ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
ในบรรดากับข้าวทั้งหมด ที่ทำง่ายที่สุดก็เห็นจะเป็นแกงจืดสักอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำกันอร่อย เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือแกงจืด ที่มันไม่จืด แกงจืดที่ดีต้องมีรสอูมามิ หรือรสอร่อย ซึ่งมันยากจะบรรยายว่าอร่อยอย่างไรเพราะอร่อยของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือไข่เจียวแบบง่าย ๆ
แต่สำหรับกัสจัง กับข้าวมื้อที่สมบูรณ์แบบ ควรจะมีแกงจืดสักชาม เพื่อเอาไว้ซดน้ำแก้คอแห้ง จำความได้และโดนย่าใช้งานก็คือ แกงจืดตำลึง ย่าซื้อตำลึงมาจากตลาด กำโต กลัดด้วยใบมะพร้าวแล้วกลัดไม้กลัดอีกที กัสซึ่งตอนเด็ก ๆ ดูแล้วก็ออกจะตื่นเต้น
"เอาแต่ใบอ่อน ๆ นะลูก ใบแก่มันแข็งแล้วก็เหนียวเคี้ยวยาก" ย่าสอนแล้วก็เด็ดให้กัสดู กัสก็ช่วยย่าเด็ดใบตำลึงไปด้วยอย่างตั้งอกตั้งใจ
"นี่ตรงหนวดมันนี่ไม่ได้เลยเชียว" ย่าเด็ดหนวดตำลึงแล้วก็เอากองไว้ข้าง ๆ
"ทำไมล่ะจ๊ะย่า แหมมันน่าจะเหมือนเส้น ๆ แบบวุ้นเส้น" กัสท้วง ก็มันก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นตำลึงนี่นาทำไมกินไม่ได้กันเล่า
"กินแล้วมันจะระบาย ...ถ่ายท้องน่ะ อ้อแล้วก็ไอ้ที่เราเด็ดอยู่อย่างนี้มันเป็นตำลึงตัวเมียใบของมันจะกลม ๆ กินได้ ส่วนต้นตำลึงตัวผู้ใบของมันจะแหลม ๆ กินแล้วระบายเหมือนกัน" ย่าสอนแล้วก็ค่อย ๆ แยกกอตำลึงจนเจอเจ้าตำลึงตัวผู้ ยกให้กัสเปรียบเทียบดู กัสก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ตามวิสัยเด็ก ทำอะไรก็ทำได้ไม่นาน ย่าเห็นว่ากัสชักจะยุกยิก เพราะเริ่มเบื่อเริ่มเมื่อยเสียแล้ว จึงใช้ให้กัสไปสับหมูบะช่อแทน
ซึ่งกัสก็ออกจะสนุก จากหมูสามชั้นชิ้นโต ย่าสอนให้กัสหั่นหนังแข็ง ๆ ของมันออกเสียก่อน ใช้มีดคม ๆ ค่อย ๆ หั่นมันเป็นชิ้น ๆ แล้วก็สับ ๆ ให้สนุกมือ แรก ๆ มันก็ต้องค่อย ๆ ทำก่อนเพราะหมูยังไม่ละเอียดดี จนเมื่อหมูสับละเอียดและเริ่มเป็นก้อน ย่าก็เหยาะน้ำปลา แล้วก็รากผักชี กระเทียม พริกไทย ให้สับต่อให้ละเอียด ซึ่งแค่กลิ่นน้ำปลากับสามเกลอ เจอกับเนื้อหมูสับ แค่นี้กลิ่นหอม ๆ มันก็เริ่มฉุยเสียแล้ว หมูสับนี้นอกจากจะใช้ทำแกงจืด ยังใช้ทำเมนูอื่น ๆ ได้สารพัด
