ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"อีหม่อมน้า มึงจะซื้อมาทำลิงอะไรเยอะแยะ" หมึกเห็นผมหอบถุงผักมาซึ่งบรรจุหัวไชเท้าเยอะแยะก็ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย
"น้าซื้อมาทำอาไร๊ กี่ปีถึงจะกินหมดล่ะนั่น" ดูเอาเถอะแม้แต่กัสจังก็ทำหน้าแปลก ๆ เมื่อเห็นของในมือของผมอีกคน
"เอาไปทำอาหารไง" ผมตอบ และนึกหมั่นไส้พอที่จะค้อนเพื่อนทั้งสองคน ผมรู้แหละว่าทั้งสองคนไม่ได้จะจริงจังกับการซื้อพืชผักไปทำอาหารของผมนักหรอก ขอแค่ได้โวยวายไปอย่างนั้นแหละ เพราะเห็นทำทีไรก็กินกันเอร็ดอร่อย หรือถึงทั้งสองคนจะไม่กิน ก็ไม่เป็นไร ผมกินของผมคนเดียวก็ได้เพราะผมชอบกินผักอยู่แล้ว ไม่เห็นจะง้อเลย
"ตัวน่ะเป็นคนดื้อรู้ไหม ดื้อตาใส ดื้อเงียบ" พี่สาวของผมเคยบ่นกับผม และบ่นอย่างนี้มาตั้งแต่ผมยังเด็ก แต่ผมก็รู้ตัวนะผมนี่มันดื้อเงียบจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะหนีมาเรียนที่นี่ได้อย่างไร พ่อที่ดุแสนดุ สุดท้ายก็ยังต้องยอมตามใจผม
หัวไชเท้านั้นมันมีกลิ่นเฉพาะตัว กลิ่นฉุนประหลาด ซึ่งผมว่ามันก็เป็นเอกลักษณ์ดี จากหนังสือมากมายของคุณแม่ซึ่งแน่นอน คุณแม่ของผมนั้นทำอาหารเอร็ดอร่อยได้สารพัด หนึ่งในสาเหตุก็คือ หนังสือสอนทำอาหารมากมายซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่ผมยังไม่ค่อยได้สนใจเอามาอ่านสักเท่าไร ผมยังไม่มีอารมณ์กับอะไรแบบนั้น เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้ผมจะสนุกกับนิยาย หรือหนังสือวรรณกรรม ชนิดต่าง ๆ จากตู้หนังสือของคุณแม่
วรรณกรรมทั้งไทยและวรรณกรรมแปล มีทั้งไทยจีนและฝรั่ง สามก๊กเป็นชุด ๆ ไปจนถึงฮ่องสินปกแข็งเดินทอง นิยายเรื่องยาวล่องไพร และเพชรพระอุมา วรรณคดีโบราณ อย่างพระอภัยมณี หรือรามเกียรติ์ มีอีกมายมายจาระไนไม่หมด แต่มันเต็มตู้ซึ่งปิดกระจกป้องกันฝุ่นไว้เป็นอย่างดี หนังสือเหล่านี้ ผมถือว่ามันเป็นมรดกที่คุณแม่มอบให้ผมและพี่สาว..เท่านั้น ...คนอื่นไม่เกี่ยว
กลับมาที่หัวไชเท้า เท่าที่จำได้ มันคือพืชตระกูลผักกาด แต่เราจะเอาหัวของมันมาทำอาหาร ของไทย ๆ เราเท่าที่พอจะนึกเมนูออก ก็เห็นจะเป็นแกงจืด หรือใส่แกงส้ม แต่ก็เคยได้ยินมาว่าคนต่างจังหวัดจะเอาหัวไชเท้าต้นอ่อน ๆ ที่หัวของมันยังเล็ก ๆ ประมาณนิ้วชี้หรือนิ้วก้อย นำมากินกับนำพริกปลาร้า กินเป็นผักสด กันนี่ล่ะ แต่ผมก็ยังไม่เคยลองสักที เพราะในตลาดก็เห็นแต่หัวไชเท้าหัวโต ๆ
