ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"สงครามที่ไม่มีการล้มตายมันคือการเมือง และการเมืองคือสงครามที่ไม่มีการล้มตาย" พ่อเคยสอนผมตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมันมากนัก อาจลึกซึ้งเกินไป หรือยังไม่พบเห็นสงครามกับตัว
แต่มาบัดนี้ ผมเริ่มเข้าใจมันแล้ว แต่มันเป็นสงครามในที่ทำงานของผมนี่เอง ไม่ใช่สิ ถ้าจะเป็นไปตามที่พ่อว่าก็คือการเมืองในที่ทำงานแท้ ๆ ทีเดียว
การล้มตายนั้นไม่มีก็จริง แต่มีการจากลาและการเปลี่ยนแปลง ยิ่งคนที่ได้รับผลกระทบที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอก็คือหัวหน้าคนเก่งของผมนั่นเอง ด้วยว่าเธอทำงานที่นี่มาเกือบสิบปีเข้าให้แล้ว ทางผู้บริหารอาจมองว่าเธอ ตัน กับมุมมองในแง่ของการบริหาร
เดชะบุญที่ความเก่งกาจและวงการนี้มันแคบ เมื่อเธอโดนบีบ และได้ทำการลาออกไป หลังจากนั้นไม่กี่วันหัวหน้าของผมก็ถูกจีบไปทำงานที่แบรนด์ใหม่ จะว่าไปก็เป็นคู่แข่งกับบริษัทเดิม ก็มันผลิตภัณฑ์กลุ่มเดียวกันนี่นะ สินค้าแฟชั่นทั้งหลายแหล่
ผมอดจะใจหาย และนึกถึงคำพูดของหัวหน้า ในงานเลี้ยงอำลาวันสุดท้ายที่ห้องพักของเธอ มีพนักงานในแผนกเราอีกสองคน และแผนกขายอีกสองคน ผมรับอาสาช่วยเป็นหนึ่งในคนทำอาหาร เพราะเธอว่าอยากได้อาหารไทยพิเศษ ๆ สักอย่าง เพราะจะไม่ได้มีโอกาสได้กินอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
ผมเลือกทำขนมปังหน้าหมู เพราะเราจัดงานเลี้ยงแบบไม่จริงจังนัก ทำเป็นค็อกเทลเรียกน้ำย่อย เรียกให้ถูกก็คือจิบไวน์แล้วก็พูดคุยกันมากกว่า เพียงแต่ว่าผมไม่ได้เอาไปทอดตามอย่างที่ย่าเคยทำให้กินตอนเด็ก ๆ แต่ทาบนขนมปัง แล้วก็นำไปอบซึ่งมันประหยัดเวลาและไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จ เพียงแต่ต้องแวะไปร้านขายของชำของจีนเท่านั้นเอง เพราะคนอยากกินรีเควสกลิ่นอายอาหารแบบไทย ๆ
หนึ่งในนั้นก็คือ สามเกลอสำเร็จรูป ผมเดาะใส่น้ำมันงานิดหน่อย จะได้กลิ่นอายแบบจีนนิด ๆ แล้วน้ำมันงามันให้กลิ่นหอมแบบพิเศษ ๆ ใช้หมูสับผสมสามเกลอ ปรุงรสให้เค็มนำ ด้วยซีอิ๊วขาว เมื่อสุกก็ตกแต่งหน้าด้วยใบผักชีและพริกชี้ฟ้าสีสดใส เราเอามากินแกล้มกับไวน์ดี ๆ ที่หัวหน้าของผมซื้อหิ้วมาตั้งสองขวด แล้วก็มีคนหิ้วมาอีกสามขวด เมากันตาปลิ้นไปเลยคืนนั้น
นายใหม่ของผมก็ถูกซื้อตัวมาจากอีกแบรนด์หนึ่งทดแทนกัน และผมก็ค่อนข้างจะอึดอัดหน่อย ๆ เพราะเขาก็ถือว่าเขาเป็นหนึ่งในตองอูมาก่อนเหมือนกัน ออกจะมีความมั่นใจ และรั้นด้วยความเชื่อมั่นที่ล้นเหลือ แน่นอนมันทำผมไม่ได้มีความสุขและสนุกกับงานเหมือนเมื่อก่อน
