ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

Delicious - 12 มะระ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Delicious

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

Delicious  โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง


และรสอร่อยที่เราโปรดปรานก็นำพาเราให้ย้อนนึกถึงความหวังในครั้งอดีตได้ด้วย

เมนูไหนเป็นเมนูโปรดของคุณกันนะ

สารบัญ

Delicious -1 สปาเกตตี,Delicious -2 ปลาเค็ม,Delicious -3 ไก่ต้ม ไก่ย่าง ไก่ทอด,Delicious -4 ไข่เจียว แกงจืด,Delicious -5 แกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่,Delicious -6 ต้มยำ,Delicious -7 ข้าวเหนียว หมูปิ้ง,Delicious -8 ลาบหมู,Delicious -9 ขนมปังหน้าหมู,Delicious -10 สังขยา,Delicious -11 แอปเปิล,Delicious -12 มะระ,Delicious -13 หัวไชเท้า หัวไชโป๊ว,Delicious -14 ส้มตำ,Delicious -15 กล้วย,Delicious -16 ผักบุ้ง,Delicious -17 มะเขือ,Delicious -18 ซีอิ๊ว,Delicious -19 ปลากระป๋อง,Delicious -20 ขนมจีน,Delicious -21 แตงโม,Delicious -22 ฟักทอง,Delicious -23 แหนม,Delicious -24 ดอกโสน,Delicious -25 ปลาทู,Delicious -25 หมูหวาน,Delicious -26 มะพร้าว,Delicious -27 ทุเรียน ขนุน สาเก,Delicious -29 ขาหมูเยอรมัน,Delicious -30 น้ำพริกไข่ปู

เนื้อหา

12 มะระ

โดย  Chavaroj



"อึ๋ย...กินเข้าไปได้ยังไงวะ" เสียงของหมึกโวยวายเมื่อหลังจากที่เราไปเดินหาซื้อของกินจากตลาดนัดข้างมหาวิทยาลัย ผมซื้อน้ำพริกมาพร้อมกับผักลวกหนึ่งถุงโต ๆ เพราะเราต้องแบ่งกันกินสามคน มีผม หมึกและกัสจัง

"อะไรของมึงอีหมึก อีหม่อมน้ามึงซื้ออะไรมากิน?" เสียงของกัสที่กำลังเทแกงใส่ชามใบโตถามโดยไม่ได้หันหลังมอง

"ก็อีหม่อมน้าแม่งซื้อมะระขี้นกมากินกับน้ำพริกเยอะม๊าก แดกกันขี้เขียวไปเลยค่ะสาว" หมึกพูดอีกพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ ๆ จานผักต้ม อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีมะระขี้นกเยอะขนาดนั้น มีผักอื่น ๆ อีกตั้งเยอะ ผมตักมาแค่พอกินเท่านั้นแหละ เพราะรู้ว่าคนอื่นไม่กินแน่ ๆ

"หวานเป็นลมขมเป็นยาไงหมึก" ผมพูดเสียงอ่อน ๆ พร้อมกับความอ่อนใจนิด ๆ ของเพื่อน ๆ ของผมที่ชอบเล่นใหญ่

"มึงกินอาหารเหมือนคนแก่เลยว่ะอีหม่อมน้า เหมือนที่เขาว่าอะไรนะ กินของขม ชมสาว ๆ เล่าความหลังใช่มะ" กัสจังพูดแล้วก็หันไปหาหมึกเพื่อขอการสนับสนุน 

"ทำไมมึงกินมะระเป็นวะอีน้า กูคนนึงล่ะไม่เอ๊าไม่เอา กินได้นะแต่ไม่ชอบว่ะ" หมึกว่าและผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ขยับแว่นตานิดหน่อย จะเถียงออกไปว่าผมก็ไม่ได้ซื้อมาให้ทั้งสองคนกินสักหน่อยมะระขี้นกพวกนี้ผมจะกินเอง ผักอื่นๆ มีอีกตั้งเยอะก็กินไปสิผมไม่ได้ว่าอะไรเลยสักนิด

