ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
สำหรับอาหารที่เหมาะใจสำหรับการกินเลี้ยงกับบรรดาเพื่อน ๆ ใครหลาย ๆ คนอาจจะลงความเห็นว่าอะไรก็ไม่ดีเท่าหมูกระทะ แต่สำหรับผม ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะตัวผมเล็กเท่านี้กินไม่คุ้ม อีกอย่างที่สำคัญเลยก็คือกินหมูกระทะมันร้อน และกลิ่นควันที่ติดหัวอีกเล่า ยิ่งผมของผมมันต้องใส่น้ำมันเยอะ ๆ สระผมสองรอบกลิ่นยังติดหัวอยู่เลย ช่างน่าอาภัพอะไรอย่างนี้
ปกติเราก็มักจะกินส้มตำกันบ่อย ๆ อยู่แล้วเพราะง่ายดี กินกับข้าวเหนียว ถ้าจะให้เอร็ดอร่อยด้วยก็อาจจะเพิ่มไก่ย่าง หรือปลาดุกย่าง ยิ่งตอนแย่งกันกินหลาย ๆ คน ก็จะยิ่งทำให้อิ่มอร่อยกว่าการกินยามปกติไปเสียอีก
และคืนวันหนึ่ง โพล้เพล้แล้ว ชักจะหิวเต็มทีแต่สมาชิกยังมาไม่พร้อม ที่สำคัญ เจ้าภาพย้ำนักย้ำหนาว่าให้รออีกสักนิด ซึ่งผมก็จะฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือไปพลาง ๆ กับข้าวยังไม่แกะกันล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นกลิ่นหอม ๆ จะทำให้ท้องร้องได้ ส้มตำนั้นซื้อไว้แล้วแต่เอาแช่ตู้เย็นไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะเซ็งได้ กินเย็น ๆ ก็กินได้แฮะ เป็นอาหารคาวที่น่ามหัศจรรย์
พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา กัสจังก็รีบกุลีกุจอไปเปิดประตู และเจ้าภาพของเรานั่นก็คือ เจ๊หวัง แฟนของเปาเพื่อนบ้านสุดหล่อของพวกเราก็เดินยิ้มร่า โดยมีเปาหอบข้าวของตามเข้ามา
"สวัสดีเจ๊หวัง" ผมกล่าวคำทักทายแต่ไม่ได้ยกมือไหว้ เพราะแกโวยวายว่าอายุห่างกันไม่กี่ปี ไม่ต้องยกมือไหว้หรอก แต่ผมยิ้มกว้าง ๆ ให้แกเพราะชอบนักเวลาที่เจ๊หวังมาเยี่ยมเปา แล้วก็จะเผื่อแผ่ของดี ๆ มาถึงเพื่อนของเปาคือพวกเรานั่นเอง อย่างพื้น ๆ ก็เป็นพวกผลไม้ ซึ่งได้มาจากสวนของแกที่เมืองจันท์ แล้วถ้าพิเศษขึ้นไปอีกก็จะมีทุเรียนแสนอร่อยติดมือมาด้วย ผมก็เลยรู้สึกว่าเจ๊หวังเหมือนนางฟ้าที่มาโปรดพวกสัตว์โลกผู้ยากอย่างพวกเราแท้ ๆ
ส้มตำนั้นพวกเราซื้อมาสองถุงใหญ่ ๆ ตำไทยหนึ่งถุงซึ่งต้องย้ำกับแม่ค้าว่าเอาหวานน้อย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกว่ามันยังหวานเจื้อยอยู่เลย กับตำป่า ซึ่งกัสจังกับหมึกดูจะชอบเป็นพิเศษ ผมก็พอกินได้ และชอบที่มันมีเครื่องเคราเยอะดี ส่วนตำไทยนี้คนที่ตักเยอะ เห็นจะเป็นผมกับเปา