คนที่พอจะฮีลหัวใจของผมได้ กลับเป็นคนไกล นั่นก็คือ เฮียเกี๊ยว หลังจากที่เราได้คอนแทกกัน แรก ๆ ผมก็เกรงใจที่จะปรึกษาเรื่องงานกับเขา แต่ในวันหนึ่งที่เบื่อหน่ายกับงานเหลือเกิน และอยากปรึกษาใครสักคน คนที่ไม่มีผลกระทบกับงาน และมีความเห็นอันเป็นกลาง ที่สำคัญ เป็นคนที่ผมเชื่อมั่นในความเห็นของเขาได้เกือบจะเต็มร้อย
ส่งข้อความและโทรหากันแรก ๆ ก็ทีละนิด แต่หลัง ๆ ก็โทรหากันบ่อยขึ้น แน่นอนว่าผมได้แนวคิดดี ๆ แต่ที่ได้แถมมาก็คือ เรื่องตลก ๆ อะไรสักเรื่องที่เฮียเกี๊ยวเล่าให้ฟังและผมก็หัวเราะจนเหมือนคนบ้า ความเครียดหายไปหมดสิ้น
"เฮียจะบ้าตาย ตอนเด็ก ๆ เฮียกับไอ้เปาไปว่ายน้ำกันบ่อย ๆ ตอนนั้นกัสน่าจะทัน ช่วงที่ไอ้เปามันลดน้ำหนักน่ะ มันก็ลากเฮียไปด้วย แต่มันหมกมุ่นกว่าเฮีย เฮียว่ายรอบเดียวตอนเย็น ๆ ไอ้เปามันว่ายเช้าว่ายเย็น เอาล่ะสิ ทีนี้ฝนตกก็ไป แดดออกก็ไป ก็เป็นหวัดใช่ไหมเล่า พอเป็นหวัดก็ไอ มีน้ำมูก เบื่อที่สุดอีตอนไอนี่แหละ เฮียก็เลยขอเงินม๊าจะไปซื้อยาให้ไอ้เปามันกิน ม๊าก็ว่า ให้ไปซื้อกินยาน้ำมะขามป้อมให้น้องกิน แต่เฮียก็ช่วงนั้น น้ำเข้าหู หูก็เลยได้ยินเสียงไม่ค่อยจะชัด พอไปถึงร้านขายยา ก็สั่งเขาว่าจะซื้อยามะขาม...เออมะขามอะไรวะ เฮียเสือกลืม อีคนขายยาก็เลยช่วยกันเดาใหญ่ สุดท้ายได้ยามะขามแขกมาให้ไอ้เปากิน"
"เอ๊ะ แล้วเปามันจะหายหรอเฮีย?" ผมถามและพยายามกลั้นหัวเราะเพราะเฮียเกี๊ยวเล่าไปก็ทำเสียงสูงเสียงต่ำไป อย่างกับเล่นละครเวที
"หายสิ แทบหายไปจากโลก ไอ้เปามันกินยามะขามแขก ฉลากยาก็ไม่อ่าน ขี้แตกแทบตาย มันด่าเฮียแทบตาย เฮียก็ว่ากูจะไปรู้เรอะก็เห็นมะขามเหมือนกันไอ้ห่า" เฮียเกี๊ยวเล่า ผมก็หัวเราะดัง ๆ เรื่องนี้จริง ๆ ผมก็เคยได้ยินเปามันเล่าให้ฟัง เนื้อเรื่องประมาณนี้แหละ แต่ไม่ตลกเท่าเฮียเกี๊ยวเล่า ก็เลยรู้สึกว่าคนมีอารมณ์ขัน ได้มันคือเสน่ห์จริง ๆ เหมือนอย่างเจ๊หวังเป็นต้น
ด้วยความเบื่อหน่ายกับงาน ผมอยากจะพักสมองชะมัด แล้วก็ให้บังเอิญ เฮียเกี๊ยวคุยกับผมเรื่องจะไปอิตาลีแล้วค่อยมาหาผมที่ปารีส ผมก็เลยเกิดความคิดแผลง ๆ อยากทำตัวขบถเสียบ้าง
"เฮียไปอิตาลีน่ะ ขอกัสไปเที่ยวด้วยสิ กัสอยากจะลางานไปเที่ยว เบื่อคน เบื่อหัวหน้า อยากไปชาร์จแบต" ผมบ่นและเฮียเกี๊ยวก็รับปาก นั่นทำให้ผมดีใจนัก เพราะจริง ๆ ก็อยากจะไปเที่ยวอิตาลีตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที
ที่อิตาลีน่ะมันก็สวยงามเต็มไปด้วยวัฒนธรรม และเก่าแก่ พอ ๆ กับฝรั่งเศส แต่ที่นั่นก็จะมีเสน่ห์ไปอีกแบบ โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร ผมนึกอยากกินสปาเกตตีแบบดั้งเดิม รวมถึงพิซซ่าด้วย เรียกว่าไปกินถึงแหล่งกำเนิดกันเลยทีเดียวล่ะ