สาเหตุที่ผมชอบกินมะระ ซึ่งจริง ๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้เอร็ดอร่อยเท่ากับกุ้งหอยปูปลาอะไรก็จริง แต่ผมชิน และนึกชอบใจตั้งแต่เด็ก ตอนที่คุณแม่สอนให้ผมกินผัก 

"ณรงค์กินผักเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ นะคะ ผักมีประโยชน์ มีวิตามินและเกลือแร่ แถมยังมีใยอาหาร ทำให้เราท้องไม่ผูก ลูกรู้ไหม คนที่ไม่กินผักจนท้องผูก พอนาน ๆ ไป จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ทีเดียวนะ" คุณแม่สอนผมอย่างนั้น ผมก็เลยทั้งกลัว แล้วก็อยากจะโตไว ๆ ด้วย นั่นคือความทรงจำของผมในวัยเด็ก จริง ๆ ไม่ใช่แค่มะระหรอก ผักอะไรผมก็ชอบกินเกือบทั้งนั้น

พวกเราสามคนกินข้าวด้วยกันเกือบทุกเย็น หรือในบางครั้ง เปาเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนของกัสจังก็จะมากินอาหารกับพวกเราด้วยเพราะห้องอยู่ตรงกันข้ามกัน สาเหตุที่พวกเรามาเช่าหออยู่ด้วยกันที่นี่ก็เพราะกัสชักชวน เพื่อความสะดวก ความสะอาด และอีกร้อยแปดเหตุผล ซึ่งดีกว่าการอยู่กับคนแปลก ๆ ที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อนที่หอใน

เมื่อกัสจังชวนผมมาเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ผมก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะโดนดุเรื่องที่ต้องจ่ายค่าหอเพิ่มจากเดิม เพราะตอนอยู่หอในค่าใช้จ่ายมันถูกกว่า 

ในพวกเราสามคน ผมมักจะเป็นคนฟัง และเป็นลูกคู่คอยหัวเราะ หรือบางทีก็จะรับบทผู้ถูกกระทำบ้างเพราะเถียงสู้กัสจังกับหมึกไม่ได้ ผมอาจจะเป็นคนพูดช้าคิดช้า  แล้วยิ่งทั้งสองคนโดยเฉพาะหมึกที่ชอบพูดคำหยาบคายได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจ ก็ออกจะทำให้ผมประดักประเดิกในช่วงแรก ๆ สักหน่อย ผมน่ะฟังได้แต่ให้พูดคำอะไรพวกนั้นผมก็ทำใจพูดไม่ได้สักคำ เพราะผมโดนสอนมาตั้งแต่เด็กว่าการพูดคำหยาบคายนั้นไม่ดี

"อีหม่อมน้า พรุ่งนี้มึงกลับบ้านป่ะ?" หมึกถามจะด้วยความเป็นห่วงหรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ผมก็เลือกจะตอบว่าไม่กลับ ผมชอบอยู่ที่นี่และถ้าพูดกันตามจริง การที่วันหยุดมีแค่ผมอยู่ในห้องพักคนเดียว มันอาจจะเหงาสักหน่อย แต่ผมก็รู้สึกสบายใจดี 

ในวันหยุดที่เพื่อน ๆ พากันกลับบ้าน ผมก็จะตื่นแต่เช้า เพราะไม่มีเรียน เดินไปตลาดข้าง ๆ มหาวิทยาลัย ซื้อของกินนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ตักบาตรทำบุญ หลังจากนั้นก็หาอะไรกินในตลาดนั่นล่ะ หรืออาจจะซื้อติดมือมากินตอนเที่ยงด้วยเลยจะได้ไม่ต้องเดินตากแดดร้อน ๆ ไปหาอะไรกินตอนเที่ยง

แล้วผมก็จะค่อย ๆ ทำความสะอาดห้องไปเรื่อย ๆ เปิดเพลงเพราะ ๆ ฟังไม่ต้องรีบร้อน และตรงนี้กระมังที่มันทำให้ผมสบายใจ เสื้อผ้าที่ยังค้างการซัก ก็จัดการเอามาซักให้สะอาด ตากผ้าที่ระเบียงให้ผ้าได้แดดจนหอม จากนั้นก็อ่านหนังสือ หรือทำรายงานตามที่อาจารย์มอบหมาย