แกงจืดนั้นง่ายกัสก็ทำได้ เมื่อต้มน้ำจนร้อน ก็ใส่เกลือสักหน่อย น้ำเดือดปุด ๆ ก็ใช้ช้อนตักหมูสับลงไปในน้ำร้อน พอหมูสุกมันก็จะลอยตัวขึ้นมา รอจนมีฟองก็ค่อยช้อนออก จนได้น้ำใส ๆ เดือดพล่าน ก็ใส่ใบตำลึงที่เด็ดอย่างดีมาแล้ว คนให้ใบมันจมและดูว่าสุกทั่วกัน ก็ปิดไฟได้เลย แต่จะพิเศษหน่อยถ้าใส่เต้าหู้ไปด้วย ก็จะยิ่งอร่อยยิ่งขึ้น
ไอ้ที่จู่ ๆ กัสมานึกถึงกระบวนการทำแกงจืดอย่างนี้ก็เพราะตอนนี้ กระทะไฟฟ้าใบเก่ง กำลังเดือดพล่าน กัสใส่หมูสับลงไปเรียบร้อยแล้ว ช้อนฟองออก แต่ผักที่ใส่ลงไปคือผักกาดขาว เพราะมันหาง่าย และราคาไม่แพง ทำหม้อนึงกินได้สองวัน นี่มันใกล้สิ้นเดือนแล้ว ต้องกระเบียดกระเสียรกันหน่อย สามสาวกับแกงจืดหม้อโต เท่านี้ก็ถมไป
ส่วนไข่เจียวนั้นก็เป็นเมนูแรก ๆ ที่ย่าสอนให้กัสเหมือนกัน ซึ่งเป็นหลักสูตรเบื้องต้นเหมือนเข้าเรียนอนุบาลกันเลยทีเดียว เอาอย่างง่าย ๆ ก็ใช้ไข่ไก่เหยาะน้ำปลาดี ๆ สักหน่อย อย่าเยอะล่ะเดี๋ยวไตวาย จากนั้นก็ใช้ช้อนส้อมตีให้เนื้อมันเข้ากันทีเดียว
ตั้งกระทะให้ร้อนพอใช้ แล้วเทน้ำมันใส่ลงไป ย่าให้เราใช้น้ำมันหมูแล้วมันก็จะหอมเพิ่มเป็นพิเศษราวกับอาหารสวรรค์กันเลยทีเดียว จากนั้นก็ค่อย ๆ เทไข่ซึ่งตีจนเข้ากันดีแล้วลงไป อีตอนนี้กลิ่นไข่และกลิ่นน้ำปลาเมื่อโดนความร้อน ก็จะพาเอาหอมไปทั้งครัว ค่อย ๆ ทอดอย่างใจเย็น ๆ ไม่อย่างนั้นด้านที่อยู่ด้านบนจะไม่สุก
ค่อย ๆ ตะล่อมให้ดีเชียว พลิกไข่กลับด้าน ให้ไข่มันสุกเสมอกัน จะให้ดีงามก็ให้มันเกรียมนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลทอง ๆ ที่สำคัญอย่าหวงน้ำมัน เอาให้ท่วมแล้วไข่จะฟูฟ่องน่ากินขึ้นอีกเป็นกอง ฉวยงกน้ำมัน ไข่จะแบน ๆ ด้าน ๆ
ส่วนจะทำให้มันอร่อยเลอเลิศขึ้นไปนั้นก็สุดแต่ว่าจะเอาอะไรใส่เข้าไปอีก หมูสับนั้นเป็นพื้น ซึ่งต้องคอยดูให้ดีอย่าใส่หมูมากไป ไม่ใช่ว่าจะหมดเปลือง แต่เพราะเกิดหมูไม่สุก จะหูดับเอาได้ ส่วนตำราของย่านั้น ย่าให้ซอยหอมแดงใส่ลงไปด้วย ย่าว่าแต่เด็ก ๆ พ่อแม่ของย่าก็สอนให้ทำไข่เจียวแบบนี้ ซึ่งสำหรับกัสไม่มีปัญหาเลย หอมแดงพอสุกดี จนเป็นสีใส จะเพิ่มความหวานทำให้ไข่เจียวยิ่งอร่อย
