ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ ผมก็ขนลุกชันไปตั้งแต่แขนจนถึงสันหลัง เพราะตั้งแต่ไปฝรั่งเศส นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กลับมาเมืองไทย มาเยี่ยมบ้าน มาเยี่ยมย่า พ่อแม่พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ไม่ใช่ไม่คิดถึงบ้าน แต่ผมเสียดายค่าตั๋วเครื่องบิน และตอนโน้นก็ยุ่งทั้งเรื่องเรียน และเรื่องงาน
แต่ตอนนี้ทำงานอย่างเดียว ก็เลยไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญก็คือ แถบยุโรป ก่อนคริสต์มาส เขาหยุดยาวกันตั้งสามอาทิตย์ และผมซึ่งเป็นทีมงานหลังบ้านก็เลยได้อานิสงส์กับเขาด้วย ที่สำคัญเก็บเงินค่าตั๋วเครื่องบินได้แล้วนี่แหละสำคัญที่สุด
เมื่อถึงประตูของผู้โดยสารขาออก ผมก็เห็นพ่อแม่และย่าอยู่ไกล ๆ แน่ล่ะผมวิ่งตื๋อให้ไวที่สุด กอดย่าให้แน่นที่สุดให้หายคิดถึง แล้วแม่ก็มากอดผมด้วยอีกคน กอดจนหายคิดถึงพ่อก็เดินเข้ามาลูบหัว ดูเหมือนในวิถีลูกผู้ชาย นี่ก็คงแสดงถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นของพ่อมากแล้ว
นั่งรถกลับบ้านก็รู้สึกว่าอะไร ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ บ้านเรือน ถนนหนทาง แต่ผู้คนนั้นไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เมื่อถึงบ้าน เอาของฝากมาแจกก่อนเป็นอันแรกเลยทีเดียว ไม่ใช่อะไรที่ไหนของที่บริษัทของผมนี่แหละ หาซื้อง่ายดี หรูหรา แพง แต่ที่สำคัญได้ส่วนลดพนักงาน
พ่อกับย่ากลับไปที่ร้านก่อนเพราะงานที่ร้านยุ่งมาก แม่อยู่กับผม ช่วยเอาของออกมาจากกระเป๋า และคุยเรื่องต่าง ๆ กันไปเรื่อย ๆ ผมพอจะรู้เรื่องทางบ้านอยู่บ้าง เพราะคุยกับแม่และพี่ ๆ บ่อย ๆ ก็บ่อยจนรู้ความเปลี่ยนแปลงทางบ้านเรานั่นแหละ ทั้งบ้านอันเป็นครอบครัว และบ้านฐานะประเทศชาติ ซึ่งพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรง ๆ อย่างปลง ๆ
พ่อซึ่งเป็นอาจารย์สอนนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเก่าแก่ จู่ ๆ ก็เกิดหมดไฟ เพราะจะสอนกันไปทำไม ในเมื่อกฎหมายในบ้านเมืองนี้มันดูท่าจะเลิกศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว อีกประการที่สำคัญก็คือย่าซึ่งแก่ตัวลงมาก ป่วยออด ๆ แอด ๆ พ่อก็เลยตัดสินใจลาออก มาทำร้านอาหารของย่าต่อเสียเลย ไหน ๆ พ่อก็มีฝีมือทางด้านทำอาหารอยู่แล้ว เรียกว่าถอดรสมือของย่ามาเลยเชียวล่ะ อีกทั้งเชฟดัง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น และพ่อก็ไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวัง
"พ่อเขามีความสุขมากเลย บ่นด้วยว่า รู้อย่างนี้มาเปิดร้านแทนย่าตั้งนานแล้ว" แม่นินทา
และที่ยิ่งดีก็คือ เฮียกุ๊ก พี่ชายคนโตของผม แกก็มาช่วยพ่อด้วยที่ร้านแต่เป็นครั้งเป็นคราวนะ ซึ่งก็ทำให้ร้านอาหารของย่าเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว
แต่เดิมร้านของย่าเปิดเอาสาย ๆ เย็น ๆ ก็ปิด แต่ตอนนี้เปิดตั้งแต่สายจนถึงราว ๆ เที่ยงคืน ที่สำคัญรีโนเวทใหม่ให้กว้างขวางขึ้นแต่อบอุ่น และแม่ว่าอาจจะมีนักดนตรีมาเล่นเพลงเบา ๆ ขับกล่อมลูกค้าด้วย เพราะเฮียกุ๊กเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ถึงจะเป็นฟรีแลนซ์ แต่ค่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ก็เรียกใช้บริการเฮียกุ๊กด้วย ไหน ๆ เพื่อนเฮียกุ๊กก็อยู่ในวงการเพลง เลยถือโอกาสมรเล่นดนตรีที่ร้านเสียเลย แม่เล่าว่าอย่างนั้น
คนถัดมาที่ติดต่อมาหาผมเมื่อรู้ว่าผมกลับมาบ้านก็คือ อีหมึก และอีน้า ซึ่งนัดแนะกันแล้วว่าจะมากินข้าวด้วยกันสักมื้อให้หายคิดถึง อีน้าน่ะมาง่ายหน่อย แค่ขับรถข้ามฝั่งจากฝั่งธนมาฝั่งพระนคร แต่อีหมึกต้องขับรถตีมาจากระยองเลยทีเดียว
"มานอนค้างบ้านกูก็ได้ ชวนอีน้าด้วย จะได้คุยกันให้สะใจ" ผมปรึกษาก็เลยกลายเป็นว่าอีกสองวันจะจัดเลี้ยงกันเล็ก ๆ ที่ร้านของย่า ซึ่งเจ๊หวังกับอีเปาก็รับปากว่าจะมาด้วย รวมถึงเพื่อนเก่าอีกสี่ห้าคน เท่าที่พอจะสะดวกมาได้
อยู่บ้านก็เบื่อ ผมก็เลยขี่จักรยานคันเก่าไปร้านของย่าดีกว่า พอจอดจักรยานที่หน้าบ้าน ผมก็มองภาพหน้าร้านให้เต็มตา มันมีกลิ่นอายของร้านอาหารเล็ก ๆ แบบเดิม แต่ใหญ่โตขึ้น ดูทันสมัยขึ้น แล้วก็ลูกค้าเยอะขึ้น ก็ดูจากรถยนต์ที่จอดอยู่สี่คัน และเงาของลูกค้าในร้าน
ผมรีบเดินเข้าไปในร้านจากทางด้านหลัง ครัวก็ทำใหม่ด้วยแฮะ แต่แคร่ตัวเก่าซึ่งเป็นที่ประจำของย่าซึ่งใช้เตรียมข้าวของยังอยู่เหมือนเดิม พื้นถูกปูด้วยกระเบื้องดูสะอาดสะอ้าน โต๊ะที่เคยเป็นไม้ ตอนนี้กลับเป็นสเตนเลสดูเป็นมืออาชีพ เตาก็มีเครื่องดูดควันดูทันสมัย พ่อวุ่นอยู่หน้าเตา ด้านข้างมีพ่อครัวผู้ช่วยอีกคน ทำงานกันวุ่น ย่านั่งประจำที่ตรงแคร่ ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ทำได้ ดูย่าแก่ลงถนัดใจ ผมขาวโพลนทั้งหัว สวมเสื้อคอกระเช้า แต่ไม่สวมผ้านุ่งหรอกนะ ย่าไม่แก่ขนาดนั้น ย่าสวมกางเกงยืดกระชับตัวดูทะมัดทะแมง
