ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
ทริปกึ่งเที่ยวกึ่งงานของผมเริ่มขึ้นในทุก ๆ ครึ่งปี เพียงแต่ปีนี้พิเศษที่ไม่ได้มากันสองคนแต่น้องชายของผมกับเมียของมันขอมาเที่ยวด้วย
จะว่าไปผมแอบรำคาญนิด ๆ เพราะเมียของผมกับเมียของไอ้เปาเข้ากันดีเกินไปหน่อย คุยกันโขมงโฉงเฉงเรียกว่าแทบจะไม่ได้หยุดปาก สนิทกันยิ่งกว่าผมกับไอ้เปาที่เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ เสียอีก
หวังกับไอ้เปาน่ะมันคบกันตั้งแต่สมัยยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ แรกทีเดียวม๊าออกจะไม่ค่อยพอใจ เพราะอยากให้ไอ้เปามันโฟกัสกับการเรียน แต่ในเมื่อผลการเรียนของมันจัดได้ว่าดีไม่มีตกหล่น ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะไปห้ามมันคบกับหวังได้
ยิ่งพอพาหวังมาที่บ้านของเราครั้งแรก ด้วยหน้าตาน่าเอ็นดู ช่างพูดช่างคุยอย่างคนเคยค้าขาย แล้วก็ทำผมเก่ง คนแรกเลยที่หวังทำผมให้ก็คือม๊า นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ม๊าชักจะถูกชะตา แต่อาม่าน่ะไม่ต้องห่วงเลย รักไอ้เปายิ่งกว่าอะไร อะไรดีอาม่าก็เห็นว่าดีไปด้วย แล้วยิ่งวันทั้งหวังทั้งไอ้เปาก็ยิ่งพากันพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้นทั้งเรื่องของงาน ฐานะและความสัมพันธ์
ถึงผมจะรำคาญไอ้น้องชายของผมสักหน่อยเพราะมันชอบงอแง แต่สิ่งที่หวังทำก็สามารถปราบไอ้เปาไอ้น้องคนเล็กที่ถูกสปอยล์จนเสียเด็กได้อย่างอยู่หมัด เปามันเรียนเก่ง และตั้งใจในทุก ๆ สิ่ง ซึ่งในบรรดาพี่น้องของเราก็เป็นอย่างนี้หมดเพราะโดนป๊ากับม๊าสอนมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะทำอะไรมันก็จะต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือข้อดีแต่ข้อเสียของไอ้เปาก็คือ มันไม่ค่อยมีหัวทางการค้า ซึ่งหวังสามารถชดเชยข้อเสียด้านนี้ของไอ้เปาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไอ้เปาจากนายแบบ เทรนเนอร์ พัฒนาสู่เจ้าของฟิตเนสชื่อดัง เจ้าของอาหารเสริม เจ้าของชุดกีฬา และดูเหมือนไอ้เปาจะกำลังจะหาผลิตภัณฑ์ไปขายอีกเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนยายหวังเป็นคนคิดและทำให้ไอ้เปาทั้งนั้น
ผมซึ่งก็เป็นนักธุรกิจจึงถูกใจน้องสะใภ้ของผมคนนี้อย่างที่เรียกว่าชื่นชม เพราะผมเอง เป็นคนบ้างาน แต่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีเมียกับเขาได้ด้วยซ้ำ ผมทุ่มเทแต่เรื่องของงานและธุรกิจทั้งส่วนตัว และธุรกิจของครอบครัว โชคดีที่ผมมีต้นทุนดี มีเงินทุน มีคอนเน็กชั่น และสิ่งพวกนี้มันทำให้ผมเห็นอะไรก็เป็นโอกาสไปทั้งหมด แต่สิ่งพวกนี้มันพรากผมไปจากเวลาที่จะไปเที่ยวเล่นสนุกสนาน หรือจำความรู้จักใครนอกจากลูกค้า แต่อย่างน้อยมันก็พอจะมีข้อเว้น
โอกาสพวกนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับน้องกัส เพื่อนสมัยเรียนของไอ้เปา ซึ่งผมออกจะถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ถึงจะไม่ใช่เจอตัวเป็น ๆ แต่เป็นการเจอในคลิปวิดีโอ เมื่อครั้งไอ้เปากับหวังไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกัน และน้องกัสอาสาพาไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ในกรุงปารีส
น้องกัสเป็นพนักงานของบริษัทแบรนด์เนมโก้หรูอันดับต้น ๆ ของโลกซึ่งคงจะมีพนักงานคนไทยไม่กี่คน ผมชอบการพูดจา หน้าตาและบุคลิกของน้องกัสชะมัด ครั้นพอมาถามเอากับไอ้เปา มันก็สาธยายถึงคุณงามความดีของน้องกัสให้ผมฟังจนผมสนใจอยากเจอตัวจริงสักหน และถ้าทำความรู้จักได้ก็คงเข้าที
"ลื้อติดต่อเพื่อนลื้อให้เฮียหน่อยสิ" ผมบอกกับมัน และหลังจากนั้นไม่นาน เปามันรีบมารายงานว่า น้องกัสจะกลับเมืองไทยในช่วงปลายปีคริสต์มาส ผมน่ะมักจะไปกินอาหารร้านคุณย่าของกัสบ่อย ๆ โคตรเหมือนพรหมลิขิต เมื่อได้มารู้ภายหลัง
ผมชอบกินอาหารไทย ถึงจะกินเผ็ดไม่เก่ง แต่ก็ชอบมากกว่าอาหารรสเลี่ยน ๆ ยิ่งสมัยผมไปเรียนปริญญาโทที่ลอนดอน ชีวิตของผมเหมือนตกนรกหน่อย ๆ เพราะอาหารหลักของคนที่นั่นคือ ฟิชแอนด์ชิพ หรืออะไรที่มันจืด ๆ ชืด ๆ พอกล้ำกลืนเรียนจนจบกลับไทยมาผมก็โหยหาแต่อาหารไทยนับแต่นั้น
จนลูกน้องของผมพาผมให้ได้รู้จักกับร้านของคุณย่า ร้านอาหารไทยเล็ก ๆ รสอร่อยราคาไม่แพง บรรยากาศอบอุ่นผมติดใจจนต้องไปอุดหนุนเกือบทุกอาทิตย์ บางทีก็สั่งให้เด็กไปซื้อมาให้ด้วยซ้ำไป สมัยนั้นเป็นยุคที่คุณพ่อดูแลกิจการแล้ว ผมก็ทำเป็นตีสนิทเลยเสียเลย
จนเมื่อถึงงานเลี้ยงซึ่งเปามันเอามาเล่าให้ฟัง ผมก็บอกมันอ้อม ๆ อยากให้มันเป็นพ่อสื่อ ซึ่งไอ้น้องชายของผมก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง และคืนวันนั้นผมก็ได้เจอน้องกัสตัวเป็น ๆ ตอนแรกผมก็กะว่าจะนั่งเนียน ๆ ในงานเลี้ยงนั้นด้วย แต่ไม่ไหว เพื่อนของน้องกัสแต่ละคน แรง ๆ ทั้งนั้น ยิ่งมียายหวังเข้าไปร่วมกลุ่มและดูเป็นจ่าฝูง ผมเลยเลี่ยงมานั่งกินอาหารด้านนอกดีกว่า ไม่อย่างนั้นโดนแซวทั้งงานแน่ ๆ แล้วที่สำคัญแต่ละคนดูปากร้ายอย่างกับอะไรดี ขนาดไอ้เปาเป็นผัวยายหวัง ยังโดนแทะเล็มเลยทีเดียว
แต่มันเข้าทางชะมัด เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ผมก็ส่งสัญญาณให้ไอ้เปาฝากฝังผมกับน้องกัสด้วยเพราะผมจะนั่งกินอาหารต่อ ซึ่งกลายเป็นว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้พูดจากันจริง ๆ จัง ๆ และมันทำให้ผมตกหลุมรักน้องกัสอย่างหัวปักหัวปำ
เสน่ห์ของน้องกัสคือเป็นคนฉลาดรอบรู้ หน้าตาน่ะไม่ต้องพูดถึง เป็นดาราได้สบาย ๆ แต่ผมว่าเหนืออื่นใดคือพรหมลิขิต การนั่งพูดคุยของเรามันเหมือนเวลาหยุดหมุน และยิ่งเห็นน้ำใจอาหารที่น้องกัสไปทำให้ ซึ่งแม้ว่าน้องกัสจะออกตัวว่าตัวเองทำอาหารไม่เก่งแต่สำหรับผมมันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย
