ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
บ้านของผมนั้นเดิมทีว่ากันว่าเป็นบ้านสวน ป้าอุ่นแกว่าแต่ก่อนเป็นท้องร่องและคุณปู่ก็ให้มีการขุดคลองทดน้ำเข้ามาจนถึงสวนภายในด้วยซ้ำ ต่อเมื่อภายหลังจึงถมดิน แล้วคุณปู่ก็สร้างเรือนแถวริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้คนเช่าทำเพิงค้าขาย ย้อนไปสมัยคุณทวดคนยังใช้เรือกันเป็นส่วนมากได้ยินคุณพ่อเล่าว่า คุณทวดเวลาท่านไปทำงาน ท่านยังต้องนั่งเรือไปทำงานเลย ให้ฝีพายพาข้ามฝั่งไป ดูน่าจะเหนื่อยไม่น้อยเลยเชียวล่ะ แม่น้ำเจ้าพระยากว้างอย่างกับอะไรดี
"โอ๊ย สมัยตอนยายอุ่นยังเด็ก ๆ น่ะนะคะ บ้านเราคนอยู่กันเยอะแยะนับไปนับมาเกือบ ๆ จะแปดเก้าสิบคนทีเดียวแต่ไม่มีใครว่างงานกันหรอกนะคะ มีงานทำกันล้นมือ ช่วยกันทำงานการมีสารพัด ไม่มีใครว่างงานกันหรอก ป้าอุ่นก็ช่วยกันกับลูกพี่ลูกน้องผู้หญิง ทำครัวกันเป็นส่วนใหญ่" ยามแกเล่าถึงความหลัง นัยน์ตาเป็นประกาย ท่าทางจะคิดถึงความสุขในวัยเด็ก ส่วนผมก็นอนฟังเพลินไปเลย
ฟังจากที่ป้าอุ่นว่า คือบ้านของเรานี้ แต่ดั้งเดิม สมัยคุณพ่อของคุณทวด ท่านเป็นลูกชายคนเล็กของท่านผู้หญิงภริยาเอก ด้วยว่าเกิดห่างจากบรรดาคุณพี่หลายปี เรียกว่าคุณพี่ของท่านโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว ท่านยังเด็กตัวกะเปี๊ยกเดียว ต่อเมื่อสิ้นบุญท่านบิดาของท่าน คราวนี้บรรดาภรรยาน้อย และลูก ๆ หลาน ๆ ก็แตกฉานซ่านเซ็นกันไปหลังจากแบ่งเงินทองกันไปตามสมควร คุณทวดโชคดีหน่อย ที่ได้อาศัยบารมีของมารดาท่าน เติบโตที่บ้านหลังนี้ ส่วนพี่ ๆ ของท่านก็แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดเพราะได้เงินทองกันไปมากมาย
จะว่าลำบากก็ลำบาก แต่ก็ยังถือว่าสบายกว่าคนอื่น ๆ คุณทวดท่านเป็นคนหัวดีเรียนเก่ง ได้ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ด้วยพระญาติทางฝ่ายบิดาเอ็นดูและเห็นแววว่าจะกลับมาพัฒนาบ้านเมืองได้ เมื่อเรียนจบก็กลับมาทำงานอยู่กระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
ท่านก็เจริญในหน้าที่การงานเรื่อยมา บรรดาพี่ ๆ ของท่านได้สมบัติไปมากมาย แต่คุณทวดได้เพียงที่ดินตรงนี้ซึ่งเป็นสินเดิม ครั้นแต่งงานมีบุตรภรรยา ท่านก็ไม่ได้มีภริยาเล็ก ๆ เหมือนเจ้าคุณพ่อของท่าน แต่ก็มีลูกชายหญิงมากมายนับรวมคนที่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ก็ว่ามีถึงสิบสองคน คุณพระคุณเจ้าเอ๋ย