"มีอะไรให้กัสช่วยมั๊ยย่า" ผมถามเหมือนคำถามเดิม ๆ ตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ แต่ย่าก็ไล่ให้ไปนั่งหน้าร้าน บรรยากาศเดิม ๆ เหมือนตอนผมเด็ก ๆ กลับมา เพลงบรรเลงอันไพเราะจากเครื่องดนตรีไทย ดังคลอเบา ๆ เข้ากับบรรยากาศร้านอาหารไทยรสชาติดั้งเดิมชะมัด
ผมห่างหายไปนานจนช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร แต่เมื่อมีลูกค้าใหม่เข้ามา เป็นชาวต่างชาติ และเด็กเสิร์ฟก็ดูจะส่งภาษาไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมก็เลยเข้าไปช่วยรับออเดอร์เสียเลย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เขาเป็นชาวฝรั่งเศสเสียด้วย ผมก็เลยพ่นซะจนลูกค้ายิ้มกว้างเลยเชียว
"คุณพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดีมาก" ลูกค้าเอ่ยปากชม
"แน่นอนครับ ผมทำงานที่นั่น ตอนนี้กลับมาเที่ยวบ้านครับ และจะกลับไปหลังคริสต์มาส" ผมตอบและแนะนำเมนูอาหารด้วยภาษาฝรั่งเศส เมนูอาหารนั้นก็เมนูเดิม ๆ ตั้งแต่สมัยย่านั่นแหละ มีเพิ่มเติมนิดหน่อย ไอ้เรื่องแนะนำอาหารน่ะผมเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
"เอาแบบเผ็ดเพียงเล็กน้อยนะครับ?" ผมถามลูกค้าก่อนที่จะเดินจากไปส่งออเดอร์
"ผมพอจะกินเผ็ดได้" ลูกค้าตอบ ดูเหมือนเขาจะหลงรักอาหารไทยเสียแล้ว ไอ้ฝรั่งชอบอาหารไทยนี่ก็ทำให้นึกถึงฌองขึ้นมาเหมือนกัน
ผมกับฌอง ยังติดต่อกันบ้างเป็นระยะ ๆ จนผมย้ายมาปารีส นาน ๆ ทีฌองจะเข้ามาทำธุระก็อาจจะนัดเจอกันและกินอาหารค่ำด้วยกันสักมื้อ แน่ล่ะต้องร้านอาหารไทยสักแห่ง เสียดายที่ไม่ได้กลับไปกินด้วยกันที่ร้านของป้าสีดาซึ่งคุ้นเคย แต่ผมก็งานยุ่ง และฌองก็งานยุ่งมากเหมือนกัน ครั้งล่าสุดที่ได้กินอาหารค่ำด้วยกัน น่าจะครึ่งปีมาแล้วล่ะมั้ง
เวลาของการนัดหมายล่วงเลยมาถึงในที่สุด เจ๊หวังหัวหน้าก๊วน นัดแนะให้พวกเราแต่งตัวด้วยโทนสีส้ม จะได้มีกิมมิกนิดหน่อย ที่สำคัญ สีส้มมันเป็นสีสัญลักษณ์ของบริษัทผมเสียด้วย อันนี้ยิ่งเข้าแก๊บ เสื้อโปโลสีส้มมีโลโก้แบรนด์ของผมนั้นเอาติดมาด้วยพอดี ผมสวมกางเกงขาสั้นสีขาว สวมเสื้อสีส้มตัวเก่ง และผ้าพันคอสีขาวลายกราฟฟิคสีส้มน้ำเงิน นี่ถอดแบบมาจากนายแบบที่ถ่ายแอดเลยเชียวนะ
