ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

Delicious - 6 ต้มยำ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Delicious

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

Delicious  โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง


และรสอร่อยที่เราโปรดปรานก็นำพาเราให้ย้อนนึกถึงความหวังในครั้งอดีตได้ด้วย

เมนูไหนเป็นเมนูโปรดของคุณกันนะ

สารบัญ

Delicious -1 สปาเกตตี,Delicious -2 ปลาเค็ม,Delicious -3 ไก่ต้ม ไก่ย่าง ไก่ทอด,Delicious -4 ไข่เจียว แกงจืด,Delicious -5 แกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่,Delicious -6 ต้มยำ,Delicious -7 ข้าวเหนียว หมูปิ้ง,Delicious -8 ลาบหมู,Delicious -9 ขนมปังหน้าหมู,Delicious -10 สังขยา,Delicious -11 แอปเปิล,Delicious -12 มะระ,Delicious -13 หัวไชเท้า หัวไชโป๊ว,Delicious -14 ส้มตำ,Delicious -15 กล้วย,Delicious -16 ผักบุ้ง,Delicious -17 มะเขือ,Delicious -18 ซีอิ๊ว,Delicious -19 ปลากระป๋อง,Delicious -20 ขนมจีน,Delicious -21 แตงโม,Delicious -22 ฟักทอง,Delicious -23 แหนม,Delicious -24 ดอกโสน,Delicious -25 ปลาทู,Delicious -25 หมูหวาน,Delicious -26 มะพร้าว,Delicious -27 ทุเรียน ขนุน สาเก,Delicious -29 ขาหมูเยอรมัน,Delicious -30 น้ำพริกไข่ปู

เนื้อหา

6 ต้มยำ

โดย  Chavaroj



กัสนั้นไม่ใช่คนกินเยอะ มื้อเช้านั้นแค่กาแฟหอม ๆ แก้วนึงกับครัวซองต์ หรือแซนด์วิช ก็อิ่มแล้ว ยิ่งตอนเที่ยงกินอาหารที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย  ราคาไม่แพงและได้ปริมาณค่อนข้างเยอะ สามารถทำให้อิ่มจนถึงมื้อเย็นซึ่งกัสจะได้กินอีกทีก็คือตอนเลิกงาน ราว ๆ สามทุ่มนั่นเลย ป้าสีดามักทำอาหารง่าย ๆ เลี้ยง โดยเอาวัตถุดิบที่เหลือนั่นล่ะมาทำเลี้ยง ที่ฝรั่งเศสไม่เหมือนไทย ดึกดื่นแล้วแต่ฟ้ายังสว่างอันนี้ก็แล้วแต่ฤดูกาล

ปกติคนยุโรปชอบเดิน แต่ตามประสาคนไทยอย่างเรา โดยเฉพาะกัสซึ่งชอบดูโน่นดูนี่ แล้วด้วยส่วนสูง กับความยาวของขาเดินตามเขาไม่ทัน และคนฝรั่งเศสน่ะ ขี้เหยียด แต่ยังดีกว่าเยอรมัน อันนี้ว่ากันโดยพื้น ๆ ซึ่งกัสโดนตอนมาอยู่ใหม่ ๆ ใครเดินช้ามันด่าเอาสาดเสียเทเสียกัสก็เลยมีจักรยานคันเก่า ๆ หนึ่งคันซึ่งซื้อต่อมาจากรุ่นพี่ เอาไว้ทำเวลาเนื่องจากแต่ละสถานที่มันก็ไกลพอใช้

แต่ถ้ากัสอารมณ์ดี ก็จะขี่จักรยานเล่น ชมความสวยงามของสถานที่ ซึ่งไปเล่าให้ป้าสีดาฟังแกก็บ่นว่าอันตราย เพราะขโมยขโจรเยอะเหมือนกัน แต่กัสก็โชคดีไม่เคยเจอคนร้ายสักหน อาจเพราะพระเครื่ององค์จิ๋วที่ย่าให้มาไว้ป้องกันภัยอันตรายก็เป็นได้