กินส้มตำให้อร่อย ก็ต้องมีไก่ย่างหรือปลาดุกย่างอย่างที่ว่า แต่เจ๊หวังให้ซื้อชุดใหญ่แบบไฟกะพริบ คือมีลาบหมู ต้มแซ่บเครื่องใน และน้ำตกหมูมาด้วย แม่ค้าเห็นพวกเราสั่งชุดใหญ่ จึงแถมผักมาให้เสียมากมาย ประกอบกับกัสจังซึ่งปากดีช่างเจรจา ไปออดอ้อนขอผักมาได้เสียเยอะแยะ ผมก็เลยยิ้มกว้างเลยทีเดียว ไหนจะถั่วฝักยาวที่กินกับลาบ และส้มตำ แล้วยังใบโหระพาที่ใช้กินคู่กับน้ำตกหมูอีกเล่า มื้อนี้มันเยี่ยมยอดวิเศษจริง ๆ ไก่ย่างนั้นเปาอาสาซื้อมาเอง ซื้อไก่ย่างมาหนึ่งตัวเต็ม ๆ แกะใส่จานแล้วกลิ่นไก่ย่างหอมฟุ้งเลยทีเดียว ...น้ำลายสอ
ยิ่งการกินอาหารแสนอร่อยมาพร้อมกับเรื่องเล่า และเสียงหัวเราะ พวกเราดูจะมีความสุขเป็นอันมาก แน่ล่ะ ก็วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว และพรุ่งนี้พวกเราก็จะติดปีกติดหางกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวสักที คนอื่นคงดีใจแต่สำหรับผม ก็ดีใจเหมือนกันแต่คงน้อยกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า ดังนั้นตอนนี้ผมก็ขอเสพความสุขตรงหน้านี้ให้ฉ่ำปอด เพราะต้องคิดถึงเพื่อน ๆ ที่แสนน่ารักแย่ทีเดียว
"นี่อีกัส กินส้มตำเสร็จแล้ว ทำผมมั๊ย เจ๊เอาสีผมมาฝากพวกหล่อน ๆๆๆ ด้วยแหละ เจ๊หวังผู้แสนใจดี บอกและแน่นอนกัสก็ยินดีนัก ยิ่งหมึกด้วยล่ะก็ ดีใจออกนอกหน้า ส่วนผม ยิ้มแหยเลยทีเดียว
ผมรู้ว่าเจ๊หวังน่ะเป็นคนเก่ง ก็ดูเอาจากทรงผมของเปากับกัสจังสิ แต่ผมน่ะมีปัญหาเรื่องเส้นผมมาตั้งแต่เด็ก เพราะมันทั้งเส้นใหญ่ หยิกหนา ไปตัดผมทีไร ช่างตัดผมบ่นเสียอย่างกับหมีกินผึ้ง ผมก็เลยรู้สึกว่าตัวเองมีปมในด้านนี้ เลยไว้ผมยาวแล้วก็เล็ม ๆ ตัดเอง ซึ่งเจ๊หวังก็ออกปากใจดีจะตัดผมให้แต่ผมน่ะแสนเกรงใจ เพราะไม่ได้สนิทกับเจ๊หวังเท่ากับกัสจัง ซึ่งเรียนมาด้วยกันกับเจ๊หวังและเปา
"ยายน้า คราวนี้หล่อนจะใจอ่อนให้เจ๊ทำผมให้หล่อนได้หรือยังยะ?" เจ๊หวังมองผมอย่างอ่อนใจปนระอา ผมได้แต่ยิ้มแหย เกรงใจด้วยกลัวใจของตัวเองด้วย
"ทำก็ทำไม่ทำเจ๊ก็ไม่ว่าอะไร มันก็หัวของหล่อนนะยะ" เจ๊หวังว่าพร้อมกับสะบัดบ๊อบ (เป็นคำเปรียบเทียบ เจ๊หวังไม่ได้ไว้ผมยาว แต่เจ๊แกก็สะบัดหน้าราวกับผมบ๊อบจริง ๆ)
"เอาก็เอาเจ๊หวังทำตามใจเจ๊หวังเลย" ผมกลั้นใจตอบเจ๊หวังไปซึ่งทำเอากัสกับหมึกถึงกับมองผมราวกับอยากจะถามว่าแน่ใจเรอะ