แต่เฮียเกี๊ยวว่าที่ไปอิตาลีไม่ได้จะไปเที่ยวอย่างเดียวจะไปคุยงานด้วย ซึ่งผมว่าผมก็คงจะไม่ไปเกะกะแกเท่าไร ถ้าช่วงเฮียเกี๊ยวไปคุยงาน ผมก็เดินเล่นไปสิ อิตาลีมีที่เที่ยวตั้งเยอะ แค่ตรอกซอกซอยธรรมดา ๆ ยังมีเสน่ห์เลย
จนถึงวันจริง อดจะตื่นเต้นเสียไม่ได้ ปารีสให้สวยยังไง แต่อิตาลีมันก็สวยไปอีกอย่าง หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ของเราก็เถอะ ลองเอาฝรั่งไปปล่อยที่วัดพระแก้วเถอะ ตาแตกทุกคน
กำหนดการเที่ยวกึ่ง ๆ ทำงานของเฮียเกี๊ยวที่อิตาลีนี่คือเวลาห้าวัน ผมไม่ได้หาข้อมูลของอิตาลีเลย เพราะเฮียเกี๊ยวบอกว่าแกมาค่อนข้างมาที่นี่บ่อยแล้ว เพื่อมาคุยธุรกิจ ผมก็เลยปล่อยจอย ถึงเวลาคุยงานผมก็ปล่อยเฮียเกี๊ยวให้คุยงานไป ส่วนผมก็อาจจะไปเดินเล่น หรือหาคาเฟ่สวย ๆ นั่งจิบกาแฟ และอ่านหนังสือสักเล่มแบบสบาย ๆ บรรยากาศที่นี่มันไม่ได้ร้อนเป็นบ้าเหมือนกรุงเทพฯ แถมต้นไม้เยอะ ได้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องกังวลอะไรเลยสักอย่าง มันเป็นวันหยุดที่แท้จริงชัด ๆ ชักอยากอยู่อิตาลีเสียแล้ว ถ้าย่ารู้ว่าคิดอย่างนี้คงบ่นหูแฉะแน่ ๆ
จะมีความลำบากใจเล็กน้อยก็คือตอนที่ต้องพักโรงแรมด้วยกัน ซึ่งห้องมันแสนเล็ก แต่ก็สวยคลาสสิกแหละแต่ไอ้เตียงขนาดสามฟุตเป๊ะ ๆ นี่ก็ทำเอาลำบากสักหน่อย ถึงจะไม่ใช่คนนอนดิ้นก็เถอะ น่าแปลกที่การซึ่งเราอยู่กับคนที่ไม่ได้รู้จักกันนานเท่าไร แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจเลยแม้แต่นิดเดียว มันคล้าย ๆ จะอบอุ่นเหมือนตอนอยู่กับอีหมึก และอีน้าเมื่อหลายปีก่อน
ในวันหนึ่งผมนึกสนุกอยากจะตามไปเป็นเพื่อนของเฮียเกี๊ยวที่ไปคุยงานวันละประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ในสองวันที่ผ่านมา ผมเบื่อคาเฟ่แถวนั้นแล้วเพราะไปตระเวนนั่งกินกาแฟหมดทุกร้านแล้วก็เลยขอเข้าไปเป็นเพื่อนเฮียเกี๊ยวนั่งฟังคุยงานด้วยเสียเลย
"สะดวกไหมเฮีย?" ผมถามเพราะเกรงใจ
"สะดวก...ไม่ได้มีความลับอะไร จริง ๆ เฮียอยากให้กัสไปดูด้วยซ้ำ แต่อาจจะคุยนานแล้วกลัวเราเบื่อเพราะเฮียต้องไปตื๊อเขาน่ะ"
เข้าทางสิทีนี้ผมก็เลยไปคุยงานกับเขาด้วย ก่อนถึงสถานที่ซึ่งเฮียเกี๊ยวไปคุยงานกลิ่นอะไรบางอย่างก็ฟ้องออกมาทีเดียว จะว่าเหม็นก็เหม็น จะว่าหอมก็หอม แต่มันคุ้นเคยชะมัด
ที่แท้ไอ้สถานที่ซึ่งเฮียกัสมาคุยงานเป็นโรงงานผลิตกระเป๋าหนังแห่งหนึ่ง ผมเพิ่งมารู้แฮะว่าเฮียมาเสนอขายสินค้าคือหนังให้กับบริษัทแห่งนี้ หนังจระเข้!!!