และถ้าจะเป็นไข่เจียวสวรรค์จริง ๆ ก็อาจจะเป็นเนื้อกุ้งสับ หรือเนื้อปู อย่างร้านเจ๊ไฝ มิชลิน จานนึงตั้งหลายกะตังไม่มีปัญญาไปกินได้แต่ดู จบขั้นตอนสุดท้าย ก็เอาพริกไทยโรยไข่เจียวด้วยล่ะก็ ไข่เจียวนั้นก็จะอร่อยถึงขั้นสุด สรุปว่าไข่เจียวนั้นจะทำให้เป็นอาหารสวรรค์สำหรับเศรษฐีก็ได้ หรือยามยากจะกินแค่ข้าวกับไข่เจียว ก็ได้สำหรับผู้มีทรัพย์จางเพราะทั้งถูกทั้งอร่อย อย่างกัสผู้ซึ่งตอนนี้เข้าขั้นมีทรัพย์อันน้อย จำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน
จริง ๆ ถ้ากัสจะโทรศัพท์ไปขอเงินพ่อแม่ หรือย่า ก็เห็นจะไม่น่ายากเย็นอะไร แต่อาจจะต้องทนเสียงบ่นสักหน่อยว่ากัสใช้เงินเปลือง กัสผิดที่เอาเงินเบี้ยเลี้ยงไปซื้ออะไรไม่เข้าท่า แสนไร้ประโยชน์ เรียกว่าซื้อด้วยอารมณ์แท้ ๆ กัสเข็ดจนตายทีเดียว ต่อไปจะไม่ยอมใช้เงินเกินตัวอีกแล้ว เคยปรึกษากับอีสองตัวว่าควรจะหางานพิเศษทำ เผื่อจะได้เงินเพิ่มอีกหน่อย ซึ่งอีสองตัวก็เห็นดีด้วย
ดังนั้นก็เลยลองไปสมัครงานกันสามคน ไอ้งานสำหรับนักศึกษา แถมยังอยู่ต่างจังหวัด ก็ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ แถมนักศึกษาคนอื่น ๆ ก็คงอยากจะหางานพิเศษแบบกัสเหมือนกันเรียกว่าอุปสงค์ กับอุปทานไม่บาลานซ์กัน แต่ท้ายที่สุด ทั้งสามคนก็ไปลงเอย ทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อ เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ได้เงินรายชั่วโมงอันน้อยนิด แถมโดนเอาเปรียบตอดเล็กตอดน้อย ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงหรือเวลา แถมถ้าเงินช็อตก็ต้องจ่ายเงินซะด้วย
แต่ที่ร้ายสุดก็เห็นจะเป็นเรื่องการเรียน เพราะจะเอาเวลาไปทำงานพิเศษ ก็ได้แต่กะดึก กลางวันต้องร่ำเรียนและกัสถูกบ่นว่าไม่ยอมทำงานในวันเสาร์อาทิตย์ ทนอยู่ได้เดือนเดียวกัสก็ไม่ทำไม่เทิมแม่มันละ ให้แม่มันทำกันไปก็แล้วกัน กัสรู้ตัวดีว่าไม่ใช่ว่ากัสไม่อดทนแต่จังหวะและผลตอบแทนมันยังไม่ค่อยเหมาะสม แถมเสียสุขภาพด้วย สู้ตั้งใจเรียนให้มันเต็มที่ดีกว่าเพราะจะจบในเทอมสุดท้ายนี้แล้ว
เรื่องดราม่านี้ทำให้กัสตกตะกอนความคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง เป้าหมายบางอย่างของกัสเริ่มชัดเจน และวันหนึ่งซึ่งกัสอยู่กับแม่แค่สองคน กัสให้แม่เล่าเรื่องที่แม่ได้ไปเรียนที่ฝรั่งเศส ให้ฟังซึ่งแม่จะชอบเล่าเป็นพิเศษ เล่าได้หลายเรื่องกัสฟังตั้งแต่เด็ก แถมตอนเล่าแม่ก็ตาเป็นประกายเหมือนได้กลับไปเยือนบ้านเก่า