และถ้านึกครึ้มผมก็จะหาเรื่องไปเดินเล่นที่ชายทะเล ถึงน้ำทะเลจะไม่ใส และผมก็ไม่อยากตัวเปียก แต่การเดินรับลมเย็น ๆ ฟังเสียงคลื่นซู่ซ่า มันก็เป็นการทำให้ใจของผมผ่อนคลายอย่างประหลาด พอฟ้าชักจะมืดสักนิด ก็หาอะไรรองท้องก่อนนอนแล้วก็กลับห้อง วันอาทิตย์ผมก็จะทำกิจวัตรคล้าย ๆ วันนี้เพียงแต่เปลี่ยนจากการซักผ้าเป็นรีดผ้าแทน เป็นอย่างนี้มาชั่วนาตาปี แล้วแต่ช่วงเวลาว่าวันนั้นผมอยากจะทำอะไร

"หม่อมน้าเราเอาขนมมาฝาก ย่าเป็นคนทำน่ะอร่อยนะ ลองชิมสิ" กัสจังเจอผมตอนเช้าก่อนเข้าเรียน กัสจังใจดีและชอบเอาขนมมาฝากเพื่อน ๆ เสมอ บางครั้งผมก็นึกอิจฉา ที่เพื่อนคนนี้ ถูกประคบประหงมราวกับไข่ในหิน จะกลับบ้านหรือจะกลับมาเรียน ต้องมีคนขับรถมารับมาส่งตลอด

"จริง ๆ กูก็อยากกลับเองนะอีหม่อมน้า แต่พ่อกับแม่แล้วก็พี่ ๆ ก็ไม่ยอมน่ะ คงกลัวกูหลงทางแหละ  หรืออาจจะกลัวกูโดนคนเอาไปตัดมือตัดตีนแล้วก็เอาไปนั่งขอทานที่สะพานลอย นึกว่ากูเป็นเด็กสามขวบล่ะมั้ง" กัสจังพูดอย่างปลง ๆ แต่ผมว่าก็น่าจะอบอุ่นดี ผมเคยเจอพ่อกับแม่ของกัสจังหลายหน ทั้งสองท่านใจดี แล้วยังเผื่อแผ่ความใจดีมาถึงเพื่อน ๆ ของลูกอีกด้วย กัสจังโชคดีชะมัด แต่ผมไม่ได้อิจฉาเพื่อนนะ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองจะโดนดูแลอย่างนั้นผมก็คงจะอึดอัดนิด ๆ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมกับกัสจังค่อนข้างสนิทกัน เพราะผมเข้าใจความอัดอัดใจของกัสจังดี

สาเหตุที่กัสจังเลือกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยริมทะเล ก็เพราะว่า เจ้าตัวเบื่อที่จะต้องอยู่ในอาณัติของพ่อแม่ ซึ่งคอยห่วงดูแลกัสจังเหมือนเจ้าตัวเป็นเด็กเล็ก ๆ ต้องคอยรับคอยส่ง คอยโทรศัพท์ตามหา เรียกว่าต้องอยู่ในสายตาตลอด 

"กูเก๊าะเลยเลือกมาเรียนที่นี่ซะเลย ตอนแรกโดนด่าแทบตายแน่ะ" กัสจังพูดพร้อมกับยักไหล่  แต่เอาเข้าจริง ๆ พอกัสจังมาเรียนที่นี่พวกเราก็ไม่เคยจะนอกลู่นอกทางกันเลยสักนิด อาจมีบ้างที่หนีไปซุกซน ตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มหมึกก็จะหาวแล้วก็ชวนพวกเรากลับห้อง เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งนั้นไม่ต้องห่วง พวกเราไม่สนใจเด็ดขาด กัสเป็นเด็กเรียน เรียนเก่งมาก ๆ หมึกก็เป็นคนโวยวายเสียงดังเฮฮาสนุกสนานและค่อนข้างจะนักเลงนิด ๆ ส่วนผมก็เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ทำตัวให้โดดเด่น ก็เลยไม่ค่อยจะสนิทสนมกับใครมาก เห็นจะมีแค่เปาที่พอจะทนความแปลก ๆ เลยยอมมาคบกับพวกเราเป็นเพื่อน แต่เปาก็เป็นสายแอคทีฟ สนุกอยู่กับการออกกำลังกาย เรียกว่าไลฟ์สไตล์ต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง

"อีหม่อมน้าอย่าเพิ่งแดกหมด เหลือให้กูด้วยค่ะ" เสียงของหมึกตะโกนมาแต่ไกลแล้วก็กระโดดมานั่งข้าง ๆ ผมหยิบขนมแสนอร่อยจากฝีมือคุณย่าของกัสเคี้ยวหยับ ๆ จนผมต้องมองค้อน

"มองอะไรอีหม่อมน้า เดี๋ยวกูตบตาหลุด" แน่ดุเสียด้วย

ทั้งสองคนชอบเรียกผมว่าหม่อมน้า แรก ๆ ฟังดูก็นึกฉิวหน่อย ๆ แต่พอฟังบ่อย ๆ ก็ชิน และออกจะตลก แน่นอนว่าคนริเริ่มเรียกผมแบบนี้ย่อมเป็นหมึกผู้แสนปากไว ที่เขาเรียกผมหม่อมน้าก็เพราะมีสาเหตุ

เนื่องจากพ่อของผมเป็นหม่อมหลวง ซึ่งจริง ๆ หม่อมหลวงก็ถือว่าเป็นสามัญชนแล้วนั่นแหละ ครั้นถึงรุ่นของผมก็จะเกือบจะกลายเป็นสามัญชนจริง ๆ เพราะเป็นนายแล้ว ที่บัตรประชาชนของผมจึงระบุชื่อ นาย ณรงค์วิทย์ แต่ตรงท้ายนามสกุลของผมนี่น่ะสิ ที่ติดคำว่า ณ อยุธยา ตามมาด้วย 

ด้วยเหตุนี้ก็เลยเป็นหม่อมน้าของเพื่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมว่าชื่อ ณรงค์วิทย์ ของผมก็ไม่เลวร้าย แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่มีปัญญาจะไปเถียงอะไรสองคนนั้นทันหรอก เรียกหม่อมน้า ๆ กันไป กลายเป็นว่าเพื่อนทั้งคณะก็พลอยเรียกผมว่าหม่อมน้า พลอยฟ้าพลอยฝนไปถึงอาจารย์ที่ก็เรียกผมว่าหม่อมน้าไปด้วย น่าอ่อนใจชะมัด

แต่สำหรับบางคนที่เคยได้ยินฉายาของผมมา แล้วไม่รู้ความจริง เขาก็คงคิดว่า ด้วยท่าทีเนิบนาบ ยิ้มแหย ๆ แว่นตากรอบเข้มหนา กับผมที่ใส่น้ำมันจนเรียบ บุคลิกแบบเด็กเนิร์ด ดูแสนเชย ดูน่าขำใคร ๆ ก็เลยเรียกผมว่าหม่อมน้ากระมัง ผมก็ไม่อยากจะมีบุคลิกอย่างนี้เลยแต่มันก็ฝืนตัวเองไม่ได้ ส่วนเรื่องเส้นผม ถ้าไม่ใส่น้ำมัน หัวของผมจะฟูมาก ๆ ขนาดกัสจังซึ่งนอนห้องเดียวกัน ตื่นมาตอนเช้าเห็นหัวของผมที่มันฟูฟ่อง ยังถึงกับหัวเราะออกมา 

ซึ่งผมก็ไม่ว่ากัสจังหรอก ผมเห็นหัวตัวเองยังขำเลย เพราะผมของผมมันเป็นผมหยักศก และถ้าไม่มีน้ำมันคอยทำให้มันอยู่ตัวมันจะฟูกระจายไปทุกทิศทุกทางคล้าย ๆ หมาจรจัดอย่างไรก็อย่างนั้นทีเดียว