อีตาผู้จัดการดูจะรำคาญหน้าเฮียเกี๊ยวแบบไม่ปิดบังสีหน้า เฮียเกี๊ยวเคยบ่นว่ามาตื๊อหลายรอบ แต่อีตาผู้จัดการยังไม่ตัดสินใจสั่งสินค้าล็อตใหม่ ของเฮียเกี๊ยวสักที
ผมก็เลยแนะนำตัวเองให้กับอีตาผู้จัดการคนนั้นเสียเลย ด้วยแกตาดีเห็นผมใส่ทั้งเสื้อ ทั้งกางเกง แล้วก็มีแว่นกันแดดแบรนด์ที่ผมทำงานอยู่ ผมก็เลยบอกว่าผมน่ะทำงานอยู่ที่บริษัทXXX เท่านั้นแหละ อีตาผู้จัดการเปลี่ยนกิริยาจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที ชวนผมคุยเรื่องคอเล็กชั่นใหม่ทันที เหมือนจะหลอกถามความลับบริษัทซะอย่างนั้น
เฮียเกี๊ยวตกกระป๋อง อีตาผู้จัดการเอาแต่คุยกับผม และผมก็คุยกับเขาแบบเพลิน ๆ เผลอแปปเดียวผ่านไปสามชั่วโมงกว่า ถึงจะเหนื่อยกับการฟังภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนสักหน่อยก็เถอะ คุยกันถูกคออีตาผู้จัดการทำท่าจะเลี้ยงอาหารเย็นพวกผมเสียด้วย แต่ผมก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพและสัญญาว่าจะมากินอาหารเย็นด้วยในครั้งหน้า เพราะจองร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นนี้ไว้แล้ว เฮียเกี๊ยวน่ะได้แต่นั่งยิ้มฟังเราคุยกัน
"โฮ้โห รู้อย่างนี้ชวนกัสมาคุยด้วยตั้งนานแล้ว" เฮียเกี๊ยวปลื้มใจและบอกว่าจะเป็นเจ้ามือที่คาเฟ่ซึ่งจองไว้สำหรับเย็นนี้เลยทีเดียว มันเป็นคาเฟ่ดัง และจองคิวยากเสียด้วย
"ถ้าเฮียขายได้ อย่างนี้ต้องให้ค่าคอมกัสนะ" ผมเย้าแต่เฮียเกี๊ยวก็ทำท่าครุ่นคิดและรับปากว่าจะให้เปอร์เซ็นต์จากการขายให้ผมได้จริง ๆ
"เฮีย...กัสไม่เอา กัสล้อเล่น เอาอย่างนี้ถ้าเฮียจะให้ค่าคอมนะ กัสยังไม่เอาหรอก พากัสไปเลี้ยงไอศครีมโคนเจ้าอร่อยก็แล้วกัน" ผมว่าและเฮียเกี๊ยวก็ไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนแสนอร่อยที่ต้องจองคิวข้ามวัน รสชาติอาหาร อาจจะเลี่ยนไปนิดสำหรับเฮียเกี๊ยว แต่สำหรับผมที่อยู่ยุโรปมาหลายปีก็เลยชิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งเลยเชียว
คืนนั้นผมถามเกี่ยวกับหนังจระเข้ของเฮีย ถามแบบกว้าง ๆ และเจาะลึกในบางเรื่อง เช่นกระบวนการฟอก และกระบวนการเลี้ยง ค่อนข้างประหลาดใจว่าการที่จะเลี้ยงจระเข้เพื่อให้ได้หนังที่ไม่มีตำหนิ ก็ใช้เทคนิคมากมายเหมือนกัน
"ทำไมเฮียทำฟาร์มจระเข้ล่ะ?" ผมถามและนึกถึงฟาร์มจระเข้ที่สมุทรปราการที่พ่อแม่พาพวกเราพี่น้องไปเที่ยว
"คือตอนแรกบ้านเฮียทำฟาร์มไก่ แล้วก็โรงชำแหละไก่ มันจะมีส่วนหนึ่งที่ขายไม่ได้ทายซิอะไร?" เฮียเกี๊ยวถาม