หรือที่ตอนนี้นิยม ก็คือเอามาดอง ทำเป็นกิมจิ ซึ่งมาฮิตเอาช่วงซีรีส์เกาหลีหลั่งไหลมาฮิตที่เมืองไทยของเรา และเรื่องแรกที่ทำให้ฮิต ก็คือเรื่องแดจังกึม ซึ่งก็เป็นเรื่องของนางเอกแสนรันทน ชื่อว่าซอจังกึม เข้ามาในวังเพื่อเป็นนางใน ไต่เต้าเพื่อมุ่งสู่ตำแหน่งซังกุงสูงสุด แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งจนกลายเป็นหมอหญิง แต่ตอนจบของเรื่องจะเป็นอะไร ก็สุดจะจำเพราะผมลืมเสียแล้ว เพราะมันยาวเหลือเกิน และนางเอกก็โดนกระทำร้ายกาจมากจนผมอ่อนใจ
อีกอย่างที่หัวไชเท้าเอามาทำอาหารก็คือการผ่านการแปรรูปจนเป็น หัวไชโป๊ว ซึ่งหลัก ๆ ที่ผมเคยเห็นก็มีสองแบบคือแบบเค็มและแบบหวาน ลักษณะที่เคยเจอส่วนใหญ่แบบหวานมักจะเป็นดุ้น ๆ มาเลย เหี่ยว ๆ หน่อยและมีกลิ่นฉุน ลักษณะอีกแบบคือเป็นเส้น ๆ ฝอย ๆ
ซึ่งก็จะเอามาทำกับข้าวได้สารพัดอีกเหมือนกัน เช่นเอามาผัดไข่ หรือเอามาใส่แกงจืดต้มกับถั่วลิสง ต้มเคี่ยวนาน ๆ ใส่ซี่โครงหมู อร่อยชะมัด
หรือที่เคยเห็นเขากินแบบสด ๆ ก็คือหัวไชเท้าฝอยซึ่งกินคู่กับอาหารญี่ปุ่นพวกซูชิ หรือซาซิมิ แต่นั่นมันแพงผมเคยกินตอนเด็ก ๆ โน่น โตแล้วไอ้ซูชิคำละห้าบาทสิบบาทในตลาดนัด มีโชยุกับวาซาบิปลอม ไม่มีไชเท้าฝอยให้กินแกล้มแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น หมึกก็ชอบซื้อมากินซื้อสิบชิ้นแถมหนึ่งชิ้น ที่ตลาดนัด และเราก็แบ่งกันกินโดยให้หมึกซึ่งเป็นผู้ซื้อได้กินเยอะกว่าคนอื่น ก็หมึกเป็นคนจ่ายเงินนี่นะ
เมื่อถึงห้องพัก ผมก็จัดแจงปอกเปลือกหัวไชเท้าหัวอวบ ๆ หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วก็นำไปต้ม ใส่หมูสับ เพราะมันถูกดีซื้อขีดเดียวพอ ซื้อมาแค่พอกิน ใส่เกลือ รากผักชีกระเทียมพริกไทย แต่ทีเด็ดมันอยู่ที่ปลาหมึกแห้ง เอามาฉีกใส่ลงไปในน้ำแกงด้วย
กลิ่นของแกงจืดหัวไชเท้าตอนแรก ๆ ก็ฉุน ๆ อยู่สักหน่อย แต่พอเริ่มสุกและเนื้อของมันเริ่มเปื่อยนิ่ม ทีนี้ละ คดข้าวรอ แล้วเมื่อเอามาเทใส่ชาม พอกินข้าวด้วยกัน ก็แย่งกันซดน้ำแกง และตักเนื้อหัวไชเท้ากินกันอย่างเอร็ดอร่อย พอมันสุกแล้วหวานชะมัด ยิ่งได้ชิ้นปลาหมึกแห้งติดมาด้วยล่ะก็อร่อยอย่าบอกใคร กลิ่นน้ำแกงหัวไชเท้าคงลอยออกไปนอกห้อง เปามาเคาะประตูห้อง พร้อมกับขอมากินข้าวด้วยเลยทีเดียว