กลับมาที่ผมสนิทกับกัสจัง เพราะผมน่ะก็มีหัวอกเดียวกับกัสจังแต่เป็นในทางตรงกันข้าม ที่ผมเลือกมาเรียนไกล ๆ เพราะผมไม่อยากจะอยู่บ้าน บ้านของผมไม่ใช่ที่ ที่น่าอยู่สักเท่าไร ความทรงจำทั้งดีทั้งร้าย มันมักจะทำให้ผมเศร้าและทางเดียวที่ผมจะหนีออกมาจากที่นั่น โดยไม่มีข้อปฏิเสธก็คือการมาเรียน

ซึ่งใจจริงผมอยากจะไปให้ไกลกว่านี้ จะเป็นเชียงใหม่ หรือขอนแก่น หรือให้ไกลขนาดหาดใหญ่เลยก็เข้าที แต่ผมก็ชอบที่นี่เพราะมันติดทะเล ทะเลทำให้ผมคิดถึงคุณแม่ คุณแม่ที่แสนใจดี ไม่เคยดุ ไม่เคยว่า หรือตั้งความหวังว่าผมจะต้องเป็นใครหรือเป็นอะไรในอนาคตเลย คุณแม่อยากให้ผมเป็นตัวผมที่มีความสุข กินข้าวเก่ง ๆ กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย และตื่นมาอย่างสดใสเท่านั้น

คุณแม่เคยบอกกับผมไว้เช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่คุณแม่จากผมไปไวเหลือเกิน ไวเกินไปเกินกว่าผมจะทำใจรับได้ ผมออกจะแปลกใจที่เมื่อรู้ข่าวว่าคุณแม่เสียชีวิต ผมกลับไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ผมกลายเป็นคนที่แทบจะไม่พูดคุยกับใครเลย แม้แต่กับพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเอง  

แต่ทำนบความเศร้ามันทะลักเหมือนเขื่อนแตก เมื่อวันหนึ่งคุณพ่อพาผู้หญิงที่ท่านบอกว่าจะมาดูแลบ้านของเราแทนคุณแม่ เธอชื่อแขไข หรือที่พวกเราเรียกเธอว่าน้าแข ผมยกมือไหว้อย่างมีมารยาท ผมจะไม่ยอมให้ใครว่ากระทบกระเทียบผมได้เป็นอันขาดว่า เป็นเด็กไม่มีมารยาทเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน 

แต่น้าแขจะชักชวนผมพูดอะไรผมก็แทบจะไม่ตอบคำเธอเลย ตอนนั้นผมหนีเข้าไปในห้องนอน แล้วร้องไห้สุดแรงจนหลับไป ผมไม่เคยรู้ว่า การร้องไห้มันเหนื่อยอะไรอย่างนี้ ผมหมดเรี่ยวแรง แต่มันก็ดีที่ทำให้ความอัดอั้นในหัวใจของผมได้มีที่ระบายออกมาบ้าง ผ่านทางน้ำตา นั่นเป็นสิ่งที่เด็กแปดขวบพอจะหาวิธีทำได้ดีที่สุดก็แค่ ...เท่านั้น

"อีน้า เย็นนี้ไปเดินตลาดนัดด้วยกันนะ วันศุกร์แล้ว หาอะไรทำกินกันดีกว่า" หมึกบอกกับผมและกัสจังยามเที่ยงเมื่อพักกินข้าว และจริง ๆ มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเรามักจะกินอะไรพิเศษ ๆ หน่อยในคืนวันศุกร์ บางทีมีแขกพิเศษคือเปา ซึ่งมักจะซื้อของกินอร่อย ๆ จำนวนมาก ๆ มากินกับพวกเรา

"ทำอะไรกินกันดีล่ะ?" ผมเอ่ยปากถาม ในขณะที่เราเดินในตลาดนัดใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ที่นี่มีขายของสารพัดตั้งแต่ผักสดไปจนถึงเสื้อผ้าสารพัดชนิด

รายการอาหารสารพัดพูดยกขึ้นมาร่าย แต่เมื่อผ่านร้านขายผักสด ผมเหลือบเห็นมะระจีนผลโตมาก ๆ จึงซื้อติดมือมาหนึ่งผลกับผลขนาดเล็กอีกหนึ่งผล กับหมูสับอีกนิดหน่อย เมื่อถึงหอพัก คราวนี้ก็แยกย้ายกันทำกับข้าวเมนูที่ตัวเองอยากกิน หรือกับข้าวที่ซื้อมาเพราะขี้เกียจทำ แล้วก็เอามาแบ่งกันกิน