แม่เล่าว่าชีวิตตอนนั้นมันแสนสนุก แรก ๆ ของการปรับตัวมันยากเย็นจนแม่ต้องนอนร้องไห้ทุกคืน แต่มันก็ทำไม่ได้ แม่เลือกที่จะสู้ จนในที่สุด แม่ก็ปรับตัวได้ ที่ฝรั่งเศสถ้าไม่นับเรื่องผู้คนที่ค่อนข้างจะใจดำ และเหยียดคนต่างชาติ แต่ถ้าเราหาที่หาทางของเราได้ ฝรั่งเศสก็เป็นคล้าย ๆ สวรรค์เพราะแม่ชอบศิลปะ
"อยู่บ้านเราถึงจะได้ชื่อว่าสยามเมืองยิ้มแต่จริง ๆ มันก็มีคนนิสัยไม่ดีเหมือนกัน ที่ฝรั่งเศสมันก็มีคนจิตใจดี ๆ เยอะแยะเราอย่าไปเหมารวม" แม่ว่า และกัสซึ่งก็มีพื้นภาษาฝรั่งเศสตอนเรียนมัธยม ก็เลยนึกสนุกไปลงทะเบียนขอทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศสกับเขาเหมือนกัน แต่กัสไม่ได้คาดหวังเพราะดูคนที่ไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกัน เขาดูจะพร้อมกว่ากัสเยอะ เรียกว่าไปสมัครรับทุนเพราะความคึกคะนองแท้ ๆ
พอคิดว่าไม่ได้แน่ ๆ กัสก็เลยทำตัวสบาย ๆ ไม่เกร็งเลยสักนิด การสัมภาษณ์นั้นใช้ภาษาฝรั่งเศส กัสตะแคงหูเสียแทบแย่ และเลือกคำตอบที่คิดว่า มันเป็นคำคม ๆ จากบทเรียนที่กัสเคยเรียน
จนกรรมการคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทย แต่ถามกัสด้วยภาษาฝรั่งเศส ถามกัสว่าเพราะอะไรถึงอยากไปที่นั่น
"ฝรั่งเศสเป็นประเทศในฝันของผม เพราะแม่ของผมซึ่งเคยไปเรียนที่ฝรั่งเศส เล่าถึงความสวยงามของประติมากรรม รวมถึงผู้คนและศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเลิศ แน่นอนว่าอาหารฝรั่งเศสที่เป็นสุดยอดของโลกด้วยครับ" กัสตอบแบบที่กรรมการถึงกับกลั้นยิ้ม ประจบประแจงกันขนาดนี้ กรรมการฝรั่งเศสเป็นหญิงแก่ ๆ ที่ได้ฟัง แกทำหน้าประหลาดใจ ราวกับไอ้ประเทศที่กัสกล่าวชมคงเข้าใจว่าไม่ใช่ประเทศของแกแน่ ๆ
"แล้วถ้าคุณไปถึงที่โน่น มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณได้ยินล่ะ?" กรรมการคนเดิมถามอีก
กัสตอบคำถามอะไรไปก็ชักจะเลือน ๆ แต่มันดูลิเกชะมัด เรียกว่ากัสพกความคิดบวกไปสุด ๆ ราวกับไปวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เลยเชียวล่ะ
"มีแต่ขี้หมา" แม่ว่า เมื่อพูดถึงบรรยากาศในเมืองปารีสและฟังคำตอบของกัสที่ตอบกรรมการ เมื่อกัสตอบว่าปารีสเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุด
"สวยแบบต้องแหงนหน้า อย่าก้มเลยเชียว แต่ไม่ได้สิ ไม่ก้มหน้ามองพื้นเกิดเหยียบขี้หมาล่ะก็ ซวยเลยเชียว" แม่เล่าประสบการณ์แล้วก็หัวเราะกิ๊ก
นานจนลืมไปแล้ว แต่วันหนึ่งกัสก็ได้อีเมลลึกลับ กัสไม่ได้เปิดดูเพราะมัวแต่ยุ่งกับการเรียน จนวันหนึ่งว่าง ๆ ก็เลยเช็คเมลสักหน่อย ปรากฏว่าเมลนั้นแจ้งว่ากัสได้รับทุนไปฝรั่งเศสเป็นตัวจริงเสียด้วย และขอให้กัสไปรายงานตัวในวันที่กำหนด
"ว้ายตายแล้ว" อีหมึกต้องกรี๊ด และหม่อมน้าก็กระโดดกอดกัส พวกเราสามตัวร้องกรี๊ด และกระโดดกอดกันตัวกลม
"มึงไม่น่าเชื่อคนสมัครเยอะมากแล้วมึงได้เป็นตัวจริงด้วยอีผี มึงจะไปเรียนหรือไปขายตัว" อีหมึกล้อ
"อีเปรต ขายทำไม อยากได้ให้ไปเลย ถูกใจให้ฟรี ทำดีให้เบิ้ล" กัสต่อปากต่อคำจนเราสามคนหัวเราะด้วยกัน
แน่ล่ะว่าที่บ้านของกัสโดยเฉพาะแม่ยินดีเสียนัก ทุนนี้เป็นทุนรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่ต้องใช้ทุนเหมือนทุนไทย แถมมีค่าใช้จ่ายขณะอยู่ที่โน่นให้ด้วย กัสดูเวลาการไปเรียน เห็นว่าเรียนจบที่นี่ปุ๊บ มีเวลาเพียงอาทิตย์เดียว กัสก็ต้องบินไปฝรั่งเศสเลยทีเดียว ทุนนี้ดีมาก ๆ คนสมัครหลายร้อยแต่รับเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น
ว่องไวจนกัสรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วกัสแทบทำอะไรไม่ทัน ไหนจะทำพาสปอร์ต ไหนจะจัดการเอกสารต่าง ๆ และเมื่อกำหนดการเดินทางเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ กัสก็ชักไม่อยากจะไปเรียนยังบ้านเมืองที่กัสไม่รู้จักเสียแล้ว
แต่ในเมื่อเราถลำตัวมาถึงขนาดนี้ การกลับลำเป็นจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ และกัสไม่ยอมแพ้แน่ ๆ มาได้ถึงขนาดนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดละนะ
เดชะบุญ แม่บอกกัสว่า แม่ลาพักร้อน จะไปจัดการเรื่องที่พักให้กัสด้วยตัวเอง และจะอยู่เป็นเพื่อนกับกัสราว ๆ ครึ่งเดือน อย่างนี้มันค่อยอุ่นใจหน่อย คุณหนูที่อยู่แต่ในอ้อมอกแม่ ได้ยินอย่างนี้ก็ค่อยโล่งใจ แม่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นไฟ รวมถึงด่าเป็นภาษาฝรั่งเศสและสเปนได้ด้วย
