“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”
ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ตลก,แฟนตาซี,เทพเซียน,จีนโบราณ,ขุนนาง,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าสำนึกได้แล้ว“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”
บทที่๖ แทงใจดำ
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะร้อยวันพันปีเจ้ากรมอาญาผู้เย็นชาต่อทุกสิ่ง ไม่เคยย่างกรายมาที่จวนเหตุไฉนวันนี้ถึงมาที่นี่ได้
ขุนนางหนุ่มเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างสง่าผ่าเผย มาถึงก็ค้อมศีรษะให้ผู้อาวุโสแห่งจวนสกุลฟาง กล่าวทักทายเสนาบดีพอเป็นพิธีจากนั้นจึงได้ยื่นห่อยาให้แก่สาวใช้คนหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ของคุณหนูฟาง นางลืมไว้ในรถม้า พรุ่งนี้เช้าตรู่คนของข้าจะใช้รถม้าไปทำธุระต่างเมือง จะให้คนอื่นนำมาคืนก็คงไม่ดีนัก ข้าก็เลยนำมาคืนให้ด้วยตนเอง
คุณหนูใหญ่ฟาง คราวหลังก็เรียกหมอมาดูอาการที่จวนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องออกไปแล้วเป็นลมเป็นแล้งกลางทางอีก หรือว่า..” เขาหยุดกล่าวแล้วสังเกตสีหน้าของทุกคน จากนั้นก็โยนเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟ คาดหวังจะให้มันปะทุออกมาซึ่งๆหน้า “หรือว่ามีคนไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกหมอมาตรวจอาการกันนะ”
จบประโยค ใบหน้าของทุกคนก็ซีดเผือด โดยเฉพาะเจียวเหมยซือฮูหยินเอกคนปัจจุบันของเสนาบดีฟางหยวนคัง
ฮูหยินผู้เฒ่าตวัดสายตามองไปยังลูกสะใภ้ที่ตนไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไหร่ นายท่านผู้เฒ่าและคนอื่นๆก็หันไปมองด้วยสายตาคลางแคลงใจไม่ต่างกัน
“เอ่อ…” เป็นครั้งแรกที่ความสามารถในการแถจนสีข้างถลอกของเจียวเหมยซือหยุดทำงาน นางอ้ำๆอึ้งๆพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ เพราะสิ่งที่เจ้ากรมอาญาพูดนั้นแทงใจดำเข้าอย่างจัง แต่นางก็กล้ายืนยันได้ว่านั่นมันเมื่อก่อน ส่วนครั้งนี้นางไม่รู้เห็นอันใดด้วยเลย
“ว่าอย่างไร เจียวเหมยซือ” หญิงชราถามเสียงเย็น นางเองก็พอจะรู้ว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ เพียงแต่ที่ผ่านมาผู้ที่มักจะชอบสร้างปัญหาก็คือฟางเยว่ซิน นางจึงไม่คิดที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้บุตรชายจัดการกับปัญหาในครอบครัวเอาเอง เพราะเดิมทีเขาก็เป็นผู้ชักนำปัญหาเข้ามาในชีวิต จนมารดาของเยว่ซินตรอมใจจนตายจากไป แต่เห็นทีเรื่องนี้นางจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้
“ท่านแม่ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนะขอรับ” ฟางหยวนคังแย้งเสียงอ่อน เขาคิดว่าต้องมีการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง เพราะเจ้าลำเอียงอย่างนี้ไงเล่า เลยทำให้ชีวิตล้มเหลวหลายๆอย่าง และมองพลาดไปในหลายๆสิ่ง
“แต่…”