"ตูดหรอ?" ผมเดา
"ใครว่าตูดไก่น่ะขายได้ราคานะ เคยกินตูดไก่ย่างหรือเปล่าล่ะ?" เฮียเกี้ยวถามกลับผมเลยนึกขึ้นมาได้
"เอ้าเฉลย หัวไก่ไง เฮียก็ไม่รู้จะเอาไปกำจัดมันยังไง แค่ขนไก่ก็ลำบากมากแล้ว แต่ไอ้หัวไก่นี่จะเอาไปทำลายยังไง พอดี คนรู้จักเขาบอกว่ามีคนรับซื้อเพื่อเอาไปเลี้ยงจระเข้ เฮียสนใจก็เลยไปดูที่ฟาร์มเขา เป็นฟาร์มจระเข้เล็ก ๆ จระเข้นี่ต้นทุนน้อยนะ เพราะมันไม่มีโรคเลย อาหารก็ให้กินแต่หัวไก่ เมื่อชำแหละก็ขายได้เกือบทั้งตัว หนังก็เอาไปฟอก เนื้อก็ขายส่งประเทศแถบเอเชีย" เฮียเกี๊ยวเกริ่นแล้วก็เล่าโน่นเล่านี่ต่อ จนผมคิดสตอรี่จะเอาไปคุยกับอีตาผู้จัดการในวันพรุ่งนี้ได้ ที่สุดท้ายแกก็เลยหุ้นทำฟาร์มจระเข้กับเจ้าของเก่าเสียเลย
ในวันถัดมา เราเที่ยวกันตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงและช่วงบ่ายก็ไปที่โรงงานทำกระเป๋าอีก มารู้ว่าอีตาผู้จัดการโรงงานชื่อลุงสเตฟาน ผมที่พอจะมีพื้นความรู้เรื่องหนัง และความรู้เก่าจากเรื่องแฟชั่น และเทรนของกระเป๋ามาแล้ว ก็คุยกับลุงสเตฟานสนุกขึ้นไปอีก และมื้อเย็นที่ลุงสเตฟานจะเลี้ยง ไม่ใช่ภัตตาคารที่ไหน แต่ก็คือที่บ้านของแกนี่เอง ป้าโดโรริส เมียของแก ดูเป็นแม่บ้านหน้าตาอารมณ์ดี ชอบทำกับข้าว และที่เขาว่ากันว่าคนไทยกับคนอิตาเลียนไม่ใช่แค่พี่น้องกัน แต่เราคือฝาแฝดกันเลยทีเดียวเห็นจะเป็นจริง
เนื่องจากวัฒนธรรมครอบครัวใหญ่ และวัฒนธรรมอาหารที่ต้องมาร่วมกินด้วยกัน ไทยเรากินน้ำพริก แต่อิตาเลี่ยนกินสลัด กินเส้นพาสต้า รู้สึกว่าลุงสเตฟานกับป้าโดโรริสจะถูกชะตากับผมเป็นพิเศษ ยิ่งพอได้ไวน์จนหน้าแดง แกก็บ่นว่าแกสองผัวเมีย ชักจะเหนื่อยอ่อนกับโรงงานผลิตกระเป๋าแล้ว กรรมวิธีผลิตกระเป๋าแบบโบราณ สวยงาม คงทน ประณีต แต่กระแสฟาสแฟชั่นก็ทำให้แกท้อใจ และยิ่งวันการตลาดก็ยิ่งแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่แกก็ยังพอทำรายได้แบบประคองตัวได้ ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำรี้กำไรมาก เพราะเป็นอุตสาหกรรมแบบครอบครัว
นี่มันปัญหาโลกแตกสำหรับคนทำการค้าการขายแท้ ๆ มันถึงต้องมีแผนกที่ผมเรียน และท้ายที่สุดมีแผนกที่ผมทำงานอยู่จนทุกวันนี้ไงล่ะ
ถึงยอดสั่งหนังจระเข้ล๊อตนี้จะไม่มาก แต่จากที่คุยงานกัน ผมเสนอให้เฮียเกี๊ยวลองฟอกหนังจระเข้สีแฟนซี ไม่ขรึมอย่างแบบเก่า ๆ ที่ทำสีตุ่น ๆ แล้วลองให้ลุงสเตฟานมาขึ้นรูปดู แก้ทรงกระเป๋าให้เล็กลงจากกระเป๋าไซซ์ L และ XL เพื่อตอบรับกับฟังก์ชันการใช้งาน ผมเสนอให้ลองทำเป็นไซซ์ S และ M เพื่อให้มันมีลูกเล่นและคลายความเป็นทางการบ้าง ที่สำคัญราคาต้นทุนจะลดลงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังดูหรูหรา ตามเอกลักษณ์ของแบรนด์
