ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
ถ้าลองนึกดูถึงของที่คู่กันแบบที่สมกันราวกับกิ่งทองใบหยกในแผนกอาหาร หนึ่งในนั้นก็คือ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งใครเถียงเห็นทีผมจะขอเท้ากะเอวแล้วมองค้อนสักที ผมว่าข้าวเหนียวหมูปิ้ง มันน่าจะเป็นซอฟพาวเวอร์ได้เลยนะ ใครเป็นคนไทยไม่เคยกินเห็นทีจะไม่มี..เอ่อไม่นับคนอิสลามหรือคนกินเจนะ
อาหารเช้าสมัยเรียนของผมในวันที่ต้องไปโรงเรียน แล้วเราต้องรีบจนกินข้าวเช้ากันไม่ทัน หรือวันที่พ่อทำกับข้าวแล้วผมกินไม่ทันเพราะอ่านหนังสือจนดึกแล้วตื่นสาย พ่อหรือแม่ต้องขับรถไปส่งผมตั้งแต่อนุบาลจนจบมัธยมปลาย เลยบ่นเสียหูชาเพราะจะทำให้คนไปส่งแทบจะไปทำงานสายด้วย
"กินข้าวเหนียวหมูปิ้งเอาก็แล้วกันพ่อ" ผมบอกกับพ่อและเมื่อพ่อจอดรถที่ใกล้ ๆ หน้าโรงเรียนผมก็วิ่งตื๋อไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งก่อนเลยทีเดียว มันทั้งอร่อย อิ่ม ที่สำคัญใช้เวลาน้อยในการกิน
ความประทับใจของหมูปิ้งวัยเด็กก็คือต้องเป็นหมูปิ้งแบบชิ้น ๆ จะติดมันก็ไม่ว่ากัน หมักเครื่องเทศให้หอม และเวลากินก็จะมีรสหวานนิด ๆ ทำให้เจริญอาหาร ต่อเมื่อกินกับข้าวเหนียวก็จะลดความจัดจ้านและอร่อยพอดี
แต่ที่อยากจะสาปก็คือหมูปิ้งนมสด ซึ่งเป็นหมูบดเอามาอัด ๆ กันให้เหมือนเป็นแผ่น ซึ่งมันไม่ได้ฟิลเลยยามกิน เจอแล้วอยากจะค้อนคนขาย
จนถึงสมัยเรียนมหาลัย แน่นอน เพื่อความประหยัดเวลา อร่อย และคุ้นเคย ผมก็ไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่แถว ๆ หน้ามหาวิทยาลัยนั่นแหละ จากเคยซื้อตั้งแต่ไม้ละห้าบาท ครั้งล่าสุดที่ซื้อหน้ามหาวิทยาลัยไม้ละสิบบาทเข้าไปแล้ว ถามอีหม่อมน้า มันก็แจ้งว่า ร้านที่ขายดี ๆ เพราะใช้หมูชิ้นโต ๆ ได้อัพเกรดราคาไปไม้ละสิบห้าบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่น่าใช่เพราะอัตราเงินเฟ้ออย่างเดียว แต่จะเพราะอะไรคิดแล้วก็ใจหาย จนผมคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศส
ที่ต้องคิดถึงข้าวเหนียวหมูปิ้งอย่างนี้ก็เพราะเช้านี้ อาหารเช้าของผมก็มีแค่ครัวต์ซองค์ กับกาแฟร้อนหนึ่งแก้ว รีบกินให้มันหมดอย่างว่องไว เพราะเดี๋ยวก็จะต้องเข้าสอบแล้ว เวลาช่างผ่านไปว่องไว ถ้าสอบตัวนี้จบผมก็เท่ากับเรียนจบกับเขาสักที