ตลอดเวลาหลายวันหลังจากนั้น ที่น้องกัสยังอยู่เมืองไทย ผมหาโอกาสไปกินอาหารร้านของคุณย่าและเราก็มักจะอยู่พูดคุยกันจนร้านปิดทุกที และผมว่าน้องกัสก็น่าจะมีใจให้ผมเหมือนกัน คนเราถ้าไม่ถูกใจกันจะนั่งคุยกันเป็นชั่วโมง ๆ โดยไม่เบื่อได้ยังไง ผมชอบชะมัดเวลาที่น้องกัสหัวเราะจนตาปิด และมันจะดีแค่ไหนนะถ้าผมได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้
แต่ผมมันป๊อดและอาจจะเพราะความขี้ขลาดของผม จนน้องกัสกลับฝรั่งเศสไปแล้ว ความสัมพันธ์ของเรามันก็ยังไม่คืบหน้าไปกว่าน้องกัสเป็นคนที่ผมแอบชอบเลย
"กูจะทำยังไงดีวะ?" ผมบอกกับตัวเอง และพยายามทำงานหนักขึ้น จะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงน้องกัส อย่างหนึ่งที่มันโคตรทรมานเหมือนโดนกัดกินวิญญาณก็คือความคิดถึง ไอ้ความคิดถึงบ้านี่ทำไมมันเจ็บปวดอย่างนี้วะ ผมเคยคิดบ้า ๆ อยากบินไปหาน้องกัสมันเสียวันนี้วันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ แต่สติของผมมันยั้งไว้ทั้ง
และทุกครั้งที่ผมไปกินข้าวที่ร้านของคุณย่า มันก็เอาแต่ทำให้ผมเหมือนเป็นบ้า ร้านอาหารเดิม อาหารชนิดเดิม แต่ขาดคนที่มานั่งคุย มาคอยนั่งฟัง และนั่งหัวเราะไปกับผม
และบังเอิญให้ผมมีเรื่องงานต้องไปยุโรปพอดี อะไรมันจะบังเอิญยิ่งขึ้นไปอีก เพราะน้องกัสก็ขอไปเที่ยวอิตาลีพร้อมผมเสียเลย จริง ๆ ผมต้องไปคุยธุระแสนเครียด ไม่อยากเอาสีหน้าที่เครียด ๆ ไปให้น้องกัสได้เจอเลย แต่ฟังเสียงอ้อน ไอ้ผมก็ใจเหลว ไปก็ไป ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็คงไม่ถึงกับต้องตื๊อลูกค้าทั้งวัน และเวลาที่เหลือ ไม่ว่าจะเที่ยวที่ไหน หรือแค่นั่งตรงม้านั่งตรงไหนสักแห่ง ที่ข้าง ๆ กายมีน้องกัสอยู่ด้วย ผมว่ามันก็คือรางวัลของผมอยู่ดี
น่าอัศจรรย์ใจที่อุปสรรคใด ๆ ที่คิดไว้ มันพังทลายเมื่อมีน้องกัสไปด้วยเหมือนเป็นตัวนำโชคเลยแฮะ การเจรจานั้นเรียบง่าย จบท้ายด้วยการไปกินข้าวกับตาลุงสเตฟานที่ดุแสนดุ แต่กลายเป็นว่าตาลุงนั่นชอบน้องกัสนัก ผมตระหนักรู้เลยว่า ไอ้ความรู้ทางด้านแฟชั่นของผมมันน้อยเกินไป พอได้ฟังน้องกัสคุยกับตาลุงเรื่องแฟชั่นอย่างถูกคอ ไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ และดีไซน์เนอร์ที่ผมไม่รู้จักสักคน รวมไปถึงเรื่องหนัง เรื่องเพลง เรื่องอาหารอิตาเลียน อะไรไปโน่น ก็เลยทำให้ดีลของผมปิดได้สักที ผมส่งเซลล์มาเสนอขายแกสองรอบแล้ว ได้ยอดขายมาน้อยนิด มารอบนี้ หนังจระเข้ของผมจะได้กลายเป็นกระเป๋าสุดหรูจากอิตาลีกับเขาสักที
หมดเรื่องเครียดแล้วทีนี้ก็เหมือนฮันนีมูนทริปสำหรับผม ทริปฝรั่งเศส ซึ่งน้องกัสแสนเชี่ยวชาญเพราะทั้งเรียนและทำงานที่นี่มาตั้งหลายปี การเที่ยวของเราทำเอาเพลิน ปกติผมไปต่างประเทศ ก็ไม่ค่อยจะได้ซาบซึ้งกับศิลปะ และสถาปัตยกรรมอะไร แต่พอมากับน้องกัส การได้ดูและรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์ ทำให้การเที่ยวของผมมันสนุกขึ้น อาหารก็อร่อยในทุก ๆ มื้อ แต่ผมว่ามื้อที่อร่อยที่สุดก็คือฝีมือของน้องกัสนี่ล่ะ ไม่ได้อร่อยแบบฝีมือของเชฟมิชลิน แต่มันอร่อยเพราะมาจากหัวใจและฝีมือของน้องมากกว่า ขนมปังฝรั่งเศสกับหมูอบโปะหน้า คงเป็นลูกผสมระหว่างพิซซ่ากับขนมปังหน้าหมูอยู่กลาย ๆ ล่ะมั้ง
