ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"นังกัสเสร็จหรือยังยะ หล่อนจะตะบอยทำเป็นมาม่าชาววังหรือไงยะอีหอยฯลฯ" เสียงบ่นอย่างไม่จริงจังนักดังอยู่ใกล้ ๆ หู อีหมึก อีนังตัวดีที่ดีแต่พูด มันนั่งทำงานอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คง่วนไป แต่กลิ่นหอมแสนยั่วยวนมันทำให้คนที่ได้กลิ่น ชักจะท้องร้องเสียแล้ว
"กูหั่นของเสร็จแล้วรออีหม่อมน้านี่แหละ มึงทำเร็ว ๆ ดิ๊" ผมหันไปซัดอีตัวดีที่นั่งตะบอยหั่นผักอยู่ข้าง ๆ นี่ต่อ อีสาวชาววัง อีกะล่อยกะหลิบ ทำอะไรเนิ่นช้า ต๊ะต่อนยอน เดี๋ยวโดนแดกหัว อีหมึกยิ่งปาดจัด ๆ อยู่ด้วย ฉวยแม่มันโมโหหิว แดกหัวมึงกะกู เหมือนก่องข้าวน้อยฆ่าแม่นะมึง
"ใจเย็น ๆ สิ ของอร่อยก็ต้องใจเย็น ๆ" อีหม่อมน้าตอบแล้วก็ค่อย ๆ บรรจงหั่นผักของมันต่อ ไม่มีทีท่าว่าจะร้อนใจแต่อย่างใด
จริง ๆ พวกเราก็ไม่ได้ทำช้าอะไรเลย กลับมาถึงหอพัก ก็รีบทำของกินกันเลยเพราะวันนี้มันวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันที่พวกเราสามตัวตกลงกันว่าจะทำอะไรกินกันเพื่อสมานมิตรภาพ
เนื่องจากวันเสาร์เช้า พวกเราชาวเมืองกรุงก็จะติดปีกติดหางบินกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองผมน่ะอยู่กรุงเทพฯ อีหมึกมันอยู่ระยอง ส่วนอีหม่อมน้า ก็อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกันแต่หล่อนอยู่ถึงฝั่งธนโน่น เห็นมันเคยคุยฟุ้งว่ามันอยู่คลองบางหลวง ใกล้บ้านของแม่พลอยสี่แผ่นดิน เผลอ ๆ มันจะเป็นลูกหลานแม่พลอยเสียก็ไม่รู้
เราสามตัวเมื่อได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยจากที่ต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับพวกชายโฉดเพราะต้องประหยัดเลยอยู่หอใน และชีวิตชายตุ้งติ้งแบบผม ก็ไม่คุ้นชินเล๊ยกับการต้องอยู่กับบรรดาชายแทร่ สันดานโฉด
ไหนจะเรื่องความสะอาดสะอ้าน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเอะอะโวยวาย และที่เกลียดที่สุดก็คือการแดกเหล้าแล้วเมา
ยังดีว่าไม่มีการกลั่นแกล้งบูลลี่ ผมมันตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว อยู่กับพวกชายโฉดก็เหมือนลูกแกะตัวน้อย ๆ ในฝูงหมาป่าอย่างไรก็อย่างนั้น
ใช้ชีวิตอยู่เทอมเดียว ในระหว่างนี้ก็สอดส่ายสายตาหาคนที่พอจะร่วมใช้ชีวิตเป็นรูมเมทกันไปอีกสามสี่ปี โดยที่ไม่ตีกันตายห่าเสียก่อน รวบรวมมาได้อีกสองตัวคืออีหมึกโลจิสติกส์ กับอีหม่อมน้าคณะศึกษา
