“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”

ข้าสำนึกได้แล้ว - ๔ ไม่อาจดูเบา โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ตลก,แฟนตาซี,เทพเซียน,จีนโบราณ,ขุนนาง,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ข้าสำนึกได้แล้ว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ตลก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เทพเซียน,จีนโบราณ,ขุนนาง,ย้อนยุค

รายละเอียด

“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

ข้าสำนึกได้แล้ว-๑ ข้าสำนึกผิดแล้ว,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๓ เข้าใจผิด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๔ ไม่อาจดูเบา,ข้าสำนึกได้แล้ว-๕ จับตาดูอย่างใกล้ชิด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๖ แทงใจดำ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๗ อยู่ยากขึ้นทุกวัน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๘ ตั้งต้นชีวิตใหม่,ข้าสำนึกได้แล้ว-๙ ทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๐ ไหวพริบเป็นเหตุ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๑ ข้อสันนิษฐาน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๒ ถ่องแท้เสียที,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๓ มั่นใจในตัวเองสูง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๔ ไหน้ำส้มแตก,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๕ มีชั้นเชิง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๖ ล้างสมอง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๗ ปรับความเข้าใจ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๘ ชัดเจน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๙ พิสูจน์ตัวเอง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๐ งานง่ายๆ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๑ ความรู้แตกฉาน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๒ ปมในใจคลี่คลาย,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๓ คลอดบุตร,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๔ บทส่งท้าย

เนื้อหา

๔ ไม่อาจดูเบา



บทที่๔ ไม่อาจดูเบา




เงาร่างสูงปราดเข้ามาขวางหน้า พลางแผ่กลิ่นอายสังหารเข้มข้มข่มขวัญ สองสาวถึงกับหนาวสั่นเย็นนะเยือกไปถึงภายใน และในทันทีที่แหงนหน้ามองเจ้าของร่างสูงใหญ่ สีหน้าที่ไม่สู้ดีอยู่แล้วก็ยิ่งดูแย่และซีดขาวมากยิ่งขึ้น เนื้อตัวยังสั่นเทิ้มแข้งขาร่ำๆ จะทรุดลงกับพื้นให้จงได้


ดวงตาคมกริบมองจ้องร่างบางเขม็ง เพื่อคอยจับสังเกตมารยาสาไถย และลูกไม้ที่คนตรงหน้าจะนำมาใช้ในยามที่เจอะเจอกับตน แล้วก็ให้รู้สึกทึ่งจัดที่นางสามารถแสดงละครเป็นสตรีอ่อนแอได้อย่างแนบเนียน ดูท่าแล้วเขาคงจะดูเบานางจนเกินไปกระมัง ไม่นึกจริงๆ ว่าไม่เจอกันเพียงร่วมเดือน แต่ฝีไม้ลายมือจะพัฒนาไปไกลกว่าสตรีในหอโคมเขียวเสียอีก


เขาล่ะเกลียดสตรีประเภทนี้ที่สุด เสแสร้ง มารยา มากเล่ห์ หรือพวกที่แสร้งปล่อยเพื่อจับเหมือนนาง เขายิ่งรังเกียจจนไม่อยากเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้คงต้องฝืนใจตัวเองสักครั้ง จึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง


“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”


ฟังน้ำเสียงและใบหน้ามืดครึ้มราวกับจะฆ่าใครให้ตาย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อกัน ฟางเยว่ซินหวาดผวากระเถิบร่างเข้าหาสาวใช้คนสนิท ตัวสั่นราวกับลูกนกจับไข้


จูจูเห็นใจนายสาวแต่นางก็จนใจที่จะช่วยเหลือ เพราะตนก็มีชนักติดหลังเรื่องที่ร่วมมือกับคุณหนูวางยาใต้เท้าเซี่ย อีกฝ่ายไม่ให้คนลากนางไปโบยให้ตายก็ดีแค่ไหนแล้ว


“ไม่ได้ยินหรืออย่างไร หรือต้องให้ข้าป่าวประกาศความไร้ยางอายของเจ้าตั้งแต่ตรงนี้” เสียงของเขาไม่หนักไม่เบาจนเกินไป เรียกสายตาผู้คนที่เดินอยู่ในระยะใกล้ให้หันมามองด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ แต่เมื่อไม่เห็นมีอะไรจึงเลิกให้ความสนใจไปเอง


หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ละล่ำละลักมองหน้าชายหนุ่มอย่างหวาดๆ “ขะ ข้า ขอ โทษ”


นางขอโทษในเรื่องที่เคยรับปากว่าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีก เลยไม่รู้ว่าคำพูดของตนกลับทำให้เขาเข้าใจไปอีกอย่าง


“ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ”


“…” นางมองเขาอย่างไม่เข้าใจมากนัก แต่เขาคงหมายถึงเรื่องที่นางผิดคำพูดกระมัง จึงได้พยักหน้าเบาๆ ตอบกลับไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะโกรธจัด ยืนกัดฟันกรอด แววตาที่มองมาคล้ายจะเรืองแสงได้ ไหนจะเสียงตะคอกนั่นอีก


“ไป!”