เจ๊หวังกับเปามาถึงเป็นคู่แรก เจ๊หวังสวยและดูรวยมาก ส่วนไอ้เปาก็หล่อจนน่าหมั่นไส้ ผมกอดเจ๊หวังซะแน่น และเราก็คุยกันจนหูจะแตก เรื่องเจ๊หวังไปช้อปปิ้งที่ช็อปของผมเป็นกระแสอยู่หลายเดือน แน่ล่ะว่ากระเป๋ารุ่นใหม่ ติดอันดับเดอะมัสต์ ในแมคกาซีนหลายฉบับ
ต่อมาก็เป็นอีน้าและอีหมึก ซึ่งอีหมึกกรี๊ดดังมากที่สุด แต่อีน้าถึงกับน้ำตาคลอ ๆ เลยทีเดียว จากนั้นก็เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของผมที่เหลือ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแต่สนุกที่สุด โชคดีที่อยู่ในห้องปิด ไม่อย่างนั้นแขกคนอื่นคงหนีกลับหมดแน่ ๆ
"กัส ๆ เราขอให้พี่ชายมาด้วยได้ไหม พอดีเขาเห็นเราโพสต์ในไอจี เลยจะขอแวะมาด้วย" เปามันว่าซึ่งผมก็ไม่เห็นข้ออะไรที่จะปฏิเสธ ดีเสียอีก มีคนรู้จักร้านมากขึ้น
"เฮียเขามาร้านหล่อนบ่อย เจ๊กับเปามาอุดหนุนตอนหล่อนไม่อยู่สี่ห้าหน แต่เฮียน่ะ มากินข้าวที่นี่เกือบทุกอาทิตย์เลย คนพาเจ๊มากินน่ะ จริง ๆ ก็คือเฮียเกี๊ยวว่ะ" เจ๊หวังอธิบายอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสักนิด เพราะร้านอาหารของย่ามีลูกค้าประจำ และผมก็เห็นลูกค้าประจำตั้งแต่ผมยังเด็กตั้งหลายคน
คนมาครบแล้วแต่อาหารก็เสิร์ฟเรื่อย ๆ อาหารแสนเอร็ดอร่อย อย่างแน่นอน การจัดจานสวยแบบมีระดับเสียด้วย มีดอกม้งดอกไม้ประดับ เหมือนเชฟในร้านมิชลินเลยเชียว ผมกับย่าลิสต์รายการอาหารตั้งแต่เมื่อวาน อยากกินอะไรที่มันง่าย ๆ อร่อย ๆ และโชว์ฝีมือของร้านเราด้วย
"ข้าวผัดนี่กัสจะเอาเป็นข้าวผัดอะไรดี ย่าว่าข้าวผัดกุ้งดีกว่า" ย่าเสนอและผมก็เห็นด้วย ถึงจะมีข้าวสวยไว้กินกับ กับข้าวแบบไทย ๆ แต่เผื่อไว้สักจานใหญ่นึงก็ดี งานนี้เน้นอร่อย
"เอาลาบหมูด้วยก็ดี" ย่าเสนอขึ้นอีก ผมจะอ้าเถียง แต่ย่าเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรก็เลยชิงตอบว่า ลาบนี่เป็นอาหารสำหรับกินเมื่อยามมีงานมงคล กินแล้วจะได้มีโชคมีลาบ
"เอาก็เอาจ๊ะ" ผมตอบ จริง ๆ ได้ลาบสักจานก็ดีเหมือนกัน ลาบอร่อย ๆ น่ะหายาก ส่วนใหญ่เอาไว้กินเป็นกับแกล้ม ซึ่งย่าจะทำให้แห้ง ๆ และรสจัดสักหน่อย ตอนอยู่ปารีสผมก็เลยลองทำลาบเลี้ยงเพื่อน ๆ แล้วก็กินเองอยู่นะ