"ใส่ไว้ตลอดนะลูกอย่าถอดทิ้งไว้ที่ไหน พระท่านจะได้คุ้มครอง" กัสคิดถึงย่าทีไรก็เผลอเอามือลูบพระเครื่ององค์จิ๋วเสียทุกที 

และคืนนี้เลิกงานแล้วกัสนึกเบื่อขี้เกียจไปอุดอู้ในหอ เลยขี่จักรยานเล่น แต่ขี่ในบริเวณของมหาวิทยาลัยนี่ล่ะ อย่างน้อยก็การันตีความปลอดภัย เพราะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าดุ ๆ คงพอทำให้ผู้ร้ายเกรงขาม

ระหว่างนี้กัสก็ฟังเพลงไปด้วย นอกจากพูดภาษาฝรั่งเศสให้บ่อย ๆ เพื่อให้เกิดความคล่อง การฟังเพลงก็ช่วยได้มากเหมือนกัน ก็อย่างเช่นตอนเด็ก ๆ ที่เรียนอนุบาล ครูก็จะพาเด็ก ๆ ให้ร้องเพลง แล้วจะสนุกก็ต้องมีท่าประกอบด้วย เพลงช้าง เพลงพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง เพลงกาต้มน้ำ 

และตอนนี้เพลงที่กัสฟังมันแสนไพเราะ ความหมายหวานหยดย้อย แต่เหนืออื่นใด ฟังเพลงนี้แล้วกัสคิดถึงแม่เพราะยามแม่ใจลอย มักจะฮำเพลงนี้เสมอ ๆ เพราะมันเป็นเพลงโปรด ซึ่งกัสฟังมาตั้งแต่ยังตัวเท่ากำปั้น ยังไม่รู้ความหมายด้วยซ้ำแต่ก็แค่รู้สึกว่ามันเพราะดี

Des yeux qui font baisser les miens
Un rire qui se perd sur sa bouche
Voilà le portrait sans retouche
De l'homme auquel j'appartiens
Quand il me prend dans ses bras
Il me parle tout bas
Je vois la vie en rose
Qu'il me dit des mots d'amour
Des mots de tous les jours
Et ça me fait quelque chose
Il est entré dans mon cœur
Une part de bonheur
Dont je connais la cause
C'est lui pour moi
Moi, pour lui, dans la vie
Il me l'a dit, l'a juré pour la vie
ยิ่งตอนนี้กัสเป็นนักเรียนทุนฝรั่งเศส รู้ความหมายของเพลงแล้วด้วยก็เลยยิ่งอินใหญ่ ฟังเพลงแสนเพราะเพลงโปรดของแม่ กับบรรยากาศที่มันฝรั่งเศสก็คือถูกที่สุด 

นักร้องที่ทั้งร้องและแต่งเพลงนี้ก็คือ คุณยาย อีดิต ปียัฟผู้แสนอาภัพ กัสเคยเห็นรูปคุณยายอีดิตที่ว่า เห็นคิ้วตก ๆ ซึ่งคงจะเป็นสมัยนิยมของยุคนั้นแล้วก็นึกขำ ถ้าเจ๊หวังเห็นคิ้วแบบนั้นต้องมีโมโหกันแน่ ๆ

ชื่อเพลงนั้นก็แปลประมาณว่า ชีวิตที่มองผ่านแว่นตาสีกุหลาบ  ก็คือตกหลุมรักนั่นแหละ มองอะไรมันก็สวยงามไปหมด แต่คนไทยเรากลับไปเปรียบเทียบเสียว่า ความรักทำให้คนตาบอดเสียฉิบ ไม่โรแมนติกเอาซะเลย กัสฟังเพลงไปก็พยายามแปลความหมายมันไปคร่าว ๆ นึกอยากแต่งเนื้อให้มันสละสลวยเป็นภาษาไทยดูบ้างก็คงจะเข้าที

กอดฉันเร็ว ๆ กอดฉันแน่น  ๆ เพราะโชคชะตาเหมือนมีเวทมนตร์ ทำให้ฉันตกหลุมรัก

และเมื่อเราจูบกันก็เหมือนขึ้นสวรรค์ ฉันหลับตาก็เห็นแต่ความรักที่แสนโรแมนติกของเรา