แต่ไม่ใช่ว่าเรียนจบแล้วจะได้กลับบ้านอย่างที่ตั้งใจของตัวเองและครอบครัวยอย่างตอนแรกที่มาเรียนหรอกนะ อาจารย์ที่ปรึกษาของผมแนะนำให้ผมลองฝึกงานที่บริษัทจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมแห่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสินค้าระดับโลกเชียวนะ แต่ผมอยู่แผนการตลาด ซึ่งเป็นผู้ช่วยในแผนกต่างประเทศ
อะไรจะดีไปกว่าได้ทำงานได้ตรงกับสายงานที่เราได้เรียนมา ได้ใช้ความรู้ที่เล่าเรียนและลงมือทำจริง ๆ กันเลย ออกจะสนุก แต่ก็เป็นงานที่โหดอยู่เหมือนกัน ก็แน่ล่ะ ที่นี่เป็นบริษัทระดับโลกเลยเชียวนะ ผมยังแอบคิดเลยถ้าไม่อาศัยคอนเน็กชั่นของอาจารย์ที่ปรึกษา ถ้าผมเดินเทิ่ง ๆ มาสมัครงานเขาคงไม่รับแน่ ๆ ก็คล้าย ๆ จะเป็นเด็กเส้น
แต่เอาเข้าจริง ๆ ตอนมาสมัครงาน สัมภาษณ์งานตั้งสามรอบ แสดงว่าเขาก็คงเห็นถึงความสามารถของผมอยู่บ้างเหมือนกัน แน่ล่ะ คนฝรั่งเศสคงแพ้ลูกยออย่างไทย ๆ เข้าให้
แต่สิ่งที่ผมคิดว่าปัจจัยที่ทำให้เขารับผมเข้าทำงานก็น่าจะเป็นเพราะความเป็นคนไทย ๆ อย่างเรา ๆ นี่ล่ะ ความอ่อนน้อมถ่อมตัว มีน้ำใจ จริงจังแต่ไม่เครียดจนเกินไป และมีหัวทางด้านศิลปะนิด ๆ ผมว่ามันอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทยนะ
สินค้าเอกที่ผมดูแลอยู่ในแผนกเครื่องหนัง ทั้งกระเป๋า รองเท้า และข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งผลิตจากหนัง
"กัสคุณมีความเห็นกับกระเป๋ารุ่นนี้อย่างไรบ้าง?" หัวหน้าของผมถามแบบร่างของกระเป๋ารุ่นใหม่ที่จะวางจำหน่าย เธอเป็นผู้หญิงวัยแม่นี่ล่ะ ดุ เฮี๊ยบ แต่แสบซ่า และเป็นคนตาแหลมคม มองอะไรขาด เรียกว่าเป็นหนึ่งในมันสมองของบริษัทเลยทีเดียว
"ผมว่ามันดีที่มีกลิ่นอายของ รุ่นเก่าซึ่งมันคลาสสิก และเป็นที่นิยมเสมอ แต่ผมเกรงว่ามันอาจจะทำให้ดูไม่แตกต่างเท่าไร ...เอ่อจะดีไหมครับ ถ้าเราจะลองฉีกกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นลองใช้หรือใส่สีสันที่สดใสมากขึ้น ผมว่าน่าจะถูกใจกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลง อย่างเช่นคนที่เริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ อยากใช้ของที่ดีส่งเสริมภาพลักษณ์ แต่ก็ดูทันสมัยและแสดงให้เขารู้สึกไม่เชย" ผมลองใส่ความเห็น แล้วก็ลองหยิบผ้าพันคอ ไปวางเทียบด้วย เอาให้มาดามแกเห็นเลยว่าถ้าเจ้ากระเป๋าเจ้าปัญหา ซึ่งมักจะทำแต่สีทึม ๆ ดูขรึม จะดูมีลูกเล่นและสนุกสนานขึ้น
