ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
ถึงจะไม่ใช่หน้าหนาวแต่พอสัมผัสกับอากาศที่ฝรั่งเศสเข้าจริง ๆ กัสก็สะท้าน ถึงกับต้องเอาเสื้อแจ็กเกตมาสวมอีกชั้น รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กประถม เมื่อยามไปเที่ยวนอกบ้าน ต้องเดินตามพ่อกับแม่ต้อย ๆ ตอนนี้อย่างไรก็อย่างนั้น
ไม่ว่าจะลงจากสนามบินแล้วเรียกแท็กซี่ ไปจนถึงการเข้าพักในโรงแรม แม่ก็ตามติดพากัสไปลงทะเบียนเรียนซึ่งยังไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเรียกว่าไปด้วยทุกที่ กัสต้องเรียนภาษาก่อน แต่กัสหัวไว กะเอาไว้ว่าเรียนภาษาสักสามเดือน ก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยได้ไม่น่าจะมีปัญหา
แม่เล่าว่ามหาวิทยาลัยของกัส มีคนต่างชาติเรียนค่อนข้างมาก University of Burgundy เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ยังเมืองดีฌง และเมืองดีฌงนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ มีการผสมผสานของสถาปัตยกรรมยุโรปอย่างหลากหลายในรอบหนึ่งัพนปี ตั้งแต่สถาปัตยกรรมแบบ กาเปเซียงกอธิก มาถึงยุคเรเนซองส์ เลยทีเดียว และตัวอาคารบ้านเรือนในเขตเมืองก็เก่าแก่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หรือก่อนหน้านั้น
แม่เล่าว่าสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของดีฌงคือหลังคาเบอร์กันดี ซึ่งเป็นหลังคาดินเผาเคลือบ มีสีสันฉูดฉาด ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีเขียว สีดำ จัดเรียงบนหลังคาอย่างสวยงามแบบเรขาคณิต
เมืองดีฌงตั้งอยู่ระหว่างปารีสและลียง แม่พากัสไปเที่ยวปารีส ดูพิพิธภัณฑ์ และแหล่งท่องเที่ยวซึ่งต้องไปไม่อย่างนั้นไปไม่ถึง แน่ล่ะว่าหอไอเฟลนั้นต้องไปแน่นอน ถนนฌ็องเซลิเซ่ ประตูชัย พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มหาวิหารซาเครเกอร์ ส่วนแวร์ซายนั้นไม่ได้ไป กัสหนีไปเที่ยวเองเมื่อปีกกล้าขาแข็งแล้วเมื่อภายหลัง ไปเที่ยวลูฟวร์นั้นหมดไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เพราะมันกว้างใหญ่เต็มที กัสอยากจะมีลูกกะตาสักร้อยกว่าดวงจะได้ดูของสวย ๆ งาม ๆ ให้มันหมด และออกจะผิดหวังกับนังโมนาลิซ่า ที่มันเล็กกระจิ๊ดเดียวแถมต้องเข้าคิวดูอยู่เป็นนานสองนาน แถมมืด ๆ มองก็ไม่ค่อยจะเห็นชัด ดูยังไม่ทันจะตัดสินได้ว่าสวยตรงไหนอีนักท่องเที่ยวข้างหลังก็ดันให้เดินไปเร็ว ๆ ไม่นับว่าต้องจองคิวมาก่อนด้วยแสนยุ่งยาก