ผมอยากลองออกจากกรอบบ้าง กรอบที่ตัวของผมเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมา อีกอย่าง ผมน่ะมันยาวของมันทุก ๆ วัน อยู่แล้ว และถ้ามันจะแย่ ก็คงไม่เลวร้ายกว่าไอ้หัวหยอย ๆ ของผมในปัจจุบันหรอก
หมึกบ่นเสียดายที่เพิ่งตัดผมไป แต่เจ๊หวังก็ทำสีผมให้ ผิวของหมึกค่อนข้างคล้ำ เจ๊หวังก็เลยทำสีน้ำตาลอ่อน ๆ และอธิบายว่าจะทำให้หน้าของหมึกดูสว่างขึ้น ส่วนของกัสจังทำเป็นสีแฟชั่นจ๋าเลยทีเดียว แต่ของผมน่ะ เจ๊หวังถึงกับต้องเดินกลับเข้าไปในห้องของเปา แล้วกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ตัดผม อันมีปัตตาเลี่ยน หวีและกรรไกร รวมถึงผ้าคลุมซอย ราวกับจะมาเปิดร้านซาลอนเอาทีเดียว
ผมน่ะเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องตัดผมด้วย กัสจังกับหมึก ถูกสีผมกลิ่นฉุน ๆ ละเลงบนหัวไว้เรียบร้อยแล้ว ผมมองกระจกและเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ส่วนเจ๊หวัง เอาน้ำพรมไปที่หัวของผม แล้วก็ใช้หวีแสกผมของผมตรงนั้นทีตรงนี้ที จนได้แสกที่ถูกใจ
"เอาสั้นหน่อยดีมั๊ย?" เจ๊หวังถามเป็นเชิงปรึกษา แต่พอเห็นผมทำหน้าเหยเก เจ๊หวังก็กลั้นหัวเราะ
"กลัวล่ะสิว่าตัดสั้นแล้วจะแปลก ๆ ใช่ไหม นี่เจ๊จะบอกอะไรให้ ผมหยักศกอย่างหล่อนน่ะ ถ้าไม่ไว้ยาวไปเลย ก็ตัดสั้นมันไปเลยอย่าสาระแนไปยืดนะยะ ผมหยักศกอย่างนี้ล่ะ แต่งทรงให้มันดี ๆ สวยกว่าคนผมตรงอีก ทำสีอ่อนนิด ๆ เวลากระทบแสงมันจะมีมิติ เอาสั้นประมาณนี้พอรับรองว่าหลวย" เจ๊หวังแกพูดของแกไปผมก็แอบกำมือของผมไว้ใต้ผ้าคลุมซอย กำมือแน่นเลยเชียวล่ะ
จนปัตตาเลี่ยนไถผมที่ด้านหลัง ผมก็หลับตาปี๋เลยทีเดียว แอบลืมตาดูเป็นระยะ ๆ แต่มันก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าหัวของตัวเองเป็นอย่างไร เพราะผมตรงที่ยังยาว ๆ มีกิ๊บหนีบอยู่ แต่บริเวณตีนผมตอนนี้มันสั้นเกรียนไปแล้ว และเมื่อตัดผมเสร็จ เจ๊หวังก็ไม่ให้ผมไปล้างผมกันละ แต่ละเลงสีผมที่หัวของผมต่อเลย
รอสีผมทำงานอยู่ราว ๆ สี่สิบห้านาที เจ๊หวังเดินมาเอานิ้วบีบ ๆ ที่เส้นผม แล้วก็ขมวดคิ้ว
"หัวหล่อนนี้มันหัวพิเศษจริง จริ๊งรออีกสิบห้านาทีให้สีมันออกมากกว่านี้หน่อย" เจ๊หวังว่าแล้วก็ไล่ให้กัสจังกับหมึกไปสระผมให้สะอาดได้เลย