"น่าสนใจ เธอลองไปคุยกับแผนกหนังดู แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะประชุมเรื่องคอนเสปของฤดูกาลหน้ากัน" หัวหน้าของผมสั่ง แล้วก็เดินจ้ำ ๆ ส่วนผมก็เอาเจ้ากระเป๋าต้นแบบ ผ้าพันคอ แล้วก็เดินดุ่ม ๆ ไปแผนอาร์ต และแผนกหนัง แล้วก็ประชุมกันอยู่จนเย็นย่ำ เพราะเถียงกันแทบจะฆ่ากันตาย แต่มันเป็นงานที่โคตรสนุก และเพื่อนร่วมงานดี และทำให้ผมมีประสบการณ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผมไปจนถึงอนาคตเลยทีเดียว
ผมทำงานเพลินจนถึงวันรับปริญญา น่าชื่นใจ ที่พ่อแม่พาย่ามางานรับปริญญาของผมด้วย แต่น่าเสียดายที่ผมต้องทำงาน เลยไม่มีเวลาพาทุกคนไปเที่ยว แต่ไม่เป็นไรมีแม่อยู่ ทั้งสามคนเลยเที่ยวสนุกกันโดยไม่มีผม แต่คืนสุดท้ายก่อนที่ทั้งสามคนจะกลับบ้าน เราก็ไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหารของป้าสีดาด้วยกัน
"สรุปยังไม่กลับบ้านใช่ไหม?" แม่ถาม แต่ผมว่าแม่น่ะไม่ได้มีปัญหาเรื่องผมทำงานที่นี่หรอก น่าจะเป็นย่ามากกว่าแต่ย่าคงไม่กล้าถามเองเลยให้แม่เป็นคนเจรจา
"กัสยังสนุกกับงานอยู่เลย ขออยู่สักปีสองปี เรียนรู้งานอีกหน่อยนะ" ผมต่อรอง จนย่าหน้าม่อยไป แต่พ่อแม่และย่าก็หน้าบานเมื่อผมเอากระเป๋ารุ่นใหม่ที่ผมมีส่วนในการเสนอคอนเสปในการออกแบบ ซึ่งผมกัดฟันซื้อเชียวนะ ถึงจะได้เงินเดือนเยอะ แต่ซื้อทีละหลาย ๆ ชิ้น ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
"โอ๊ยใบนึงตั้งหลายบาทไม่ใช่เรอะ" ย่าบ่น แต่ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กระเป๋าสตางค์สีสวย ของย่ากับพ่อน่ะผมเลือกสีเรียบ ๆ ดูโก้ แต่ของแม่น่ะผมเลือกสีสันจัดจ้านเข็ดฟันเลยเชียวล่ะแม่ยิ้มหน้าบานเชียว เพราะผมรู้ใจแม่เลยเลือกได้สีและลายที่ถูกใจ แม่ถึงกับเอามาใช้ทันทีเลยเชียวแหละ
"กัสเป็นพนักงานได้ลดราคาตั้งเยอะ" ผมอธิบาย แต่ไม่กล้าบอกราคาเดี๋ยวย่าเป็นลม
แสนอบอุ่นใจที่เวลาหลายวันนี้ผมได้นอนค้างกับย่าที่โรงแรม ย่าถามโน่นถามนี่อย่างอยากรู้อยากเห็น และมีเวลาได้พาย่าไปเที่ยวแค่วันเดียวเสียดายชะมัด
"พี่กุ๊กไก่กับเฮียกุ๊กเป็นยังไงบ้างย่า" ผมถาม และทีนี้หละ ย่าก็เล่าถึงวีรกรรมของทั้งสองคนใหญ่เลยโดยเฉพาะเฮียกุ๊กซึ่งดูจะชอบทำตัวซ่าทำให้ย่าบ่นได้หลายเรื่อง
ผมลางานไปส่งครอบครัว และออกจะใจหายยามเมื่อมองเครื่องบินลำนั้นพาย่า พ่อกับแม่กลับบ้าน ส่วนตอนนี้ ที่ฝรั่งเศสคล้ายกับจะเป็นบ้านที่สองของผมไปซะแล้ว
ผมย้ายมาพักที่ปารีสเมื่อได้งาน เพราะออฟฟิศของผมอยู่ที่นี่ วันหยุดผมถึงจะนั่งรถไฟไปเยี่ยมป้าสีดาที่ดีฌง เมื่อยามคิดถึงและอยากกินอาหารไทยอร่อย ๆ ต้องคอยลุ้นเหมือนกันเพราะ รถไฟฟ้าชอบประท้วงหยุดงานบ่อย ๆ