เมื่อเธอทำให้ฉันเข้าไปอยู่ในใจของเธอ ฉันก็เหมือนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง

เมื่อเธอเอ่ยปาก มันไพเราะดังเหล่านางฟ้าก็ร้องเพลงจากสรวงสวรรค์เป็นทำนองเพลงรัก

โปรดให้หัวใจและวิญญาณของเราสวยงามไปด้วยความรักตลอดกาล ฯลฯ

แปลแล้วกัสก็ขนลุกนิด ๆ ก็ในชีวิตนี้กัสไม่เคยมีแฟนกับเขาสักคน ไอ้ที่เคยแอบชอบรุ่นพี่หล่อ ๆ หรือเพื่อนในมหาวิทยาลัยหล่อ ๆ ซึ่งมีเยอะแยะน่ะก็มีบ้างเป็นกระสาย แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กัสก็เลือกจะมุ่งมั่นในการเรียนแทนเสียฉิบ ใครมาจีบกัส หรือกัสทอดสะพานให้ใคร สุดท้ายก็แพ้เสียทุกทีเพราะกัสเบื่อเสียก่อน ไม่อยากให้เวลากับเรื่องพวกนี้เสียฉิบ

แม่เล่าว่าเพลงนี้มันเกิดขึ้นเพราะป๊อปปี้เลิฟของแม่ ที่ไม่ใช่พ่อ และสามีคนแรกด้วยซ้ำ แม่ถูกส่งมาเรียนตั้งแต่ยังเด็ก และมีเพื่อนชายชาวฝรั่งเศสคนนั้นที่ทำให้แม่รู้จักคำว่ารัก 

"โอ๊ย ป่านนี้แก่เป็นตาแก่ไปแล้วล่ะมั้ง เผลอ ๆ มีลูกเป็นโขลง เจอตอนนี้แม่อาจจะวิ่งหนี เพราะดูไม่ด๊าย ดูไม่ได้" แม่คุยอย่างอารมณ์ดี ในวันที่เราสองคนแม่ลูกเดินเล่นด้วยกันในบรรยากาศแสนพิเศษ และแม่เล่าถึงความหลัง

แต่ชีวิตของกัสก็ยังวนเวียนอยู่ด้วยสิ่งที่กัสคิดว่ามันเป็นเป้าหมาย และตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว กัสเถลไถลเต็มที และถ้าย่าหรือพ่อรู้คงจะบ่น ก็เลยรีบกลับไปนอน แต่ก็ไม่ลืมที่กัสจะถ่ายรูปสวย ๆ ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหน แล้วก็อัพรูปภาพพวกนั้น กับคำอธิบายนิดหน่อย ลงโซเชียล เพราะมันคือช่องทางเดียวที่ว่องไวที่สุด ที่บรรดาคนซึ่งรักและคิดถึงกัสจะได้รู้ว่ากัสเป็นอย่างไร 

แรก ๆ น่ะก็โทรหา โทรคุยกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อน ๆ แต่พอกัสเข้ากับที่นี่ได้ ความเหงาลดลงและกิจกรรมในแต่ละวันทำให้กัสยุ่งขิง กัสก็ใช้รูปภาพพวกนี้สื่อให้คนที่คิดถึงกัสได้รู้ว่ากัสสบายดีก็แล้วกัน

รีบเข้านอนและตื่นมาอย่างสดใสในตอนเช้า จบลงที่ร้านอาหารของป้าสีดา และแกก็ดีใจลิงโลดนักที่กัสเดินเข้ามาในร้าน

"เอ๊ามาแล้วหรอ ๆ ฌองมาแล้ว แหมตื่นเต้นใหญ่เชียว" ป้าสีดาแกเสียงพูดดัง และกัสก็ยืนอมยิ้ม ป้าสีดาแกตะโกนเรียงฌองให้รีบลงมาข้างล่าง มาทำความรู้จักกันไว้ เดี๋ยวกัสจะต้องรับงานเป็นไกด์พาเจ้าเด็กเยอรมันเที่ยวงานดอกไม้ และอาจจะเพริดไปถึงปารีสโน่นทีเดียว