สังคมมหาวิทยาลัยไม่กรี๊ดกร๊าดเหมือนตอนเรียนมัธยมซึ่งโรงเรียนของผม มีเก้งกวางตุ๊ดแต๋วเยอะม๊าก เยอะจนผมไม่รู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัวอะไร ไม่ต้องเก็บอาการเพราะเก้งกวางคือคนเก๋ ในสังคมโรงเรียนมัธยมของผม
แต่พอมาอยู่สังคมใหม่ ไอ้พวกเก้งน่ะมันก็มีแหละแต่มันแอ๊บ ๆ ทำแมน ๆ จึงปรากฏเกย์ก้ามปูเสียเป็นส่วนเยอะ เก้งสาวหวานแตกมีอยู่แค่นับนิ้วมือได้ และที่นิสัยดีพอที่จะคบและลากมาอยู่ร่วมห้องด้วยกันจึงมีแค่อีสองตัวที่พอรับมือไหว และพวกเราก็ต้องเก็บอาการแต่พอดี จะทำตัวกรี๊ดกร๊าดเสียงดังเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้อีกแล้วล่ะ
หม่อมน้านั้นชื่อจริงมันชื่อ ณรงค์ แต่ชอบทำตัวต๊ะต่อนยอน เนิ่นช้า จริตหญิงไทย และถ้าจะนึกภาพให้ออกว่าเป็นประมาณไหน ก็ลองคิดถึงพี่แอ๊ฟ ทักษอรนั่นเชียว แม้แต่กะพริบตามันยังกะพริบตาช้าเลยเอากับแม่สิ
แต่อาการของอีหม่อมน้านั้นดูจะหนักกว่ามาก ที่ต้องเรียกหม่อมด้วยเพราะอีนังนี่มันช่างเจ้ากี้เจ้าการราวกับเป็นคุณในวัง และแน่นอน พวกกูคือขี้ข้าบ่าวไพร่ ก็อยู่กับคุณข้างในแล้วหนิ กูก็ต้องรับบทนังแช่ม นังช้อยอะไรก็ว่ากันไป
แต่ข้อดีของหม่อมน้าก็คือนางจิตใจดี ชอบทำบุญ และแทบจะไม่พูดคำหยาบคายเลย แรก ๆ ผมกับอีหมึกก็มองอีหม่อมซึ่งอาบน้ำประแป้งนอน ใส่ชุดนอนตัวหลวมลายการ์ตูน แล้วเจ้าหล่อนก็นั่งสวดมนต์ก่อนนอน สวดนานม๊าก นานกว่าเจ้าอาวาสอีกมั้ง มองอีนี่แบบปลง ๆ แต่ในการต่อมาก็ชินไปเอง
นี่ไม่นับวันพระซึ่งหล่อนจะถือศีลแปด ไม่กินข้าวแค่สองมื้อ แต่ผมว่าอีหม่อมไม่หิวหรอก ก็มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงล่อเสียเต็มอัตรา เย็นลงไม่กินข้าวเย็นก็เห็นจะไม่ตาย แล้วมันก็อวบอั๋นกว่าใครในพวกเราสามตัว
ส่วนอีหมึกอีนี่ปากร้าย และชอบทำตัวเป็นอีเจ้ขาวีน ชอบทำตัวเป็นหัวหน้า มองดูไปคล้าย ๆ ใครสักคนที่สนิทกัน อ้อใช่แล้วเหมือนอีเจ๊หวัง โดยเฉพาะนิสัย กล่าวคือ ถ้าใครสักคนจะทำให้เราหัวเราะได้ ก็ต้องเป็นอีหมึกนี่แหละที่มักจะปล่อยมุกตลกแบบหน้าตาย หรือพูดศัพท์แสงอะไรที่ฟังแล้วไม่เข้าใจแต่รู้ความหมายกันด้วยโมเม้นต์ในเวลานั้น แล้วก็หัวเราะกันแทบตาย
"ทำอะไรกินน่ะ หอมไปถึงห้องเราเลย" เสียงทุ้ม ๆ ดังมาจากหน้าประตูเพราะเราแง้มประตูไว้นิด ๆ เพื่อให้กลิ่นมันไม่อวลอยู่ในห้อง เดชะบุญว่าลมมันพัดมาจากหน้าห้อง และลอยหายไปทางระเบียงด้านหลัง รวมถึงลมพัดเย็น ๆ จะได้ไม่เปลืองแอร์