และจะว่าไป คุณพ่อกับคุณแม่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ กัน เพราะคนสมัยก่อน นิยมให้คนแต่งงานกันในหมู่เครือญาติห่าง ๆ นัยว่าเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน กล่าวคือ คุณปู่ของคุณพ่อ กับคุณตาของคุณแม่เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นจึงมีคนละนามสกุล ก็เติบโตรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก และส่วนใหญ่ลูกหลานก็มักจะทำงานเป็นครูกันเสียส่วนใหญ่ เพราะคุณทวดในภายหลังท่านได้มาเปิดโรงเรียนของท่านเอง ครูในโรงเรียนก็คือพวกลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านนั่นแหละ
บ้านหลังนี้ตกทอดมาถึงคุณพ่อ ซึ่งผมจะเห็นเรือนไม้เล็ก ๆ เก่าคร่ำ อยู่ภายในบริเวณบ้านเราหลายหลัง บางหลังก็ยังสภาพพอใช้ได้ เพราะตัวเรือนทำจากไม้สักอย่างดี เพียงแต่สีซีดไปบ้าง ส่วนบางเรือนก็เก่าทรุดโทรมแต่คุณพ่อก็ว่าจะปล่อยให้มันพังไปตามกาลเวลา ด้วยว่าไร้ผู้อยู่อาศัย
อีกทั้งการซ่อมแซมบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยก็สิ้นเปลืองเงินทองเป็นอันมาก ด้านหนึ่งของบ้านปลูกหลังคาคล้าย ๆ โกดัง ในนั้นบรรจุไม้แผ่นหนา ๆ จากการรื้อเรือนต่าง ๆ เอาไปกองสุมอยู่กองสูงท่วมหัวท่วมหู ฝุ่นจับหนา
บ้านที่เคยมีคนอยู่เกือบร้อย อนิจจาด้วยกาลเวลาผ่านไป ตอนนี้ มีแค่ครอบครัวผม ป้าอุ่น และคนรับใช้สองผัวเมียอีกแค่สองคนเท่านั้นเอง
จากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวพื้นที่ลึกเป็นสี่เหลี่ยมเกือบจะเป็นผืนผ้า รวมพื้นที่แล้วประมาณห้าไร่ แต่เดิมหน้าบ้านหันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะคนสมัยก่อนเดินทางด้วยเรือ ต่อเมื่อถึงปัจจุบัน ทางการตัดถนนผ่านทางหลังบ้านของเราพอดี จากหลังบ้านก็เลยกลายเป็นหน้าบ้านไปเสียฉิบ
คุณพ่อซึ่งงานยุ่งก็ไม่ค่อยจะได้วุ่นวายกับบริเวณบ้านที่เหลือ ขอแค่เรือนใหญ่ที่พวกเราอยู่อาศัยสะอาด เท่านี้ก็เห็นจะเป็นที่พอใจของท่านแล้ว
และบริเวณพื้นที่ว่าง ๆ หน้าบ้านซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นสนามหญ้า ก็ได้ถูกพี่อนงค์ ป้าอุ่น และลุงคนงาน ซึ่งทำงานจิปาถะ เท่าที่ป้าอุ่นจะไหว้วาน ปรับพื้นที่พื้นหญ้าเปล่าประโยชน์ให้กลายเป็นแปลงปลูกผักเล็ก ๆ
และพี่อนงค์ก็มีดำริจะปลูกผักสวนครัวที่ขึ้นง่าย ๆ อย่างเช่นพวกผักกาด ผักกวางตุ้ง หรือผักเสี้ยน เพราะมันปลูกง่ายตายยาก แถมเมล็ดก็ซื้อได้ง่ายจากตลาดไม่ไกลจากบ้านเรา ซึ่งผมน่ะเป็นคนชอบกินผักอยู่แล้ว บางทีพี่อนงค์ก็ทำผักเสี้ยนดองให้ผมเอากลับไปกินที่มหาวิทยาลัยก็มีบ่อย ๆ