"Bonjour" ไอ้หนุ่มตาน้ำข้าวเดินเข้ามาหา ทักทายกัสและยื่นมือมาให้จับ กัสตั้งรับไม่ทัน แต่ก็ยื่นแก้มไปสัมผัสกันอันเป็นธรรมเนียมของคนฝรั่งเศสโดยอัตโนมัติ

ตายละวา กัสคิดว่าเจ้าฌอง หลานของลุงปีแอร์จะเป็นเด็กสิบกว่าขวบ แต่ที่ไหนได้เล่า เสือกเป็นคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับกัสอาจจะแก่กว่าปีสองปี ก็สุดจะเดาเพราะหมอนี่สูงกว่ากัสแบบต้องเงยหน้าคุย รู้อย่างนี้ไม่รับงานดีกว่า แต่กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ไปรับปากเขาแล้วก็ต้องทำตาม จะตระบัดสัตย์เหมือนนักการเมืองไทย ไม่ได้แน่ ๆ เดี๋ยวจะว่าเป็นเทคนิคหาเสียง พ่อล่ะเกลียดนัก

ฌองกลับไปสนทนากับลุงของเขาเป็นภาษาเยอรมัน แต่ถ้าจะคุยกับกัสก็จะพูดอังกฤษ เวียนหัวดีเหมือนกัน สมองส่วนแปลภาษาของกัสต้องทำงานอย่างหนักทีเดียว

อีตาฌองนี่ เข้ามายุ่มย่ามในครัวด้วย ถามหมอนี่ ก็ตอบว่า ได้ยินลุงปีแอร์ คุยโม้ไว้เยอะว่าอาหารไทยนั้นอร่อย เขาเป็นคนชอบลองอะไรแปลก ๆ กัสล่ะอยากให้ลองกินน้ำพริกกะปิฝีมือยายเหลือเกิน ดูซิจะอยากลองอยู่อีกหรือเปล่า เพราะเผ็ดสะใจ

เมนูอาหารที่ฝรั่งสั่งกันเยอะ ๆ อันเป็นซอฟพาวเวอร์เพราะแค่บอกชื่ออาหารก็รู้แล้วว่าเป็นอาหารไทยแน่ ๆ ก็อย่างเช่นพวกส้มตำ ต้มยำ มัสมั่น ผัดไทย อีตาฌองนี่น่ารำคาญชะมัด เดินเข้ามาในครัว ก็อยากรู้อยากเห็น หยิบโน่นมาดู หยิบนี่มาดม แน่ะ หยิบข่าโยนเข้าปากซะด้วย ข่าดิบกินแล้วมันฝาดปาก อีตาฝรั่งอยากรู้อยากเห็นบ้วนออกแทบไม่ทัน กัสกลั้นหัวเราะไม่อยู่ 

"อะไรเนี่ย?" ฌองถาม

"ขิง...ไม่ใช่สิข่าน่ะ" กัสตอบ จะให้มาบอกชื่อสมุนไพรไทยเป็นภาษาอังกฤษมันง่ายเสียที่ไหน กัสต้องคิดเป็นภาษาฝรั่งเศสแล้วก็ต้องแปลเป็นอังกฤษอีกที น่าปวดหัวจริง ๆ

"กัสต้มยำทะเลที่นึงโต๊ะหก" ป้าสีดาสั่ง ส่วนแกปลีกตัวไปทำก๋วยเตี๋ยวผัดไทย เอาล่ะงานมาแล้ว กัสไม่ตอบคำถามอีตาฌอง คนเจ้าปัญหานี่แล้ว

จัดแจงต้มน้ำพอขลุกขลิก ใส่เนื้อสัตว์ทะเลลงไป กุ้ง หอยแมลงภู่ตัวโตต้มแล้วแกะฝาออกด้านหนึ่ง เนื้อปูหมด เลยใส่เนื้อปลาเพิ่มเข้าไปให้หน่อยก็แล้วกัน 

พอเนื้อสัตว์สุก สังเกตดูอย่าอุตริไปคนไม่อย่างนั้นจะคาวทั้งหม้อ จากนั้นก็ใส่บรรดาเครื่องเทศ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง เห็ด พอเห็ดสุก กลิ่นสมุนไพรก็ฟุ้งไปทั้งครัวตีกับกลิ่นผัดไทย อีตาฌอง ยืนมองแล้วแอบกลืนน้ำลายกัสเห็นพอดี 