ผมพยายามหลายครั้งจะสารภาพรัก และอยากให้น้องไปอยู่กับผม มันอาจจะว่องไวเกินไป แต่สำหรับผม ผมรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราได้เจอกัน ว่าน้องกัสจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตที่ผมอยากมีชีวิตอยู่ด้วย อยากเจอในทุก ๆ วัน อยากเจอในตอนเช้า และอยากจะเห็นในตอนก่อนนอน เราอาจจะทะเลาะกันมั่ง แต่ผมจะง้อในทุกกรณี แต่มันติดปัญหาอยู่ปัญหาเดียวก็คือผมมันไม่กล้าพอ ถึงจะรู้สึกว่าน้องกัสพอจะมีใจให้ผมบ้าง แต่น้องกัสเป็นคนฉลาด และวางตัวดี ขืนผมผลีผลาม ความสัมพันธ์ดี ๆ อาจจะจบลงด้วยการมองหน้ากันไม่ติดก็เป็นได้ ซึ่งผมไม่กล้าเสี่ยง
ผมรู้ใจตัวเอง และรู้ใจน้องกัส เอาเกือบวินาทีสุดท้าย วินาทีที่ผมกำลังจะจากน้องกัสหลายพันกิโลเมตร ห่างกันครึ่งโลก และรอยจูบนั้นมันทำให้ผมต้องหยิกตัวเองแรง ๆ ถามตัวเองว่านี่ผมฝันไปหรือเปล่า ถ้านี่ไม่ใช่เครื่องบิน ผมคงกระโดดลงมา ไม่กลับมันแล้วล่ะเมืองไทย จะอยู่กับน้องกัสที่นี่ แต่มันทำไม่ได้ เพราะนี่คือความจริง
ราว ๆ เกือบหนึ่งปี ที่น้องกัสเอาแต่ผัดผ่อน ที่จะกลับมาอยู่เมืองไทย จะกลับมาอยู่กับผม และเราสัญญาว่าจะไม่พรากจากกันอีกเลย แต่ช่วงที่เราจากกันนั้น ผมกับน้องกัสคุยกันทุกวัน และในวันเกิดของน้องกัส ผมก็สั่งแหวนพร้อมช่อดอกไม้ช่อโตไปเซอร์ไพรส์วันเกิดให้น้องกัส ของแบบนี้มันต้องเล่นใหญ่ เอาไปส่งให้น้องกัสถึงออฟฟิศเลยทีเดียว
"เฮียส่งอะไรมาเยอะแยะ เชื่อไหมคนมองกัสทั้งออฟฟิศเลย กัสเขินจะแย่" น้องกัสทำเสียงดุอย่างยิ้มแย้ม
"ก็มันเป็นวันพิเศษ น้องกัสสวมแหวนที่เฮียให้ไปหรือยังครับ?" ผมถามและน้องกัสก็ ชูแหวนที่นิ้วนางข้างขวา ผมสัญญาเลย ถ้าเจอตัวเป็น ๆ เดี๋ยวนิ้วนางข้างซ้าย ผมจะเป็นคนสวมแหวนให้น้องกัสด้วยตัวเอง
จนในวันหนึ่งผมแทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเพราะน้องกัสบอกกับผมว่าได้ทำการลาออกเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังต้องติดสัญญาทำงานอีกหนึ่งเดือน แต่ผมจะรอเวลาหนึ่งเดือนโดยที่ไม่ตายไปเสียก่อนได้หรือเปล่านะ
ในงานวันแต่งงานของน้องชายของผม ไอ้เปาจัดใหญ่ และงานก็ดูสนุกสุดเหวี่ยงที่สุด เพื่อนเจ้าสาวเหมือนรวมเก้งกวางจากทั่วทิศทั่วไทย เพราะเธอนับได้ว่าเป็นคนดังในวงการ คนที่มาเป็นแขกมาเกือบทุกวงการ เริ่มตั้งแต่วงการบันเทิง เพื่อนสมัยเรียน ลูกค้า แล้วก็เพื่อน ๆ ไอ้เปา วุ่นวายแต่สนุกที่สุด ขัดกับธรรมเนียมเดิม ๆ ที่แสนน่าเบื่อ
"ไว้เราแต่งงานกันเอาให้ใหญ่กว่างานไอ้เปานะ" ผมกระซิบโดยมีน้องกัสอยู่ในอ้อมกอด
"ใครจะแต่งกับเฮีย?" น้องกัสตอบและมองค้อน
"ไม่รู้แหละ ไม่แต่งกับน้องกัสเฮียก็ไม่แต่งกับใครแล้ว" ผมตอบกลับแล้วก็ดึงมือซ้ายที่สวมแหวนที่สวมให้ออกมาให้เจ้าตัวดูให้เต็มตา
แต่เอาเข้าจริง ๆ งานแต่งงานของผมกับน้องกัสมันเรียบง่ายไปกว่านั้น เราแต่งงานกันที่รีสอร์ทริมทะเลแสนเงียบสงบที่ มีเพียงญาติมิตรและเพื่อนสนิทเท่านั้น