"ทำมาม่า แดกมั๊ยล่ะ?" ผมหันไปถามอีต้นเสียงและอีเปรตนั่นก็ถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งอมยิ้มมอง เตาไฟฟ้าที่กำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุย
"อีเปา ช่วยออกมาม่าด้วยค่ะ ถ้าจะแดกมานี่มานั่งกงนี้" ผมหันไปบอกไอ้เพื่อนร่วมหอ ผัวของอีเจ๊หวัง และขยับที่นั่งให้มันนั่งใกล้ ๆ ผม นอกจากเป็นเพื่อนของไอ้เปาแล้ว ผมต้องคอยเป็นหูเป็นตา เป็นพี่เลี้ยง เป็นคนคอยสอดส่องไม่ให้มีอะไรหรือใครมาตอแย ไอ้เปาผัวสุดที่รักของว่าที่พี่สาวนอกสายเลือดของผม
"จัดไป" ไอ้เปามันพูด หยิบโทรศัพท์แล้วก็โอนเงินผ่านพร้อมเพย์ มันกระเด้งเข้าโทรศัพท์ผม เห็นจำนวนเงินที่มันโอนมาให้ ผมก็อมยิ้ม เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบปลากระป๋อง หมูสับ แล้วก็กุ้งต้มใส่เพิ่มไปอีก เพราะพ่อบุญทุ่มโอนมาให้หนึ่งพันบาท รวมถึงแกะมาม่าเพิ่มอีกสองห่อ อ้อผักสดเพิ่มด้วย เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม และผักสดอีกสองสามอย่าง ขืนใส่น้อยไม่คุ้มค่าเงินที่ได้รับโอน อีเปาเอาไปฟ้องเมีย ผมก็โดนด่าเสียรังวัด จะหาว่าดูแลผัวเด็กของเจ๊หวังไม่ดี นี่ตกลงเพื่อนกูหรือเจ้านายกูเนี่ย
"เอาล่ะ สุกแล้ว ขอเชิญทุกท่านรับทานแดกห่าค่ะ" ผมบอก พร้อมกับเปิดฝาหม้อจนไอน้ำร้อน ๆ พวยพุ่ง มันมาพร้อมกลิ่นหอม ๆ จนพวกเราน้ำลายสอ ชามพร้อม ตะเกียบพร้อม น้ำจิ้มพร้อม แดกค่ะ
เราสี่ตัวปรับทุกข์จากการเรียนกันบ้าง เรื่องส่วนตัวบ้าง หรือนินทาคนโน้นคนนี้ เริ่มตั้งแต่เพื่อนในคณะ อาจารย์ที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ ไปจนถึงคณะบดี จนแม้แต่หมาในคณะ ก็โดนนินทาไม่มีเว้น
"พรุ่งนี้กลับบ้านยังไง?" เปามันหันมาถามผม
"ก็เหมือนเดิม มีคนมารับ" ผมตอบมันและเดาไม่ออกว่าใครกันหนอจะเป็นคนมารับผม ไม่พ่อก็แม่ หรือไม่ก็พี่ชายสองคน ซึ่งจะมาพร้อมความประหลาดใจไม่มากก็น้อย
ผมในฐานะลูกคนเล็ก มีข้อตกลงคือวันเสาร์วันอาทิตย์จะต้องกลับมานอนค้างที่บ้าน เพราะพ่อกับแม่และพี่ ๆ คิดถึง และเป็นห่วง ส่วนอีหม่อมน้ามันก็กลับบ้างไม่กลับบ้างแต่ส่วนมากนางจะไม่กลับ ใช้ชีวิตลั้นลาอยู่ที่นี่แหละ มันว่าสงบดีที่ไม่มีใครมันได้อยู่ห้องคนเดียว ซึ่งเช้าวันจันทร์กลับมาห้องจะสะอาดเป็นพิเศษ เพราะอีหม่อมน้าซึ่งเป็นคนละเอียดจู้จี้ จะเก็บกวาดทำความสะอาดห้องเสียเรียบ เคยแอบนินทากับอีหมึกว่า เผลอ ๆ อีหม่อมน้าอาจจะใช้แปรงสีฟันขัดพื้นทำความสะอาดก็เป็นได้ เดชะบุญที่ผมกับอีหมึกก็สะอาดเข้าขั้นปกติ อีหม่อมน้ามันก็เลยไม่ได้ว่าอะไรเราสองตัว แต่ผมว่าอีหม่อมน้ามันค่อนข้างหมกมุ่นกับความสะอาดมากกว่าชาวบ้านทั่วไปเล็กน้อย