แต่ถ้าอยากจะกินแกงส้มใส่หัวไชเท้า ผมต้องซื้อจากที่เขาขายที่ตลาด ผมพอทำกับข้าวพื้น ๆ ได้แต่ไม่เก่งกาจถึงกับทำพวกแกงส้ม แกงมัสมั่น ถามกัสจังที่ดูจะทำกับข้าวเก่งที่สุดในพวกเรา กัสจังก็ยังออกตัวว่าตัวเองก็ทำแกงส้มไม่เป็นเหมือนกัน แต่คุ้น ๆ ว่าถ้าจะทำแกงส้มหัวไชเท้า เขาจะใส่ทั้งหัวไชเท้าแล้วก็ใบของมันด้วย ผมก็เลยถึงบางอ้อ ก็ว่ากลิ่นใบผักกาดมันคุ้น ๆ แล้วก็พลอยนึกถึงการ์ตูนเรื่อง อิ๊กคิวซัง จำได้ตอนหนึ่งว่า อิ๊กคิวซังล้างหัวไชเท้า แล้วทำใบผักกาดลอยตามลำธารหลุดหายไปหนึ่งใบ อีตาหลวงพ่อเจอทำโทษอิ๊กคิวซังซะด้วย ใจร้ายชะมัด ทำอะไรผิดก็บอกกันดี ๆ ก็ได้ ผมไม่ชอบเลยการลงโทษเด็กด้วยการตีหรือใช้วาจาร้ายกาจดุว่าเลย
ที่ผมไม่ชอบก็เพราะตอนเด็ก ๆ ผมโดนเป็นประจำน่ะสิ ในขณะที่คุณแม่ของผมนั้นแสนใจดี ไม่เคยดุ ไม่เคยว่า และถ้าผมทำผิด คุณแม่ก็จะพูดกับผมดี ๆ ถ้าผมเถียง ...ไม่สิ ผมค้าน คุณแม่ก็จะอธิบายเหตุผล พร้อมกับยกตัวอย่างให้ผมเข้าใจ ว่าไอ้สิ่งที่ผมคิดว่ามันถูกต้อง ถ้าผมโดนอย่างนั้นบ้าง ผมก็คงไม่ชอบใจ และผมก็จะไม่ทำอย่างนั้นอีก เพราะความคิดในหัวของผม ได้ตระหนักรู้แล้วว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี
แต่คุณพ่อนั้น ท่านจะใช้ไม้เรียวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่มีการอธิบายใด ๆ ตามด้วยคำสั่งว่า "ห้าม..." ถูกสั่งหลังจากตีผมเสร็จ อาการกระฟัดกระเฟียด เกิดขึ้นเสมอ และถ้าผมไม่อยากให้คุณพ่ออารมณ์เสีย ก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการหนีไปอยู่ให้ไกล ๆ ห้องหนังสือของคุณแม่เห็นจะเหมาะสมที่สุด ที่นั่นเงียบ และสงบ ตู้หนังสือซึ่งวางทึบเต็มผนังทั้งสี่ด้าน ผมจะเลือกหยิบหนังสือสักเล่ม ด้วยความทะนุถนอม เพราะมันเป็นของที่คุณแม่รัก ผมเคยพับกระดาษคุณแม่เห็นเข้าก็คงโกรธแต่อธิบายกับผมดี ๆ ว่าถ้าหน้ากระดาษถูกพับและฉีกขาด หนังสือก็จะไม่สวย คุณแม่จึงมีที่คั่นหนังสือไว้มากมาย เอาไว้คั่นให้รู้ว่าเราอ่านถึงตรงไหน
ตรงหน้าต่างห้อง ผมจะเปิดมันออกเพื่อรับลมจากแม่น้ำเจ้าพระยา เอาหมอนใบโต ๆ มารองที่นั่ง และนั่งตรงเก้าอี้ตัวนั้น คุณพ่อของผมปกติท่านมักจะไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก เพราะงานของท่านยุ่งที่สุด ซึ่งนั่นมันดีสำหรับผม จะได้ไม่ต้องคอยพะวงว่าจะโดนตำหนิ โดนดุ ถ้าเจอกันโดยบังเอิญ ผมจะพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดไม่ส่งเสียงดัง และไม่พูดอะไรถ้าท่านไม่ถาม และพยายามหายตัวออกไปจากตรงนั้นให้ไวที่สุด ถ้าคุณพ่ออยู่ชั้นผม ผมก็อยู่ชั้นล่าง ถ้าคุณพ่ออยู่ชั้นล่าง ผมก็หนีไปนั่งเล่นที่เรือนริมแม่น้ำ