หาที่พักได้แล้ว ซึ่งกัสต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะเรียนภาษาจบกัสถึงจะย้ายเข้าไปพักที่หอใน
ค่ำคืนสุดท้ายของกัสกับแม่ กัสแสนใจหาย นอนกอดแม่ เหมือนตัวกัสกลับไปเป็นเด็ก เข้าเรียนอนุบาลวันแรก กัสร้องไห้ไม่ยอมหยุด ยิ่งเห็นแม่เดินจากไป กัสก็ร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตายเลยทีเดียว แต่วันเวลานั้นก็ผ่านมาจนได้ จนแม่ไปส่งกัสที่โรงเรียน กัสยกมือไหว้สวัสดีแล้วก็วิ่งตื๋อไปเล่นกับเพื่อน ๆ ไม่หันมามองแม่ด้วยซ้ำ นึกย้อนไปแล้วก็ขำ ตอนที่หนีไปเรียนที่ชลบุรี กัสก็ใจหายเหมือนกันครอบครัวกัสที่รักถนอมกัสราวกับไข่ในหิน ทำให้กัสเบื่อหน่าย เลยอยากหนีไปใช้ชีวิตอยู่ไกล ๆ ผู้ใหญ่ที่บ้านเสียบ้าง
ตอนนั้นกัสสนุกชะมัด เพราะมีเวลาได้ซุกซนเที่ยวเล่น เพราะมีเพื่อนและห่างพ่อแม่ ครั้นพอเริ่มเหงา พอได้กลับบ้านก็หายคิดถึงทุกคนในบ้านจึงไม่ใคร่จะรู้สึกว่าตัวเองเหงา
แต่ตอนนี้สิ กัสมาอยู่ในถิ่นที่มีแต่ผู้คนแปลกหน้าต่างถิ่นต่างภาษาต่างวัฒนธรรม แม่อยู่ด้วยกัสยังทำตัวไม่ค่อยถูกเลย แล้วถ้าพรุ่งนี้แม่ต้องบินกลับเมืองไทย ปล่อยกัสไว้คนเดียว คราวนี้ล่ะจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย
"กลัวหรือลูก?" แม่ถามและดึงกัสมากอดเหมือนกัสเป็นเด็กชายตัวน้อย ๆ อีกหน
"ก็กลัวนิดหน่อย" กัสพูดปด จริง ๆ กัสกลัวมาก ๆ เลยต่างหากเล่า
"มีอะไรก็โทรหาแม่ ไลน์มาก็ได้ ติดขัดอะไรก็ถามป้าสีดาแกคล่อง ไม่น่าเชื่อจากเด็กบ้านนอกตอนนี้กลายเป็นคุณนายไปซะแล้ว" แม่พูดแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ พร้อมกับก้มหน้ามาจูบหน้าผากัส เหมือนกัสเป็นเด็ก ๆ ไม่มีผิด
ป้าสีดานี้เป็นเพื่อนเกลอของแม่ มาปารีสเพราะดวงแท้ ๆ ไม่ได้มาเรียนต่ออย่างแม่หรอก ฟังประวัติแกคร่าว ๆ ก็รู้สึกนิยมศรัทธาเพราะแกกล้าบ้าบิ่นเหลือใจ แกเล่าว่ามาปารีสตอนอายุสิบหกพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้สักคำอย่าว่าแต่ฝรั่งเศสเลย ภาษาอังกฤษก็ได้แค่เอบีซีด้วยซ้ำ
เดชะบุญ ป้าสีดาแกก็สู้ชีวิตเรื่อยมา จนมาได้สามีเป็นชาวเยอรมัน แต่สุดท้ายมาปักหลักอยู่ฝรั่งเศส
เมืองดีฌงนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารและดอกไม้ดอกไร่ และที่ดีฌงเป็นแหล่งจัดงานอาหารนานาชาติประจำปี ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของแต่ละปี โดยถือเป็นหนึ่งในสิบงานที่สำคัญที่สุดของฝรั่งเศส รวมถึงเทศกาลดอกไม้นานาชาติทุก ๆ สามปีอีกด้วย
ป้าสีดาแต่งงานกับลุงปีแอร์ แม้ว่าแกจะแก่กว่ากันสิบห้าปี แต่ถ้าสำหรับผู้หญิงที่ตกระกำลำบากต่างบ้านต่างเมืองการได้มีผู้ชายที่มั่นคงมาตกหลุมรัก แถมรักมั่นเสียด้วย ลุงปีแอร์แกรักถึงขนาดยอมย้ายจากเยอรมันบ้านเกิดมาอยู่ฝรั่งเศสกับป้าสีดาเลยเชียวล่ะ
"ป้าพูดภาษาเยอรมันไม่เป็น เลยบอกตาปีแอร์ว่าถ้าจะแต่งงานกับป้าก็ย้ายมาอยู่ดีฌงที่นี่" ซึ่งลุงปีแอร์ก็ดีใจหาย ยอมทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่กับป้าสีดาจริง ๆ
สาเหตุที่ลุงปีแอร์ตกหลุมรักป้าสีดา ก็เพราะตกหลุมรักฝีมือทำอาหาร แน่นอนว่าอาหารไทยแสนอร่อยเป็นความประทับใจแรก ตอนนั้นป้าสีดาแกมาเป็นแม่ครัวอยู่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ป้าสีดาแกว่าลุงปีแอร์มากินอาหารที่ร้านอาหารที่ร้านทุกวันอยู่เป็นเดือน ๆ เลยทีเดียว
"ทีแรกป้าล่ะรำคาญ อีตาแก่นี่อะไรก็ไม่รู้ มาทู้กกกวัน" ป้าสีดาแกนินทาผัวต่อหน้า ส่วนลุงปีแอร์ก็ยิ้มกว้าง แกคงเดาได้ว่าโดนเมียนินทา
"ตอนนั้นกัสเอ๊ย ป้าล่ะลำบ๊ากลำบาก เป็นลูกจ้างเขาน่ะเนอะ ไอ้เราก็ไม่มีญาติพี่น้องแล้ว เจ้าของร้านเขาจะโขกจะสับอะไรก็ต้องทน ถือซะว่าได้เงิน แล้วงานก็ของถนัด คนไทยเราก็เรื่องงานบ้านงานครัวน่ะเนอะ" ป้าสีดาแกเล่าไปแล้วก็ยิ้มไป ตาของแกเหม่อไปทางลุงปีแอร์ที่เดินเกร่ไป ๆ มาในร้าน เหมือนภาพแห่งความหลังมันย้อนกลับมาฉายตรงหน้า
"มีอยู่วันนึง เงินเก็บของป้าโดนขโมย โอ๊ยทำงานแทบตายเงินที่เก็บไว้หายหมด เป็นคนไทยด้วยกันนี่ล่ะ มาทำงานพาร์ทไทม์ ป้ารู้ตอนอีนังนั่นมันมาทำงานได้อาทิตย์นึงแล้วก็หายไปเลย ป้าไม่ได้เอะใจเลยนะ แต่มารู้ตัวตอนจะเอาเงินโอนเงินกลับเมืองไทย มันหายหมดเลย กัสเอ๊ยป้าล้มทั้งยืนเลย นอนร้องไห้อยู่สองวันเต็ม ๆ" ป้าแกเล่าแล้วก็ถอนหายใจ
"ยังไงต่อครับ?" กัสถามต่อชักสนุกเสียแล้ว
"ตาลุงนี่มากินอาหารที่ร้าน แกก็บ่นว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป แกก็เลยไปถามเจ้าของร้าน แกก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พอวันที่สามป้าก็คิดว่าจะมานอนท้อใจไม่ได้แล้วก็เลยต้องกลับมาทำงานหาเงินใหม่ มัวแต่ร้องไห้ก็ไม่ได้เงินกลับมา อีตาลุงก็มาถามหาป้าใหญ่ ป้าก็ด่าเข้าให้ แต่พอปิดร้านอีตานี่ก็ตื๊อ มาถามโน่นนี่ป้าเล่าไปก็ร้องไห้ไป แกก็เลยว่า เงินหายไปเท่าไรเดี๋ยวแกชดใช้ให้ป้าจะได้ไม่เสียใจ" ป้าสีดาเล่าก็อมยิ้มแต่สีหน้าที่มองลุงปีแอร์ หมั่นไส้นิด ๆ