ห้องเช่าของผมเป็นสตูดิโอเล็ก ๆ ถัดจากออฟฟิศไปหกบล็อก เดินไปทำงานได้พอสบาย ๆ ถือเสียว่าออกกำลัง แต่ถ้าเป็นบ้านเรา ผมขอนั่งวินไปดีกว่า ไม่ใช่กลัวเมื่อย แต่กลัวร้อน เพราะสภาพอากาศเย็น ๆ ออกกำลังแล้วเหนื่อยยาก เขาก็เลยชอบเดินกัน ขืนไปเดินที่กรุงเทพฯ ตอนแดดดี ๆ มีหวังเป็นลมแดดตายแหง ๆ
นาน ๆ ครั้งผมจะได้วิดีโอคอลคุยกับเพื่อน ๆ ไต่ถามทุกข์สุขและอัปเดตเรื่องราวชีวิตซึ่งย่างเข้าสู่วัยทำงานกันเต็มตัว อีหมึกและอีน้า เดี๋ยวนี้ไม่อยากเติมหม่อมให้มันแล้วเพราะมันกลายเป็นครูที่โรงเรียนของบ้านมัน แต่อีน้ามันรักเด็ก มันเป็นครูนั่นล่ะเหมาะแล้ว ถ้าเป็นผมหรืออีหมึกไปสอนเด็กนักเรียนแบบมันคงได้มีการฆ่ากันตาย
อีกคนที่ไม่ใช่เพื่อน แต่สนิทมากเหมือนกันก็คือเจ๊หวัง อีเปาน่ะมันเพื่อนของผมแท้ ๆ แต่ผมกลับสนิทกับเจ๊หวังมากกว่า เดี๋ยวนี้เจ๊แกเป็นอินฟลูใหญ่ในสาขาบิวตี้ จากช่างทำผมซึ่งจับพลัดจับผลู ไปแต่งหน้าให้ดาราสาว (ซึ่งผมไม่รู้จักแต่เห็นว่าดังมาก)
จนได้กลายเป็นทั้งอินฟลู ทั้งบิวตี้บล๊อกเกอร์ เป็นทั้งเจ้าของเครื่องสำอาง แต่ที่ทำให้ผมดีใจเนื้อเต้นก็คือ เจ๊หวังต้องมาแต่งหน้าให้ดาราสาวคนนั้นในงานพรมแดงเมืองคานซ์ ในปีที่แล้วผมก็เลยนัดแนะจะไปหาให้หายคิดถึง จัดคิวให้ดี ๆ และลางานให้เรียบร้อย แต่ที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ไอ้เปามันจะมาด้วย และทั้งสองคนจะมาหาผมที่ปารีส
พูดถึงไอ้เปาจากที่มันเรียนจบ ก็ไปเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสแห่งหนึ่ง ไอ้นี่ก็เป็นอินฟลูสายออกกำลังกายเหมือนกัน ก็ทั้งหุ่นดี ทั้งหล่อ แถมรวยมาก ทำคลิปสอนออกกำลังกายจนคนติดตามหลายแสน ใกล้จะแตะหลักล้าน ผมยังเคยดูแต่ไม่คิดจะออกกำลังกายตามมันหรอกนะ เคยลองทำแล้วตลกตัวเอง ทำใจไม่ได้
เปามันทำงานอยู่สองปี เรียกว่าไปเรียนรู้ระบบงาน มันก็เปิดฟิตเนสของตัวเอง แล้วก็ขายพวกเวย์โปรตีน กับอาหารเสริมหลายอย่าง เปามันไม่ได้มีหัวทางการค้าขาย ผมว่าเจ๊หวังน่าจะเป็นคนจุดประกาย และเจ้ากี้เจ้าการ เจ๊หวังน่ะขายของเก่ง ขายของมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ก็ใจดีชอบเอาผลไม้มาฝากน้อง ๆ เพื่อน ๆ บ่อย ๆ
ปีนี้เจ๊หวังบอกว่า หลังจากจบงานพรมแดง เจ้าตัวจะมาเที่ยวต่อที่ปารีสเพื่อเที่ยวให้สมใจแล้วก็จะ ได้มาเยี่ยมผมด้วย แต่ผมว่าเจ๊หวังจะให้ผมพาไปซื้อกระเป๋าซึ่งจะได้ ราคาถูกลงด้วยสวัสดิการพนักงาน แล้วยังคุยว่าอยากจะมาทำคอนเท้นต์ตอนมาซื้อของด้วย แต่จะอย่างไรก็เถอะ ขอให้ได้เจอก็พอ ผมเตรียมลางานหนึ่งวันเต็ม ๆ สำหรับการเจอคนทั้งสองเลยเชียวล่ะ