ถึงคิวของผมสักที เมื่อเจ๊หวังอนุญาตผมก็รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผม คันเนื้อตัวเพราะเศษผมที่ติดตามซอกเนื้อตัว และไม่ลืมที่จะใช้แชมพูกับครีมหมักผมสูตรพิเศษที่เจ๊หวัง ใจดีมอบไว้ให้พวกเราได้ใช้
ผมเอาผ้าคลุมหัวออกมาจากห้องน้ำ เจ๊หวังเห็นก็กวักมือเรียกให้มานั่งหน้ากระจกเลยทีเดียว
"นี่เจ๊จะสอนให้หล่อนเซ็ทผม ทิ้งไปเลยนะคะไอ้น้ำมันแต่งผมของเจ้าคุณปู่ มันทั้งเหม็นแล้วก็ล้างยาก นี่ใช้อันนี้" เจ๊หวังบ่นแล้วก็หยิบกระปุกเล็ก ๆ ออกมาเปิดให้ผมดู แล้วก็ยื่นมาให้ผมดมเสียด้วย ...อืมกลิ่นหอมดีจัง ผมแอบคิดในใจ
เจ๊หวังสาธิตการใช้แว๊กซ์ที่ว่า ควักออกมาเท่าเมล็ดถั่วเขียว ทาไปฝนฝ่ามือ ถูไปมาเล็กน้อยให้เกิดความอุ่น แล้วตีจนเกิดเส้นใยจากนั้นก็เสยไปบนเส้นผม แสกไปตรงรอยแสกแล้วเจ๊หวังก็ลองให้ผมลองจัดทรงผมเอง
"อีหม่อม ดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย" เสียงหมึกออกความเห็นและยิ้มกว้าง
"ดูเป็นคนยุคนี้หน่อย ผมทรงเก่า กูนึกว่าคุยกับคนจากสมัยพระพุทธเจ้าหลวง" กัสจังออกความเห็นตามผมแอบหมั่นไส้เพื่อนจนต้องค้อนให้
"เห้ยน้า ดูโอเคเลยนะ" เปาก็อุตส่าห์เอ่ยปากชม ถ้าเป็นเปาที่เป็นคนซื่อ ๆ ผมค่อยเชื่อถือความเห็นหน่อย แต่ผมมองตัวเองในกระจก สารภาพเลยว่าไม่คุ้นกับ นายณรงค์วิทย์ในทรงผมและสีผมแบบนี้เลย มันถูกใจชะมัด ผมด้านข้างสั้นเกรียน แต่ตรงกลางยาวผมที่จะเป็นทรง ยิ่งพอใส่แว๊กซ์แต่งผม จนเห็นลอนผมชัดเจน กับสีอ่อนลงมันก็ทำให้ผมดูเหมือนเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่เป็นคนในสมัยพระพุทธเจ้าหลวงอย่างที่กัสจังพูดจริง ๆ ด้วยแฮะ
"เจ๊หวังขอบคุณมากนะ" ผมยกมือกระพุ่มไหว้เจ๊หวังอย่างจริงใจ เจ๊หวังแทบจะยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
ไม่รู้สิ ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งชอบผมของตัวเองชะมัด ยิ่งตอนนั่งรถกลับบ้าน ผมนั่งตรงที่กระจกสามารถส่องหน้าตัวเองได้แม้จะเป็นเสี้ยวเดียวก็ตาม แต่ผมก็แอบชำเลืองมองเงาตัวเองบ่อย ๆ แล้วก็แอบอมยิ้ม
ยิ่งเช้านี้ผมได้อาศัยใบบุญ นั่งรถกลับมากับคุณพ่อของกัสจัง หมึกนั่งรถกลับระยองเอง ส่วนเจ๊หวังกับเปาไปบ้านสวนที่จันทบุรีกัน
"รีบหรือเปล่าลูก แวะเที่ยวนิดนึงดีมั๊ย พ่ออยากกินอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ" คุณพ่อของกัสจังถาม และกัสจังก็หันหลังมาส่งสัญญาณให้ผมตอบว่าไม่รีบ
