้วย” เขาถามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
ใบหน้าเหี้ยมโคลงศีรษะ “ได้สิ นั่งเลย” เขาตอบเสียงเรียบแต่เป็นกันเอง
“ผมชื่อกันต์ครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ พยายามทำเสียงสบาย ๆ แม้ว่าอะดรีนาลีนจะยังไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดก็ตาม
“อืม ฉันเป็นช่างซ่อมบำรุง ใคร ๆ ก็เรียกฉันว่านายช่าง เธอจะเรียกฉันอย่างนั้นก็ได้” ชายร่างใหญ่ตอบก่อนที่จะถามต่อ “ไปทำอะไรมาล่ะ ถึงได้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้ามาในนี้”
กันต์ก้มหน้าอย่างละอาย “หลายเดือนก่อนผมไปเซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้รุ่นพี่ในบริษัท ตอนนี้เขาลาออกไปและไม่มีใครติดต่อได้ พวกทวงหนี้มันก็เลยตามมาทวงเงินที่ผมแทน”
“เป็นคนค้ำประกันก็ต้องรับผิดชอบด้วยสิ” นายช่างกล่าวเป็นเชิงตำหนิ
“ผมกำลังหาทางอยู่ครับ” กันต์ตอบอย่างสิ้นหวัง สีหน้าเต็มไปด้วยความสลด “ตอนแรกเขาชวนให้ผมไปเป็นเพื่อนเฉย ๆ ไม่นึกว่าจะให้เป็นคนค้ำ…”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” ชายผู้ผ่านโลกมานานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันเคยเห็นแบบนี้มาเยอะ แย่หน่อยนะ” นายช่างยกเบียร์ขึ้นดื่ม “เธอยังหนุ่มต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก แต่การวิ่งหนีเข้ามาในร้านเหล้ามันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรหรอกนะ”
กันต์หัวเราะอย่างขมขื่น “ครับ ผมแค่จะมาหาที่ซ่อนตัว แต่กลับต้องมาจนมุมอยู่ในร้าน โชคดีที่นายช่างช่วยเอาไว้”
“เธอทำงานอะไรหรือกันต์” นายช่างถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมเป็นพนักงานออฟฟิศครับ” กันต์เงยหน้าขึ้นตอบ “เพิ่งย้ายมาอยู่เมืองนี้เมื่อสองปีก่อน งานที่บ้านเกิดผมไม่ค่อยได้เงินเดือนเยอะเหมือนที่นี่”
“ได้คุยกับที่บ้านบ้างไหม” ชายร่างใหญ่ถาม พยายามประเมินหนุ่มออฟฟิศ เขาจ้องไปที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มมองเห็นความไร้เดียงสาในแววตา
“ครับ ทุกครั้งที่มีโอกาส” กันต์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ยกเว้นเรื่องปัญหาที่ผมเพิ่งวิ่งหนีมา”
ดวงตาของนายช่างบ่งบอกว่าเขาเริ่มสนอกสนใจ “อืม ฉันรู้ว่ามันรู้สึกยังไง ฉันก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะมันทำให้ฉันมีโอกาสรอดมากกว่า”
กันต์โน้มตัวเข้ามาใกล้ “ยังคิดถึงอยู่ไหมครับ”
“อะไร” นายช่างหันมามอง มือที่บ่งบอกถึงการทำงานหนักเอื้อมไปคว้าขวดเบียร์ เขารินลงในแก้วที่สะท้อนแสงเป็นประกาย
“บ้านน่ะครับ” ชายหนุ่มเจาะจง
“ทุกวัน” เขายอมรับด้วยแววตาโหยหา “แต่เมืองนี้มันก็ดีนะ มีอะไรให้ฉันทำทุกวัน ฉันรักงานที่ทำอยู่ งานซ่อมแซมแก้ไขและบำรุงรักษา ไม่มีใครอยากเจอฉันหรอกยกเว้นแค่ตอนที่มีปัญหา”
หนุ่มออฟฟิศพยักหน้า “ของผมส่วนใหญ่มีแต่งานเอกสารกับจัดซื้อเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกวัน ค่อนข้างเครียดและน่าเบื่อ”
“กันต์ เธอก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” มือหยาบลูบหนวดอย่างพิเคราะห์ “เธอวิ่งหนีปัญหาแล้วก็ได้มาพบกับฉัน ช่างบังเอิญเสียจริง”