แล้วผมก็จองโรงแรมให้ทั้งสองคนแล้วด้วย อยู่ไม่ไกลจากห้องพักของผมเท่าไร จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เรานัดเจอกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน ออกจะขำที่ไอ้เปาต้องลากกระเป๋ามากมายราวกับจะย้ายประเทศ ส่วนเจ๊หวังเดินตัวปลิว แต่งตัวจัดเต็มเห็นเด่นแต่ไกล
"อีกัส อีหอย" เจ๊หวังตะโกน แล้ววิ่งมากอดผมเรากระโดดกอดกันร้องกรี๊ด ๆ จนฝรั่งเหลียวมอง แต่อย่าคิดจะมาด่า ด่ามาด่ากลับ กัสคนไม่ใช่คนเก่าแล้ว ตอนนี้เป็นอีกัสเวอร์ชันสู้คน เพราะเหตุจากถูกความเป็นฝรั่งเศสหล่อหลอม แต่ที่ทำให้สู้คนหนักสุด ๆ ก็จากการทำงาน เพราะถ้ามัวแต่หงอ งานจะไม่ได้ดังใจหวัง โดนด่าอีก ซวยสองรอบ วีนได้เป็นวีน จนบางทีผมคิดว่าตัวเองน่าจะใกล้อาการเป็นไบโพล่าร์
พากันไปเช็กอินที่โรงแรม จากนั้นให้เวลาเขาเตรียมตัวสักหน่อย แล้วผมก็สวมวิญญาณนางไกด์ผี ขำนิด ๆ ที่ไอ้เปาต้องคอยถ่ายรูป ถ่ายคลิปให้เจ๊หวัง เพื่อเอาไปทำคอนเทนต์ และเจ๊หวังก็ต้องถ่ายคลิปไอ้เปา ทำHIIT ที่ลานหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟต์ กันเลยทีเดียว ฝรั่งมองกันให้ลึ่ม แต่พวกอินฟลูเขาก็ไม่แคร์หรอก คิดเสียว่ามันเป็นงาน
ผมพากระเหรี่ยงเดินเที่ยวเสียจนขาแทบพัง ไอ้ตัวผมน่ะเดินจนชิน ไอ้เปาน่ะคงไม่เท่าไร แต่เจ๊หวังว่าขาแกกำลังจะหักแล้ว
"เดินอีกนิดเดียวค่ะเจ๊ เดี๋ยวหนูพาไปดูระบำโป๊พิคาเดลี" ผมเอ่ยปากและเจ๊หวังก็ดูจะมีแรงใจ แต่ผลไม่ออกมาอย่างที่คิด ไอ้โป๊น่ะโป๊จริง แต่นักแสดงน่ะ ออกจะมีอายุสักหน่อย ตีความรวม ๆ ว่าดูตอนดึก ๆ ก็เห็นจะพอไปวัดไปวาได้ ส่วนอีตาพระเอกคนเก่ง ซึ่งป้ายโฆษณาว่ามีอาวุธยาวหนึ่งฟุต เจ้ากรรมที่อายุมากแล้ว ไอ้หนึ่งฟุตที่ว่ามันน่าจะเพราะมันถึงล่ะเพราะยาวจริง ๆ แต่เหี่ยวปวกเปียก เจ๊หวังทำหน้าผิดหวังแต่อีเปา หัวเราะชอบใจ
"กูอยากหนีไปบวชชี" เจ๊หวังว่า
เอาล่ะแสดงว่าไม่ถูกใจกับโชว์ ก็ต้องแก้มือกันด้วยพาไปกินอาหารแบบฝรั่งเศสที่ริมแม่น้ำแซนด์กันหน่อย ราคานั้นเอาเรื่องอยู่ แต่สำหรับเศรษฐีสองคง ก็คงจะขนหน้าแข็งไม่ร่วง เจ๊หวังชอบเป็นพิเศษกับเป็ดอบส้ม ซึ่งเป็นทีเด็ดของร้านอาหารร้านนี้ ส่วนอีเปาหน้าเจื่อน ๆ เมื่อเห็นแอ็สการ์โกต์ ผมก็เลยต้องสาธิตวิธีการกิน
"เราแดกแกงคั่วหอยขมดีกว่า" ไอ้เปากระซิบบ่น ผมล่ะปวดหัวอุตส่าห์พามากินของขึ้นชื่อ แต่จะว่าไป แกงคั่วหอยขมใส่ใบชะพลูฝีมือย่าก็อร่อยกว่าหอยอบเนยพวกนี้จริง ๆ นั่นแหละ