พ่อของผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และแม่ของผมก็เป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยเหมือนกันแต่อยู่กันคนละมหาวิทยาลัยนะ แต่ไอ้เรื่องที่พีคน่ะมันคือพี่ชายของผมสองคนนี่มีที่มาต่างกับผมนิดหน่อย
มันก็ต้องย้อนหลังไปที่พ่อกับแม่น่ะ เคยเป็นเพื่อนเรียนคณะเดียวกันมาก่อนแต่คนละเอก แต่ก็เรียกว่าสนิทกันนั่นแหละ แต่เมื่อเรียนจบแม่ก็แต่งงานไปกับคนที่ตาและยายหมั้นหมายให้ แม่ยังเด็กนัก และอยากจะตามใจยายเพราะตอนนั้นยายป่วยใกล้จะเสียชีวิต ยายอยากให้แม่แต่งงานเพื่อจะได้หมดห่วง แม่ซึ่งเป็นสาวซ่าจึงยอมตบปากรับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
แต่งงานได้เพียงหกเดือนก็ตั้งท้องและมีพี่ชายคนโตของผมคือพี่กุ๊ก ส่วนพ่อของผมแต่งงานหลังจากนั้นได้สามปี แต่งงานกับเมียของแกซึ่งไปพบรักที่ทำงาน แต่เจ้ากรรมมีลูกก็ตั้งชื่อกุ๊กเหมือนกัน แต่พ่อมาเสียภรรยาไปเพราะโรคร้าย โลกเหวี่ยงคนสองคนให้กลับมาพบกัน ตอนนั้นพี่กุ๊กลูกพ่อยังเล็กมาก แม่สงสารพ่อบวกกับสงสารพี่กุ๊ก และด้วยถ่านไฟเก่า ก็เลยกลับมาคบกัน ก็เลยมาแต่งงานกันแล้วก็มีผมนี่แหละ
สรุปก็คือ ลูกเขา ลูกเธอ แล้วก็ลูกเรา แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราสามคนพี่น้องก็สนิทสนมกันดี ไม่มีความคิดว่าไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ของเราเลย ตรงกันข้ามเลย พี่กุ๊กลูกแม่นั้นสนิทกับพ่อ ส่วนพี่กุ๊กลูกพ่อ แม่ก็รักแล้วก็ตามใจมาก ฟังแล้วปวดหัวดีเหมือนกัน
แต่ตามประสาลูกคนเล็ก ผมก็ถูกสปอยล์เยอะที่สุด แต่จากทั้งพ่อ ทั้งแม่แล้วก็สองกุ๊ก โดยผมจะเรียกพี่กุ๊กคนโตว่าเฮียกุ๊ก ส่วนพี่กุ๊กคนรอง ผมชอบเรียกแกว่า พี่กุ๊กไก่ จะได้ไม่งง เพราะเรียกพี่กุ๊กแล้วหันทั้งสองคน ไม่รู้ว่าเรียกใครกันแน่ ถ้าอยู่คนเดียวก็แล้วไปทีไม่สับสน
จริง ๆ จะว่าไป ผมค่อนข้างเป็นที่ผิดหวังของพ่อแม่ไม่มากก็น้อย เพราะสมัยเรียนมัธยมผมน่ะเรียนดี เรียนเก่งอยู่ห้องคิงมาตลอด พ่อกับแม่ฝากความหวังนักว่าผมคงจะได้เป็นมดเป็นหมอ หรือไม่ก็วิศวะ เพราะคนเรียนเก่งก็มักจะเลือกเรียนสาขานี้