“ฟางหยวนคัง บิดาเคยสั่งสอนและปลูกฝังเจ้าไว้อย่างไร สอนให้เจ้ามีความยุติธรรมและซื่อสัตย์ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้แม้แต่ความเป็นกลางยังไม่มีเล่า” นายท่ายผู้เฒ่าที่นั่งฟังอย่างเงียบๆมานาน อดใจที่ไหวจึงได้เอ่ยปากตำหนิบุตรชายต่อหน้าทุกคน แต่พอรู้สึกตัวว่ามีคนนอกอยู่ด้วยจึงหยุดปากไว้เพียงแค่นั้น ทว่าสายตาที่มองไปยังบุตรชายกลับดุดันมากยิ่งขึ้น
ไม่บ่อยครั้งที่ผู้เป็นบิดาจะออกโรงเองเช่นนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังมีโทสะและพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ อย่าเห็นว่าเป็นชายแก่ท่าทางใจดี เนื้อแท้แล้วเป็นคนเด็ดขาดและหนักแน่นจริงจังเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นบุรุษที่รักเดียวใจเดียวไม่เคยทำให้มารดาต้องเสียใจให้กับเรื่องของสตรีอื่น คิดแล้วก็ให้ละอายแก่ใจยิ่งนัก
“ขออภัยขอรับท่านพ่อ ต่อไปลูกจะเป็นกลางให้มากกว่านี้”
ใต้เท้าหนุ่มลอบเหยียดปากอย่างดูแคลนในความสามารถ นี่ขนาดว่าวางตัวเป็นกลางแล้วนะ ยังล้มเหลวในเรื่องของครอบครัวได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าหากไม่มีความเป็นธรรมเลยเล่าจะล้มเหลวขนาดไหน ดูสถานการณ์แล้วเขาคงต้องจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดให้มากกว่านี้อีก เพราะเล็งเห็นถึงปัญหาครอบครัวที่เป็นแรงผลักดันให้นางเป็นสตรีไร้ยางอายชอบหาทางจะจับเขา เพื่อที่จะได้ย้ายออกไปจากนรกขุมนี้ คิดๆแล้วก็เห็นใจนางไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มองนางมากไปกว่าบุตรีสหายของมารดา เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าเขาจะยอมให้นางจับเขาได้ง่ายๆ ส่วนไอ้ที่เคยจับไปแล้วนั้นไม่นับ
เมื่อเริ่มคิดเรื่องไร้สาระมากจนเกินไป เซี่ยหลานเห็นสมควรแก่เวลาที่จะต้องกลับจวนของตัวเองเสียที จึงเอ่ยแทรกบรรยากาศชวนอึดอัดออกไปว่า “นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ต้องขออภัยที่ข้าไม่สามารถร่วมโต๊ะกับพวกท่านได้ ขอตัวก่อน”
ทุกคนอึ้งไปตามๆกันเพราะยังไม่มีใครได้เอ่ยชวนให้อีกฝ่ายอยู่กินมื้อเย็นร่วมกันเลยแม้แต่น้อย แต่พอมาครุ่นคิดดูอีกที เป็นขุนนางหนุ่มไฟแรงต่างหากที่คิดอ่านเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าพวกตนจะต้องเอ่ยชวนตามมารยาทอย่างแน่นอน ช่างรอบคอบจริงๆ
“เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าค่ะ” ดรุณีรีบเอ่ยปากเมื่อได้สติ ก่อนจะลุกพรวดโดยไม่รอฟังคำอนุญาต
ฟางเยว่ซินมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองไปด้วยความเจ็บแปลบ ได้แต่เตือนตัวเองว่าให้ตัดใจจากเขาได้แล้ว ทว่า คำว่าสำนึกรู้ในสิ่งที่ตนกระทำกับหักห้ามใจหรือตัดใจให้เลิกรักเลิกคิดถึงนั้นมันคนละเรื่องกัน ต่อให้วันนี้นางสำนึกได้ว่าควรจะยืนอยู่จุดไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะลืมเขาได้ในชั่วระยะสั้นๆ
เศร้าเหลือเกิน ปวดหน่วงในใจเหลือจะกล่าว
“ซินเอ๋อร์เจ้าหน้าซีดนัก กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หากยังไม่หายดีประเดี๋ยวย่าจะส่งคนไปตามหมอมาดูอาการอีกที อ้อ ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ย่ากับปู่ของเจ้าจะจัดการสั่งสอนคนให้เอง”