ผมผ่ามะระลูกเล็กออกเป็นครึ่งผล จัดแจงควักเมล็ดของมันพร้อมทั้งเยื่อสีส้ม ๆ ออกจนหมด จากนั้นก็ผ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาขยำเกลือแล้วก็ล้างน้ำสักน้ำ คราวนี้ความขมก็จะหายไปกว่าครึ่ง จากนั้นก็ตั้งกระทะไฟฟ้า วันนี้กัสจังและหมึกไม่ทำกับข้าวแต่เลือกซื้อกับข้าวสำเร็จมาจากตลาดนัดเลย หมึกหุงข้าวรอไว้แล้ว ส่วนกัสจังก็แกะกับข้าวที่ตัวเองซื้อมาใส่จาน และพยายามจัดเรียงให้สวยงาม

กระทะร้อนพอดีผมก็จัดแจงเทน้ำมันใส่ลงไปนิดหน่อย รอจนร้อนก็ตอกไข่ไก่ใส่ลงไปสักสองฟอง จนไข่เริ่มสุกสัก 50% ก็เอามะระลงไปผัดได้เลย รอจนมะระสุกจนสีใส ก็เติมซีอิ๊ว และน้ำตาลเล็กน้อย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ กัสจังยื่นหน้ามามอง ดมกลิ่นแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าใช้ได้ แล้วก็หยิบขวดพริกไทยเอามาโรยหน้ามะระผัดไข่ฝีมือของผมสักหน่อย 

"อ๊ะ อร่อยแฮะ ใช้ล่าย ใช้ล่าย" หมึกที่ตักไปลองชิม ก็เอ่ยปากชม 

"ไม่ขมหรอ?" ผมถามกลับคนที่เคยตำหนิของขม

"ก็ยังขมนิด ๆ แต่ก็แหลกล่ายฮ่ะ ลีกว่าม่ายมีอาลายแหลก" หมึกพูดล้อจนพวกเราหัวเราะกันเพราะหมึกทำหน้าทะเล้นไปด้วย ผมกลายเป็นคนเส้นตื้นเสมอ เมื่ออยู่กับเพื่อน ทั้งสองคน อาจเพราะชีวิตในวัยเด็กของผมได้หัวเราะน้อยเกินไป พอมีสังคมใหม่ ผมก็มักจะตลกและหัวเราะง่าย เพื่อชดเชยกันล่ะมั้ง

เช้าวันเสาร์ หมึกน่ะกลับบ้านที่ระยองตั้งนานแล้ว ส่วนกัสจังแต่งตัวอย่างเรียบร้อยรอใครมารับกลับบ้าน ส่วนผมก็ทำโน่นทำนี่ไปตามประสา เมื่อโทรศัพท์ของกัสจังดัง ผมก็เลยถือโอกาสลงไปส่งกัสจังเสียเลย แล้วจะได้เลยไปหาอะไรกินในตลาดด้วย

จนใกล้มื้อเที่ยง ผมมีของติดมือมานิดหน่อย นึกอยากจัดการมะระที่เหลือ และมันน่าจะกินได้จนถึงพรุ่งนี้เช้า เพราะลูกโตเหลือเกิน เมื่อถึงห้อง ผมก็จัดการเอาหมูสับที่ซื้อมาผสมกับพริกไทย เกลือ และสับกระเทียมและรากผักชีที่ซื้อมากำเล็ก ๆ ใส่มันให้หมดนี่ล่ะ จากนั้นก็ล้างมะระ หั่นเป็นท่อน ๆ นำหมูสับยัดไส้เข้าไป จากนั้นก็เอาไปต้ม ใส่เกลือไปด้วย ต้มด้วยไฟอ่อน ๆ อยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเปิดฝาเห็นมันสุกก็ปิดไฟ และหมั่นช้อนฟองที่ลอยออก แต่มีข้อแม้ว่าห้ามคนเป็นอันขาดไม่อย่างนั้นน้ำแกงก็จะกลายเป็นยาหม้อดี ๆ นี่เอง