"ซื้อเอาก็ได้" ผมรับมาอย่างเกรงใจ
"ซื้อเอาจะไปอร่อยอะไรล่ะ เค้าเอาต้นแก่ ๆ มาทำ ดองยังไม่ทันจะเปรี้ยวก็เอามาขายแล้ว นี่เค้าเอาแต่ต้นอ่อน ๆ ของมันมาดอง ล้างก็ล้างอย่างสะอาด ซื้อเขาล้างดินล้างโคลนหรือเปล่าก็ไม่รู้" นี่ล่ะพี่อนงค์น่ารักเสียอย่างนี้ แถมเธอยังรูปงาม งานบ้านงานเรือนก็เก่งกาจ ไฉนจึงไม่มีหวานใจสักคนหนา
และถ้าสัปดาห์ไหนผมจะกลับมหาวิทยาลัยพร้อมด้วยผักเสี้ยนดองล่ะก็ผมก็จะโทรศัพท์ไปหากัสจัง และกัสจังก็จะให้คุณย่าตำน้ำพริกกะปิมาให้ ยามกินอาหารเย็นด้วยกัน ผมก็ซื้อผักสดมาเพิ่มเติม ซื้อปลาทูแมวมาทอด ปลาทูแมวตัวเล็ก ๆ กินได้จนถึงก้าง แถมได้หลายตัวด้วย จิ้มกับน้ำพริกกะปิของคุณย่ากัสจังอร่อยเหมือนขึ้นสวรรค์
"ใครว่าคุณอนงค์ไม่มีแฟน นี่ไม่ใช่นะคะ เธอไม่เอาเองต่างหาก หนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบให้เธอตั้งเยอะแยะทั้งจีนจามพราหมณ์แขก" ป้าอุ่นแอบนินทา แต่เอาเถอะ ใครได้พี่อนงค์เป็นภรรยาก็เห็นจะโชคดีพอ ๆ กับคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แต่ไอ้ที่เปรียบเปรยจนพี่สาวของผมกลายเป็นนางรจนา สงสัยคุณพ่อของผมต้องให้พี่อนงค์เสียงพวงมาลัยเลือกคู่เอาสักวันเป็นแน่ หรือไม่ตรงกันข้ามกัน ท่านไม่ยอมให้พี่อนงค์มีคนรักจนพี่อนงค์กลายเป็นสาวแก่ ก็อาจเป็นได้ ผมให้คะแนนอย่างหลังมากกว่า ใครมาจีบพี่อนงค์เจอว่าที่พ่อตาดุอย่างกับเสือ ถ้าไม่กลัวก็ให้รู้ไป
นอกจากสวนผักเล็ก ๆ รอบ ๆ บ้านก็ปลูกผลหมากรากไม้ให้พวกเราพอได้กินบ้าง แต่ที่เห็นจะได้ผลผลิตเยอะกว่าต้นอื่น ก็คือ กล้วย ต้นกล้วยกอนี้ ป้าอุ่นแกเล่าว่าแกจะคอยกำชับให้ตาลุงคนงาน หมั่นขุดหน่อของมันเอาย้ายไปปลูกตรงโน้นตรงนี้อยู่เสมอ ไม่ใช่เพื่อขยายพันธุ์แต่เพียงอย่างเดียว แต่กล้วยพอปลูกมันนาน ๆ แล้วก็มักจะกลาย หรือผลผลิตไม่ดีเท่าแรก ๆ
ผมก็ฟังหูไว้หู แต่ที่ชอบใจก็คือ ถ้ามีกล้วยออกเครือ ผมก็จะรอให้มันสุกด้วยใจระทึก ถ้าจังหวะดี ๆ ก็ได้กินตอนมันสุก ๆ หวานอร่อย ผมก็ไม่รู้ว่ากล้วยน้ำว้าต้นนี้มันสายพันธุ์อะไร แต่มันอร่อยกว่ากล้วยที่เขาขายตามตลาดจริง ๆ ลูกก็สวยกว่า สีนวล ๆ ชอบกล เคยได้ยินป้าอุ่นแกว่ามันชื่อกล้วยอ่องหรืออะไรผมก็ไม่ค่อยจะรู้จักมัน
กล้วยน้ำว้าพวกนี้มันแสนดี จะเอามากินสด ๆ ยามสุก หรือถ้าดิบก็เอามาใส่แกงป่า กินแล้วมัน ๆ หนึบ ๆ อร่อยอย่าบอกใคร หรือถ้าจะเอามาทำขนม ก็คือขนมกล้วย อันนี้ก็เอร็ดอร่อยเป็นหนึ่งในขนมของโปรดของผมเหมือนกัน