"สายเปย์ซะด้วย" กัสแซว
"ป้าก็ด่าให้เลย ป้าด่าว่าจะมาให้เงินฉันทำไมไม่ได้เป็นอะไรกันปากน่ะก็ด่าไป แต่ป้าก็ซึ้งใจนะ มารู้จักกันแล้วถึงรู้ว่าแกจิตใจดีจริง ๆ แกไม่อยากให้ป้าเสียใจน่ะ" ป้าสีดาอธิบาย
"แล้วป้าสีดาไปตกลงแต่งงานกับแกตอนไหนล่ะ?" กัสถามเข้าเรื่องเลย
"ก็มารู้ตัวว่าใจหายตอนเขากลับไปบ้านเยอรมันน่ะสิ คนเคยเจอกันเกือบทุกวันนะ อีตานี่ก็ไม่พูดไม่ค่อยจานะ มาถึงสั่งอาหาร แรก ๆ ก็ถามว่าจะทำอะไรให้แกกินบ้าง ป้าก็แกล้งทำโน่นทำนี่ให้แกไป ทำเผ็ด ๆ ตาปีแอร์ก็กินไปน้ำตาไหลไป แถมป้าคิดสตางค์แกแพง ๆ ด้วยนะ เพราะถือว่าเป็นอาหารนอกเมนูคราวนี้เคยเจอกันทุกวันแกกลับไปบ้านแกที่เยอรมัน โอ๊ยกัสเอ๊ยป้าใจหาย รู้ตัวแล้วว่าเริ่มตกหลุมรักเขาเสียแล้วพอเขากลับมาป้านี่วิ่งเข้าไปกอดเขาเลยนะ" ป้าสีดาเล่าและลุงปีแอร์ก็เหมือนรู้จังหวะ เดินเข้ามากอดแล้วก็จุ๊บกันเพื่ออวดพวกเราเสียเลยโรแมนติกเสียไม่มี
"คบหากันอยู่อีกสามสี่เดือนก็แต่งงานกันแล้วตาปีแอร์ก็เปิดร้านอาหารให้ป้าก็อีร้านนี้แหละ ใครถามแกอีตานี่ก็ว่าเปิดร้านอาหารไทย ได้เมียไทย ทีนี้ล่ะจะได้กินอาหารไทยฟรี ๆ ทุกวัน" ลุงปีแอร์ได้ยินคำว่าฟรี ก็ยิ้มแล้วก็ยกนิ้วโป้ง เอากับแกสิ แล้วก็เอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาชนกัน พร้อมกับเอามาชนที่ปากเป็นการบอกว่าอร่อย
กัสก็ได้อาศัยมากินอาหารที่ร้านของป้าสีดายามเมื่อคิดถึงบ้าน อย่างน้อยก็มีคนให้พูดภาษาไทยด้วย เพราะมีคนไทยมาเรียนเหมือนกันแต่กัสไม่สนิทกับเขาเลยเพราะดูเป็นคนเงียบ ๆ และไม่ค่อยชอบเกย์ โธ่ไอ้ชายแทร่เอ๊ย ส่วนผู้หญิงไทยอีกสองสามคน ก็พอจะได้คุยกันบ้างแต่ไม่สนิท เพื่อนสนิทของกัสกลับเป็นคนเอเชีย อย่างฟิลิปปินส์ และอินเดียเสียอย่างนั้น
กัสได้ทุน Franco Thai ซึ่งทุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินไปกลับ สวัสดิการนักเรียนทุน ประกันสุขภาพ เงินค่าใช้จ่ายรายเดือน มีหน่วยงานดูแลนักเรียนทุน ช่วยเหลือเรื่องจองที่พัก แต่ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่านะ