ถึงจะไม่ครบเครื่องเท่าตอนอยู่เมืองไทย แต่ก็ต้องขอบคุณผงลาบซึ่งทำให้ชีวิตคนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันง่ายขึ้น ถ้าอยู่ที่โน่นผมก็แค่ลวกหมูสับให้สุก เทผงลาบ ลงไป เค้าปรุงรสให้แล้ว แต่ผมว่ากินลาบก็ต้องให้เปรี้ยวจัด ๆ หน่อยถึงจะอร่อย จะใช้เนื้อสัตว์อะไรก็อร่อยทั้งนั้น ยิ่งถ้าใช้เนื้อเป็ดล่ะก็ อร่อยยกล้อไปเลย ยิ่งจะให้เป็นปารีสก็ต้องกินเป็ดสิ ผมเสนอให้ย่าทำลาบเป็ด แต่ย่าก็ว่า งานเลี้ยงมักไม่ค่อยใช้เป็ดทำอาหาร ผมอดจะแปลกใจก็ผมก็ทำลาบเป็ดให้ฝรั่งกินบ่อย ๆ จนเป็นหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อถ้ามาเที่ยวห้องของผมเลยนะ
"เอ๊าทำไมล่ะย่า?" ผมถาม
"คงเพราะมันอร่อยจนต้องแย่งกันกินล่ะมั้ง คงกลัวคนทะเลาะกัน" ย่าตอบยิ้ม ๆ
จริง ๆ สมัยอยู่เมืองไทย ผมก็ทำลาบกินอยู่บ้างเหมือนกัน เดินเล่น ๆ ไปในครัวตอนย่าเผลอ หยิบหมูสับมาอุ่นให้แห้งใส่น้ำพอขลุกขลิก พอหมูสุกดีทั่วกันคราวนี้ก็ใส่เครื่องปรุง พริกป่นคั่วเองหอม ๆ น้ำปลา ข้าวคั่ว และน้ำตาล คนให้เข้ากัน
จากนั้นก็เติมมะนาว ผักชีฝรั่ง หอมแดง ต้นหอม ใบสะระแหน่ ทีนี้ก็เคล้าให้เข้ากันชิมเสียหน่อยว่าขาดอะไร ลาบก็ต้องเปรี้ยวนำ มีหวานนิด ๆ จากเนื้อหมูและหัวหอมแดง ตัดเค็มด้วยน้ำปลาดี ๆ กินกับผักสดสารพัด แต่ที่ปารีสผมใส่หอมหัวใหญ่ ใส่พริกแค่นิดเดียว แต่จานของผมใส่พริกเยอะหน่อย เพราะขนาดใส่แค่นิดเดียว คนกินก็ปากเจ่อเสียแล้ว กลิ่นข้าวคั่วหอม ๆ กับรสเปรี้ยวจี๊ดกินแล้วสดชื่น ได้ความหวานอร่อยจากเนื้อสัตว์ที่เราทำ คนไทยเราถึงชอบกินลาบทั่วทั้งประเทศ หรือจะทำเป็นลาบปลาหมึกหรือทะเลก็เข้าทีแต่ทำไม่บ่อยเพราะของทะเลแพง
เมนูเก้งกวางก็ต้องเน้นแซ่บ ๆ ยำทะเลจานโต ทำเอาแขกตาเหลือก ใส่มาทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่นึกออก กินแต่ละคำฮือฮาไปสามบ้านแปดบ้าน ผมล่ะขำเจ๊หวัง อินฟลูคนดังที่ต้องทำคลิปรีวิวยำด้วย กินคำรีวิวคำ แถมบอกผมว่าให้ร้านของย่าเตรียมรับแรงกระแทก เดี๋ยวต้องมีคนตามมากินถล่มทลายแน่ ๆ
กินกันไปคุยกันไปจนหายคิดถึง จนมีแขกแปลกหน้าเดินเข้ามาโซนส่วนตัว ผมก็เลยมองเขาอย่างงง ๆ จริงสินะ เปากับเจ๊หวังบอกว่าพี่ชายของเปาจะมาด้วย พอมองหน้าแล้วก็มีเค้าของเปาจริง ๆ ถึงไม่หล่อเท่าแต่ก็จัดว่าดูดี ดูดีแบบผู้ใหญ่ ๆ หน่อย