แต่แรงบันดาลใจของมันคือเจ๊หวัง ซึ่งเรียนไม่เก่งเล๊ย แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่า ทำไมผมมั่นใจว่าคนอย่างเจ๊หวังนี่แหละที่จะเอาชีวิตรอด และรอดแบบดีเยี่ยมซะด้วย ในสมัยเรียนเจ๊หวังผู้ซึ่งซ่าและสะสวย (อันนี้เจ๊หวังแกมั่นใจของแก)
งานกีฬาสีซึ่งผมโดนให้รับบทเชียร์ลีดเดอร์ ปีนั้นทุกคนต้องแต่งหญิง ผมโดนอีเจ๊หวังโม่หน้า แต่งหน้าไปก็บ่นไปตามประสาคนสนิทกัน และเมื่อผมมองตัวเองในกระจก ก็ออกจะตื่น ๆ เพราะแม่งไม่นึกว่าคนอย่างกูจะแต่งหญิงได้สวยขนาดนี้
"เจ๊หวังเก่งอ่ะ" ผมชมจากใจจริง
"หนังหน้ามึงก็พื้นเพดีด้วยไง" เจ๊หวังตอบและอมยิ้มแบบถ่อมตัวนิด ๆ
"สวยจริง ๆ นะเจ๊ กัสจำตัวเองไม่ได้เลยอ่ะ" ผมชมอีก
"เจ๊ชอบแต่งหน้าทำผมอ่ะ เจ๊ทำได้ทั้งวันไม่เบื่อเลย เรียนจบเจ๊ก็จะไปเป็นช่างเสริมสวยล่ะ" เจ๊หวังพูดด้วยตาเป็นประกาย ผมรู้สึกได้ถึงพลังเลยเชียวล่ะ มันเต็มอิ่ม มีความหวัง และรู้ว่านั่นคือเป้าหมายของใครคนหนึ่งที่จะทำให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม และผมอยากจะมีความมุ่งมั่นอย่างนี้บ้าง แล้วก็ฟังเจ๊หวังเล่าถึงวิถีทางของแกต่อว่าแกจะไปเรียนเพิ่มเติมที่นั่นที่นี่ ก็ดูน่าสนุกเหมือนกัน
ผมเรียนเก่งก็จริง แต่สารภาพตรง ๆ ว่าในหัวของผมคิดไม่ออกเลยว่าผมชอบหรือรักอะไร ผมทำคะแนนสอบได้ดีเพราะหัวดีก็เท่านั้น แต่เมื่อถึงวันที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหน พ่อกับแม่โกรธหน้าดำหน้าแดง เพราะรู้ว่าผมเลือกมาเรียนที่มหาลัยติดชายทะเล
"หรือจะให้กัสเรียนที่เชียงใหม่ล่ะแม่" ผมต่อล้อต่อเถียงก็มหาวิทยาลัยที่ผมเลือกไม่มีมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เลยสักแห่ง อาจเพราะผมซึ่งเป็นลูกคนเล็กและถูกประคบประหงมมาตลอด เลยอยากลองทำตัวเองให้เข้มแข็ง อยากลองไปเผชิญโลกด้วยล่ะมั้ง
สุดท้ายก็ได้มาเรียนที่นี่สมใจ และด้วยข้อแม้ที่ต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์อย่างที่ว่า ซึ่งผมก็ไม่ได้จะมีปัญหากับการนั่งรถทัวร์ไปกลับกรุงเทพฯ นะ แต่คนที่บ้านของผมไม่ยอมต่างหาก แต่ผมก็คิดเอาเองว่าถ้าผมโตกว่านี้ ผมอาจจะได้กลับบ้านเองหรือมามหาลัยเองก็ได้ ถึงวันนั้นจริง ๆ ผมอาจจะอยากให้คนไปรับไปส่งให้สบายก็ได้ใครจะไปรู้
และเมื่อถึงเช้าวันเสาร์นี้ พ่อเป็นคนมารับแฮะ ชวนผมคุยเรื่องเรียนเรื่องทั่ว ๆ ไป ตามประสา เมื่อคืนเม้าจนดึก ผมคุยได้ครู่เดียวก็หลับไป มาตื่นอีกที เอ๊า พ่อไม่ได้พาผมมาที่บ้าน แต่กลับพาผมไปที่บ้านย่า