เฮียเกี๊ยวดูท่าทางตื่นเต้น และในคืนนั้นเฮียเกี๊ยวก็โทรศัพท์ถึงโรงงานฟอกหนังที่เมืองไทยอยู่เป็นนานสองนาน แน่นอนว่ามันมีอุปสรรค แต่ถ้าเราเห็นสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าเป็นบันได ไม่ใช่กำแพง ชีวิตของเราจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมันเป็นจริงในภายหลัง
ล่ำลากันอย่างแสนอาลัย โชคดีผมติดผ้าพันคอ และผ้าเช็ดหน้าแบรนด์ของผมติดมือมาด้วย มันเป็นใบเบิกทางที่ดีเสมอ ผมมอบให้ลุงสเตฟานและป้าโดโรริสเป็นที่ระลึก คิดเสียว่าเป็นของตอบแทนอาหารเย็นแบบพื้นบ้านแสนอร่อยที่แกอุตส่าห์เลี้ยงก็แล้วกัน อ้อที่สำคัญไวน์ของแกมันเยี่ยมสุด ๆ ป้าโดโรลิสแกคุยอวดว่า เป็นไวน์ทำเองของครอบครัวแกที่อยู่ห่างออกไปนอกเมือง
รู้สึกตัวเองก็มีความสามารถประมาณหนึ่งเหมือนกันนะเรา ไม่ใช่ธรรมดา ถ้ากระเป๋าของลุงสเตฟานกลับมาขายดี และหนังจระเข้ของเฮียเกี๊ยวก็จะขายดีตาม ผมก็ดีใจกับคนทั้งคู่เหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จนี้ด้วยราวกับร่วมเป็นเจ้าของอย่างนั้นแหละ
เราเดินทางออกจากอิตาลีในช่วงเช้าและถึงปารีสในช่วงเที่ยง เฮียเกี๊ยวยังไม่ได้จองโรงแรม ผมก็เลยเสนอให้เฮียมาพักที่ห้องพักของผมเสียเลย ถึงมันจะไม่กว้างขวางแต่ก็กว้างขวางสบาย ๆ สำหรับสองคนแต่เฮียอาจจะต้องนอนพื้น ผมมีที่นอนเล็ก ๆ สำหรับเพื่อนที่มากินอาหารเย็นที่ห้องแล้วเมาจนกลับไม่ได้
"นอนพักสักไหมเฮีย เดี๋ยวเย็น ๆ หน่อยกัสพาเดินเที่ยว" ผมบอกและให้เฮียอาบน้ำและนอนพัก เฮียแกเดินทางหลายวันจึงมาพร้อมกับกระเป๋าใบโต ส่วนผมน่ะเดินทางด้วยเป้ใบโตเพียงใบเดียวแน่นอนมันเป็นกระเป๋าเป้แบรนด์ของบริษัทผม ซึ่งสะพายหลังไปไหนมาไหนมีแต่คนมองจนเหลียวหลัง
เฮียเปาหลับไปอย่างง่ายดายหลังจากอาบน้ำอุ่น ๆ อากาศช่วงนี้กำลังสบาย ไม่ร้อนจัดไม่หนาวไป เพราะเพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ผมเอาเสื้อผ้าของเฮียเข้าเครื่องซักผ้า แล้วก็รีบไปร้านขายของชำของจีนซึ่งอยู่ถัดไปสองบล๊อก รีบไปรีบกลับ และเมื่อกลับมาก็เอาเสื้อผ้าของเฮียกัสออกมาตาก
"ทำอะไรกินดีน๊า?" ผมถามตัวเองเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าชาวปารีสน่ะ เขาไม่ได้ขายของกันทั้งวี่ทั้งวันเหมือนคนเอเชีย มีพักหยุดเอนหลังช่วงบ่าย ๆ นี่แหละเป็นสาเหตุที่ผมต้องวิ่งอย่างกระหืดกระหอบเหมือนคนบ้า