"กัสนี่พี่ชายเราชื่อเฮียเกี๊ยว เฮียนี่เพื่อนอั๊วะชื่อกัส" เปาแนะนำและผมก็ยกมือไหว้ คุยทำความรู้จักกันแปปเดียวเฮียเกี๊ยวก็ขอตัวไปนั่งกินอาหารข้างนอก
"อ้าวไหนว่าจะกินด้วยกัน" ผมถามอย่างงง ๆ
"เฮียมากับเพื่อนน่ะ แต่เดี๋ยวเฮียอาจจะขอมาแจมด้วยนะ" เฮียเกี๊ยวตอบและเดินจากไป
เอาล่ะ คราวนี้ก็มีแต่พวกเรา ร้านแทบแตก มีแต่คนพูดไม่มีคนฟัง แต่พรุ่งนี้มันเป็นวันจันทร์ งานก็เลยต้องยุติโดยไม่ดึกนัก แต่ทีเด็ดก่อนร่ำลาก็คือ ของชำร่วย
"เอ๊าของมึง" ผมหยิบห่อกระดาษแล้วก็ยื่นให้อีหมึก พอมันแกะออกมาก็กรี๊ดเหมือนแมลงสาปบินมาเกาะหน้า
"โอ๊ยมึงสวยอ่ะ ขอบคุณม๊ากกก" อีหมึกกล่าวชม และตื่นเต้นกับผ้าเช็ดหน้าผืนโต ซึ่งเอามาทำอะไรได้สารพัด แต่ตอนนี้เขาฮิตเอามาทำเป็นผ้าพันคอเล็ก ๆ กัน และผมก็จัดแจงม้วนผ้าเช็ดหน้าเอามาทำเป็นผ้าพันคอให้ทีละคน ๆ เลยทีเดียว
ผ้าไหมเนื้อดี ลายสวยงาม ที่สำคัญก็คือมีอักษรย่อของแบรนด์นี่แหละ ได้กันคนละผืนให้ชื่นใจ ได้กินฟรีแล้วยังได้ของแจกอีก เมื่อจบงานก็ค่อย ๆ ลาจากกันไปทีละคนสองคน แต่อ้าว เฮียเกี๊ยวยังนั่งดื่มนั่งดริ๊งอยู่ที่โต๊ะของแกอยู่เลย
เหลือคนอยู่ในร้านแค่สามโต๊ะ ผมก็เลยแวะไปนั่งคุยกับแกสักหน่อย ไม่ลืมจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปให้แกด้วยเพราะเหลือผืนนึงพอดี
"อ้าวทำไมเหลืออยู่คนเดียวล่ะเฮีย" ผมเริ่มคำสนทนา
"เพื่อนเฮียเมียมันตามให้รีบกลับบ้าน พอดีมาคุยงานกันนิดหน่อยน่ะ เฮียมาร้านคุณทุกอาทิตย์เลย ไม่เชื่อถามน้องสุก็ได้" เฮียเกี๊ยวว่าและพยักพเยิดให้เด็กเสิร์ฟหน้าตาทะเล้นที่ยืนอยู่ไม่ไกล
"ไม่ต้องคงไม่ต้องคุณหรอกเฮียเรียกกัสก็ได้" ผมว่าและรู้สึกถูกชะตากับเฮียเกี๊ยวชะมัด เฮียเกี๊ยวน่ะเป็นส่วนผสมของเปากับเจ๊หวังมาอย่างละครึ่ง คือเปามันแลดูเป็นคนใจดี แต่จริงจัง ส่วนเจ๊หวังนั้นมีความเป็นกันเองคุยสนุก หาเรื่องมาคุยได้ไม่รู้เบื่อ
เรานั่งคุยโน่นคุยนี่กัน และโคตรถูกคอ เฮียเกี๊ยวทำธุรกิจของตัวเองด้วย ธุรกิจของครอบครัวด้วย ผมก็เลยชวนแกคุยเรื่องงาน ในสายมาเก็ตติ้งที่ตัวเองทำอยู่ เฮียแกวิเคราะห์แผนงานการตลาดบริษัทของผมซะละเอียดยิบ อาจจะมีข้อตินิดหน่อย แต่ในฐานะคนนอกเขามองขาด และผมก็เถียงเขาไม่ได้เลย เลยถามว่าถ้าเป็นเฮียจะทำอย่างไรเสียเลย ได้ไอเดียดี ๆ เพียบเลยล่ะ ผมชักจะศรัทธาเฮียเกี๊ยวซะแล้ว นึกอยากให้เฮียเกี๊ยวไปเถียงกับหัวหน้าของผมคงสนุกเหมือนดูหนังสงคราม