ผมไปด้อม ๆ มอง ๆ กล้วยน้ำว้าเครือหนึ่งซึ่งป้าอุ่นแกว่าน่าจะสุกในอีกสองสามอาทิตย์หน้า ปลีกล้วยโดนตัดไปลวกจิ้มน้ำพริกเสียแล้ว เสียดายที่โดนตัดหน้าก่อนที่ผมจะกลับบ้านเพียงสามวัน ผมก็เลยอดกิน
"คุณณรงค์น่าจะได้กินก่อนโรงเรียนเปิดเทอมแหละค่ะ เอาน่า ถ้ามันสุกกินไม่ทัน เดี๋ยวป้าอุ่นจะเอาไปทำกล้วยเชื่อม กับขนมกล้วยให้คุณกินดีไหมคะ?" ป้าอุ่นถามแล้วก็ยิ้มอย่างใจดี ส่วนผมก็แทบจะกระโดดโลดเต้นเลย
"อย่าโกหกน้องนะ" ผมทวงสัญญา
"ไม่โกหกหรอกค่ะ แต่ถึงตอนนั้นก็มาช่วยป้าอุ่นทำด้วยก็แล้วกัน" ป้าอุ่นแกว่าอย่างใจดีเหมือนทุกที
"น้องช่วยอยู่แล้ว" ผมตอบแล้วก็กอดแขนแกแรง ๆ แล้วก็พากันไปเดินสำรวจต้นหมากรากไม้รอบบ้าน สรุปว่าเราได้มะเฟืองกันมาสิบกว่าลูก ดีจริง เดี๋ยวจะเอาไปจิ้มพริกกะเกลือ ตอนอ่านหนังสือให้เพลินไปเลย
ปิดเทอมแบบนี้ก็ใช่ว่าผมจะอยู่บ้านเฉย ๆ หรอกนะ งานน่ะรอผมอยู่ แต่มันจะเริ่มพรุ่งนี้ วันนี้ผมก็เลยลั้นลาอยู่ในบ้านของตัวเองไปก่อน แล้วมันก็ยิ่งดีที่คุณพ่อกับน้าแขไปโรงเรียนกันแล้ว รวมถึงพี่อนงค์ด้วย เหลือผมกับป้าอุ่นและลุงกับป้าคนงานอีกแค่สองคน
พ่อนั้นรับช่วงกิจการโรงเรียนมาจากคุณปู่อีกที แต่โรงเรียนของพ่อนั้นอยู่ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งจะว่าไป ก็ไม่ได้ไกลจากบ้านแถววังหลังของเรามากนัก ถ้าคุณโชคดีไม่เจอรถติด
เรือนแถวริมแม่น้ำ มักจะปิดตาย แต่ผมชอบที่จะมานั่งเล่นที่นี่เพราะมันใกล้แม่น้ำเลยมีลมเย็น ๆ มีเรือแล่นไปมาให้ดูเพลิน ๆ และยามเรือแล่นผ่านไปผ่านมาก็จะมีคลื่นมากระทบฝั่ง ทำให้เกิดเสียงดังเพลิน ๆ ริมตลิ่งของเรือนแถว คุณปู่ให้คนเอาหินก้อนโต ๆ เรียงไว้ตลอดแนว เพื่อกันน้ำซัดตลิ่ง ตั้งแต่ผมจำความได้ก็เห็นมันเป็นอย่างนี้มาชั่วนาตาปีอยู่แล้ว ดูไปก็คิดถึงเรื่องรามเกียรติ ตอนหนุมานจองถนน คือพระรามสั่งให้หนุมานพาพลทหารลิงเอาหินไปถมทะเล เพื่อจะได้พากองทัพข้ามมหาสมุทรไปช่วยสีดาจากกรุงลงกา เห็นจะเอาก้อนหินถมลงแม่น้ำเหมือนตลิ่งบ้านผมแบบนี้คงไม่ผิดกันเท่าไร
ถัดจากริมตลิ่งก็จะมีลานไม่กว้างมาก ซึ่งเทปูน และสุดปลายเรือนแถว มีท่าน้ำและบันไดเล็ก ๆ ให้ปืนลงไปในแม่น้ำได้ แต่ผมถูกห้ามตั้งแต่เล็กแล้วว่าห้ามลงไปซุกซนเป็นเด็ดขาด ซึ่งตอนเด็ก ๆ ผมแสนดื้ออะไรที่ผู้ใหญ่ห้ามก็อยากฝ่าฝืนคำสั่งให้มันสะใจ แต่ป้าอุ่นก็ไม่เคยปล่อยให้ผมหลุดรอดสายตาได้สักที อย่างดีก็ได้แค่เดินเล่นแถว ๆ ลานกว้างตรงนั้น