"งานฉลองไว้จัดที่โรงแรมโน่น ตรงนี้มีแต่คนสำคัญนะ" น้องกัสตอบตอนที่เราเต้นรำกันที่ริมชายหาด มองน้องกัสตอนนี้ที่สวมกางเกงสามส่วนสีขาว เสื้อเชิ้ตสีขาวคัตติ้งแปลกตาส่วนผมสวมชุดคล้าย ๆ กันแต่เป็นแบบเรียบ ๆ น้องกัสเป็นคนหาชุดให้ และแขกทุกคนก็สวมชุดสีขาวเหมือนกันหมด ดอกกุหลาบสีขาวถูกประดับทั่วงาน เพลงเก่าแสนไพเราะ เพลงโปรดของแม่ยายผม และเป็นเพลงโปรดของน้องกัสด้วย มันซึ้งและหวานเป็นพิเศษ จนพ่อตากับแม่ยายของผม หลีกไปเต้นรำกันริมชายหาด พวกเราไม่มีใครสวมรองเท้า สมัครใจที่จะให้คลื่นทะเลซัดสาดจนเท้าของเรารู้สึกเย็นสดชื่น จนทุกคนรู้สึกราวกับว่า ณ เวลานี้ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เข้ากับบรรยากาศของเพลง La via en rose แท้ ๆ
ส่วนอาหารแสนอร่อย ซึ่งคุณย่าเป็นคนมาคุมด้วยตนเอง และป้าปูป้าของยายหวังเป็นลูกมือ คุณย่ายิ้มกว้างกว่าใคร และฝากฝังผมให้ดูแลน้องให้ดี ซึ่งผมก็สัญญากับคุณย่าว่าจะรักน้องกัสคนเดียวและดูแลกันไปจนกว่าลมหายใจจะพรากเราจากกัน
ตอนนี้สนามบินที่อิตาลีช่างดูวุ่นวาย โรงแรมเล็ก ๆ น่ารักถูกจองไว้แล้วสองห้อง เพื่อเป็นการฮันนีมูนทริป แต่สองห้องนะ ห้องหนึ่งของผม ห้องหนึ่งของไอ้เปา เราเช่ารสเวสป้า และขับเที่ยวไปทั่วเมือง เหมือนทุกครั้งที่มาอิตาลี
"เฮียว่าน้องกัสเหมือน ออลเดย์แฮปเบิร์นแล้วเฮียก็เหมือนเกเกอรี่ เป๊กเลยแฮะ" ผมตะโกนบอกขณะที่เรากำลังขับรถเวสป้าด้วยกัน เสื้อผ้าของผมน่ะน้องกัสเป็นคนจัดแจงให้ทั้งหมด ที่สำคัญก่อนจะมา สุดที่รักของผมยังขวนขวายภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday มาให้เราสองคนดูร่วมกันเสียด้วย บรรยากาศในกรุงโรมจึงโรแมนติกเป็นพิเศษ และเราก็จะยิ่งตื่นเต้น เมื่อเห็นฉากหลังในหนังกับสถานที่จริง ซึ่งน้องกัสอุตส่าห์ทำการบ้านมาแล้ว
"เวลาไปโรมจะได้อินไง" น้องกัสว่าตอนที่เราดูหนังด้วยกัน อะไรที่น้องกัสว่าดีผมก็ว่าดี และลุคของน้องกัสตอนนี้ที่น้องกัสเชิ้ตสีขาวแขนสั้นพับแขน กางเกงทรงบอลลูน พร้อมกับผ้าพันคอลายทาง ที่ถูกพันไว้ที่คอ เป็นเหมือนสายสร้อยเล็ก ๆ ช่างเหมือนออล์เดย์ แฮปเบิร์นชะมัด ส่วนผมก็คล้าย ๆ ตาเกเกอรี่เป๊ก เพราะทูนหัวจับผมใส่เจลเสียจนหัวเรียบแปร้
เป็นทริปที่สนุกที่สุด โรแมนติกที่สุด และร่ำรวยที่สุด เนื่องจากคอเล็กชั่นกระเป๋าหนังจรเข้ ซึ่งตอนนี้มันเป็นของแรร์ไอเท่ม ที่เซเลปทั่วโลกต่างก็ต้องมีจับจองไว้ ถึงกับต้องจองคิวกันเป็นเดือน ๆ แต่เสียใจด้วยจริง ๆ จระเข้ของผมเลี้ยงไม่ทันจนต้องขยายที่เลี้ยง ล่าสุดผมลองส่งหนังนกกระจอกเทศ ให้ตาลุงสเตฟานได้ลองตัดเย็บดู ซึ่งน้องกันยืนยันว่าต้องขายดีอย่างแน่นอน เรียกว่าจากวิกฤติหนังจรเข้ไม่พอ เลยเป็นโอกาสให้ทำกระเป๋ารุ่นพิเศษหนังนกกระจอกเทศเสียเลย