วันแห่งการล่ำลาของเพื่อนรัก เงียบกว่าที่คิด อีเปาขอโทษแล้วขอโทษอีกที่มันไม่สามารถมากินหมูกระทะด้วย แต่ไม่เป็นไร มีอีหมึกกับอีหม่อมน้า แค่นี้ก็พอ เรากินอะไรกันไปเม้ามอยและด่ากันไป แต่พอกินเสร็จก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องพูดชักจะใจหาย
"อีห่า ทำเหมือนอีเวรนี่จะถูกเอาไปขายตัวที่ซาอุ ไลน์ก็มี อะไรก็มี ไม่เหมือนสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่สามนะยะ ที่จะต้องส่งจดหมายข้ามมหาสมุทร อย่าดราม่า" อีหมึกโวยวาย
คืนนั้นเราสามคนไม่หลับไม่นอนกันล่ะ นอนเม้ากันจนตีสามแล้วเรื่องราวสี่ปีในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทั้งสุข ทั้งเศร้าเอามาเล่าได้ไม่เบื่อ จนอีหม่อมน้าหลับไปก่อน กัสก็เลยไม่รู้จะพูดอะไร และเผลอหลับไปในที่สุด
อีหมึกกับหม่อมน้ายังไปเรียนตามปกติ เพราะสอบอีกไม่กี่ตัวสิ้นเดือนนี้นังสองตัวก็จะออกจากหอกลับไปอยู่บ้านของตัวเองเหมือนกัน ส่วนกัสสอบเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วจึงค่อย ๆ เก็บข้าวของและเดี๋ยวเย็น ๆ พ่อจะขับรถมารับ จริง ๆ กัสอยากจะเลี้ยงฉลองการเรียนจบพร้อมกับเพื่อน ๆ และพี่ ๆ แต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจ หลายคนบ่นเสียดาย หลายคนบ่น ว่ากัสจะมาหนีไปไหน แต่จะทำอย่างไรได้เพราะกำหนดเวลามันถูกระบุชัดมาแล้ว นี่กัสยื้อเวลาได้มากที่สุดแค่นี้แหละ โชคดีที่กัสเรียนเก่งเก็บวิชาไม่มีเหลือคั่งค้าง ได้เกียรตินิยมอันดับสองเสียด้วย แต่กัสไม่ได้อยู่ฉลองกับใครแม้แต่รับปริญญา
ย่าบอกว่าย่ารับปริญญาของลูกของหลานเบื่อแล้ว รับปริญญาเมืองไทย เหนื่อย เพราะกฎเกณฑ์เยอะ ย่ารอไปรับปริญญาของกัสที่ฝรั่งเศสเลยดีกว่า จะให้ดีกัสก็รีบเรียนจบไว ๆ สองย่าหลานกอดแล้วกอดอีกย่านั้นยิ้มและเอาแต่กอด ส่วนพ่อยืนน้ำไหล เพราะสงสารที่ลูกต้องจากไปไกลเมื่อไปส่งที่สนามบิน
"เธอจะร้องไห้ทำไม เราไปด้วยกับลูก" แม่ถึงกับดุพ่อเมื่อพ่อกับย่าไปส่งที่สนามบิน พี่ทั้งสองคนของกัสไม่ได้มาส่ง แต่ก็ร่ำลากันแล้วเมื่อวันก่อน คิดแล้วก็ใจหาย
ตอนเก็บข้าวของซึ่งใช้เวลาไม่นานเท่าที่คิด อีกราว ๆ ชั่วโมงกว่า ๆ พ่อถึงจะรับ กัสนั่งมองในห้องเงียบ ๆ แล้วก็ใจหาย ตรงเตียงนี้กัสเคยนอน ตรงนั้นกัสเคยใช้นั่งอ่านตำราเรียน ส่วนโต๊ะตรงนี้ ก็เป็นโต๊ที่กัสและเพื่อน ๆ กินข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน
กัสไม่อยู่เสียแล้วก็ไม่มีหัวหอกที่จะทำกับข้าวกินกัน กระทะไฟฟ้าใบนี้ก็ของกัสแต่กัสไม่ได้เอากลับ เผื่ออีหมึกหรืออีหม่อมน้านึกอยากแดกมาม่า ยามฉุกเฉิน มันจะได้เอามาต้มมาม่าได้ กัสเปิดตู้เย็น มีหมูสับเหลืออยู่ และผักสดอีกสองสามอย่างเหลืออยู่ กัสก็เลยเอามาทำแกงจืด ปรุงเสียสุดฝีมือ ถ้าไม่อร่อยก็ยอมให้ด่า เพราะใส่ผงเอลซ่าตั้งสองช้อน กลิ่นหอม ของผักขึ้นฉ่าย ฟุ้งออกมา เมื่อมันร้อนดีกัสก็ปิดสวิตช์ และเขียนโพสต์อิทเขียนไว้บนฝาหม้อว่า ให้กินตอนบ่าย วันนี้ทั้งสองตัวมันว่าจะอย่างไรถ้ากัสจะไปก็ให้บอกมันด้วย
และไข่ไก่สามฟองที่เหลือ ถ้ากัสไม่อยู่เสียแล้วก็คงจะไม่มีใครเอามาทำอะไรกินแน่ ๆ ยิ่งสอบอย่างนี้เอาแต่อ่านหนังสือกันยันดึกดื่น กัสก็เลยเอาไข่ไก่ที่เหลือมาใส่ชามตีให้เข้ากันเหยาะน้ำปลาซึ่งเหลืออยู่ก้นขวด ทอดจนหอมไม่ลืมที่จะเหยาะพริกไทยโรยหน้าด้วย เพียงแต่กัสทำแบบแห้ง ๆ หน่อยไม่ใส่น้ำมันเยอะ เพราะกลัวเดี๋ยวมันจะเซ็ง
และเมื่อรถของพ่อจอดตรงที่จอดรถ กัสก็ส่งข้อความไปบอกเพื่อนรักทั้งสองคน จากนั้นกัสก็ช่วยกันสองคนกับพ่อ ค่อย ๆ ขนข้าวของส่วนตัวของกัสลงมา
"ไปยังลูก?" พ่อถาม และยืนเท้าเอา หอบนิดหน่อย เหงื่อพราวที่หน้าผากเชียวล่ะ
"รอแปปนึงนะพ่อ" กัสท้วง และเพียงชั่วครู่อีหมึกกับอีหม่อมน้าก็วิ่งหน้าเชิดมาทีเดียว
ทั้งสองคนรีบยกมือไหว้พ่อ พูดคุยกันอยู่ครู่เดียว พ่อก็หนีขึ้นไปเปิดแอร์เย็น ๆ บนรถ ปล่อยให้เด็ก ๆ ร่ำลากันให้พอใจ
"เดินทางปลอดภัยนะมึง อัพรูปบ่อย ๆ แต่อัพรูปวิวนะไม่ต้องเอารูปมึง หน้ามึงเหมือนหมา" อีหมึกบอกและกัสก็เท้าเอวทำท่าจะตบมัน
"เดินทางปลอดภัยนะกัส" หม่อมน้าพูดและน้ำตาซึม ๆ
"เออ ๆ กูไปแค่ฝรั่งเศสเองมึง เดี๋ยวตอนกูบินผ่านตรงนี้กูจะตะโกนเรียกให้บนเครื่องบินมึงโบกมือให้กูด้วยนะ ถ้าไม่มองกู เดี๋ยวกูจะเยี่ยวแม่งจากบนเครื่องบิน ให้เยี่ยวกูรดหัวพวกมึง" กัสตอบกลับจนเราสามตัวหัวเราะกัน
"เอาล่ะ ต้องไปจริง ๆ แล้วมาให้กูกอดพวกมึงหน่อย" กันยิ้มแป้น กางแขนออกและสองเพื่อนรักก็กอดกัสจนแน่น เมื่อคลายกอดแล้ว กัสก็เดินเร็ว ๆ ขึ้นไปนั่งหน้ารถกับพ่อ เพราะไม่อยากร้องไห้งอแง ไม่ลืมที่จะส่งรูปไปในไลน์กลุ่ม เป็นรูปแกงจืดที่กัสทำไว้ให้อีสองตัวมันแดก
Ink : แดกแล้วตายมั๊ย?"