อาหารมื้ออร่อยของผม มีแกงจืดมะระ กับไข่เค็ม เท่านี้ก็เอร็ดอร่อยมากพอแรง ถ้าคุณแม่ยังอยู่ก็คงจะกล่าวชมผมเป็นการใหญ่ ผมลองทำแกงจืดมะระจากความทรงจำ เพราะเคยซุกซนไปนั่งดูคุณแม่ทำกับข้าวในครัวบ่อย ๆ แต่ไม่ได้จับอะไรสักอย่าง นั่งดูและซักถามอย่างอยากรู้อยากเห็น 

ความทรงจำในห้องครัว คุณแม่กับพี่สาวของผมจะทำอะไรให้ง่วนไป เสียงสับหมู เสียงของตะหลิวที่กระทบกับกระทะ หรือเสียงเดือดปุด ๆ ของแกงในหม้อใบเก่ง รวมไปถึงกลิ่นฉุนจนต้องจามออกมาดัง ๆ เมื่อคุณแม่ผัดอะไรสักอย่างซึ่งดูจะเผ็ดร้อน อันเป็นของโปรดของคุณพ่อ 

หรือกลิ่นหอมหวนของน้ำแกงจืดสารพัดอันเป็นของโปรดของผม แน่นอนว่าต้องมีผักเยอะ ๆ เพราะผมเป็นคนชอบกินผัก  และแน่นอนว่าผมมักจะถูกชื่นชม เมื่อเห็นว่าผมเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ และตอนนี้กลิ่นแกงจืดมะระ ฝีมือของผมเอง ก็ทำให้ผมรำลึกถึงความหลังได้ราวกับเห็นภาพนั้นได้ชัดเจน เหมือนกลับไปอยู่ตรงนั้น วันเวลาอันแสนมีความสุข

จริง ๆ แกงจืดของผมยังติดรสขม แต่มันไม่ขมขื่นหรือปร่าลิ้น ผมว่ามันเป็นรสชาติติดตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของมะระ ถ้ามะระเกิดเปลี่ยนไปเป็นรสอื่นเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่ใช่มะระแล้วล่ะ

ผมกินอาหารไปด้วยหยิบหนังสือมาอ่านไปด้วยพลาง ๆ โชคดีที่ผมกลับบ้านไปคราวก่อน ขนหนังสือของคุณแม่ติดมือมาด้วยตั้งหลายเล่ม วันหยุดคราวนี้ของผมเลยค่อนข้างจะเพลิดเพลิน เพราะหนังสือที่ติดมือมามันช่างแสนสนุกและอ่านได้อย่างวางไม่ลงเลยทีเดียว

ผมเป็นหนอนหนังสือเหมือนคุณแม่ และสามารถอ่านหนังสือได้ข้ามวันข้ามคืน ไม่มีเบื่อเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งผมก็ผลัดเปลี่ยนไปเล่นโทรศัพท์มือถือบ้าง แต่ผมไม่ค่อยจะได้ยุ่งกับมันเท่าไร สำหรับผมมันเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร ก็เท่านั้น และคนที่ผมจะสื่อสารด้วยก็มีน้อยแทบจะนับนิ้วได้

เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู กัสจังโพสต์อาหารจานโตที่แสนน่ากินของที่ร้านอีกแล้ว ส่วนหมึกก็โพสต์บ่นอะไรไปเพ้อเจ้อ ผมไถหน้าจอดูโน่นดูนี่อีกนิดหน่อยก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เลยจะวางมันเพื่ออ่านหนังสือต่อ

ก็ให้พอดีมีสายเรียกวิดีโอคอลมาจากพี่สาวของผมพอดี

"ว่ายังไงจ๊ะ ทำอะไรอยู่?" พี่สาวของผมยิ้มทักทายส่งยิ้มหวาน อย่างใจดีอยู่เสมอ

"กำลังอ่านหนังสืออยู่จ๊ะ" ผมตอบพร้อมกับหันหน้ากล้องไปที่หน้าปกหนังสือให้พี่สาวของผมดู