จากเรื่องงานก็กลายเป็นคุยเรื่องเบา ๆ อื่น ๆ เรื่องท่องเที่ยว เรื่องอาหาร ไปจนถึงเรื่องลี้ลับ เฮียเกี๊ยวก็เล่าให้ผมฟังได้อย่างไม่เบื่อเลย ผมถามว่าทำไมเฮียเกี๊ยวรู้อะไรหลากหลายด้านจังแกก็ว่าสมัยเด็ก ๆ แกเป็นหนอนหนังสือ
เผลอแปปเดียวในร้านก็ปิดไฟเหมือนจะไล่ ผมไล่พนักงานให้ไปพักผ่อนได้เลย อีตรงนี้เดี๋ยวผมจัดการเก็บเอง
"กับแกล้มหมดแล้วเฮียรอแปบนึงเดี๋ยวกัสทำอะไรมาให้กิน" ผมว่า อันที่จริง ผมก็ดี ๆ ไปหลายแก้วอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เฮียเกี๊ยวกินเบียร์ ส่วนผมกินไวน์
ครัวมืดสนิท และเฮียเกี๊ยวก็ถือแก้วเบียร์ตามมาในครัว ส่วนผมก็เปิดไฟแล้วก็หาของเหลือ ๆ ในตู้เย็น คิดถึงอาหารที่ทำง่าย ๆ ก็เลยทำลาบสักจานก็แล้วกัน ถึงเครื่องจะไม่ครบเท่าเมื่อหัวค่ำ แต่อย่างน้อย ได้รสที่ถูกต้องอยู่ก็แล้วกันต้อง เปรี้ยวนำ
คุยกันจนถึงตีสอง ผมเดินไปส่งเฮียเกี๊ยวที่หน้าร้าน เฮียเกี๊ยวเรียกแกร๊บ และผมก็กลับมาเก็บกวาดโต๊ะและล้างจานที่เหลือ จากนั้นก็ปิดร้านและนอนที่ร้านนี่แหละ เพราะง่วงตาแทบจะปิด
สามอาทิตย์ที่อยู่ไทย เฮียเกี๊ยวมาอาทิตย์ละหนอย่างที่แกว่าจริง ๆ และผมก็จะอยู่นั่งคุยนั่งจิบไวน์กับแก จนถึงตีสองทุกที ไม่น่าเชื่อว่าการเจอกันไม่กี่ครั้ง ผมรู้สึกสนิทกับเฮียเกี๊ยวเหมือนรู้จักกันมาเป็นสิบ ๆ ปี สนิทกว่าเพื่อนร่วมคณะบางคนซึ่งคุยกันบ้างเป็นระยะ ๆ เสียอีก คนเราก็แปลก
"พรุ่งนี้กัสกลับปารีสแล้วนะเฮีย คืนนี้กัสอยู่กินเป็นเพื่อน ๆ ดึก ๆ ไม่ได้นะ" ผมแซวแกขณะที่ยกเอาอาหารมาเสิร์ฟให้แกด้วยตัวเอง
"เสียดายว่ะ" เฮียเกี๊ยวพูดแล้วก็ทำหน้าเซ็ง ผมปล่อยให้แกนั่งกินอาหารพร้อมกับเพื่อนร่วมงานของแกไป มาทีไรก็มักจะมากับเพื่อนคนนี้ แต่เพื่อนเฮียเกี๊ยวก็มักจะกลับก่อนด้วยเหตุผลว่าเมียตามให้กลับบ้านเสียทุกที ช่างน่าสงสาร
"หมดแก้วนี้กัสไปละนะ" ผมว่าพร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือ บิดมันหมุนไปมาน้อย ๆ เพื่อให้กลิ่นหอมของน้ำองุ่นกำจายมากระทบจมูก ถึงจะไม่ใช่ไวน์ที่ราคาแพง แต่ก็ถือว่ารสชาติใช้ได้ ผมติดความเป็นคนฝรั่งเศสไปนิด ๆ เสียแล้ว และหนึ่งในนั้นก็คือการจิบไวน์นี่แหละ ย่าบ่นเสียไม่มี แต่ผมก็ยังจะกินแหละก็มันอร่อย และชินเสียแล้ว
