“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”

ข้าสำนึกได้แล้ว - ๑๐ ไหวพริบเป็นเหตุ โดย รอยยิ้มพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ตลก,แฟนตาซี,เทพเซียน,จีนโบราณ,ขุนนาง,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ข้าสำนึกได้แล้ว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ตลก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เทพเซียน,จีนโบราณ,ขุนนาง,ย้อนยุค

รายละเอียด

“เลือกเอาเถอะระหว่างแต่งเข้าไปเป็นอนุ หรือยอมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แล้วรับเงินไปหนึ่งแสนตำลึงทอง”

ผู้แต่ง

รอยยิ้มพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

ข้าสำนึกได้แล้ว-๑ ข้าสำนึกผิดแล้ว,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๓ เข้าใจผิด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๔ ไม่อาจดูเบา,ข้าสำนึกได้แล้ว-๕ จับตาดูอย่างใกล้ชิด,ข้าสำนึกได้แล้ว-๖ แทงใจดำ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๗ อยู่ยากขึ้นทุกวัน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๘ ตั้งต้นชีวิตใหม่,ข้าสำนึกได้แล้ว-๙ ทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๐ ไหวพริบเป็นเหตุ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๑ ข้อสันนิษฐาน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๒ ถ่องแท้เสียที,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๓ มั่นใจในตัวเองสูง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๔ ไหน้ำส้มแตก,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๕ มีชั้นเชิง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๖ ล้างสมอง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๗ ปรับความเข้าใจ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๘ ชัดเจน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๑๙ พิสูจน์ตัวเอง,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๐ งานง่ายๆ,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๑ ความรู้แตกฉาน,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๒ ปมในใจคลี่คลาย,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๓ คลอดบุตร,ข้าสำนึกได้แล้ว-๒๔ บทส่งท้าย

เนื้อหา

๑๐ ไหวพริบเป็นเหตุ


บทที่๑๐ ไหวพริบเป็นเหตุ




ว่ากันว่า คนฉลาดย่อมรู้จักใช้อำนาจที่มีให้เกิดประโยชน์ ย่อมรู้จักคิดและรู้จักวางแผน มันก็เหมือนกับการออกศึก อย่างแรกที่คนนำทัพต้องมี คือการศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของแคว้นนั้นๆอย่างละเอียดรอบคอบ อย่างเช่น ต้องรู้ว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร มีภูเขากี่ลูก ตั้งอยู่ทิศทางใดบ้าง มีแม่น้ำกี่สาย ไหลไปบรรจบที่ใด เป็นต้น


อย่างที่สอง คือการเรียกประชุม ปรึกษาหารือ วางแผนการอย่างรัดกุม


อย่างที่สาม นำทัพเข้าต่อสู้กับข้าศึกอย่างเหนือชั้น


และอย่างสุดท้าย คือการชนะสงคราม


เห็นหรือยังข้อดีของการเป็นคนที่ฉลาดเฉลียว แค่มีแบบแผนทุกอย่างก็ง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เจ้ากรมอาญาก็เป็นหนึ่งในคนฉลาดที่มีเพียงไม่กี่คนในแคว้น เขาจึงได้รับการยกย่องและได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย ยิ่งเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นที่น่าเกรงขามมากขึ้นเท่านั้น


หลังจากได้สมุดบันทึกรายชื่อเข้าออกเมืองหลวง รวมถึงเมืองข้างเคียงอีก3เมืองมาอยู่ในมือ ชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มเยาะ ต่อจากนั้นก็สวมวิญญาณเป็นแม่ทัพในตำนาน ศึกษาข้อมูลทั้งหมดจากสมุดบันทึกรายชื่อที่ได้มาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ง่ายดายมาก


หลังจากนั้นเขาจึงสวมวิญญาณเป็นกุนซือผู้ชาญฉลาด โดยการวางกลยุทธ์ที่จะสามารถทำให้กองทัพเอาชนะข้าศึกได้


กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งถูกกางออก มือหนาจับพู่กันจุ่มในน้ำหมึก ก่อนจะนำมาวาดเป็นสัญลักษณ์พร้อมอธิบายด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวเองสูง


“เมืองหลวงเข้าออกได้ถึง4ทิศ แต่ละทิศจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรองคนเข้าออก2คน ไม่รวมทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูเมือง สมุดบันทึกมีรวมกันทั้งหมด12เล่มหนาต่อเดือน


จากที่ศึกษารายละเอียดอย่างถ่องแท้ พบว่ามีชื่อแซ่ที่ซ้ำกันเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากว่าข้าค่อนข้างที่จะมีปฏิภาณไหวพริบ จึงได้นำรายชื่อเหล่านั้นไปเทียบเคียงกับอีก3เมือง จึงสามารถชี้เป้าได้ตรงจุด”


เขาวงกลมล้อมรอบสัญลักษณ์ที่เพิ่งจะวาดเสร็จ เงยหน้ามองคนสนิทแล้วพูดต่อด้วยความมั่นใจว่า


“สตรีก็เช่นนี้ พอจับข้าไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีการโง่ๆ คิดเหรอว่าข้าจะสนใจ กลยุทธ์ตื้นเขิน อ่านง่าย ข้าเพียงเสียเวลาศึกษาข้อมูลไป3วัน ก็รู้จุดยุทธศาสตร์แล้วว่าคือที่ใด”


“คือที่ใดหรือขอรับ”


เซี่ยหลานหรี่ตาลง กล่าวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ “เมืองเจี้ยน”


“ขอรับ งั้นเราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลยหรือไม่”


“อย่าได้รีบร้อน ข้าไม่ได้ใส่ใจถึงเพียงนั้น”


“เช่นนั้น..”