"เอามาจากบ้านรึ?" เธอถามและผมก็พยักหน้าตอบรับ

"เมื่อเย็นกินอะไร?" พี่สาวของผมชอบโทรมาคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างนี้วันละนิดวันละหน่อย ซึ่งมันก็ยังดี เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก ยังมีคนซึ่งสายเลือดเดียวกันสนใจผมอยู่อีกคน

"เค้าทำแกงจืดมะระยัดไส้ล่ะ อร่อยใกล้เคียงกับแม่ทำเลยนะ แล้วตัวล่ะ กินอะไรหรือยัง?" ผมถามกลับและพี่สาวของผมก็ทำหน้าประหลาดใจ

"ทำเองเลยเชียวหรือ เก่งจังนะ ว่าแต่อร่อยหรือต้องเททิ้งกันล่ะ" เธอเย้า

"อร่อยสิ เค้ากินเกือบหมด เหลืออีกหนึ่งชิ้นเอาไว้กินตอนเช้าพรุ่งนี้ ตัวยังไม่ตอบเค้าเลยว่าตัวกินอะไรหรือยัง?" ผมกลับซักพี่สาวแทน

"กินแล้วจ๊ะ กินมะระผัดไข่ เค้าทำเองเหมือนกัน เอามะระไปเคล้าเกลือ แล้วบีบจนน้ำขม ๆ ออกก่อนนะ แล้วค่อยเอาไปผัด" พี่สาวของผมสวมบทคุณครูอีกแล้ว

"บังเอิญจริง เมื่อวานเย็นเค้าก็ทำมะระผัดไข่กินเหมือนกัน ทำตามสูตรที่คุณแม่ทำเลย อร่อยด้วยนะ กัสจังกับหมึกกินกันตั้งหลายคำแน่ะ" ผมโอ้อวด

"เขากินไข่หรือเปล่ายะ?" พี่สาวของผมเย้าอีก

"กินทั้งไข่ทั้งมะระนั่นแหละ" ผมตอบกลับแบบงอนนิด ๆ จนเธอหัวเราะออกมา เราคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย แล้วก็วางสายกันไป ผมอมยิ้ม นึกถึงพี่สาวคนเดียวของผมชะมัด จริง ๆ ในคอของผมมันติดเหมือนมีก้อนอะไรมาขวางผมอยากจะถามคำถามว่า คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมก็เลือกจะกลืนคำถามนั้นลงคอไปจะดีกว่า

พอขยับตัวก็รู้สึกเมื่อยหลังเป็นกำลังครั้นหันไปมองนาฬิกานี่ผมอ่านหนังสือเพลินจนเย็นอีกแล้ว ผมก็เลยจัดแจงล้างหน้าล้างตา สวมหมวกแก๊บเพื่อปิดบังผมยุ่ง ๆ แล้วเดินไปตลาดเพื่อหาอะไรเพิ่มเติมและดูผู้คนบ้าง นึกอยากมองอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำ ผมก็เลยซื้อลูกชิ้นปิ้ง ไปนั่งกินที่ข้าง ๆ สนามฟุตบอลเสียเลย

รอจนฟ้าเริ่มมืด ผมจึงกลับห้องพัก อาบน้ำให้สบายตัวแล้วก็อ่านหนังสือต่อ ราว ๆ สามทุ่มผมก็ชักจะง่วงนอน จัดแจงนั่งพับเพียบให้ดี ยกมือขึ้นพนม พื้น ๆ ที่ผมสวดมนต์ก่อนนอน ก็จะเป็นอิติปิโส ตามด้วยการแผ่เมตตาแต่ถ้าเป็นวันพระก็จัดชุดใหญ่กว่านี้สักหน่อย อ่านเอาตามหนังสือบทสวดมนต์ที่มีติดอยู่ตรงหัวนอน สวดมนต์อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นอนหลับไป 

นึกอยากให้ถึงพรุ่งนี้เช้าไว ๆ กัสจังกับหมึกจะมาถึงมหาวิทยาลัยในตอนเช้า ผมจะได้พูดคุยกับเพื่อนรักสองคนให้หายคิดถึงเสียที