อีกวันผมต้องทำงานแต่ก็นัดแนะกับเจ๊หวังว่าถ้าถึงโชว์รูมให้ทักมา ผมจะได้เดินลงมาเซอร์วิส พอดีคุยกับนายแล้วว่าจะมีแขกเป็นอินฟลูจากเมืองไทยมาหา และช้อปปิ้ง ซึ่งถือเป็นการโปรโมทร้านเสียเลย จริง ๆ มันก็ไม่ค่อยเข้ากับคอนเสปของแบรนด์เท่าไรเพราะมันเป็นแบบลักซ์ชัวรี่ แต่ผมก็แย้งไปว่า ให้เขาทำคอนเทนต์โปรดักซ์ใหม่ซึ่งตอบโจทย์วัยรุ่นและคนเริ่มทำงาน ซึ่งมันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นในยุคนี้
จนผมให้หัวหน้าดูยอดติดตามของเจ๊หวังกับไอ้เปาซึ่งแต่ละคนมียอดฟอลหลักล้าน แกก็เลยยอม ๆ ไป
"โอ้โหแต่งตัวเก๋ว่ะ" เจ๊หวังเอ่ยปากชมผม ซึ่งผมก็ใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ของตัวเองนั่นแหละ ถึงจะลดราคา 50% แต่ก็ยังเอาเรื่องอยู่ แต่นี่เราจะเสนอหน้าให้คนเป็นล้าน ๆ เห็นมันก็ต้องลงทุนสักหน่อย
ผมเลือกกางเกงแสลค และเสื้อโปโลซึ่งมีสัญลักษณ์ของแบรนด์ แต่งแบบไม่มากเกินไป ใกล้ ๆ จะเป็นไควเอ็ทแฟชั่น แต่ก็แอบพรีเซ้นต์แบรนด์ของตัวเองตั้งแต่หัวจรดตีน พอจะเริ่มถ่ายคลิป หัวหน้าของผมสั่งให้คนวิ่งกระหืดกระหอบเอาผ้าพันคอให้ผมพันคอตัวเองซะด้วย เออเอากับแกสิ และผมก็เห็นแกแอบดูผมจากที่ไกล ๆ ด้วยนะ
เจ๊หวังถามผมโน่นนี่ โดยให้เก๋ก็ต้องให้ผมเป็นล่ามกับพนักงานขายสุดหล่อ อีเจ๊หวังตาเป็นประกายเชียว ส่วนไอ้เปาน่าจะหึง ยืนหน้าคว่ำอยู่หลังกล้อง
การทำคอนเท้นต์ ค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็ไม่จริงจังเกินไปนัก ผมได้แอบนำเสนอขายสินค้าแบบเนียน ๆ และเล่าถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่าสนุกและประวัติของแบรนด์ซึ่งเจ๊หวังทำหน้าประหลาดใจเหมือนทำสารคดี
จบการทำคลิปด้วยการซื้อของไปหลายชิ้น หัวหน้าแผนกขายเดินมากระซิบให้ลดราคาพิเศษไปอีก แถมซีเวเนียอีกหลายชิ้น รวมทั้งผ้าพันคอ ซึ่งผมก็สอนวิธีการใช้ผ้าพันคอแบบเท่ ๆ หลายสไตล์
"ขอบคุณมากนะกัส" เปากล่าวขอบคุณก่อนจะอำลา ในมือถือถุงใบโต ๆ หลายใบ นี่ถ้าไม่เป็นเพื่อนกัน ไม่รู้ว่าบ้านเขารวยผมคงค่อนขอดเพราะหมดเงินไปหลายแสน ขนาดลดราคาให้แล้วนะ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา เจ๊หวังตัดต่อคลิปเที่ยว แล้วก็ช้อปปิ้ง ซึ่งยอดการดูเมื่อเจ๊หวังมาซื้อสินค้าที่ชอปของผมก็มีผู้ดูหลายแสนคนในเวลาไม่กี่วัน แต่ที่ทำให้กรรมการอึ้ง ก็คือมีคนมาซื้อสินค้าตามเจ๊หวังมากมาย เล่นเอาผลิตเกือบไม่ทัน หัวหน้าของผมถึงกับเดินมาถามประวัติเจ๊หวังว่าเป็นใครมาจากไหนเลยทีเดียว