"ไปเหอะ เราอยากกินอาหารทะเล ไปบางเสร่กันนะพ่อ" กัสจังท่าทางร่าเริง ละบางเสร่ที่เป็นหมู่บ้านชาวประมงว่ากันว่ามีอาหารทะเลแสนอร่อย
จนท้ายที่สุด ผมก็ไปร่วมวงนั่งกินอาหารกับกัสจังและคุณพ่อ ฟังสองพ่อลูกคุยโน่นคุยนี่ พ่อของกัสจังดูเป็นคนจริงจังแต่ก็ไม่ถึงกับดุ เห็นกัสจังเล่าว่าท่านเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แต่ท่านกลับไม่ค่อยดุเหมือนคุณพ่อของผมเลยสักนิด คุณพ่อของกัสจังดูจะชอบถามความเห็นและชอบฟังคำตอบของกัสจัง รวมถึงคำตอบของผมด้วย จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยท่านก็มีสีหน้ารับฟังและอาจจะอธิบายคำตอบในมุมมองของท่าน
แต่ที่ออกจะทำให้งง ๆ ก็คือการคุยเรื่องการเมืองของสองพ่อลูกคู่นี้ การเมืองนั้นมันไม่ใช่แค่อยู่ในรัฐสภา แต่มันอยู่ในทุก ๆ ที่ซึ่งมีผลประโยชน์ ไม่เว้นแม้แต่ในร้านอาหารแห่งนี้ มันอาจจะลึกซึ้งเกินไป ผมฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็เห็นจะจริง เพราะร้านอาหารมีตั้งหลายร้าน จำเพาะให้เราต้องเลือกมานั่งที่ร้านนี้ มันมีอะไรบางอย่างของการเมืองซ่อนอยู่ ซึ่งแน่นอนผมไม่เข้าใจสักนิดเลย ผมยังอ่อนต่อโลกเกินไปจริง ๆ โลกของผมมันมีแค่ในมหาวิทยาลัย และหนังสือนิยาย
คุณพ่อของกัสจัง ส่งผมที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง และผมก็นั่งรถเมล์ต่ออีกสองทอด มันประหยัดเวลาไปได้อักโข แถมตอนนี้ท้องของผมยังอิ่มตื้อ เพราะทั้งกัสจังและคุณพ่อ ตักโน่นตักนี่ให้ผมกินจนเต็มจาน จะไม่กินก็เกรงใจ นึกดีใจกับเพื่อนรักของผมคนนี้จังที่มีคุณพ่อที่แสนน่ารัก
ในที่สุด ฝ่าการจราจรมหาโหด โชคดีที่ได้นั่งรถเมล์ปรับอากาศ นั่งรถจนมาถึงป้ายรถเมล์ปากทางเข้าบ้านของผมสักที ผมค่อย ๆ เดินเข้าตามซอยเล็ก ๆ ซึ่งแม้ว่าปากทางเข้ามันแสนวุ่นวาย แต่ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงบมากขึ้นเท่านั้น
จนถึงแนวกำแพงวัดแสนเก่าคร่ำ ปูนกะเทาะจนเห็นอิฐสีส้มเก่าจนตะไคร่ขึ้น มันสวยแปลก และดูสงบงาม ผมค่อย ๆ เดินลัดเลาะ จนถึงบ้านของตัวเองสักที เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป แน่ละมันเกือบจะเงียบกริบ คุณพ่อของผมไม่ชอบเสียงดังอึกทึก
พี่สาวของผมนั่งอ่านหนังสืออยู่บนชิงช้าหน้าบ้าน เธอยิ้มดีใจและกวักมือเรียกให้ผมไปนั่งด้วยกัน