"ประมาณเมษาเฮียจะไปอิตาลี ไปคุยงานน่ะ ถ้าเป็นไปได้ น่าจะแวะไปเยี่ยมกัสที่ปารีสได้นะ อยากไปเที่ยวเหมือนกัน เคยไปสองหน แต่อยากได้เจ้าถิ่นพาเที่ยว" เฮียเกี๊ยวว่า
"จัดไป ขอให้มาเถอะ นาน ๆ จะมีคนแวะมาเยี่ยม" ผมตอบและเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระ จนไวน์แก้วสุดท้ายของผมมันหมดไปตั้งนานแล้ว แต่ผมก็ยังนั่งคุยกับเฮียเกี๊ยวต่อ
"กับแกล้มหมดแล้ว" เฮียเกี๊ยวบ่น ครัวปิดไปตั้งแต่สี่ทุ่ม และของกินตรงหน้าก็หมดแล้ว
"หมดแล้วเฮียก็กลับบ้านนอน" ผมกล่าวกึ่ง ๆ จะไล่
"ยังไม่อยากกลับเลย เบียร์ยังเหลือตั้งครึ่งขวด ทำกับแกล้มให้เฮียอีกอย่างสิ หมดขวดนี้เฮียกลับเลยสาบาน" เฮียเกี๊ยวว่า และผมก็ใจอ่อนให้เฮียเกี๊ยวอีกแล้ว โดนลากให้เป็นเพื่อนกินเหล้าด้วยทุกทีสิน่า นี่ขนาดพรุ่งนี้จะบินแล้วนะ
"เอาลาบก็แล้วกันนะเฮีย" ผมพูดหลังจากมองดูของสดในตู้เย็น และทำมันอย่างรวดเร็ว
นั่งคุยกันจนเอาล่ะมันหมดทั้งกับแกล้มและเบียร์ครึ่งขวดที่ว่า เฮียเกี๊ยวจะต้องกลับบ้านสักทีละนะ ปฏิเสธไม่ได้แล้ว
ผมเดินไปส่งแกที่หน้าร้าน และยืนรอเป็นเพื่อนเพราะในแอพแจ้งว่ารถจะมาถึงในอีกสามนาที
"ไว้ไปเจอกันที่ปารีสนะ" เฮียเกี๊ยวหันหลังพูดกับผม
"อื้ม ได้เลย" ผมตอบ แต่ก็แอบมองเส้นทางของรถแท็กซี่ที่กำลังใกล้ร้านของย่าเข้ามาทุกที
"เฮียคงคิดถึงกัสแย่เลยขอกอดหน่อย" เฮียเกี๊ยวว่าแล้วก็ดึงผมไปกอด กลิ่นลมหายใจที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเบียร์อ่อน ๆ ทำให้ผมใจเต้นแรง และเมื่อคลายอ้อมกอด รถก็มาจอดที่หน้าร้านพอดี
ผมยืนมองรถที่เฮียเกี๊ยวแล่นออกไปจนลับแต่ แต่ตัวของผมเองยืนนิ่งราวกับโดนตรึงอยู่ตรงนั้น ไอ้การโดนกอดเมื่อกี้มันเร็วมาก และผมก็รู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจเหมือนมีมดไต่ไปตามเนื้อตัว จนสุดท้ายขนตามแขนและสันหลังมันก็รุกกราว
ผมเดินกลับเข้าไปในร้านอย่างเงียบ ๆ เก็บร้านอย่างดีแล้วก็ปิดไฟ จากนั้นก็ขี่จักรยานกลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่น่าแปลกที่ผมจำสองข้างทางไม่ได้เลยรู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่ผมเอาจักรยานจอดตรงที่จอดรถเสียแล้ว