ก็คนที่มาซื้อไม่ใช่มีแค่คนไทย คนเอเชียก็ตามมาด้วยเพราะเครื่องสำอางของแกตีตลาดเอเชียไปแล้ว ผมเองก็ออกจะตื่น ๆ เหมือนกันและรู้สึกว่าเจ๊หวังนี่มันดาราชัด ๆ ที่รู้เพราะแผนกขายเดินมาบอกอย่างตื่นเต้น
ห้องพักของผมนั้นเป็นสตูดิโอเล็ก ๆ แต่ครบครัน ยิ่งอุปกรณ์ทำครัวก็ทันสมัยผมสามารถทำอาหารกินเองแบบง่าย ๆ ได้หลายมื้อ ถ้าเกิดนึกครึ้มขึ้นมา และคนที่ห้องข้าง ๆ ก็ถึงกับอยากรู้อยากเห็นว่าไอ้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารนี่มันอะไรกันนะ
ผมจะทำอาหารกินเองบ้างถ้ามีอารมณ์ หรือมีแขกมาเยี่ยมมาเยือน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อน ๆ ที่ออฟฟิศ ซึ่งเคยคุยว่าชอบเมืองไทยและอยากลองกินอาหารไทย ผมเคยลองทำอาหารไทยง่าย ๆ ไปแจกจ่ายเพื่อน ๆ ที่ทำงาน เล่นเอาฝรั่งตาหลุด เอ่ยปากชมไม่ขาดว่าอาหารอะไรจะอร่อยขนาดนี้
"กัสเธอไปเป็นเชฟได้เลยนะ" แอร์ริส เพื่อนสาวแผนกเดียวกันเอ่ยปากชม และยายแม็กซิมก็เอาแต่เคี้ยวตุ้ย ๆผมมักจะมีแขกสองสามคนเสมอ ๆ เพราะใคร ๆ ก็อยากลองกินอาหารไทย
วันที่เจ๊หวังจะกลับไทยผมนึกครึ้มอยากจะไปส่งทั้งคู่ เวลาบินค่อนข้างเช้า และผมมั่นใจว่าทั้งสองคนคงหาอะไรกินได้ลำบาก ยิ่งมาปารีสตั้งหลายวัน ได้กินอาหารไทยคงจะไม่กี่มื้อ และก่อนจะกลับผมก็อยากให้ทั้งคู่ได้กินอาหารง่าย ๆ รวดเร็ว และอร่อย แต่มันดีกว่านั้นก็คือผมทำเผื่อตัวเองด้วย คิดเมนูที่รวดเร็วก็เห็นจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งนี่ล่ะ
ผมมีข้าวเหนียวซึ่งซื้อมาจากร้านขายของชำของจีน ราคาเอาเรื่องอยู่แต่ถ้าการกินข้าวเหนียวดี ๆ มันก็ทำให้หายคิดถึงบ้านไปเป็นกอง หุงข้าวเหนียวก็ไม่ยากเย็นอะไร เดี๋ยวนี้มีหม้อหุงข้าวที่เลือกฟังก์ชันได้ว่าจะเป็นข้าวธรรมดา ข้าวกล้อง หรือข้าวเหนียว สะดวกชะมัด
ส่วนหมูปิ้งนั้นผมคงไม่ลำบากเสียบไม้หรอกนะ หมักไว้ให้ดี แล้วก็อบง่ายกว่า จะกินก็อุ่นให้ร้อนสักหน่อย ทำทีละเยอะ ๆ แล้วเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เอาไปทำอาหารอย่างอื่นได้อีก เช่นไส้แซนด์วิช
จริง ๆ ควรจะเรียกหมูอบสินะ แต่ในเมื่อจุดตั้งต้นมันคือหมูปิ้ง และเครื่องเครามันก็หมูปิ้งธรรมดา ๆ ซึ่งผมถามจากย่า ถ้าหลับตากินก็ไม่เห็นความแตกต่าง และเมื่อเคี้ยวก็นึกว่าผมกลับไปยืนเคี้ยวที่ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียนตอนเด็ก ๆ เลยทีเดียวเชียว