ผมว่าสายตาของคุณพ่อจะคอยมองผมทุกฝีก้าวและคอยตำหนิ ไม่ให้ผมทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา จะว่าไปมันก็น่ารำคาญ แต่คุณแม่เคยอธิบายว่าเป็นเพราะคุณพ่อท่านรักผมมากเหลือเกิน รักจนอยากจะทำให้ผมได้ดั่งใจท่านที่สุด ผมเคยคิดว่าคุณพ่อคงคิดว่าผมเป็นไม้ดัด ซึ่งท่านปลูกและสะสมอยู่มากมาย ท่านคงอยากดัดให้ผมดูสวยแปลกตา เป็นรูปทรงที่เห็นแล้วก็ชื่นชม
แต่ผมคิดว่าผมเป็นต้นไม้ต้นหญ้าธรรมดา ๆ นี่ล่ะ ธรรมดาอย่างที่ติดพื้นติดดิน อยากจะโตไปทางไหนก็โต อาจจะไม่ต้องถูกยกย่องให้อยู่ในกระถางลายครามใบหรูหราเหมือนไม้ดัดพวกนั้น ผมขอเป็นต้นหญ้าดอกหญ้าบนพื้นดินที่จะเติบโตและไปทางไหนก็ได้
ดังนั้นคำอธิบายอันนี้ของคุณแม่ คำอธิบายถึงความรักของคุณพ่อที่คอยบงการผมแทบจะทุกย่างก้าว ทำให้ผมเข้าใจไม่ได้เหมือนเรื่องอื่น ๆ
"ณรงค์เวลากินข้าวอย่าพูดเสียงดัง แล้วก็เคี้ยวเบา ๆ อย่าส่งเสียงแจ๊บ ๆ"
"ณรงค์ เวลาตื่นแล้วลูกก็ควรจะพับผ้าห่มจัดที่นอนให้เรียบร้อย จะได้ฝึกเป็นคนที่มีระเบียบ"
"ณรงค์ เวลาจะเดิน อย่ากระโดดโลดเต้นราวกับเป็นคณะละครสัตว์อย่างนั้น"
"ณรงค์เล่นของเล่นแล้ว ก็เก็บให้เป็นระเบียบสิ ไม่อย่างนั้นพ่อจะไม่ให้แม่ซื้อของเล่นให้เราอีกแล้วเพราะเราไม่รักษาของ"
อะไรพวกนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมกลายเป็นคนหูทวนลม อยากพูดอะไรก็พูดไป แต่ผมก็จะค่อย ๆ ทำตามที่ผมมีปัญญานี่ล่ะ
ผมมาฉุกคิดว่าไอ้คำบ่นสอนของคุณพ่อ มันกลับติดตัวผมโดยไม่รู้ตัวและนึกเปรียบเทียบตัวเองกับกัสจังและหมึกเสียไม่ได้ ยามกินอาหารผมก็จะค่อย ๆ กินเคี้ยวช้า ๆ เงียบ ๆ ในขณะที่หมึกจะคุยเสียงดังเคี้ยวแจ๊บ ๆ และบางทีก็ถึงกับมีเมล็ดข้าวกระเด็นออกมาด้วย คิดไม่ออกเลยถ้าคุณพ่อเห็นเข้าจะโมโหสักเพียงไหน
หรือการที่ผมเป็นคนมีระเบียบ เสื้อผ้าข้าวของ และของใช้ของผมเมื่อใช้เสร็จก็จะเก็บมันยังที่เดิม เสื้อผ้าถูกพับเป็นระเบียบ แต่กัสจังจะเอาง่ายเข้าว่าคือใส่แม้แขวนเสื้อแล้วแขวนไว้ส่ง ๆ ในตู้เสื้อผ้า หรือบางอย่างก็แอบยัดใส่เก๊ะ อย่างพวกถุงเท้าหรือกางเกงใน แต่ถ้าเป็นหมึกล่ะก็ ขอให้เดากันเอาเอง
ผมไม่ได้คิดว่าผมดีกว่าเพื่อน แต่ผมคิดว่าที่ผมเป็นคนอย่างนี้ก็เพราะได้รับการตีกรอบจนเป็นคนนิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กนั่นเอง และถ้าจะพูดอย่างคนที่มีใจยุติธรรม ผมว่าไอ้คำสอนซ้ำซากของคุณพ่อมันก็ทำให้ผมเป็นคนใช้ได้อยู่สักหน่อย