เอาล่ะสุกแล้วปรุงรส ใส่น้ำปลาเพิ่มความเค็มและหอมใส่ตอนร้อน ๆ จะได้ไม่คาว ใส่น้ำตาลนิดนึงจะได้กลบรสปร่า ตีพริกใส่ลงไปหน่อย ไม่ใช่งกกลัวเปลือง กลัวลูกค้ากินไม่ได้ น้ำพริกเผาใส่ลงไปให้น้ำมันของพริกเผาลอยเป็นสีส้มน่ากิน ใส่น้ำมะนาวให้เปรี้ยวโดด ชิมดูว่าขาดเปรี้ยวกัสก็เติมไปอีกนิด 

กัสล่ะคิดถึงยายเคยเป็นลูกมือ ยายก็ว่าคนโบราณจะดูว่าคนทำกับข้าวเก่งไหม ก็ให้ดูที่การทำ ต้มส้ม เนื่องจากว่าเป็นแกงซึ่งจะต้องทำให้สามรสเสมอกัน เปรี้ยว เค็ม หวาน ห้ามมีรสอื่นใดโดดเด็ดขาด 

โรยหน้าด้วยใบผักชีและใบผักชีลาว จากนั้นกัสก็ให้นำไปเสิร์ฟลูกค้า

แน่ล่ะว่ามันต้องอร่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นซอฟพาวเวอร์ของไทยได้อย่างไร จริง ๆ มันเป็นหนึ่งในอาหารในหัวใจของคนไทย ไม่ว่าจะชั่วดีมีจน อย่างยากจนที่สุด ก็ให้นึกถึงมาม่ารสต้มยำ แต่ถ้าเป็นคนกินเผ็ดอย่างอีหม่อมน้า ก็จะแดกมาม่ารสหมูสับ ซึ่งยามยาก เราสามสหายจะเอามาต้มกินแก้หิว

แต่ก็ใช่ว่ายามร่ำรวยเพราะต้นเดือนพ่อส่งเงินให้เราจะกินของหรูหรา ก็กินมาม่าต้มยำนี่ล่ะ แต่อาจจะเดาะใส่เนื้ออื่น ๆ ลงไป อย่างง่ายที่สุด ก็ปลากระป๋อง แค่นี้สวรรค์ก็ลอยอยู่ตรงหน้า สามเพื่อนซี้ แย่งกันกินในกระทะไฟฟ้า กินกันไปด่ากันไป สนุกจะตาย กินกันจนเรียกว่าขอดหม้อขอดไห ไม่เหลือน้ำแกงสักหยด 

คืนนั้นเมื่อปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ป้าสีดาแกว่าทำต้มยำให้หลานเขยได้ลองกิน แหมท่าทางถูกใจใหญ่ แล้วยังว่า อยากจะลองหัดทำเสียด้วย ป้าสีดาแกก็รับคำอย่างหวาด ๆ อาหารไทยจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากแถมถ้าทำแล้วพลาด เททิ้งเสียทั้งหม้อ ก็เคยมี

ยิ่งวัน ๆ วัตถุดิบก็แพงเอา ๆ ไม่ว่าจะที่ไทยหรือที่ไหน ๆ เดชะบุญ คนที่ยอมจ่ายเงินแพง ๆ มากินอาหารอร่อย ๆ นั้นก็ยังมีอยู่ เขาอาจจะมีเงินเหลือเฟือ เพราะค่าแรงที่นี่มันแพงจนสามารถฟุ่มเฟือยได้บ้าง หรือไม่บางคนอย่างกัส บางครั้งลองได้กินอาหารพิเศษ ๆ ก็เหมือนเป็นการให้รางวัลชีวิตได้เหมือนกัน 