“เจ้าค่ะ”
จูจูรีบเข้ามาประคองผู้เป็นนาย จากนั้นจึงได้เดินลัดเลาะไปอีกเส้นทางหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับคนทั้งคู่ยืนคุยกันอย่างออกรสบนเส้นทางดังกล่าว ทั้งสองคนจึงจำเป็นต้องหาที่หลบมุมเงียบๆ รอให้พวกเขาจากไปก่อนแล้วค่อยกลับเรือน ด้วยระยะที่ไม่ห่างมากนักจึงได้ยินบทสนทนาค่อนข้างชัดเลยทีเดียว
“ใต้เท้า ข้าถามจริงท่านชอบพี่เยว่ซินหรือเจ้าคะ เหตุใดต้องช่วยนางด้วยเล่า ท่านก็รู้จักนางดีนี่น่า”
“ไม่ได้ชอบ” ชายหนุ่มตอบเสียงแข็ง พอจะก้าวเดินต่อเสียงกระจ่างใสก็รั้งให้รออยู่ก่อน เขาจึงยืนอยู่ต่อด้วยความหงุดหงิด
“ท่านไม่อยากรู้ความลับหรือเจ้าคะ” นางขยับเข้าไปหาเขา พร้อมกับกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน “ท่านไม่ชอบนางก็ดีแล้ว คนรักลับๆของนางจะได้ไม่หึงหวงไปมากกว่านี้”
“เฮอะ! ใครจะไปชอบสตรีไร้ยางอายได้ลงเล่า ต่อไปหากนางมายุ่งกับข้าอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น” ร่างสูงกล่าวจบก็สะบัดตัวจากไป ทิ้งคำพูดให้ตกตะกอนภายในใจของคนฟังไปตราบนานเท่านาน
ฟางลี่อินหันมาทางที่คนทั้งสองยืนอยู่พร้อมกับคลี่ยิ้มแล้วปลีกตัวไปอีกทาง
หากเป็นเมื่อก่อนฟางเยว่ซินอาจจะเข้าไปเอะอะโวยวายใส่ ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“กลับเรือนกันเถอะ”
“คุณหนู”
“ข้าไม่เป็นไร”
จูจูมองเจ้านายด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไร ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลย อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่าพ่อของเด็กในท้องคือใครกันแน่
เวรกรรมตามทันจริงๆ เฮ้อ!
ตกดึกเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นภายในจวนสกุลฟาง หญิงสาวที่เพิ่งจะเคลิ้มหลับไปได้ไม่นานสะดุ้งตื่น ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างระงับเอาไว้ไม่ได้ ดวงหน้าขาวนวลและสองฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น จนกระทั่งสาวใช้คนสนิทเข้ามาเขย่าตัว นางจึงสงบจิตสงบใจ ร่างกายไม่ได้สั่นเทิ้มอย่างในตอนแรก แต่อาการอกสั่นขวัญแขวนยังคงมีอยู่
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“บ่าวไปสืบให้เองเจ้าค่ะ”
“ข้าไปด้วย”
“แต่น้ำค้างแรงเช่นนี้ คุณหนูจะไม่สบายเอาได้นะเจ้าคะ”
“งั้นก็รอฟังข่าวที่นี่แหละ ประเดี๋ยวรอถามกับพวกเดินเวรยามก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ไม่ช้าเรื่องที่ทั้งสองอย่างรู้ก็มีคนนำมารายงานให้ทราบ ที่แท้เป็นคนบังคับรถม้ากับสหายที่แอบดื่มสุราในจวนแล้วทุบตีกันเอง ผลลัพธ์คือถูกไล่ออกจากจวนทั้งคู่ นึกว่ามีคนถูกฆ่าตายเสียอีก เมื่อไม่มีอะไรแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไม่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครบางคนกำลังยืนหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่ากลัวอยู่ในมุมหนึ่งของเรือนหลังนี้