กัสจัง : ดอกทอง
Narong : แกงอะไรน่ะกัส
กัสจัง : แกงจืดผักรวมออทั่ม มีอะไรเหลือ ๆ กูก็เอามาเทรวมลงไปในหม้อ เดี๋ยวแม่งเน่าคาตู้เย็นเพราะพวกมึงไม่ยอมเอามาแดกกันเดี๋ยวเน่าคาตู้เย็น
ผ่านเวลาไปครึ่งชั่วโมง อีหมึกก็ส่งข้อความมาอีก
InK : รสชาติเหี้ยมาก คนแดกตาย คนคายรอด
Narong : อร่อยดี แกงจืดผักรวมมิตรหรอ
กัสจัง : แกงจืดผักรวมศัตรูค่ะ
Narong : ไข่เจียวมึงกลิ่นตุ ๆ มีขนอะไรแปลก ๆ ติดมาด้วยอีห่า
กัสจัง : ขนหมอยมึงแหละอีผี
ส่งข้อความและอ่านข้อความกัสก็ได้แต่อมยิ้ม เมื่ออยู่บ้านกัสก็เอาแต่มาขลุกที่ร้านของย่า ก่อนวันที่กัสจะเดินทาง กัสอยู่ที่ร้านของย่าทั้งวันบางคืนก็นอนค้างกับย่าด้วย และกัสก็รู้สึกได้ว่าย่าดูจะเงียบกว่าทุกวัน ลูกค้าไม่ค่อยมี แม่ครัวก็ช่วยกันหั่นผัก หั่นเนื้อเตรียมไว้ กัสก็เลยเดินเข้าไปเตร่ในครัวดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่เหงา เพราะปกติย่าชอบไล่กัสให้ไปนั่งเฝ้าหน้าร้าน
เห็นย่านั่งเด็ดใบตำลึงกำโต ๆ ในกะละมัง น่าจะสองกำล่ะมั้งซื้อมาไม่เยอะแสดงว่าจะทำกินกันเองไม่ได้ทำขาย กัสก็เลยทิ้งตัวนั่งที่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็ช่วยย่าเด็ดใบตำลึงโดยไม่ได้พูดอะไร ย่าให้กัสทอดไข่เจียวด้วยอีกสักจานกินกันสองคนย่าหลาน กัสก็จัดไปเพราะทำบ่อยและมันง่ายแสนง่ายย่าสอนตั้งแต่กัสยังเด็ก ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรนักหนา
"ที่โน่นหนาวมั๊ย?" ย่าถาม
"เห็นแม่ว่าที่โน่นตอนนี้ไม่หนาวมากจ๊ะย่า น่าจะยี่สิบองศา ใส่เสื้อแขนยาว ๆ ตัวเดียวก็พอ" กัสตอบและย่าก็พยักหน้ารับอย่างใจลอย
"แต่ยังไงบ้านเมืองเขาก็หนาว เตรียมเสื้อกันหนาวไปแล้วใช่มั๊ย มีหิมะตกด้วยหนิ" ย่าพูดอีกและกัสก็ตอบว่าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็เงียบกันไปทั้งย่าหลาน ย่าเหมือนพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ และกัสเองก็เหมือนกัน
มื้อเย็น ที่เหมือนกับทุก ๆ วัน ไม่เหมือนวันที่พรุ่งนี้กัสจะไม่อยู่บ้านอีกแล้ว ย่ากับกัสนั่งกินข้าวกันสองคนอย่างเร่งรีบ มีแกงจืดใบตำลึงแล้วหนึ่ง กับไข่เจียวหมูสับอีกจาน กินกันอย่างว่องไว เพราะเดี๋ยวต้องทำงานกันต่อ ลูกค้าเริ่มเข้ามาแล้ว กัสรีบกินจนเหมือนจะลืมไปเสียแล้วว่ารสของแกงจืดมันมีรสอย่างไร
คืนนั้นกัสพยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ความหวาดกลัวมันก็เข้าจู่โจม กัสชักจะกลัวจับใจ ต่อจากนี้ไปชีวิตของกัสจะเป็นอย่างไรกันหนอ
เมื่อขึ้นมานั่งอยู่ในเครื่องบินจริง ๆ แม่อ่านหนังสือที่เขามีไว้อย่างไม่ใส่ใจ ส่วนกัสมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเมฆก้อนขาว ๆ และท้องฟ้าสีฟ้าสดใส กัสหันหน้าไปมองแม่และแม่ก็หันมามองกัสแล้วก็ยิ้มให้ กัสซุกหัวไปพิงที่บ่าของแม่ ค่อยอุ่นใจหน่อย แต่ลึก ๆ ในใจก็ยังอดจะกลัวไม่ได้อยู่ดี