หวยก็เลยมาลงที่กัส เพราะปกติกัสยามเข้าครัวมักจะรับผิดชอบอาหารพวกต้ม ๆ กัสอธิบายว่าไอ้ที่เรียงรายอยู่ในชามเครื่องปรุงมันคืออะไรบ้าง แล้วฌองก็ขอลองชิมอย่างน้ำมะนาวซึ่งเป็นน้ำมะนาวแท้ ๆ แต่มาในรูปแบบของขวด ได้ลองชิมแล้วก็หลับตาปี๋ แต่ก็ยกนิ้วโป้งให้ แถมยังชมว่ามะนาวไทยอร่อยดี

ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กัสก็ลองให้ฌองได้ดมดู อย่าอุตริไปเคี้ยวเข้าล่ะพ่อ แล้วฌองก็ลองทำ โดยมีกัสคอยบอกบทซึ่งเหนื่อยกว่าทำงานทั้งวันอีก เพราะต้องแปลเป็นสามภาษา กัสแทบจะลืมภาษาอังกฤษไปแล้ว

ในที่สุด ต้มยำแสนอร่อยก็มาลอยหน้าลอยตาอยู่ที่โต๊ะอาหาร วันนี้มีแขกพิเศษอีกหนึ่งคน ก็เลยครึกครื้นหน่อย ลุงปีแอร์ ถึงกับเปิดไวน์ฉลองเลยทีเดียว แต่กัสว่าแกหาเรื่องอยากจิบมากกว่า 

มื้ออาหารใกล้จะจบลง ลุงปีแอร์นึกครึ้ม จะเพราะโรแมนติกหรือเพราะเมาก็ไม่รู้ แกเดินไปเปิดเพลง La vie en rose แล้วก็ยื้ดยุด ป้าสีดาให้ไปเต้นรำกับแกตรงลานโล่ง ๆ ในร้าน 

พวกเราคือ กัส ฌองและพนักงานพาร์ททามอีกคนก็เลยค่อย ๆ เก็บจานชามให้เงียบที่สุด เอาเข้าไปล้างในครัว หน้าที่ล้างจานวันนี้ไม่ใช่คิวของกัส และกัสก็จะกลับหอพักสักที กัสแอบดับไฟให้มันสลัวลงสักหน่อยจะได้โรแมนติกสมใจลุงปีแอร์ ยืนอมยิ้ม มองลุงปีแอร์กับป้าสีดา ที่มันสวีทเหลือเกิน กัสรู้สึกว่าเพลง La vie en rose มันเพราะกว่าเดิมสักสิบเท่าเมื่อเห็นคนรักกันเต้นรำพร้อมเพลงนี้

ครั้นหันไปมองฌองที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็ยืนกอดอกและอมยิ้มเหมือนกัน เราก็เลยพยายามกลั้นยิ้ม และกัสก็ค่อย ๆ ย่องออกไปทางหลังร้านซึ่งจอดรถจักรยานของกัสไว้

"วันนี้สนุกมาก และอาหารก็อร่อยมาก ขอบคุณ" ฌองบอก และกัสก็ยิ้มรับ

"ผมจะกลับแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน" กัสพูดและถอยจักรยานเตรียมตัวออกเดินทางเต็มที่

"เดี๋ยว ๆ เราจะไปที่ไหนกันบ้างในวันพรุ่งนี้ และจะออกเดินทางตอนกี่โมง?" ฌองถามและกัสก็ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง 

พรุ่งนี้เป็นวันที่สามในเทศกาลดอกไม้ประจำปี ซึ่งดีเพราะคนจะได้ไม่มีคนมาก แต่ถึงอย่างนั้นกัสก็รู้ว่าคนเยอะอยู่ดี ก็เลยกะว่าจะออกเช้า ๆ หน่อย พรุ่งนี้กัสไม่มีเรียน สบายมากอยู่แล้ว 

ฌองมาเยี่ยมลุงปีแอร์แค่เจ็ดวัน และเวลานั้นก็ผ่านไปอย่างว่องไว กัสมาทำงานเหมือนปกติในวันนี้นึกเหงานิด ๆ ที่ไม่มีฌอง คนตัวใหญ่ ชอบมายืนมองว่ากัสทำอะไรอย่างสงสัยใคร่รู้ ตอนนั้นกัสรำคาญชะมัด แต่พอเขาจากไปกัสกลับคิดถึงนิด ๆ กัสรำคาญคนขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นไปหมด เพราะชอบถามอะไรแปลก ๆ จนกัสหัวปั่น ถ้าเป็นอีหมึก คงด่าสาดเสียเทเสียหรือไม่ก็อาจจะตอบอะไรที่มันประชดประชันให้คนถามได้หัวเราะแทบตาย เพราะถูกหลอกด่า