วันหยุดนี้ผมว่าผมจะกลับบ้าน หนึ่งเพื่อไปรับค่าขนมประจำเดือน ซึ่งจริง ๆ จะให้พี่สาวของผมโอนให้ก็ได้ แต่พี่สาวของผมก็ว่าให้มารับกับคุณพ่อดีกว่าอย่างน้อยท่านก็คงอยากจะเจอหน้าผมบ้าง และสอง เหตุผลที่ผมคิดว่าเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดก็คือ ผมจะได้นำหนังสือเก่าที่อ่านจบแล้วมาเก็บคืน และนำหนังสือชุดใหม่ เพื่อนำกลับไปอ่านเล่นที่มหาวิทยาลัย
"พี่อนงค์สวัสดี" ผมทักทายพี่สาว เมื่อเห็นเธอง่วนอยู่ในครัวกับแม่บ้าน บ้านช่องเงียบแบบนี้ท่าทางไม่มีใครอยู่แฮะ
"คุณพ่อกับน้าแขล่ะ?" ผมกระซิบกระซาบถาม
"ไม่อยู่จ๊ะ ไปงานศพ ตัวหิวข้าวหรือยัง ?" พี่อนงค์ หรือ คุณครูอนงค์ พี่สาวของผมถามและยิ้มอย่างใจดี
"ยังไม่ค่อยหิวเลย แต่เดี๋ยวเค้าเอาของไปเก็บแล้วมาช่วยตัวทำกับข้าวนะ" ผมพูดไปยิ้มไป รีบขึ้นไปข้างบนบ้านเอาหนังสือไปเก็บให้ดี เปลี่ยนชุดเป็นชุดที่สบายกว่านี้ คือเสื้อยืดตัวหลวมและกางเกงขาสั้น ซึ่งเป็นตัวเดิมกับที่ผมใส่ตั้งแต่ชั้นมัธยมสาม ตัวของผมน่าจะหยุดโตตั้งแต่ชั้นมัธยมสี่ล่ะมั้ง เสร็จแล้วจึงลงมาช่วยเธอทำกับข้าว
"คุณณรงค์ไปเรียนเหนื่อยไหมคะ?" ป้าอุ่น แม่บ้านของเราถาม นี่ก็เป็นอีกคนที่ผมรัก ป้าอุ่นอยู่ดูแลผมตั้งแต่จำความได้ เมื่อแม่เสียชีวิตใหม่ ๆ ป้าอุ่นถึงกับต้องเอาผมไปนอนที่ห้องของเธอ เพราะผมจะร้องไห้ตอนกลางคืนไม่ยอมหยุด
"ไม่เหนื่อยหรอกจ๊ะ สนุก น้องมีเพื่อนตลก ๆ เยอะแยะเลยนะ" ผมตอบป้าอุ่น แล้วก็เล่าวีรกรรมตลก ๆ ของกัสจังและของหมึกให้ป้าอุ่นกับพี่สาวของผมฟัง แน่ล่ะ เธอทั้งสองคนหัวเราะแถมพี่สาวของผมยัง ค่อนขอดว่าพวกผมนั้น "แผลง" ซะด้วย ถ้ากัสจังกับหมึกได้ยินก็คงไม่คิดอะไร แต่ผมซึ่งรู้จักพี่สาวของผมดี ถ้าเธอลองว่าใครแผลงอย่างนี้ล่ะก็ ถือว่ารุนแรงอยู่สักหน่อย
"ให้น้องช่วยทำอะไรดี?" ผมถามป้าอุ่น และแกก็หันซ้ายหันขวา เห็นหัวไชโป๊วซึ่งแช่น้ำทิ้งไว้ แกก็ยื่นมาให้ผม
"คุณณรงค์หั่นเป็นชิ้น ๆ ให้ป้าอุ่นนะคะ หั่นเป็นแว่น ๆ ประมาณนี้ เดี๋ยวเอามาผัดไข่กินกันดีไหมคะ?" ป้าอุ่นว่าและผมก็ค่อย ๆ หั่น ใส่จานให้แก