ประหยัดไปขนาดนี้แต่ถึงอย่างนั้น กัสก็สัญญากับตัวเองว่าจะต้องเรียนจบให้ได้ไวที่สุด เพราะค่าใช้จ่ายที่ปารีสนั้นแพงจนกัสขนลุก ก็คิดเอาเถิดว่าเงินหนึ่งยูโรต้องเอาเงินไทยคูณไปประมาณสามสิบกว่าบาทถึงสี่สิบบาทเลยทีเดียว กัสเรียนภาษาได้จบในสามเดือนจริง ๆ พื้นฐานกัสมาดีเรียนต่ออีกหน่อยก็ใช้ได้อย่างค่อนข้างคล่อง
จนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย กัสก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน เดชะบุญที่บางวิชาที่เรียน อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่พักหลัง ๆ พอเริ่มชินแล้ว บางทีกัสฝันเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยซ้ำ
ผ่านมาได้หนึ่งปี กัสรู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายขึ้น กัสไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านของป้าสีดา และถ้าเป็นฮอลิเดย์ กัสก็ทำงานและค้างคืนไปเลย ป้าสีดานั้นคุยสนุก จึงสนิทกับแม่นัก แถมเป็นสาวซ่าเหมือนกัน แต่แกก็สู้ชีวิตด้วยรอยยิ้มทำให้กัสนับถือแกเหลือเกิน
ได้พูดคุยกับป้าสีดา ก็เหมือนกัสได้คุยกับคนในบ้านเหมือนกัน เพราะตามประสาคนไทย เราก็ห่วงใยกันยิ่งกัสเป็นลูกของแม่ เพื่อนสนิทของป้าสีดา แกก็เคยดุกัสเอาเหมือนกัน ไม่มีเกรงใจกันล่ะ เห็นอะไรไม่ถูกไม่ควร ก็เตือนกัสแรง ๆ เลย แกว่าเพราะแกเห็นกัสเป็นลูกเป็นหลาน
การมาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านของป้าสีดา กัสปรับตัวน้อยมาก ไอ้เรื่องงานหน้าร้านนั้นสบายมากอยู่แล้ว กัสทำมาตั้งแต่เด็ก แต่บางครั้งพนักงานไม่พอ กัสต้องเข้าไปช่วยป้าสีดาในครัว กัสก็คิดถึงย่าขึ้นมาถนัดใจ ครัวแบบฝรั่งมันก็ดูจะเป็นทางการกว่าบ้านเรา ที่บ้านย่า มีแคร่เตี้ย ๆ ซึ่งเราจะนั่งทำงานกันอยู่ตรงนั้นแหละเพื่อเตรียมของ ไม่ว่าจะปอกหอมปอกกระเทียมหั่นเนื้อหั่นหมู จนไปอยู่หน้าเตานั่นล่ะถึงต้องยืน
แต่ครัวที่นี่ต้องยืนทั้งวี่ทั้งวัน ไอ้เตรียมของล่ะไม่เท่าไร แต่ยืนทั้งวันนี่ ตอนเลิกงานกัสกลับหอไปนอนพัก แทบจะนอนร้องไห้เพราะปวดขา แต่ทำไปบ่อย ๆ ก็ชินไปเอง
อาหารง่าย ๆ ป้าสีดาก็ให้กัสทำไปเลยอย่างทอดไข่เจียวหมูสับ หรือผัดกะเพราซึ่งป้าสีดายืนยันว่าร้านของแกทำรสแบบออริจินอล มันต้องเผ็ดและได้ลิ้มรสเครื่องเทศ ที่สำคัญไม่ใส่อะไรแปลก ๆ อย่างบางร้าน เช่นพริกหยวก หรือบล๊อกเคอรี่ กัสเคยแอบไปกินอาหารไทยร้านหนึ่งซึ่งเจ้าของร้านเป็นคนเวียดนาม เห็นผัดกะเพราแล้วกัสถ่ายรูปถามเพื่อน ๆ เลยทีเดียวไม่มีใครเดาออกว่าอาหารข้างหน้าคืออะไรแถมแพงซะด้วย และรสชาติความอร่อย ก็แพ้ฝีมือของกัสหลุดรุ่ย ไม่ได้อวยนะแต่มันไม่อร่อยจริง ๆ ให้ดิ้นตาย