โปรเจกต่อมาคือกระเป๋าสาน ซึ่งน้องกัสได้ไอเดียจากการที่พวกเราไปเที่ยวบ้านสวนของยายหวังที่จันทบุรี เมืองแห่งเสื่อกระจูด ในมื้อเย็นที่พวกเรามานั่งปิ๊กนิกที่ริมทะเลของบ้านสวน ปูเสื่อกันแล้วก็เอาอาหารมากินกันช่วงเย็น ๆ น้องกัสซึ่งตาไว มองเสื่อผืนที่เรากำลังนั่งทับมันอยู่ แล้วไอเดียกระเป๋าสานก็เกิดขึ้น
พวกเราเลยไปเยี่ยมหมู่บ้านที่ผลิตเสื่อกระจูดกันและน้องกัสก็ไปพูดคุยกับป้าหัวหน้าชุมชน โดยสัปดาห์หน้าจะมาดูแบบ ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องของแฟชั่น แต่น้องกัสนึกสนุกอยากเปิดช็อปกระเป๋าที่เมืองไทย ซึ่งเรามีโครงการจะเปิดช็อปกระเป๋าที่สั่งผลิตจากโรงงานของลุงสเตฟานจากอิตาลีแต่ต้นอยู่แล้ว และผมก็ส่งคนไปเรียนการเย็บกระเป๋าที่โรงงานของลุงสเตฟานเสียเลย เพราะแกบ่นว่าแกคงจะวางมือในอีกไม่นาน ผมเสียดายฝีมือ และเทคนิคการเย็บกระเป๋าของแก ซึ่งแกก็ยินดีจะสอนอย่างไม่หวงวิชาเลยทีเดียว อนาคตเราคงเปิดโรงงานเย็บกระเป๋าหนังที่เมืองไทยแน่ ๆ
กระเป๋าสานระดับพรีเมี่ยม เป็นกระจูดถักพร้อมกับเส้นหนัง เพื่อเพิ่มความทนทาน สายกระเป๋าทำจากหนังจระเข้ และหนังวัว หนังนกกระจอกเทศ แต่ไอ้ตรงที่หรูหราก็คือตราโลโก้ที่ทำจากหนัง ไอ้เรื่องทำแบรนด์นี่สุดที่รักของผมเก่งระดับหัวกะทิ ซึ่งมันปรากฏที่หัวไหล่ของยายหวังอยู่ตอนนี้และยามที่พวกเราสี่คนขี่เวสป้าในโรม ก็มีแต่คนมองจนเหลียวหลัง
จบทริปอิตาลี เราไปต่อที่ฝรั่งเศสเหมือนเคย แต่ไปเมืองดีฌง ถิ่นเก่าของน้องกัส เพราะปารีสน่ะไปกันจนเบื่อแล้ว ผมอยากจะไปเทศกาลดอกไม้ เพื่อรำลึกถึงความหลังเมื่อคราวก่อนที่ผมกับน้องกัสมาเที่ยวด้วยกัน คราวที่แล้วยังเป็นแค่พี่น้อง แต่คราวนี้น้องกัสเป็นเมียผมไปเรียบร้อยแล้วบรรยากาศจึงหวานกว่าเดิม 300%
แต่ไอ้ที่ให้ผมหมดสนุกไปหน่อยก็คือ ไอ้ฌอง เพื่อนคนเยอรมันของน้องกัสที่ผมรู้มาจากยายหวังว่า น้องกัสเคยปิ๊ง ๆ กับไอ้หมอนี่มาก่อน ไอ้เปรตนี่ขอมาเที่ยวด้วยแล้วมันก็รู้เยอะจริง ๆ ไอ้เรื่องต้นหมากรากไม้ คุยโน่นคุยนี่ จนผมชักจะอยากะต่อยกับมันสักที ข้อหาหมั่นไส้
"เฮียเป็นอะไรครับหน้าเป็นตูดเลย" น้องกัสถามเมื่อเราเดินห่าง ๆ จากไอ้ฌอง เปาและยายหวัง
"เฮียไม่ชอบไอ้ฝรั่งนั่นเล๊ย" ผมตอบตรง ๆ เพราะสีหน้าของผมมันโกหกไม่มิดเสียแล้ว
"หึงหรอ?"
"ใช่" ผมตอบตรง ๆ ก็นี่มันเมียผมนี่นะ ผมก็หึงบ้า ๆ บอ ๆ จริง ๆ ไอ้ฝรั่งนั่นมันก็หล่อเกินไป แถมดูแสนดู ดุสุภาพ เวลายิ้มทีนึง มันอย่างกะดาราหลุดออกมาจากหนังสักเรื่อง
"จะไปหึงอะไร ถ้ากัสรักฌอง กัสก็เป็นแฟนกับเขาไปแล้ว กัสแค่ชอบที่ฌองเป็นคนนิสัยดี แล้วก็คุยสนุก ถ้ากัสจะรัก ก็มีแค่เฮียคนเดียวที่กัสรักนะ ไม่เอานะครับอย่าทำให้คนอื่นมาทำให้เราหมดสนุก" น้องกัสว่าและเดินควงแขนผมตลอดเวลา เลยทำให้ความโกรธของผมลดลงเหลือนิดเดียว และถ้าน้องกัสคลายมือออก ผมก็จะจูงมือน้องกัสไว้ตลอดเวลา
ไอ้ฌองนี่เสือกมีเสนอทริปไปเที่ยวชนบทของฝรั่งเศส ซึ่งมันจะคล้าย ๆ กับโฮมสเตย์ของไทยนี่แหละ เป็นฟาร์มปศุสัตว์ในชนบทที่ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์กินเอง ไอ้ผมก็กลัวลำบากนิด ๆ แต่ในเมื่อน้องกัสและยายหวังสนใจ ผมกับไอ้เปาก็เลยได้แต่ตามใจเมีย ใครใช้ให้เราสองพี่น้องเป็นทาสเมียกันเล่า
เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่แย่ ฟาร์มชนบนแห่งนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าที่คิด มีอาหารพื้นบ้านแสนอร่อย และเราสามารถเดินเที่ยว ในสวนองุ่น หรือเดินเล่นในสนามหญ้าสุดลูกหูลูกตาซึ่งใช้เลี้ยงวัวและแกะ มีลำธารเล็ก ๆ ซึ่งน้ำใสจนมองเห็นก้นลำธาร และในลำธารมีเป็ดว่ายน้ำเป็นกลุ่ม ๆ ด้วย บรรยากาศผิดกับที่เมืองไทยแต่มันสงบดีชะมัด แต่น้ำนั้นว่ายเล่นไม่ได้เพราะมันเย็นและตื้นเพียงแค่ตาตุ่ม ตรงที่ลึกที่สุดลึกเพียงแค่ครึ่งหน้าแข้งเท่านั้น
"เจ๊หวังเราไปเก็บแอปเปิลกันดีกว่า" น้องกัสนึกสนุก หรืออยากจะซน ส่วนยายหวังก็ซนกว่าที่ผมคิดจริง ๆ ตัวเล็ก ๆ แต่ปีนต้นไม้กันเก่ง ผมกับไอ้หวังและไอ้ฌอง รอเก็บลูกแอปเปิลอยู่ข้างล่าง เราเก็บแอปเปิลมาได้มากมาย ทั้งสีเขียว สีเหลืองและสีแดง เหมือนเขาปลูกทิ้ง ๆ ไว้ให้นกกามันกิน กลิ่นหอมของแอปเปิลสุกที่หล่นอยู่ใต้ต้นหอมฟุ้งไปหมด
"เปรี้ยวชะมัด" ผมกัดไปคำนึงก็ต้องบ้วนทิ้ง ทำตาปี๋ เมื่อลองกัดแอปเปิลเขียวลูกเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง เพราะน้องกัสลองให้ผมชิม
"เอาไปยำดีไหม ไม่ได้กินอาหารไทยนานแล้ว" น้องกัสเสนอ และมื้อเย็นวันนั้น น้องกัสกับยายหวังก็ไปซนกันอยู่ในครัว ปล่อยให้สามหนุ่มคือผม ไอ้เปาไอ้ฌอง ช่วยตาลุงเจ้าของฟาร์มต้อนวัวต้อนแกะกลับเข้าคอก เหนื่อยไม่ใช่เล่นแต่ก็สนุกดีเหมือนกัน
มื้อเย็นแสนอร่อย มีไก่อบตัวโต ๆ พายแอปเปิลหอมฟุ้งที่มีไส้แอปเปิลแน่น ๆ จนทะลัก เอสการ์โกต์แบบพื้นบ้าน ราตาตุยที่มีเพียงผักและน้ำซอส แต่มันอร่อยชะมัด และอาหารหน้าตาแปลก ๆ ที่ผมไม่รู้จักอีกสองอย่าง มันเลยเป็นมื้อเย็นที่สมบูรณ์แบบ
แต่ที่ทำให้พวกเราคิดถึงบ้านมากที่สุด ก็คือยำแอปเปิล หรือจะเรียกว่าส้มตำแอปเปิลก็ได้ ซึ่งกินแล้วมันคืออาหารไทยเราจริง ๆ ถึงเครื่องปรุงจะไม่ครบ แต่ก็ได้รสจัดจ้าน เปรี้ยว หวาน เค็ม ขนาดที่ยายป้าเจ้าของฟาร์ม ซึ่งให้เกียรติมาร่วมโต๊ะกับเราด้วย ต้องตักไปกินถึงสองจานแล้วก็ถามสูตรจากน้องกัสเป็นการใหญ่
"กินแล้วคิดถึงบ้านไหมเฮียเกี๊ยว?" น้องกัสถาม ขณะที่เรานั่งกินอาหารกันที่โต๊ะตรงข้างบ้าน
"บ้านไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน ถ้าอยู่กับน้องกัสไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เฮียก็เหมือนอยู่บ้านตลอดเวลานั่นแหละ" ผมตอบและมองน้องกัสที่อมยิ้มจนแก้มตุ่ยและมองผมด้วยหางตา
"เฮียก็ปากหวานตลอด"
"ชิมไหม?" ผมว่าและยื่นหน้าจะไปจูบแต่น้องกัสก็ถอยตัวหนี
โต๊ะอาหารซึ่งเป็นโต๊ะใหญ่ทำจากไม้ซุงแผ่นโต ๆ ปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว อาหารถูกรายเรียงในจานสีตุ่น ๆ ใบใหญ่ ๆ มีแจกันใส่ดอกไม้ซึ่งเป็นพวกดอกหญ้าที่เก็บได้จากทุ่งหญ้า และเมื่อมันเริ่มมืด ก็มีเทียนไขจุดจนมีแสงสว่างไสววามแวม ลมพัดมาเย็น ๆ กำลังสบาย แต่ก็อดจะทำให้เย็นผิวบริเวณต้นคอ น้องกัสจึงต้องขยับตัวมาแนบชิดเพื่อให้ผมกอดเพิ่มความอุ่น
จะเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายอบอุ่น ก็ต้องดื่มไวน์พื้นบ้านเพื่อเพิ่มอุณหภูมิอีกหน่อย วิทยุเครื่องโตแบบโบราณถูกตาลุงเอามาเปิด แน่นอนว่าผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่เพลงที่เปิดมันเพราะและเข้ากับบรรยากาศแสนโรแมนติก เพลง La via en rose ดังจนผมนึกถึงงานวันแต่งงานริมทะเลของเราอีกแล้ว น้องกัสอมยิ้มแก้มแดงจัด และมองผมอย่างลึกซึ้ง
ผมแทบจะแยกไม่ออกว่าท้องฟ้าที่มืดมิดที่สุด กับดวงตาของน้องกัสตรงหน้า สิ่งไหนมันลึกล้ำกว่ากัน น้องกัสไม่พูดไม่จา แต่ดึงผมไปตรงลานโล่งข้าง ๆ และกอดผมจนแน่น และเราค่อย ๆ โยกย้ายร่างกายไปตามเสียงเพลง แก้มของน้องกัสแนบซบที่อกของผมและปลายจมูกของผมก็จมอยู่กับกลุ่มผมแสนนุ่ม ผมรักน้องกัสเหลือเกิน รักอย่างลึกซึ้ง และเมื่อเราจูบกัน คราวมันไม่ได้หวานอย่างทุกที แต่มีรสเปรี้ยวจี๊ด ของแอปเปิลเขียวซ่อนอยู่ แต่มันก็อร่อยอยู่ดี ผมเหลือบมองหางตามองดูคนอื่น ลุงกับป้าเจ้าของฟาร์ม ก็ลุกมาเต้นรำเหมือนกัน ตามด้วยไอ้เปาและยายหวังที่ลุกมาเต้นรำกับพวกเราตามมาติด ๆ บรรดาคนงานในสวนที่พากันออกมาเต้นรำด้วยกันใต้แสงดาว ผมรู้สึกว่าโลกมันสวยงามและโลกใบนี้มันน่าอยู่เหมือนเป็นสวรรค์ เหลือแต่ไอ้ฌองแล้ว ที่ไม่มีคู่เต้นรำสมน้ำหน้ามึง
แต่ฟ้าไม่ได้ใจร้ายกับไอ้ฝรั่งคนนี้นัก หลานสาวตัวน้อยของคนงาน จูงมือไอ้ฌองออกมาเต้นรำด้วย และเมื่อเพลงหวานซึ้งจบลง มันก็ถูกตัดอารมณ์ด้วยเพลงภาษาฝรั่งเศสจังหวะสนุก ๆ จนพวกเราชักสนุก แต่ยายหวังก็ทำเอาพวกเราหัวเราะ เพราะหล่อนเปิดเพลงจากโทรศัพท์เสียงดังลั่น เปิดเพลงลูกทุ่ง ขอใจเธอแลกเบอร์โทร เอาล่ะคราวนี้ฝรั่งก็ฝรั่งเถอะ แข่งกันเต้นไม่ยอมแพ้กันเลย
"เฮียเมื่อยขาแล้ว เรากลับไปนอนกันดีกว่า" ผมกระซิบบอกและเราก็ค่อย ๆ เลี่ยงความสนุกข้างนอก อยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้องพักเล็ก ๆ แต่แสนอบอุ่น
ในห้องพักแขกขนาดเล็กกระทัดรัด มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ทำเอง น่าจะทำจากไม้สน รวมไปถึงตู้โต๊ะต่าง ๆ แต่พวกมันถูกคลุมไว้ด้วยผ้ามัสลินสีขาว รวมไปถึงผ้าลูกไม้ถักแสนหวานอะไรจะดีไปกว่านี้ ยิ่งในห้องนอนกลับหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของแอปเปิลสุกซึ่งมันส่งกลิ่นหอมตามธรรมชาติออกมาจนบรรยากาศแสนหวาน พวกมันถูกกองอยู่จนล้นตระกร้าบนโต๊ะเตี้ย ๆ ที่มุมห้อง ผมเคยได้ยินมาว่าผลไม้ถูกวางประดับในห้องเพื่อให้กลิ่นหอม เพิ่งจะได้เห็นกับตาในวันนี้เอง คงจะเป็นแอปเปิลที่พวกเราเก็บมาตั้งมากมายเมื่อเย็นสินะ
"เฮียรักน้องกัส" ผมกระซิบและกอดเอวน้องกัสจนแน่น เราจูบกันอย่างแสนหวาน และแม้อากาศข้างนอกจะเริ่มจะเย็นลงทีละน้อย แต่อากาศในห้องพักห้องน้อยกำลังเริ่มอุ่นและมีทีท่าว่าจะเร่าร้อนมากขึ้นทุกที