แต่ในงานเทศกาลดอกไม้ กลับเป็นกัสที่ไม่รู้อะไรเลย ดอกไม้แสนสวยสารพัดชนิด ฌองรู้จักเกือบหมด กัสรู้จักแต่ดอกไม้พื้น ๆ อย่างพีโอนี กุหลาบ ทิวลิป แต่ดอกไม้แสนสวยซึ่งละลานตา กัสมองไป ฌองก็บอกว่ามันคือดอกอะไร แถมยังบอกว่ามันกินได้ หรือเอาไปทำโน่นทำนี่ได้อีก

แต่ในงานนี้ที่กัสชอบที่สุด ก็คือโซนกุหลาบ ซึ่งฝรั่งเศสก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว มีหลายสายพันธุ์ซึ่งเป็นพันธุ์เฉพาะ ดอกสวยจนกัสอยากจะตัดเอาไปใส่แจกันในห้องเสียให้รู้แล้วรู้รอด บางดอกหอมจนกัสอยากแปลงร่างเป็นแมลง บางดอกก็ใหญ่โต ใหญ่เท่าหน้าของกัสเลยเชียวล่ะ

และที่ประทับใจหน่อย ๆ และไม่คิดว่าจะมีจริงก็คือดอกกุหลาบสีดำ อย่าว่าแต่ดอกกุหลาบดำเลยดอกไม้อื่นที่สีดำกัสก็ไม่เคยเห็น พอเจอกุหลาบดำกัสก็เลยมองอย่างพิศวง

"กุหลาบดำฮาลเฟติตุรกี เป็นกุหลาบพันธุ์หายากมาก ๆ ถึงจะเป็นสีดำแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นสีแดงซึ่งเข้มจัด เป็นดอกกุหลาบซึ่งจะออกตามฤดูกาลเท่านั้น และโตได้ที่หมู่บ้าน ฮาลเฟติเท่านั้น เพราะมีสภาพดินที่แตกต่างจากที่อื่น รวมถึงค่าความเป็นกรดเป็นด่าง จากแม่น้ำยูเฟรทิส" ฌองอธิบาย และกัสก็เอาแต่จับจ้องมันและถ่ายรูปเจ้ากุหลาบดำมากเป็นพิเศษทีเดียว

จริง ๆ นึกไปก็เกรงใจ เพราะในงานเทศกาล กัสให้ฌองคอยเป็นตากล้องให้ แล้วตามประสาสาวน้อย ก็ไม่ค่อยจะพอใจกับมุมกล้องของพ่อหนุ่มคนนี้เลย แบรคกราวน์เดิม กัสต้องให้ฌองถ่ายแล้วถ่ายอีกอยู่หลายหนจนกว่ากัสจะพอใจ แต่ฌองก็ไม่บ่นสักคำ ลองบ่นสิกัสจะให้เดินเองไม่เดินเป็นเพื่อนด้วย

"เมื่อยขามั๊ย?" กัสถาม เมื่อทั้งสองนั่งพักตรงม้านั่งยาวซึ่งจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนใหญ่ที่นั่งพักจะเป็นคุณยายคุณป้าแก่ ๆ หรือครอบครัวที่มีลูกเล็ก ๆ ซึ่งมาพร้อมกับรถเข็น

"นิดหน่อย อยู่เยอรมันผมเดินทั้งวัน" ฌองตอบและกัสก็พยักหน้า ฌองไม่เมื่อยแต่กัสเมื่อย อย่ากระนั้นเลยกัสน่ะโดนย่าใช้ให้นวดให้บ่อย ๆ ก็เลยต้องงัดแม่ไม้มวยไทยเอามาใช้กับตัวเองบ้าง กัสยกขาขึ้นมาค่อย ๆ เอานิ้วแงะไปที่ขาของตัวเองซึ่งมันแข็งปั๋ง แน่ล่ะขาตึง ๆ พอถูกนวดทีแรกก็เจ็บชะมัด นี่ขนาดกัสใส่รองเท้าผ้าใบซึ่งเหมาะสำหรับการเดินแล้วนะ แต่พอกล้ามเนื้อน่องเริ่มคลายกัสก็ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ

ฌองซึ่งแน่ล่ะไม่รู้จักการนวดไทยแน่ ๆ ก็เลยมองอย่างฉงนสนเท่ห์ 

"อยากลองไหมล่ะ?" กัสถามและไม่รอให้ฌองตอบกันล่ะ กัสยกขาของฌองขึ้นมาพาดไว้บนหน้าตักของตัวเองแล้วก็งัด ๆๆ จนฌองร้องโวยวาย

"อย่าเสียงดัง ขาแข็งชะมัด" กัสดุและฌองก็พยายามอดทน จนกล้ามเนื้อขาของเขาคลายจริง ๆ ทีนี้จะมาให้กัสนวดให้อีกนี่อย่าได้หวัง ไปนวดที่ร้านนวดโน่นซึ่งพ่อจ๋าแม่จ๋าแพงที่สุด 

ฌองช่างซักช่างถามโดยเฉพาะเรื่องเมืองไทย แถมยังสัญญาว่าสักวันจะไปเมืองไทยให้ได้ จะไปเที่ยวทะเลแสนสวย จะไปกินอาหารไทยแสนอร่อย จะไปกินผลไม้ไทยสุดพิเศษโดยเฉพาะทุเรียน และท้ายสุดฌองจะลองไปนวดไทย

กัสได้แต่นึกขำ ขอให้ไปจริง ๆ เถอะ ไม่ใช่พอไปถึงก็ใจตก ไปเที่ยวสถานบันเทิงราตรี หรือแหล่งอโคจรเสียเล่า 

"ไว้ถ้าผมไปเมืองไทย คุณเป็นไกด์ให้ผมได้ไหม?" ฌองถามและทำตาอ้อน ๆ

"ดูก่อนนะ" กัสไม่อยากรับปากใคร ก็กัสยังไม่รู้เลยว่าจะกลับไทยเมื่อไรนี่นะ กัสไม่อยากให้ความหวัง และเวลาก็ยังมีอีกมาก ก็บอกแล้วกัสเป็นคนรักษาคำพูดที่สุด เพราะพ่อสอนพวกเราว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ พ่อว่าคำพูดคือนายของเรา เพราะฉะนั้นอย่าปากพล่อย รับปากอะไรใครง่าย ๆ ถ้าคิดว่าตัวเองยังไม่แน่ใจ

และเมื่อวันสุดท้ายที่ฌองจากกลับเยอรมัน เขากอดกัสพูดพร่ำแต่คำว่าขอบคุณ และมีของที่ระลึกเป็นการ์ดใบเล็ก ๆ ซึ่งด้านหน้าเป็นรูปดอกกุหลาบ กัสเปิดออกดูก็มีเพียงแค่คำว่าขอบคุณ พร้อมกับลงชื่อของฌองเท่านั้น

"กัสต้มยำกุ้งโต๊ะหนึ่งกับโต๊ะแปด โต๊ะแปดเอาเผ็ด ๆ ได้เลย" ลุงปีแอร์เดินเข้ามาสั่งกัสซึ่งกำลังใจลอยพอดี กัสรีบรับคำ และเปิดไฟตั้งหม้อทำอาหารโดยพลัน กลิ่นข่าตะไคร้ใบมะกรูดลอยคลุ้งหอมไปทั่ว กลบกลิ่นอื่น ๆ เสียสิ้น ไม่เว้นแม้แต่กลิ่นดอกกุหลาบซึ่งลุงปีแอร์แกซื้อมาใส่แจกัน แล้วตั้งไว้ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน กัสแอบไปดมมาก่อนจะเข้าครัว แต่อนิจจา กลิ่นต้มยำแบบเข้มข้น ได้ทำให้กลิ่นกุหลาบหายไปจาก ฑานะสัญญาของกัสเสียแล้ว