การสนทนาของชายทั้งสองดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย นายช่างเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือจากนั้นจึงยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด เขายืนขึ้น วางมือที่มั่นใจลงบนไหล่ของหนุ่มออฟฟิศ
“ถึงเวลาที่ฉันต้องไปก่อน มีเรื่องที่ต้องไปดูนิดหน่อย” ร่างใหญ่เอ่ยขึ้นในที่สุด “ส่วนปัญหาของเธอ ฉันว่าเธอต้องการเวลา บางครั้งเวลาก็เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยได้”
กันต์ขมวดคิ้ว “เวลาหรือครับ”
“และฉันก็มีของแค่นี้แหละ” มือหยาบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตแล้วดึงนาฬิกาข้อมือเก่า ๆ เรือนหนึ่งออกมา “นี่ เอานี่ไป”
กันต์มองดูอย่างสับสน “นาฬิกา? แต่นายช่างครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก” เขารู้ดีว่าไม่ควรรับของจากคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง
นายช่างยิ้มอย่างรู้ทัน “นาฬิกาของฉันเอง ยังใช้ได้ดีทีเดียว เชื่อเถอะมันไม่เหมือนนาฬิกาเรือนไหน ๆ มันพิเศษ แล้วเธอจะเข้าใจเอง แต่ตอนนี้ ฉันขอให้เธอรับมันไปและใส่ไว้” มือหนาหมุนเกลียวเม็ดมะยมเหมือนตั้งเข็มนาฬิกาก่อนจะยื่นให้
ชายหนุ่มลังเล แต่มีบางอย่างในดวงตาของนายช่างที่ทำให้เขาต้องรับนาฬิกาเอาไว้ “โอเค” เขาพูดช้า ๆ "ขอบคุณครับนายช่าง"
ร่างใหญ่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เก็บเงินกับไอ้หนุ่มนี่นะ” เขาพูดกับเจ้าของร้านก่อนจะจากไปอย่างไม่แยแส
กันต์มองดูขณะที่นายช่างเดินออกจากร้าน ไหล่กว้างของเขาหายไปในความมืด ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาของเขาเริ่มสอดส่องไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง ไม่แน่ใจว่าพวกอันธพาลจะเข้ามาอีกหรือไม่
แสงสลัวและดนตรีเคล้าไปกับเสียงพึมพำของลูกค้าที่มีอยู่เพียงไม่กี่รายภายในร้านทำให้กันต์รู้สึกกลับมาเป็นกังวลอีกครั้ง เขาหยิบนาฬิกาที่นายช่างมอบให้ขึ้นมาพิจารณา ตัวเรือนและสายทำด้วยสแตนเลสสตีลค่อนข้างมีน้ำหนัก ชายหนุ่มมองหายี่ห้อแต่ไม่พบ เขาจ้องมองเข็มนาฬิกาที่หยุดเดินชี้ไปที่เวลาเที่ยงตรง
“แปลก นาฬิกาตายแต่บอกว่ายังใช้ได้ดี” กันต์พึมพำกับตัวเอง อดคิดไม่ได้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ที่นายช่างบอกว่า ‘บางครั้ง เวลาก็เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยได้’ มันเป็นเพียงคำพูดที่แสดงถึงความปรารถนาดีหรือมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น
กันต์รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำมันทั้งประหลาดและตลกเมื่อเขาสวมนาฬิกาที่เข็มชี้เวลาไม่กระดิกไว้บนข้อมือ คิดในแง่ดีมันอาจเป็นเครื่องรางนำโชคให้เขารอดพ้นจากแก๊งทวงหนี้ เมื่อยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่เขาก็ต้องกลับเช่นกัน หนุ่มออฟฟิศจ่ายเงินพร้อมกับหันหลังก้าวออกจากประตูร้าน