ได้ขนมปังบาร์แกตจากร้านประจำมาสองแท่ง เนื้อหมู ไข่ไก่ และเครื่องเทศที่ใกล้จะหมดอย่างพวก พริกไทย ออริกาโน และโรสแมรี่ก็ซื้อเพิ่มเติมขึ้นมา ถ้าออกไปตอนนี้ก็ไม่มีร้านไหนขาย ผมควรจะทำอะไรเบาๆ ให้เฮียกินเผื่อตื่นขึ้นมา นึกถึงความประทับใจที่ได้กินอาหารอิตาเลี่ยน ก็เลยนึกอยากกินพิซซ่าขึ้นมาหน่อย ๆ เพราะติดใจกลิ่นหอมของออริกาโน และความเค็ม ๆ มัน ๆ ของชีสดี ๆ ป้าโดโรลิสแกคุยอวดว่า ชีสของแกเป็นชีสที่ทำเองจากฟาร์มที่บ้านนอกเสียด้วย แถมแกยังชวนด้วยว่า ถ้ามาเยี่ยมแกครั้งหน้า แกจะชวนผมไปเที่ยวฟาร์มของครอบครัวของแกที่ชานเมือง ซึ่งทำทั้งไวน์ และชีส น่าสนุกชะมัด แต่ผมก็ไม่กล้ารับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะผมถือว่าถ้าจะรับปากต้องทำให้ได้ ผมก็เลยบอกแก่ว่าถ้าได้มาอิตาลี่จะไปรบกวนแกแน่นอน แกยิ้มเสียแก้มปริ
กลับมาที่อาหารที่ผมซื้อมาไอ้ผมก็เป็นคนชอบจับแพะชนแกะอยู่แล้ว อีกทั้งมองวัตถุดิบที่ซื้อมา ก็เห็นจะพอทำอะไรทดแทนพิซซ่าได้ ก็เลยหมูบด มาผสมเครื่องเทศ ใส่ออริกาโนกับพริกไทยเยอะ ๆ ใส่ชีสด้วย ถึงมันจะไม่หอมเท่าชีสของป้าโดโรริสก็เถอะ ตอกไข่ใส่ไปอีกหนึ่งฟองตีให้เข้ากัน แล้วก็เอาไปทาบนหน้าขนมปังบาร์แกตที่ฝานจนได้ชิ้นหนา ๆ ราดด้วยโอลีฟออยให้ฉ่ำจนมันซึมเข้าไปในเนื้อขนมปัง ตบท้ายก็เอาแผ่นชินโปะหน้าโรยผงโรสแมรี่อีกหน่อย แล้วก็เข้าเตาอบ
"อื้อ...หอม..." เฮียเกี๊ยวตื่นมาก็เอ่ยปากเลย พร้อมกับบิดขี้เกียจ
"กัสทำอะไร?" เฮียเกี๊ยวถาม
"ขนมปังหน้าหมูแห่งเขตสิบสาม" ผมตอบชื่ออาหารที่คิดขึ้นเอง
"กินได้แน่นอนสิ แต่มันหอมชะมัด" เฮียเกี๊ยวพูดแล้วก็เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าเตาอบ
จนถึงเวลาที่ตั้งไว้ เมื่อเปิดเตาอบ กลิ่นหอมฟุ้งก็เลยคลุ้งไปทั้งห้อง ถ้าผมแง้มประตูหน้าห้อง เพื่อนบ้านของผมคงอยากมาดูแน่ ๆ ว่าผมทำอะไร ถ้ามันอร่อย เห็นทีจะต้องเป็นเมนูที่เอาไว้ใช้เลี้ยงแขกเมนูใหม่
"ลองหม่ำดูนะเฮีย ไม่รู้อร่อยหรือเปล่าแต่กัสว่าก็ไม่น่าจะแย่ อ้อ ลืมไปกัสมีซอสพริกศรีราชานี่นะ" ผมว่าแล้วก็เดินไปค้นได้ขวดน้ำพริกศรีราชาซึ่งจะใช้เมื่อมีโอกาสพิเศษเท่านั้น