"แม่กับกุ๊กอยู่นี่ เจ้ากุ๊กไปฮ่องกง" พ่อเฉลย และผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเฮียกุ๊กขี้แกล้งไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน
พ่อพาผมมาร้านอาหารของย่า ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ย่าใจดี ทำกับข้าวอร่อย และช่างคุย เมื่อเปิดประตูร้าน ผมก็รีบไปกอดย่าก่อนคนอื่นเลย เพราะคิดถึงที่สุด ที่สำคัญต้องอ้อนเยอะ ๆ เพราะเดี๋ยวย่าจะทำอะไรอร่อย ๆ มาให้ผมกิน จากนั้นก็กอดแม่โดนหอมแก้มสองฟอด และเดินไปกอดพี่กุ๊กไก่แต่พี่แกก็ดันหัวของผมออกไป แบบเขิน ๆ เพราะผมไม่ใช่น้องกัสจังตัวน้อยอีกแล้วและ พี่กุ๊กไก่ก็ตัวโตเป็นหนุ่มใหญ่บึกบึกเหมือนพ่อ การโดนเด็กชายกอดคงดูแปลก ๆ ดีเหมือนกัน
"น้องกัสอยากกินอะไรลูก?" ย่าถามและผมก็ยิ้มกว้าง ผมมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว
"สปาเกตตีผัดขี้เมาปลาสลิดจ๊ะ" ผมตอบและรออยู่ครู่เดียวย่าก็เดินกระฉับกระเฉงออกมาพร้อมกับสปาเกตตีจานโต
ผมชอบกินอาหารเส้น ๆ แต่ถ้าจะเป็นคาโปนาร่าก็คงจะต้องนาน ๆ ทีเพราะกินแล้วเลี่ยน แต่พี่กุ๊กไก่นั้นทำหน้าเหม็นเบื่อเต็มทีเพราะแกไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ และบ่นว่าเบื่อนมเบื่อเนยเต็มที่ พี่กุ๊กไก่ชอบกินข้าวและกับข้าวไทย ๆ มากกว่าแบบแซ่บ ๆ นี่ใช่เลย
เส้นสปาเกตตีที่สุกกำลังดี ไม่สุกจนเละ กัดแล้วต้องดึ๋ง ๆ สู้ลิ้น แบบที่ย่าเรียกว่า ออลเดนเต้ อาหารจานนี้ของย่าหอมกลิ่นสมุนไพรสำหรับทำขี้เมา ทั้งพริกไทยดำเผ็ดร้อน กระชายหอมขึ้นจมูก น้ำมันมะกอกใส่มาเคลือบเส้นจนเป็นมันวาวแต่ไม่เลี่ยน แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือเนื้อปลาสลิดแห้งที่กัดไปแต่คำอร่อยอย่างกับขึ้นสวรรค์ ยิ่งถ้ากัดพร้อมกับพริกแห้งซึ่งเพิ่มรสเผ็ดร้อนทำให้ซู่ซ่า มื้อนี้ก็เป็นอันว่าตายตาหลับเมื่อได้หม่ำจนอิ่มหนำจนปากมัน
สมัยเด็ก ๆ ย่าทำแบบสปาเกตตีแบบไม่เผ็ดให้ผมกิน คือเป็นซอสมะเขือเทศกับพวกเนื้อกุ้งหรือสัตว์ทะเล ใส่ใบโหระพาเยอะ ๆ แต่พวกอาหารเส้น ๆ พวกนี้ตามประสาเด็กผู้ชายถ้าจะทำอะไรกินเอง เพราะพ่อกับแม่กลับบ้านช้า ก็ต้องพึ่งมาม่าเป็นหลัก ยังไม่เก่งกาจถึงขนาดทำสปาเกตตี
ใส่ไข่ต้มเข้าไปหน่อยหรือจะหมูสับที่พอมีเหลือ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร หรือจะใส่ผักอะไรที่มีเหลือในตู้เย็นด้วยก็ได้ผมกินผักเก่งอยู่แล้ว แต่จะพลิกแพลงเป็นพวกปลากระป๋องก็เข้าท่า และมันมักจะเป็นเมนูที่ผมเลือกทำยามเย็นวันศุกร์บ่อย ๆ เพราะกินง่ายดี แถมประหยัดด้วย