ค่ำคืนนี้อากาศเย็นสบาย ชายหนุ่มเดินข้ามถนนอย่างระมัดระวังเข้าไปในซอยที่มีแสงสลัว ทุกเสียงดูเหมือนจะดังชัดขึ้นบนทางอันเปล่าเปลี่ยว เสียงพึมพำของการจราจรที่อยู่ห่างไกล เสียงเห่าของสุนัขเป็นครั้งคราว เสียงใบไม้ที่พลิ้วไหวตามสายลม ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ทุกเสียงและเงาจะทำให้เป็นประสาท พวกนักเลงอันธพาลอาจซุ่มซ่อนรอเขาอยู่ในเงามืด
การถูกแก๊งทวงหนี้หมายหัวทำให้กันต์หวาดระแวง เขารีรออยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ทันใดนั้นชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงตบที่ไหล่ กันต์สะดุ้งสุดตัวหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เสียงหนึ่งเรียกชื่อเขาอย่างคุ้นเคย ร่างสูงหมุนตัวยกแขนเตรียมป้องกันแต่กลับพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ อาการวิตกเปลี่ยนเป็นความโล่งใจอย่างท่วมท้น
“เฟิร์น ตกใจหมดเลย พี่ก็นึกว่า…” กันต์หยุดพูด ลมหายใจของเขายังคงหอบถี่
หญิงสาวผมบ๊อบสั้นหน้าม้าในชุดนอนมองมาที่เขาด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรคะพี่กันต์ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี แล้วดึกดื่นมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ไม่เข้าไปล่ะ” ในมือของเธอถือถุงหิ้วจากร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย
ชายหนุ่มฝืนยิ้ม พยายามปกปิดความวิตกของตัวเอง “พี่ก็แค่...ออกมาเดินเล่นน่ะ” เขาโกหก “คืนนี้อากาศดีนะ”
ตาเฉี่ยวคมดูเหมือนจะไม่เชื่อแต่ก็ปล่อยไป “เข้าข้างในกันเถอะค่ะก่อนที่ฝนจะตก”
หนุ่มร่างสูงและหญิงสาวเดินเคียงกันไปยังอะพาร์ตเมนต์ กันต์รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างประหลาดที่มีคนรู้จักเดินอยู่ข้าง ๆ เฟิร์นแตะคีย์การ์ดที่เครื่องอ่านบัตร ประตูกระจกเปิดออกทันที ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อมองว่ามีใครไล่ตามเขามาอีกหรือไม่ แต่คนเดียวที่เห็นคือพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างสบายใจ ชายวัยใกล้เกษียณมองด้วยหางตาปราดเดียวก่อนจะกลับไปดูละครคุณธรรมต่อ
ทั้งสองคนขึ้นลิฟต์ไปอย่างเงียบ ๆ ต่างจมอยู่กับความคิดของตนเองกระทั่งแยกทางกันบนชั้นสี่ กันต์บอกลาเฟิร์นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลี้ยวซ้ายหญิงสาวเลี้ยวขวาเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
กันต์คลำหาลูกกุญแจแล้วเปิดประตูอย่างไม่รีรอที่จะเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของเขา ห้องนี้มืดมิดและเงียบสงบ ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายที่เพิ่งเผชิญมาอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขากดสวิตช์แสงจากหลอดไฟก็ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ชายหนุ่มรักห้องนี้ มันทั้งสะอาดและอบอุ่น เป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขายามต้องการความสงบ
เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทพวกนักเลงเมื่อตอนหัวค่ำทำให้ชายหนุ่มหมดแรง และเบียร์หลายขวดก็ทำให้เขาง่วง กันต์เหนื่อยเกินกว่าจะอาบน้ำ เขาเตะรองเท้าออกแล้วล้มตัวลงบนเตียง ที่นอนและผ้าห่มนุ่ม ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนนอนอยู่บนก้อนเมฆ ไม่กี่นาทีเขาก็ผลอยหลับไป