"ทำไมมาเสียสายเชียวปกติถึงน่าจะถึงบ้านตั้งนานแล้วนี่?" พี่อนงค์ถามและมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางทำสีหน้าแปลก ๆ
"พอดีเค้าติดรถเพื่อนมาลงที่เอกมัย แล้วนั่งรถเมล์ต่อมา อ้อก่อนออกจากชลบุรี คุณพ่อของเพื่อนท่านพาไปกินข้าวก่อนด้วยน่ะ" ผมอธิบายและคิดว่าเดี๋ยวพี่สาวคนสวยของผมจะต้องทักถามเรื่องบนหัวของผมแน่ ๆ
"คิดยังไงไปทำผมทรงนี้?" เธอถามแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ นั่นไงล่ะกะไว้แล้วทีเดียว
"ตัวว่าตลกมั๊ย?" ผมถามและอดจะเอามือลูบให้มันลีบกว่านี้อีกหน่อย
"ตลกอะไรกันเล่า ดูดีจะตาย ดูเป็นวัยรุ่นขึ้นมาหน่อย เราน่ะ มันเพิ่งอายุยี่สิบนะจ๊ะ จะทำตัวเหมือนคนสมัยรัชกาลที่หก ยุคของปริศนา กับท่านชายพจน์ปรีชาหรือยังไงกัน?" พี่สาวของผมเย้าจนผมทำปากยื่น
"ดูดีจริง ๆ นะ?" ผมถามกลับอีกหนเพื่อความมั่นใจ
"เอ๊าตัวเองมองกระจกแล้วว่ายังไงล่ะ?"
"ก็เอ่อไม่รู้แฮะ เค้าว่ามันแปลก ๆ แต่บางทีก็คิดว่าไม่แย่นะ" ผมเสนอความเห็นและนั่งเบียดเธอจนชิดทีเดียว
"ไม่ใช่ไม่แย่ย่ะ ดูดีเลยเชียวล่ะ พี่ว่าตัวตัดผมอย่างนี้แล้วหน้าคล้าย ๆ คุณแม่ตอนสาว ๆ อยู่เหมือนกันนา" พี่อนงค์พูดแบบนี้ผมก็ถึงกับยิ้มออกมา ก็คุณแม่ตอนสาว ๆ สวยหยอกใครที่ไหน ผมเองก็แอบคิดเหมือนกันว่าผมน่ะหน้าคล้ายกับคุณแม่ค่อนข้างมาก ผมของคุณแม่หยักศกรับกับใบหน้า แต่ท่านมักจะรวบมันไว้ครึ่งศรีษะ เพื่อความทะมัดทะแมงอยู่เสมอ ๆ
"ว๊ายอกอีแป้นแตก คุณณรงค์กลับมาไม่ยักบอกป้า" ป้าอุ่นโวยวาย ถือจานในมืออะไรมาสักอย่าง ครั้นวางจานบนโต๊ะของชิงช้า ก็มองผมแล้วก็ลูบหัวลูบหลังของผม จนผมยกมือไหว้แกแทบไม่ทัน
"น้องตัดผมดูตลกหรือจ๊ะ?" ผมถามป้าอุ่นและทำหน้าอ้อน
"ตลกอะไรกันเล่าคะ น่ารักออก" ป้าอุ่นเอ่ยปากชมผมก็เลยยิ้มเสียแก้มแทบแตก
"คุณพ่อกับน้าแขล่ะ?" ผมกระซิบถามพี่อนงค์ จนเธอยิ้มออกมาและกระซิบตอบกลับ
"โน่นอ่านหนังสืออยู่ข้างบนโน่น ส่วนน้าแขออกไปธุระข้างนอกจ๊ะ" พี่อนงค์ตอบและผมก็ทำหน้ามุ่ย ปกติคุณพ่อจะไม่ค่อยอยู่บ้าน วันนี้นึกครึ้มอะไรกันนะถึงอยู่กับบ้านได้เล่าเนี่ย
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา คงเพราะได้ยินเราพูดเสียงดัง ท่านก็เลยเดินตึง ๆ มาจนถึงหน้าบ้าน ผมรีบลงจากชิงช้ายกมือไหว้ท่านแทบไม่ทัน
"อ้าวเจ้าณรงค์มาตั้งแต่เมื่อไร?"