"ของหายาก ไม่รักไม่เอาออกมาให้กินนะ" ผมบ่นไปก็เหยาะซอสสีส้มอมแดงข้นคลักใส่ถ้วยใบน้อยเพื่อเอาไว้จิ้ม แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เฮียเกี๊ยวกลับมองผมแล้วก็อมยิ้ม นี่ผมพูดอะไรผิดไปละเนี่ย เรารองท้องด้วย ขนมปังหน้าหมูแห่งเขตสิบสาม สลัดผักง่าย ๆ คือบรรดาผักสด โรยหน้าด้วยน้ำมันมะกอก น้ำส้มบัลซามิก และเครื่องเทศ ใช้ตัดเลี่ยนได้ดีทีเดียว เป็นมื้อที่เอร็ดอร่อยมื้อนึง หรือเพราะผมหิวก็ไม่รู้แต่เฮียเกี๊ยวกินจนหมดทั้งขนมปังและสลัด
เฮียเกี๊ยวมีกำหนดเที่ยวปารีสห้าวันเหมือนกัน ผมก็พาแกเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก อะไรมันจะดีไปกว่านี้ ผมพาเฮียไปดูระบำโป๊ ซึ่งแทนที่จะวาบหวิว เฮียเกี๊ยวกลับตลกหัวเราะเสียงดังจนนักเต้นเขาแทบลงมากระทืบ คนหันมามองกันใหญ่ ผมล่ะอายชะมัด
ขณะที่ผมพาเฮียเกี๊ยวไปกินอาหารมื้อค่ำ คืนนี้เราล่องเรือกินอาหารกัน แพงหน่อยแต่มันคุ้ม ไม่ใช่ว่าจะได้กินกันบ่อย ๆ ที่สำคัญ มื้อนี้ผมกินฟรี เพราะอาหารทั้งอร่อยและบรรยากาศมันโคตรดี
กินมื้อค่ำจนท้องแทบแตก และเมื่อกลับถึงห้อง มันก็มืดพอดี ฟ้ามืดเอาตอนสามทุ่มกว่า ล้างหน้าล้างตาเอาแล้วก็เข้านอน ไม่อาบน้ำกันละ ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทยนะเราจะได้อาบน้ำเช้าเย็น ที่สำคัญจู่ ๆ คืนนี้อากาศกับเย็นขึ้นมาเสียอย่างนั้น และมีละอองฝนตกโปรยปรายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อากาศจึงทั้งเย็นและชื้น
ผมไถมือถือเล่น ๆ และโพสต์แจ้งเตือนว่าตอนนี้ที่ดีฌงมีเทศกาลดอกไม้อีกแล้ว
"เฮีย ๆ ตอนนี้มีเทศกาลดอกไม้ที่ดีฌง พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันไหม นั่งรถไฟไปไม่ไกล ที่ดีฌงนี่ถิ่นเก่าของกัสเลย" ผมพูดอย่างตื่นเต้นและเฮียเกี๊ยวก็รับคำ จากนั้นก็ซักถามว่าไอ้เทศกาลดอกไม้นี่มันมีอะไรบ้าง สนุกยังไงดียังไงผมก็พูดเป็นต่อยหอยไปเลยสิ
"ฮ้าดชิ้ว!!!" เฮียเกี๊ยวจามเสียงดังและกระชับผ้าห่มให้แนบตัว ผมหันไปมองก็รู้เลยว่าแกคงหนาว โชคร้ายหน่อย ผ้าห่มของผมมันถูกใช้หมดแล้ว เอายังไงดีล่ะทีนี้
"พื้นมันเย็น เฮียเกี๊ยวขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ป่วยอดไปเที่ยวกันพอดี" ผมพูดจบเฮียเกี๊ยวก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงกับผมทันที เอาผ้าห่มซึ่งแกห่มอยู่ข้างล่างขึ้นมาห่มอีกที
"เอ๊าหนาวก็ไม่บอก" ผมว่าและดึงมือของเฮียเกี๊ยวมาถูแรง ๆ ที่นี่เวลาหนาว ๆ พวกผู้ใหญ่ชอบเอามือของเด็ก ๆ มาถูแล้วก็เป่าลมหายใจอุ่น ๆ ใส่ แต่พอผมกำมือของเฮียเกี๊ยวจนรู้สึกว่ามือของเฮียเกี๊ยวอุ่นแล้ว พอเงยหน้าไป ก็เจอแต่ลูกตาของเฮียทีเอาแต่จ้องหน้าผม