จะด้วยค่าเงินที่ฝรั่งเศสมันมากกว่าไทย เฉพาะเงินค่าพาร์ทไทม์ ก็ทำเอากัสเพริดไปได้เหมือนกัน เพราะถ้าเทียบเป็นเงินไทยแล้วมันมากเหลือเกิน กัสนึกถึงตอนตัวเองไปทำงานร้านสะดวกซื้อสมัยเรียนโดนเอาเปรียบ ค่าจ้างแสนถูก และงานหนักแทบตาย
แต่ตอนนี้กัสก็ไม่ได้คิดว่างานนั้นมันร้ายแรง จะแย่หน่อยที่ค่าแรงน้อยไปหน่อย แต่เรื่องงานหนัก ถ้าได้ค่าตอบแทนเยอะ กัสก็สู้ตาย
พอได้เงินเยอะ ก็ต้องมีบ้างที่กัสขอสนุกกับเงินเพื่อความสุขบ้าง ปีแรกกัสอยู่แต่มหาวิทยาลัยกับหอสมุด และร้านของป้าสีดาเท่านั้น แทบจะไม่เคยเที่ยวหัวเลย กัสทำอยู่สองอย่างคือเรียนกับทำงาน ตื่นมาก็ไปเรียนเรียนเสร็จก็ทำงานพาร์ทไทม์ จบงานก็กลับห้องพัก วนเวียนอยู่อย่างนี้
แต่หนึ่งปีผ่านไป กัสผ่อนคลายขึ้นและคิดว่าอีกไม่นานกัสก็เรียนจบ ควรที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาดูอะไรที่บ้านเมืองของเรามันไม่มีบ้าง
กัสปีกกล้าขาแข็ง ขนาดด่าคนที่มาบูลลี่ได้ทีเดียว เมื่อแรกมากัสตกใจแทบแย่ คนไทยเรามันเป็นพวกต๊ะต่อนยอน ยิ่งปารีสมันสวยไปหมด ตึกรามบ้านช่องและรูปปั้น กัสก็ต้องค่อย ๆ เดินดู แต่คนที่นั่นเขาเห็นจนชิน และชีวิตรีบเร่ง พ่อเดินจ้ำ ๆ และคงรำคาญที่กัสเดินช้า ๆ เพราะมัวแต่มองโน่นมองนี่ มันก็เลยชนกัสเสียล้มคว่ำเลยทีเดียว แถมคนที่เดินไปเดินมาก็แสนใจดำ ไม่มีใครแม้แต่จะเหลียวมามองกัสด้วยซ้ำ และไอ้เปรตที่ชนกัสก็ด่ากัสเสียงดังด้วยว่าน่ารำคาญ เดินช้าเกะกะ
แต่มาเดี๋ยวนี้น่ะเรอะ กัสด่ากลับเป็นไฟ เรามันลูกหลานพระเจ้าตาก กัสชักจะคิดว่าตัวเองเหมือนเจ๊หวังหรืออีหมึกเข้าไปทุกที เพราะคำสบถภาษาฝรั่งเศสกัสก็ด่าได้อย่างเผ็ดร้อนเลยเชียวล่ะ บางทีด่าด้วยความหมายภาษาไทยแต่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ไอ้คนถูกด่าอ้าปากค้างเพราะมันคงแปลความหมายไม่ทัน
เมื่อได้เที่ยวชมบ้านเมืองสวยงามแล้ว ก็ต้องลองกินอาหารฝรั่งเศสบ้าง กัสหาข้อมูลร้านอาหารเล็ก ๆ แต่อร่อยและราคาไม่แพง และสิ่งหนึ่งที่กัสอยากลองกินตั้งนานแล้วก็คือ แอ็สการ์โกต์ อันว่าหอยทากอบเนยนี้เป็นเมนูสตาร์ทเตอร์หรืออาหารเรียกน้ำย่อย ทำจากหอยทากแอ็สการ์โกต์ตัวใหญ่ ๆ จากบูร์โกนญ์ วิธีปรุงคือนำเนื้อหอยออกมาจากฝาแล้วนำมาปรุงกับซอสกระเทียมและไวน์ใส่เนยเข้าไปในเปลือก แล้วยัดตัวหอยเข้าฝาจากนั้นก็อบในถาดหลุม เสิร์ฟพร้อมอุปกรณ์คีบเปลือกแล้วก็ช้อนส้อม ซึ่งกัสชวนเพื่อนสาวชาวฟิลิปปินส์มาลองกินด้วยกัน