“จะ เจ้าค่ะ” นางขานรับด้วยท่าทางลนลาน ดันร่างของคนสนิทให้ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมือหนาเอื้อมมาดึงแขนของนาง แล้วดึงรั้งเข้าไปปะทะกับอกแกร่งของเขา


“ไร้ยางอายแล้วยังจะหูตึงอีก ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”


แต่ข้าไม่มี ร่างเล็กสวนกลับในใจทันควัน ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังจำติดตาไม่หาย เกิดว่าเขาโมโหจนหน้ามืดแล้วเผลอลงมือทำอะไรรุนแรนลงไป นางอาจจะตายก่อนได้คลอดลูกกระมัง


เซี่ยหลานอยากจะชื่นชมกับมารยาใสซื่อบริสุทธิ์ของนางอยู่หรอก แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์สุนทรีขนาดนั้น เมื่อนางไม่ยอมตามไปดีๆ เขาจึงตัดสินใจตวัดร่างเล็กขึ้นอุ้ม เดินดุ่มๆ ไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีน้ำเสียงสดใสเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน


“ใต้เท้าเซี่ย”


ใต้เท้าหนุ่มรีบปรับสีหน้าและอารมณ์ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ โดยที่ยังคงอุ้มฟางเยว่ซินไว้ในอ้อมแขน


“คุณหนูรองฟางกับสหายนั่นเอง” เขากล่าวเสียงเรียบ ไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ ที่ได้เจออีกฝ่าย


แต่ด้วยบุคลิกหน้านิ่งเป็นเอกลักษณ์ เด็กสาวที่มาด้วยกันต่างก้มหน้างุด ลำตัวก็บิดไปมาอย่างขวยเขิน


ท่าทีราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก สร้างความรำคาญตาให้แก่ชายหนุ่มนัก แต่ด้วยหน้าที่การงานและวุฒิภาวะ เขาจึงไม่ได้แสดงอารมณ์ไม่พอใจให้พวกนางได้เห็น อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูเป็นปกติจนแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ


“เอ๊ะ นั่นพี่สาวนี่น่า”


เซี่ยหลานรู้สึกว่ามารยาของฟางเยว่ซินเป็นประโยชน์ก็ตอนนี้ การที่นางท่าทีเป็นว่าหมดสติ ทำให้เขาใช้เป็นข้ออ้างและกล่าวแก้ต่างกับทุกคนได้


ช่างดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ


“นางเป็นลม ข้าเลยจะอุ้มนางเข้าไปด้านใน”


“ให้ข้าเรียกคนบังคับรถม้ามาอุ้มนางไปส่งโรงหมอดีกว่าเจ้าค่ะ จะได้ไม่เป็นการรบกวนใต้เท้า” ฟางลี่อินกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวาน ด้วยความหวังดี


ฟางเยว่ซินกำหมัดแน่นจนเกร็งไปทั้งร่าง ส่วนชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจในความคิดของเด็กสาวตรงหน้า พลางคิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้หรือว่าหากทำเช่นนั้น ต่อไปจะทำให้ผู้อื่นมองพี่สาวตัวเองในทางที่ไม่ดีเอาได้


“ไม่ถือว่ารบกวน”


“แต่ว่า..พี่เยว่ซินกับบ่าวชายคนนั้นสนิทสนมกันดี ไม่น่าจะเป็นอันใดเจ้าค่ะ แล้วเดี๋ยวข้าจะได้พานางกลับจวนพร้อมกันเลย”


หญิงสาวที่กำลังแสร้งหมดสติ ตกใจจนแทบจะกระโดดออกจากอ้อมแขนอันทรงพลัง แล้วไปตบกะบาลนังน้องปากไม่มีหูรูดที่ชอบพูดจาให้ผู้อื่นเข้าใจผิดอยู่เรื่อย ส่วนจูจูนั้นใบ้กินไปชั่วขณะ ยังคิดไม่ออกว่าคุณหนูของตนไปสนิทสนมกับใครตอนไหน ด้านใต้เท้าเซี่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าตาดุดันจนแทบจะดูไม่ได้อยู่แล้ว


“งั้นข้าจะให้คนของข้าไปส่งนางเองก็แล้วกัน ขอตัวก่อน” ร่างสูงเปลี่ยนใจพานางไปขึ้นรถม้าไร้ตราประทับที่จอดอยู่ไม่ห่างจากหน้าร้านที่ตนยืนอยู่


จูจูจึงลืมตัวว่าตนท้องอยู่ กึ่งเดินกิ่งวิ่งเพื่อให้ทันขึ้นรถม้าของใต้เท้าเซี่ย


ฟางลี่อินหันไปอมยิ้มอย่างมีเลศนัยกับเหล่าสหาย ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างมีความสุข