บ้านของผมไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านของไอ้เปา เพราะฉะนั้นจึงต้องหารูมเมทอีกสองคน ผิดกับไอ้เปาที่อยู่คนเดียวสบาย ๆ คนเดียวแต่ประตูห้องของผมกับมันตรงกันข้ามกันเลยเพราะเจ๊หวังมอบหมายงานให้ผมคอยสอดส่องไอ้เปาด้วยว่ามีใครมาวอแว หรืออีเปาแอบหนีไปซุกซนที่ไหนหรือเปล่า
แม่นั้นเป็นผู้หญิงเก่งแต่ทำกับข้าวไม่เก่ง ก็เลยเป็นข้อปฏิบัติที่จะมาขลุกอยู่ร้านของย่าบ่อย ๆ เพราะวันหยุดพ่อก็ชอบมาช่วยงานที่ร้านของย่าเหมือนกัน พ่อน่ะเป็นลูกของย่าแท้ ๆ เพราะเห็นท่าทางคงแก่เรียนแบบนี้แต่ใจดีแล้วก็ทำกับข้าวเก่งเหมือนย่าเชียวแหละ
แต่แม่ถ้ามาที่ร้านของย่า แม่ก็มักจะหอบเอากองเอกสารไปนั่งขลุกทำงานวิชาการที่ด้านหลังบ้านซึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มใบหนา
"แม่ครับเดี๋ยวผมช่วย" พ่อเดินมาช่วยงานย่าในครัว
"เพิ่งขับรถมาเหนื่อย ๆ ไปเอนหลังก่อนก็ได้ลูกค้ายังไม่เยอะ" ย่าบอกแต่พ่อก็ดื้อเข้าครัวไปช่วยย่าทำอาหารให้ลูกค้าอยู่ดี ผมมาถึงบ้านตอนสาย ๆ ตอนนี้ก็มีแขกมาสองโต๊ะแล้ว ร้านย่าเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ไม่หวือหวา แต่มีลูกค้าประจำค่อนข้างมาก ยิ่งเดี๋ยวตอนเที่ยงล่ะก็ คนจะมากินกันเต็มร้านทีเดียว ผมก็เลยต้องรีบซัดอาหารโปรดในจานตรงหน้า จากนั้นบ้วนปากให้สะอาด คว้าผ้ากันเปื้อนแล้วก็ไปช่วยย่าเสิร์ฟ แล้วก็รับเมนู เพราะทำจนชินตั้งแต่เด็กเสียแล้ว
"วันนี้มีหลนปูเค็มด้วยนะครับ กินกับขมิ้นขาว แล้วก็ผักสด แกล้มด้วยปลาช่อนทอดแดดเดียวเข้ากันมาก ๆ เลยนะครับ" ผมแนะนำเมนูพิเศษวันนี้และลูกค้าก็ทำท่าสนใจ
"แนะนำแกงอะไรดีคะ น่ากินไปทุกอย่างเลย" ลูกค้าซึ่งเป็นแม่บ้าน พาครอบครัวพ่อแม่ลูก มาครั้งนี้ครั้งที่สามแล้ว ตามองไล่ในเมนูรายการแกงต่าง ๆ
"มีเปรี้ยวหวานกับเค็มแล้วกินแกงจืดล้างคอก็ดีนะครับ เห็นย่าบอกว่ามีแกงจืดดอกขจรด้วย เอาหมูสับกับรากผักชีกระเทียมพริกไทย ต้มกับดอกขจร ซดน้ำแกงร้อน ๆ ชื่นใจดีครับ" ผมตอบและคุณพ่อบ้านก็สั่งเมนูกินเล่นอีกสองอย่าง
ทำงานถึงตอนเย็น พี่กุ๊กไก่หนีไปข้างนอกแล้ว ส่วนแม่ก็ยังทำหน้ามุ่ยอ่านตำราอยู่เหมือนเดิม
"แม่จ๋า ย่าทำกล้วยไข่เชื่อมด้วย" ผมคุยอวดตักมาเสียหลายลูกราดน้ำกะทิฉ่ำ ๆ ไปนั่งข้าง ๆ แม่ เหลือบมองเอกสารในมือของแม่แล้วก็แอบเบ้ปาก
"เดี๋ยวกัสป้อน" ผมตักกล้วยไข่คำน้อย ๆ แต่เลือกตรงที่ไม่ติดกะทิมากป้อนถึงปากแม่ "อ้ามมมม"
"อร่อยมั๊ย?"