"คุณณรงค์ทำดีกว่า เดี๋ยวป้าอุ่นสอน จะได้เอาไปทำกินได้ตอนอยู่โรงเรียน เอ้าตั้งกระทะเลยค่ะ" แกยืนเท้าเอว และค่อย ๆ บอกผมทีละขั้นตอน ดีเหมือนกัน ได้สูตรจากต้นตำรับ ไว้เอาไปทำให้กัสจังกับหมึกกิน เห็นทีจะเอ่ยปากชมไม่หยุดแน่ ๆ เพราะป้าอุ่นก็เป็นคนที่ทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลกคนนึงเลย ในความคิดของผม ยกคุณย่าของกัสจังไว้คนนึง ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นคนที่ทำกับข้าวได้อร่อยที่สุดในจักรวาล
"ใส่น้ำมันนิดนึงพอนะคะ พอน้ำมันร้อนก็ใส่หัวหอมซอยค่ะ ค่อย ๆ ใส่นะคะเดี๋ยวน้ำมันจะกระเด็น ผัดจนหอมสุกและมีสีใส ยังค่ะยังไม่สุกใจเย็น ๆ นิดนึงค่ะ เอาล่ะสุกแล้ว ใส่หัวไชโป๊วลงไปเลยค่ะ ผัดเลย นั่นล่ะค่ะอย่างนั้น ทีนี้ก็ตอกไข่ลงไปค่ะ เอาสักสองฟองนะ จะได้กินกันสามคน ผัดเลยค่ะ นั่นล่ะเอาให้เข้ากัน กะให้ไข่มันติดกับเนื้ออย่างนั้น ใจเย็น ๆ นะคะ เอาล่ะสุกแล้ว ปรุงรสใส่ซีอิ๊วนิดเดียว โรยน้ำตาลอีกหน่อยค่ะ" ป้าอุ่นสอนไปด้วยดูไปด้วย
"ป้าอุ๋นทำไมไม่ใส่น้ำปลาล่ะ แล้วหัวไชโป๊วหวานมันก็หวานอยู่แล้วต้องใส่น้ำตาลเพิ่มอีกหรือจ๊ะ?" ผมถาม แล้วก็ค่อย ๆ ตักพวกมันใส่จาน ตบท้ายด้วยการโรยพริกไทยนิดหน่อย
"ใส่น้ำปลามันน่าจะคาวนะคะ มันของจีนนี่นา ป้าทำมาแต่เด็กก็ใส่ซีอิ๊วนะคะ ส่วนน้ำตาลใส่ให้รสมันแหลมขึ้นอีกหน่อยค่ะ ป้าอุ่นเคยเห็นบางเจ้า ใส่น้ำตาลติดเป็นเกล็ดเลยทีเดียว กินไปสงสัยไปว่านี่กินลอดช่องหรือเปล่า" แกว่าแล้วก็หัวเราะขำของแกอยู่คนเดียว
มื้อนั่นเรานั่งกินข้าวด้วยกันสามคน ผมแสนภูมิใจหัวไชโป๊วผัดไข่ที่ได้ลงมือทำเองสักที มีอาหารอื่น ๆ ด้วย และเราก็ต้องหยุดกึกเมื่อรถของคุณพ่อจอดที่หน้าบ้าน คุณพ่อเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้าแข พวกเรายืนขึ้นและผมก็ยกมือไหว้คุณพ่อ พร้อมกับกล่าวคำว่าสวัสดีเสียงเบา ๆ
"เอ๊าตาณรงค์กลับบ้านกลับช่องเป็นกับเขาด้วยรึ?" นั่นไงเจอผมก็บ่นเลยทีเดียวเมื่อเจอหน้าคิดไม่ผิดสักนิด
"เอ๊าคุณคะ คุณณรงค์เธอกลับมาก็ดีแล้ว ตอนเธอไม่กลับมาคุณก็เอาแต่บ่นถึง ไหนทำอะไรกินกันคะ น่ากินเชียว" น้าแขตัดบท และเดินมามองจานอาหารของพวกเรา
"น้าแขกับคุณพ่อกินอาหารมาแล้วหรือคะ กินด้วยกันไหมคะ เดี๋ยวอนงค์ตักข้าวให้" พี่อนงค์พูดพร้อมกับรอยยิ้ม
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอนงค์ กินกันมาเรียบร้อยแล้ว" น้าแขเธอว่าแล้วก็เดินตามคุณพ่อขึ้นไปชั้นบน ผมลอบถอนหายใจ และเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันต่อ แต่กินแบบเงียบ ๆ ไม่พูดคุยกัน ถ้าจะพูดก็กระซิบกระซาบกันเบา ๆ แต่ผมไม่เสี่ยงพูดตอนกินข้าวหรอกนะ