ค่อนข้างประทับใจ จะว่าอร่อยมั๊ยกัสก็ว่ามันอร่อยไม่ถึงใจกัสเท่าไร ไม่สิ ไม่ถึงใจคนไทยเท่าไร เพราะเราเคยกินอาหารรสจัด ไอ้หอยแบบนี้กัสล่ะนึกถึงหอยเชอรี่ที่ขายในตลาดนัดข้างมอ เอามากินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บ ๆ อร่อยกว่าเป็นก่ายเป็นกองที่สำคัญ ถูกกว่าหลายเท่า
เอามาเล่าให้ป้าสีดาฟังแกก็หัวเราะเหอะ ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่ออยู่ในครัวช่วยกันทำอาหาร ป้าแกก็เลยถามกันว่าวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้กัสมาทำงานหรือไม่
"มาสิครับ" กัสตอบและตั้งหน้าตั้งตาปอกเปลือกกระเทียม
"หลานของตาปีแอร์มาจากเยอรมัน จะมาเที่ยว เขาไม่เคยมาดีฌงเลย แต่พูดภาษาอังกฤษได้นะ พูดได้ดีเชียวแหละ ปีแอร์เขาก็เลยจะให้กัสเป็นไกด์ให้สักหน่อย เดี๋ยวเขาให้ค่าแรง รับจ้างเป็นไกด์ด้วยได้ไหมล่ะ?" ป้าสีดาว่าและกัสก็ตอบตกลงทันที เขาจะมาช่วงเทศการดอกไม้ ซึ่งกัสตั้งใจไปเที่ยวพอดี เพราะมันเป็นงานใหญ่ และไม่ได้จัดบ่อย ๆ เสียด้วย
พูดถึงหลานตาลุงก็เดินเกร่เข้ามาในครัว แกกอดป้าสีดา และยื่นหน้าไปจูบแก้ม ส่วนป้าสีดาก็โวยวายและไล่ให้แกไปอยู่หน้าร้าน
"ทามอาหลาย?" ลุงปีแอร์ถามด้วยภาษาไทยที่แกมีทักษะน้อยเต็มที ขนาดแต่งงานกันมาเป็นสิบปีแล้วนะ ตรงกันข้ามกับป้าสีดาที่พูดฝรั่งเศสคล่องกับเยอรมันได้นิดหน่อย
"ทำแกงคั่วสับปะรดจ๊ะ" ป้าสีดาบอก ซึ่งแน่นอนลุงปีแอร์แกไม่รู้จักแน่ ๆ แกยักไหล่ และป้าสีดาก็หยิบสับปะรดที่ตัดเป็นชิ้น ยัดใส่ปากแกเสียเลย
"คืนนี้กินข้าวด้วยกันนะ ป้าได้หอยแมลงภู่มา ได้ตัวเล็ก ๆ ก็เลยอยากเอามาทำแกงคั่วสับปะรด กินแก้คิดถึงบ้านน่ะ" ป้าสีดาว่าและแน่นอนกัสก็ตอบรับแน่นอน
กัสเคยกินแกงคั่วสับปะรดอยู่แล้ว แน่นอนว่าย่าเป็นคนทำ แต่ที่เริดไปกว่านั้น ย่าใส่ไข่แมงดาเข้าไปด้วย ไข่แมงดามัน ๆ เคี้ยวอร่อย กินแล้วเหมือนขึ้นสวรรค์ เสียดายที่นี่คงไม่มีให้กิน อย่าว่าที่นี่เลย ถ้ากลับกรุงเทพฯ ก็เห็นจะได้กินยาก แต่บาปบุญตอนเรียนที่มอ กัสได้กินอยู่สามสี่หน เขาขายแมงดาตัวเท่าฝ่ามือ กินกับน้ำยำ กัส อีหมึก และอีหม่อมน้า แย่งกันกินอร่อยที่สุดในโลก แทบจะฆ่ากันตาย แทบจะนับจำนวนเมล็ดกันเชียวเพื่อให้เกิดความเสมอภาค