"อืม" แม่ตอบแต่ตาก็ยังจ้องที่เอกสารตรงหน้าอยู่ดี อีอย่างนี้แสดงว่าแม่ไม่กินแล้ว ที่เหลือก็เสร็จผม
กล้วยไข่เชื่อมหวานเจื้อย ราดด้วยน้ำกะทิหอมประหลาดไม่รู้ว่าย่าทำอย่างไร กลิ่นคล้าย ๆ ดอกไม้ แล้วก็คล้าย ๆ จะมีกลิ่นเทียนอบด้วย กัดไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งปาก รสเค็มนิด ๆ ตัดรสเลี่ยนได้ดีชะมัด
แม่งานยุ่งผมไม่สนใจแม่ละ หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปกล้วยไข่เชื่อมแล้วก็โพสต์ลงโซเชียลซะเลย คนเม้นต์คนแรกคืออีหม่อมน้า ถัดมาก็อีหมึก แล้วก็อีเปา ตามด้วยเจ๊หวังซึ่งบอกจะมากินอาหารร้านของย่าหลายทีแล้วแต่ก็ไม่ได้มาสักที
"เค้าเรียนเยอะทำงานเยอะ พี่หวังน่ะ" ไอ้เปามันเคยพูดเมื่อผมถามถึงเมียจ๋าของมัน สมัยเรียนคู่นี้เป็นที่ซุบซิบนักหนา ก็เจ๊หวังน่ะตัวเล็กปุ๊กปิ๊กน่ารัก ส่วนไอ้เปาจากไอ้อ้วนหมีขาวเสือกฮึดอยากมีเมียก็เลยฟิตหุ่นจนแม่งตอนนี้เป็นนักกีฬาประจำมหาลัยสุดล่ำไปแล้ว
แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าจะสมัยเรียนหรือสมัยไหน ๆ ผมไม่เคยคิดชอบหรือตกหลุมรักใครเลยสักคน อ้อไม่สิ ยกเว้นดาราหล่อ ๆ ดาราเกาหลี และที่เป็นขวัญใจของผมอยู่นานตั้งแต่แรกรู้จักก็คือ พัคโบกอม พ่อคนฟันสวยคนนั้นที่ไม่มีวันลบเลือนจากใจ ขนาดวอลเปเปอร์หน้าจอโทรศัพท์ของผมยังเป็นรูปพัคโบกอมใส่ชุดเกาหลีโบราณเลย
ส่วนอีหม่อมน้าหน้าจอมันเป็นรูปพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็รูปเทพเทวดาต่าง ๆ ไม่ว่าจะไทยจีนหรือแขกแล้วแม่งก็ชอบส่งจังไอ้ภาพสวัสดีวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ เป็นรูปดอกไม้กับคำคม หรือไม่ก็รูปพระอะไรนี่ มึงเชยได้อีกอีหม่อม
ส่วนอีหมึกนี่เป็นสายมู หน้าจอแม่งเป็นวอเปเปอร์ไพ่ทาโร่ต์บ้าง หรือไม่ก็อักษรรูนอะไรของมันก็ไม่รู้แหละ ส่วนของอีเปาหน้าจอมันเป็นรูปคู่กับเจ๊หวัง ...หมั่นไส้ชะมัด
"แม่จ๋าวันจันทร์นี้ไม่มีเรียนเช้า เดี๋ยวกัสนั่งรถไปมหาลัยเองก็ได้นะ" ผมอ้อนทิ้งตัวลงพิงที่ไหล่ของแม่
"ให้ใครไปส่งก็ได้ กัสจะไปเองทำไม" แม่บอกโดยตายังอยู่กับเอกสาร
"กัสเกรงใจ พี่กุ๊กไก่ก็ไปทำงาน เฮียกุ๊กก็ยังไม่กลับ" ผมให้เหตุผลอีก
"กัสจัง!!!" แม่พูดเสียงเย็น ๆ ดุ ๆ
"ให้แม่ไปส่งก็ได้จ๊ะ" ผมตอบแม่ยิ้มแหย ๆ ดูเหมือนทุกคนในบ้านจะคิดว่าน้องกัสจังคนนี้เป็นเด็กห้าขวบที่แม้แต่ข้ามถนนยังต้องมีคนจูงมือพาไปสินะ เห้อ