ผมเลือกเนื้อสันคอหมู หั่นเป็นชิ้นหนา ๆ สักหน่อย ที่เลือกใช้สันคอเพราะย่าบอกว่ามันมีสัดส่วนของเนื้อและไขมันที่ไม่มากเกินไป ถ้าเนื้อเยอะมันก็แข็ง พอมีมันแทรกก็จะทำให้นุ่มและหอม ถ้ามันเยอะไปก็เลี่ยนอีก ที่สำคัญจะได้ไม่เหนียวด้วย
หมักด้วยนมสดค้างไว้ ซึ่งผสมด้วยสามเกลอ ไอ้สามเกลอนี่เดี๋ยวนี้เขามีเป็นขายเป็นสำเร็จรูปแล้วแสนสะดวก ผมใส่เยอะ ๆ หน่อยอย่าหวงเครื่องจะได้หอมอร่อย ย่าว่าให้ใช้รากผักชีกับกระเทียมเท่า ๆ กันแล้วก็ตำ สมัยอยู่บ้านเป็นลูกมือย่า ผมตำสามเกลอบ่อย ๆ มันก็ต้องมีเทคนิคนะ อันดับแรกต้องตำรากผักชีเสียก่อน แล้วจึงใส่กระเทียมเพราะเมื่อตำแล้วกระเทียมจะมีน้ำออกมา
ส่วนพริกไทยนั้นใส่ท้ายสุดเพื่อจะได้ทำให้มันแห้งผมชอบใส่เยอะ ๆ เพราะเวลาทำอาหารมันหอมดี แต่ก็จามหลายครั้งอยู่เหมือนกัน แต่มาทำที่ห้องพักแบบนี้ก็ลักไก่โดยการใช้สามเกลอสำเร็จรูปเอานะจ๊ะย่า
หมูที่หมักนมสดไว้ เนื้อหมูมันจะดูดนมเข้าไปในเนื้อแทบหมด อีทีนี้ก็เอาสามเกลอลงไปเคล้าให้เข้ากัน ใส่น้ำผึ้งเพิ่มความหวานย่าบอกว่ามันทำให้หมูนุ่มแล้วก็สีสวยเมื่อย่างจนสุกด้วย
จากนั้นก็ใส่ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว จริง ๆ ถ้าให้ครบสูตรต้องใส่ซีอิ๊วดำด้วย โชคดีที่ผมไปเจอจากร้านขายของชำจีน ซึ่งเป็นขวดเล็กพอดี ผมไม่ค่อยได้ใช้บ่อย ขวดเล็กหนึ่งขวด ใช้ได้หลายครั้ง บางทีไปเดินเล่นเขต 13 ได้บ๊ะจ่างมาก็เอาซีอิ๊วดำหวานนี่ล่ะมาเหยาะ กินแล้วอร่อยขึ้นแบบสุด ๆ
กลับมาที่หมูซึ่งหมักไว้เสร็จสรรพ หมักค้างคืนในตู้เย็นไว้ เอามาทำให้สุกด้วยเตาอบ แต่ตอนจะเอาไปให้เจ๊หวังกับไอ้เปากินผมก็ห่อฟรอยแล้วเอาเข้าเตาไมโครเวฟ
นั่งมองทั้งคู่นั่งกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมก็ได้แต่อมยิ้ม นึกถึงวันเวลาเก่า ๆ ที่เราเคยกินข้าวด้วยกันตอนเด็ก ๆ ครั้นเมื่อทั้งสองคนต้องเข้าเกตไปเช็กอิน ผมก็ได้แต่ยืนโบกมืออยู่ตรงหน้าเกต มองทั้งสองคนที่ลากกระเป๋าเคียงคู่กันไป
"เหมือนกิ่งทองใบหยก ผีเน่ากับโลงผุ เอ๊ยไม่สิ เหมือนข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง" ผมนึกนินทาคู่รักทั้งสองคน เห็นคนรักกันแล้วก็แอบนอยนิด ๆ นี่ผมยี่สิบกว่า ๆ เข้าไปแล้วยังไม่ได้มีแฟนจริง ๆ จัง ๆ กับเขาสักคน แต่ช่างแม่มันไปก่อน ผมต้องรีบกลับไปทำงาน และมื้อเที่ยงวันนี้ของผมก็มีข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง (หมูอบ) ซึ่งอร่อยชนิดที่ คนทั้งแผนกต้องมาตามจีบ แต่จีบเพื่อขอกินนะ ไม่ใช่จีบเป็นแฟน เห้อ