ป้าปูลวกหอยแมลงภู่แล้วก็แกะหอยแมลงภู่ทีละตัว ๆ จนกัสต้องเข้ามาช่วย แกจึงหันไปเตรียมน้ำแกง หอยแมลงภู่ตัวเล็กสำหรับที่นี่แต่ตัวใหญ่เหลือเกินสำหรับเมืองไทย กัสแกะมันแล้วก็ดึงขนของมันออก แล้วโยนใส่ชาม
ส่วนป้าสีดาแกเอาหัวกะทิกล่องเทใส่หม้อ รอกะทิเดือดแตกมันค่อยใส่พริกแกงแดงลงไปผัด คนจนละลายได้กลิ่นหอม แน่นอนว่าหอมจนจามกันเชียวล่ะ ลุงปีแอร์ถึงกับยื่นหน้าเข้ามาดูทีเดียวว่าทำเมนูพิสดารอย่างไร
จากนั้นก็เอาหอยแมลงภู่ใส่ลงหม้อต้มได้เลย แล้วก็เหยาะใบมะกรูด พอความร้อนขับกลิ่นหอม ๆ ของใบมะกรูดออกมา ถึงจะเป็นใบมะกรูดแห้งก็เถอะ ใส่กะทิเพิ่มแล้วก็ใส่สับปะรดต่อเลยไม่รอช้า น้ำเดือนคลัก ๆ ก็ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ แล้วชิมรส แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ
นั่งกินด้วยกันสี่คน มีพนักงานพาร์ทไทม์อีกคนนั่งกินด้วยแต่เขาเป็นคนกัมพูชา เห็นแกงคั่วสับปะรดหมอก็ตักอย่างเกรง ๆ แต่พอชิมแล้วก็โจ้เอา ๆ กัสกับป้าสีดาก็กินจนหายคิดถึงบ้าน ส่วนลุงปีแอร์ก็กินไปเช็ดเหงื่อไป เพราะแกบ่นว่าเผ็ด
"เผ็ก" ลุงปีแอร์บ่น
"เผ็ดเผิดที่ไหนตาปีแอร์ ทีส้มตำปาร้านี่กินเอา ๆ" ป้าสีดาบ่นและลุงปีแอร์ก็ซัดไอ้ของเผ็ดต่อไป อย่างเอร็ดอร่อย
"หลานของลุงปีแอร์ ชื่ออะไรหรือครับ?" กัสถามและนึกหน้าของหลานลุงปีแอร์ไม่ออกทีเดียว เดาเอาว่าคงจะเป็นเด็กวัยรุ่นสิบกว่าขวบกระมัง เพราะเคยเห็นรูปแว้บ ๆ
"ฌอง" ป้าสีดาบอก หลังจากถามลุงปีแอร์ เพราะแกว่าแกก็ไม่เคยเจอหลานคนนี้เหมือนกัน เห็นว่าเป็นลูกของน้องสาว
"ชื่อเท่ดีนะครับ" กัสว่า เห็นคนชื่อฌองทีไรก็มักจะหล่อซะทุกที แต่ไม่รู้ว่าจะดื้อหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่คนเยอรมันมักจะขรึม ๆ และค่อนข้างจริงจัง เท่าที่กัสเคยเจอะเจอ แต่นี่ยังเด็ก คงพอคุยกันได้
กินข้าวกันจนใกล้อิ่มแล้ว เหลือแกงคั่วอยู่ก้นชาม กัสก็เลยตักมากินให้มันหมด ๆ จะได้เอาไปล้าง ได้หอยแมลงภู่ตัวโต ๆ กับสับปะรดชิ้นเท่านิ้วก้อย กัสก็เคี้ยวง่ำ ๆ แอ็สการ์โกต์ก็แอ็สการ์โกต์เถอะ กัสขอกินแกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่แบบนี้ดีกว่าเป็นไหน ๆ กินกับข้าวร้อน ๆ ด้วยจะได้อิ่มท้องด้วย อร่อยด้วย