“เราจะเดินทางด้วยม้าเร็ว ข้าขี้เกียจนั่งรถม้ามันอึดอัด”


“ขอรับ งั้นข้าน้อยจะรีบไปเตรียมม้าให้เดี๋ยวนี้”


สองนายบ่าวควบม้าออกจากเมืองหลวงเป็นการเร่งด่วน ทหารยามที่ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าออก เพียงเห็นป้ายหยกประจำตำแหน่งก็รีบเปิดทางให้แต่โดยดี เพราะได้รับคำสั่งตรงมาว่ากรมอาญากำลังปฏิบัติภารกิจพิเศษ อย่าได้ขัดขวางการทำงานของพวกเขาโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงระดับแคว้นได้


ใช้เวลาเพียง1วันก็มาถึงเมืองเจี้ยน เซี่ยหลานไม่รอช้ารีบเข้าพบท่านเจ้าเมืองอย่างลับๆ แล้วขอตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่ ที่ได้ทำการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในแต่ละอำเภอ หลังตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยการเสียเวลาไป1คืนเต็ม ก็พบกับข้อมูลที่ต้องการ พอเช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ควบม้าไปยังตำแหน่งที่มั่นใจว่าเป้าหมายอาศัยอยู่ ทว่ากลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่พวกเขาตามหา


“ข้าอาจจะดูอะไรผิดไปเล็กน้อย” เขาบอกคนสนิทด้วยรอยยิ้มจืดชืด หลังจากนั้นก็กลับมาศึกษาข้อมูลใหม่ คัดเลือกรายชื่อที่เพิ่งจะเดินทางเข้าเมืองในระยะ2เดือนที่ผ่านมา เทียบกับรายชื่อของผู้ที่เดินทางออกนอกเมืองไปแล้ว จึงเหลือเพียงไม่กี่คน เขากับคนสนิทจึงไปตรวจสอบ และผลก็ปรากฏออกมาว่าไม่ใช่


“อาจจะผิดพลาดตรงที่ใดสักแห่ง ไม่เป็นไร เริ่มกันใหม่” เขาเริ่มกัดฟันพูดด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา จากนั้นก็ส่งพิราบสื่อสารเรียกคนของตนมาเพิ่ม ช่วยกันตระเวนตรวจสอบไปทั่วทุกมุมของเมืองเจี้ยน จากที่เคยมีรอยยิ้มเสแสร้งแต่งแต้มบนใบหน้า ครานี้ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าถมึงทึงราวกับจะฆ่าฟันใครให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนจะล่าถอยกลับไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ทว่าวันลาพักร้อนเหลืออีกเพียงแค่1วัน เซี่ยหลานผู้เอางานเอาการ จึงไม่ปล่อยให้สูญเปล่า เขากับพวกพ้องเร่งเดินทางไปตรวจสอบอีก2เมืองที่เหลือ และแล้วผลก็ปรากฏออกมาเหมือนเช่นเคย


มุมปากได้รูปกระตุกไม่หยุด ก่อนที่จะเหยียดปากเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม รู้สึกได้ถึงความร้อนดั่งถูกไฟบรรลัยกัลป์แผดเผาภายในอก จนอยากจะดึงซับในของนางที่ซุกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อขึ้นมาฉีกกระชากให้หายแค้น


นางช่างกล้า กล้าหนีให้เขาติดตาม ช่างท้าทายความอดทนของเขายิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะกลิ่นหอมจืดจางบางเบาไปแล้วล่ะก็ คิดหรือว่าเขาจะค้นหาให้เหนื่อย


“หึ สตรีอัปลักษณ์ เจ้าชักจะกล้าดีเกินไปแล้ว”


เช้าวันทำงาน เซี่ยหลานได้ยื่นเรื่องขอลาพักต่ออีก3เดือน ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะสมุดบันทึกรายนามคนเข้าออกเมืองต่างๆ ยังมาไม่ถึงเมืองหลวง เขาไม่อาจรั้งรอจึงจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ทางด้านฝ่าบาทย่อมเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้ากรมอาญายิ่งกว่าขุนนางคนใดในราชสำนัก จึงอนุมัติและเพิ่มวันลาพักอย่างไม่มีกำหนด ส่วนหน้าที่การงานในกรมก็มอบหมายให้ผู้อื่นจัดการแทน อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมในความทุ่มเทของขุนนางหนุ่มไปเสียหลายต่อหลายคำ


“เยี่ยมมาก เป็นคนที่ขยันเอาการเอางาน กลับมาคงต้องอวยยศให้หน่อยแล้ว ตระกูลเซี่ยเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ น่านับถือ น่านับถือ”