"เพิ่งถึงเมื่อสักครู่เองครับ" ผมตอบอ้อมแอ้ม และกำลังรู้สึกตัวว่า เลเซอร์จากตาของคุณพ่อ กำลังสแกนหาความผิดปกติบนร่างกายของผมราวกับเครื่องเอกซเรย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ไล่จากเท้าขึ้นมาจนถึงหัวอีกรอบ เครื่องสแกนมาติดอยู่อีตรงหัวของผม ซึ่งท่านก็มองอย่างขัดอกขัดใจ
"นั่นไปทำอะไรกับผมมาน่ะฮึ?" ท่านถามเสียงดุ ๆ
"พี่ที่รู้จักกันตัดผมให้ลูกครับ" ผมตอบ และรู้สึกว่าตัวของผมเป็นเหมือนลูกโป่งที่มันกำลังรั่วและร่างของผมกำลังหดเล็กจ้อยลงทีละนิด ๆ
"ลูกว่าน้องตัดผมทรงนี้ดูดีขึ้นเป็นกองเลยนะคะคุณพ่อ ดูทันสมัยหน่อย ที่สำคัญตัดผมทรงนี้แล้วน้องหน้าเหมือนคุณแม่เลยนะคะ" พี่อนงค์ออกความเห็น แน่ล่ะเธอสนิทกับคุณพ่อจนสามารถพูดอะไรก็ได้ ว่ากันว่าลูกสาวมักจะสนิทกับพ่อนี่นะ แต่ผมกำลังจะหูดับ ได้ยินแต่เสียงแว่ว ๆ ของป้าอุ่นที่ส่งเสียงสนับสนุนทรงผมใหม่ของผมว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
"อือ" ท่านส่งเสียงคล้าย ๆ กับว่าเห็นด้วยในลำ แล้วก็เดินหนีกลับเข้าไปในบ้าน พอเห็นคุณพ่อผู้ซึ่งเป็นคุณครูที่ดุที่สุดในโลกเดินจากไป ผมก็ทิ้งตัวกลับไปนั่งที่ชิงช้าและถอนหายใจเสียงดัง ๆ ออกมา มันคงดูน่าขำจนพี่อนงค์และป้าอุ่นถึงกับหัวเราะกันออกมา
"น้องกลัวแทบแย่" ผมขยับไปนั่งชิดกับป้าอุ่นอ้อนแกสักหน่อย
"โถ คุณณรงค์จะไปกลัวอะไรคุณพ่อเล่าคะท่านก็ไม่ได้ดุอะไรนี่คะ" ป้าอุ่นว่า แต่ป้าอุ่นไม่ได้โดนดุโดนว่าโดนตีมาตั้งแต่เด็กเหมือนผมนี่
"คุณพ่อท่านจะไปว่าอะไรเล่า ถ้าตัวสกินเฮด หรือทำสีผมสีทอง อันนั้นคุณครูท่านคงฟาดด้วยไม้เรียวแน่ ๆ" พี่อนงค์ออกความเห็น และตอนนี้ผมกลับมาสบายใจแล้ว เห็นข้าวเกรียบกุ้งในจานที่ป้าอุ่นถือมา ผมก็เลยหยิบมาเคี้ยวกินกร๊วม ๆ
"นี่คุณอนงค์ ต้นมะยมที่หลังบ้านออกลูกเสียมากมาย เอาไปทำอะไรกันดีคะ?" ป้าอุ่นถามและพี่อนงค์ก็ทำท่าใช้ความคิด
"เอาไปทำอะไรดีน๊า เอาไปทำมะยมแช่อิ่มดีไหมคะ จะได้เก็บไว้กินได้นาน ๆ น้องจะได้เอาไปกินที่มหาวิทยาลัยได้ด้วย อ้อ ทำตำมะยมก็ดีนะคะ อนงค์เปรี้ยวปากอยากกินอะไรแซ่บ ๆ อยู่เหมือนกัน" พี่อนงค์พูดเสียจนผมน้ำลายสอ