เมื่อกินข้าวเสร็จ และช่วยป้าอุ่นล้างจานชาม พี่อนงค์เธอเลี่ยงไปทำงานส่วนตัวของเธอ ส่วนผมขอเลือกเดินหนีไปที่เรือนแถวริมแม่น้ำดีกว่า อย่างน้อยก็ไกลตัวบ้านและไกลสายตาคุณพ่อหน่อย ผมหยิบหนังสือเรื่องไซอิ๋วติดมือมาด้วย อ่านถึงเล่มที่ห้าแล้ว ใกล้จะจบเล่ม ผมออกจะขัดใจที่ซุนหงอคงผู้เก่งกล้า เป็นถึงฉีเทียนต้าเซิ่น หรือแปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน แต่ต้องมาพ่ายแพ้กับแค่รัดเกล้า ของพระถังซัมจั๋งได้อย่างไร
จนมารู้เอาเมื่ออ่านจบและโตจนทำงานได้แล้ว ซุนหงอคงนั้นเป็นตัวแทนของโทสะ ตือโป๊ยก่ายนั้นเป็นตัวแทนของโลภะ และซัวเจ๋งเป็นตัวแทนของโมหะ มีพระถังซัมจั๋ง เป็นอาจารย์คอยควบคุม หรือก็คือมีพระธรรมคอยควบคุมจิตใจของเรานั่นเอง คนเราจะมีโลภะโทสะหรือโมหะ ถ้าไม่มีธรรมะในจิตใจคอยควบคุม ก็จะเป็นคนมักโกรธ หรือยับยั้งชั่งใจอะไรไม่ได้ อยากจะได้อยากจะมีอยากจะเป็นก็จะทำทุกอย่างให้ได้สิ่งนั้นมา โดยไม่สนวิธีการ ว่ามันจะถูกหรือผิด นึกไปแล้วก็จริงเหมือนกัน และนึกชื่นชมคนแต่งที่สามารถเอาจริตมนุษย์มาดัดแปลงเป็นตัวละครได้อย่างสนุกสนาน ไหนจะต้องผจญภัยกับปีศาจต่าง ๆ อีก
"มานั่งอ่านหนังสือคนเดียวตรงนี้อีกแล้ว" ป้าอุ่นแกตามมานั่งกับผม เราไม่ได้พูดจาอะไรกันมากมายจนผมอ่านหนังสือจบ เราก็นั่งมองเรือที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ ถ้าเป็นตรงท่าเรือข้ามฟาก เรือก็จะวิ่งขวักไขว่สักหน่อย แต่ตรงที่เราอยู่ตรงนี้นาน ๆ จะมีเรือผ่านมาสักลำ
"อากาศดีจังนะคะ" ป้าอุ่นแกว่าขณะที่มีลมพัดเอื่อย ๆ
"อยากให้น้องตีขิมให้ฟังไหมจ๊ะ" ผมถามและป้าอุ่นก็ทำหน้าดีใจ ผมก็เลยเดินไปที่ห้องด้านข้างซึ่งปิดตาย หยิบกล่องขิมซึ่งมีผ้าปิดไว้ ยกมาทั้งกล่อง และเมื่อถึงตรงที่ป้าอุ่นแกนั่ง ผมก็เปิดออก ยกขิมออกมา หยิบไม้ตีขิมขึ้นมาพร้อมกับยกมือไหว้จรดหัวเพื่อไหว้ครูบาอาจารย์ แล้วก็ค่อย ๆ ตีมันเบา ๆ ตามทำนองเพลงแสนคำนึง
นั่งตีขิมจนฟ้าเริ่มสีจาง พี่สาวของผมก็ลงมาสมทบ เธอได้ยินผมตีขิมจึงหยิบซอด้วงออกมาบรรเลงด้วยกันเสียเลย ตีถูกบ้างผิดบ้างกล้อมแกล้มกันไป เพราะผมเรื้อไปเสียนาน แต่ก็พอจะได้จบเป็นเพลงกับเขาเหมือนกัน
"เพราะจัง" ป้าอุ่นกล่าวชม และที่ปลายตาของแกมีน้ำหล่อไว้พอรื้น ๆ
"น้องตีผิดตั้งหลายที ไม่ได้เล่นนาน ชักจะลืมโน๊ตเพลงและข้อมือแข็งซะแล้ว" ผมแก้ตัว
"ขนาดไม่ได้เล่นตั้งนานยังเพราะเลยค่ะ ป้าเล่นไม่เป็นฟังไม่รู้หรอกว่าตีผิดตรงไหน" ป้าอุ่นแกว่า