"ถ้าอย่างนั้นเราไปเก็บมะยมกันดีกว่าเดี๋ยวเค้าเก็บให้" ผมอาสาและพวกเราสามคนก็ค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปที่หลังบ้านกัน โดยมีผมถือกะละมังสังกะสีเคลือบลายพร้อยติดมือไปด้วย ต้นมะยมนี้ปลูกไว้เนิ่นนาน น่าจะแก่กว่าผมด้วยล่ะมั้ง จำความได้ก็เห็นมันโตอยู่อย่างนี้แล้ว แต่ไม่สูงมาก เพราะหมั่นหักกิ่งของมันอยู่เสมอ
กิ่งที่อยู่เตี้ย ๆ พี่อนงค์กับป้าอุ่นก็เก็บลูกซึ่งออกเต็มกิ่ง ส่วนกิ่งที่สูงหน่อยผมก็ปีนขึ้นไปเก็บเองเลยทีเดียว แต่ไม่ได้เก็บทีละลูก ๆ อย่างทั้งสองคนหรอกนะ ผมหักกิ่งของมันแล้วก็ค่อย ๆ โยนลงมา เป็นการทำให้ต้นของมันไม่สูงจนเกินไปด้วย รวมถึงยอดมะยมที่มันเต่ง ๆ สักหน่อยผมก็เด็ดยอดของมันโยนลงมาเหมือนกัน
จนได้มะยมเต็มกะละมังเลยทีเดียว ผมแบกจนตัวแอ่นน่าจะได้หลายกิโล ส่วนป้าอุ่นกับพี่อนงค์เดินถือยอดมะยมนำหน้าไปแล้ว
เราล้างมะยมให้สะอาด เด็ดก้านของมันออกเสีย ป้าอุ่นเตรียมครกกับเครื่องเคราไว้แล้ว ดูไม่มีอะไรมาก มีหัวหอมแดงหั่นฝอย กับกุ้งแห้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ตำจนมะยมบุบ และน้ำยำเข้าไปซึมซาบในเนื้อมะยมจนเข้ากันดี กินกับยอดมะยมที่รสหอม ๆ มัน ๆ เข้ากันที่สุด เรานั่งกินเล่นที่หลังบ้านนี่ล่ะ แต่พี่อนงค์ก็ยังมีแก่ใจ แบ่งใส่จานเล็ก ๆ เอาไปให้คุณพ่อท่านกิน
"ตัวยกเอาไปให้คุณพ่อหน่อยสิ" พี่อนงค์ใช้ และผมก็ทำหน้ามุ่ย
"ไปไป๊อย่าดื้อ" เธอไล่ผมและยกถาดใส่มือ ส่วนผมก็ต้องค่อย ๆ เดินไปจนถึงห้องทำงานของท่าน ประตูหน้าห้องนั้นเปิดแง้มอยู่ ผมมือไม่ว่างจึงพูดเบา ๆ ที่ด้านหน้าห้อง
"คุณพ่อครับ" ผมเรียกท่านและท่านก็ร้องอือเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว ผมก็เลยค่อย ๆ ใช้แผ่นหลังดันบานประตูให้เปิดกว้างขึ้น เดินช้า ๆ เอาถาดอาหารไปวางข้าง ๆ โต๊ะ
"พี่อนงค์ให้เอาตำมะยมต้นหลังบ้านมาให้ครับ" ผมตอบ แล้วค่อย ๆ ยกจานตำมะยมออกมาวางที่โต๊ะอย่างแผ่วเบา อีกจานเป็นยอดมะยมที่ล้างและเด็ดทำความสะอาดแล้ววางเคียงข้าง
"ขอบใจลูก" คุณพ่อตอบเสียงต่ำ ๆ และผมก็รีบย่องออกมาจากห้องของท่านอย่างว่องไว พอเดินพ้นออกมาจนไม่เห็นกันผมก็ถอนหายใจออกมาอีกจนได้ นี่ยังปิดเทอมอีกตั้งหลายอาทิตย์ ผมจะอกแตกตายเสียก่อนหรือเปล่าหนอ?