"รู้ไหมคะ ทำไมคุณแม่ถึงชอบตีขิม?" ป้าอุ่นแกถาม ซึ่งอันที่จริงเราสองคนน่ะรู้อยู่แล้ว เพราะเมื่อเล่นขิมทีไร ป้าอุ่นก็ถามคำถามนี้ทุกที
"ทำไมล่ะจ๊ะ" ผมย้อนถาม...อมยิ้ม
"ก็เพราะเธออ่านเรื่องคู่กรรม แม่อังศุมาลินนางเอกของเรื่อง น่ะตีขิมเก่ง เธอก็เลยอยากจะตีขิมให้เก่ง ๆ เหมือนแม่อังศุมาลินบ้างน่ะสิคะ" ป้าอุ่นว่าแล้วก็หัวเราะขำพวกเราก็เลยขำไปกับแกด้วย
ลองได้เริ่มอย่างนี้ คราวนี้ล่ะป้าอุ่นแกก็เล่าวีรกรรมของคุณแม่ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ๆ ให้พวกเราฟัง ส่วนใหญ่ก็เรื่องเดิม ๆ นั่นแหละ แต่พวกเราฟังได้เป็นพัน ๆ ครั้งโดยไม่รู้จักเบื่อ คุณแม่กับป้าอุ่นโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จึงรู้เรื่องของคุณแม่แทบทุกอย่าง
"โอ๊ย คุณแม่ของคุณ ๆ น่ะซน ชวนป้าอุ่นไปขโมยมะม่วง ไปขโมยกระท้อนบ้านข้าง ๆ แล้วเธอน่ะซน ปีนขึ้นไปเก็บเองนะ ป้าห้ามก็ไม่ฟัง มีอยู่หนหนึ่งเธอปีนไปเก็บมะม่วงแล้วโดนมดแดงกัด ทนไม่ไหวกระโดดลงมาจนข้อเท้าแพลง ต้องปดคุณตากันจะแย่" แกเล่าไปก็ส่ายหน้าไป พวกเราก็หัวเราะกับวีรกรรมของคุณแม่ ใครจะไปรู้ว่าคุณแม่ที่แสนอ่อนหวาน และสวยหวานจับจิตจับใจตอนเด็ก ๆ จะซนอะไรอย่างนั้น
"รู้มั๊ยคะทำไม คุณถึงชื่ออนงค์" ป้าอุ่นถามพี่สาวของผม แน่ล่ะ เรารู้สิ แต่ผมก็ต้องให้แกเล่าซ้ำ ๆ อีก
"ทำไมล่ะจ๊ะป้าอุ่นเล่าให้น้องฟังหน่อย" ผมอ้อน
"ก็เธอน่ะ เกิดไปอ่านหนังสือเรื่องปริศนาเข้า เธอเปรยกับป้าว่า ถ้ามีลูกสาว เธอจะตั้งชื่อว่า อนงค์ เพราะเธออยากให้ลูกสาวน่ะเรียบ ๆ ร้อย ๆ เหมือนแม่อนงค์ในเรื่องไงเล่าคะ เธอว่าสมัยเด็ก ๆ เธอซนจนคุณยายปวดหัว พอตั้งท้องก็เลยกลัวกงกรรมกงเกวียน เลยจะตั้งชื่อไว้แก้เคล็ดน่ะค่ะ ดู๊คนเรานะคะ ช่างคิดอะไรก็ไม่รู้" ป้าอุ่นแกพูดเหมือนถอดคำพูดเมื่อสิบปีที่แล้วมาได้เกือบครบทุกคำ พี่สาวของผมยิ้มและส่ายหน้าน้อย ๆ แต่ผมมองพี่สาวแล้วก็คิดว่า ดีแล้วล่ะ ที่คุณแม่ตั้งชื่อเธอว่าอนงค์ เพราะเธอก็สงบเสงี่ยม และแสนใจเย็น ใจดี เก่งงานการทั้งงานบ้านงานเรือน และงานสอนหนังสือเหมือนแม่อนงค์ในนิยายไม่มีผิดทีเดียว
เดี๋ยวผมต้องไปรื้อหนังสือเรื่องปริศนามาอ่านเสียแล้ว จำได้ว่าอยู่ในตู้ไม้สักชั้นที่สองเกือบจะริมสุดสินะ ตรงนั้นมีชุดนิยาย ปริศนา เจ้าสาวของอานนท์ แล้วก็รัตนาวดี ผมจำได้ แล้วก็มีเรื่องอื่น ๆ ของ ว. ณ ประมวลมารค ครบทั้งชุดเลย เดี๋ยวผมจะต้องขนไปอ่านสักสี่เล่ม