จนวันหนึ่งได้ยินเสียงคนเอะอะ พวกเราพากันไปดูปรากฏว่ามีคนจมน้ำตาย ศพมาติดอยู่ที่บันไดท่าน้ำ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยคิดอยากจะลงไปเล่นน้ำที่ตรงนั้นอีกเลย ถึงตอนนี้จะโตแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดแผลง ๆ ไปเล่นน้ำอีกเหมือนกัน เพราะน้ำมันสีขุ่นและบางครั้งก็มีขยะลอยเท้งเต้ง ถ้าโชคร้ายหน่อยก็จะเห็นหมาเน่าลอยผ่านหน้าต้องวิ่งหนีเพราะกลิ่นเหม็นเน่าอันร้ายกาจก็เจออยู่บ่อย ๆ
จนในที่สุดวันที่ผมไม่อยากเจอก็มาถึง กินข้าวเช้ากันเงียบ ๆ ป้าอุ่นทำข้าวต้มไก่ไว้ให้ แล้วก็แถมไข่ต้มให้ผมอีกหนึ่งฟอง เพราะแกว่าวันนี้ผมต้องใช้เรี่ยวแรงเยอะ
ผมแต่งตัวที่มองแล้วก็คล้าย ๆ ชุดนักศึกษาไม่มีผิด เพียงแต่เสื้อเชิ้ตที่สวมเป็นสีเขียวอ่อน ๆ กับกางเกงขายาวสีกากีเท่านั้นเอง คุณพ่อมองผมแล้วก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ โดยเฉพาะทรงผม ที่คงจะขัดใจท่านแน่ ๆ แต่ท่านก็ไม่ได้ว่ากระไร
เรานั่งรถกันไปสี่คน พอถึงโรงเรียนของคุณพ่อ ถึงจะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ก็จะมีเด็กมาเรียนพิเศษ หรือถ้าเป็นเด็กเล็ก เราก็มีแผนกเนอสเซอรี่ เจี๊ยวจ๊าววุ่นวาย แต่มันน่าสนุกดี
ผมรับหน้าที่ไปสอนพวกเด็กประถม ส่วนพี่อนงค์กับน้าแข ดูแลพวกเด็กอนุบาล
แต่เดิมโรงเรียนของเราสอนจนถึงระดับมัธยมต้นแต่ด้วยเข้าสู่ยุคคนเกิดใหม่น้อยลง ก็เลยยุบลงมาเหลือแค่ชั้นประถมหก และยิ่งวันก็ยิ่งมีจำนวนห้องเรียนน้อยลงทุกที ๆ ได้ยินพี่อนงค์เล่าว่า เหลือชั้นละสองห้องเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าโรงเรียนของเราสอนไม่ดี แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ชาวบ้านแถวนี้ซึ่งแต่ก่อนจะส่งลูกหลานมาเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ต่อเมื่อสังคมเมืองมันรุกล้ำ จากฝั่งธนที่เคยเป็นเรือกสวนไร่นา ก็มีถนนตัดผ่าน นำมาซึ่งความเจริญ และชาวบ้านก็ขายที่ขายทาง โยกย้ายไปอยู่ชานเมือง ที่เงียบสงบกว่านี้ นักเรียนก็เลยน้อยลงเรื่อย ๆ รับกับสังคมผู้สูงอายุ จนผมแอบคิดเล่น ๆ ว่าเปลี่ยนจากโรงเรียนเป็นบ้านพักคนชราท่าจะดี
คุณพ่อท่านมีจรรยาบรรณและความเป็นครูอยู่ในเลือดทุกหยด ถึงท่านจะดุ แต่เวลาสอนก็สอนด้วยเมตตา และด้วยยุคนี้ การตีนักเรียนเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นบรรดานักเรียนก็กลัวท่านหงอ มีคนมานินทาว่านักเรียนนินทาเรียกท่านว่า "ครูเสือ" ด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจอะไรสักนิด
จะด้วยสายเลือดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษหรือเพราะผมเป็นคนรักเด็กก็ไม่รู้ ผมก็อยู่กับเด็ก ๆ ได้โดยไม่รู้สึกรำคาญหรืออึดอัดอะไร เด็ก ๆ สมัยนี้เก่งขึ้น กล้าขึ้น และกล้าถามคำถาม ผิดกับตัวผมในวัยเด็ก บางคำถามเล่นเอาผมต้องนิ่งไปพักใหญ่ และเรียบเรียงคำตอบในหัว ว่าจะตอบอย่างไรให้เจ้าหนูขี้สงสัยพวกนี้ดีกันหนอ
พี่อนงค์กับน้าแขนั้นจะว่าสบายก็สบาย จะว่าลำบากก็ลำบาก เพราะเด็กเล็กนั้นบางคนฉี่หรืออึ ก็ต้องไปล้างเนื้อล้างตัวให้ก็บ่อย หรือกว่าจะปลอบให้เด็กใหม่ ๆ ที่ไม่เคยต้องจากพ่อแม่ ร้องไห้จ้าจนกว่าจะสงบ จะสบายนิดหนึ่งก็คือช่วงบ่ายที่เด็กวายร้ายนอนหลับเรียงกันเหมือนใครตากปลาแห้ง แต่เป็นปลาสีสวยสักหน่อย เพราะชุดนอนลายการ์ตูนพร้อยเลยทีเดียว
จนถึงตอนเย็น พวกเราก็จะกลับบ้านด้วยกัน ซึ่งป้าอุ่นก็จะเตรียมกับข้าวไว้เสร็จสรรพแล้ว ซึ่งน้าแขหรือพี่อนงค์ก็อาจจะไปช่วยทำกับข้าวที่เหลือ ส่วนผมซึ่งนาน ๆ กลับมาบ้านสักที ก็เลยขออยู่อาศัยเป็นลูกมือป้าอุ่นและให้น้าแขไปพักผ่อน
จะว่าไป เมื่อผมโตขึ้นรู้เรื่องอะไรมากขึ้น และใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ น้าแขก็จัดว่าเป็นคนดีมาก ๆ ทีเดียว เพียงแต่อีโก้ของผมต่างหากที่มันคอยสร้างกำแพงคอยปิดกั้นความสัมพันธ์กับน้าแข ให้มีระยะห่าง เราพอจะเจรจากันได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สนิทสนมเหมือนป้าอุ่นที่ผมสามารถอ้อน สามารถกอด และสัมผัสตัวกันได้ไม่เคอะเขิน
ส่วนกับคุณพ่อแล้วผมว่าอีโก้ของผมกับคุณพ่อ น่าจะเทียบเท่ากับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ กำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว เพราะมันทั้งยาวสุดลูกหูลูกตา สูงตระหง่าน และกว้างใหญ่ แต่ผมก็ยังทำใจสนิทกับท่านไม่ได้สักที อาจเพราะความฝังใจในวัยเด็ก ถ้าผมโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้มันอาจจะคลี่คลายในวันหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีวันนั้นจริง ๆ หรือเปล่า
ตื่นเช้ามาก็ไปทำงาน เลิกงานก็กลับบ้าน ทำซ้ำ ๆ จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดเทอมสักที ผมดีใจจนเนื้อเต้น และคิดถึงเพื่อน ๆ จะแย่อยู่แล้ว
วันนี้วันเสาร์ ผมไม่ต้องออกไปทำงาน ก็เลยอยู่บ้านช่วยทำตัววุ่นวายให้ป้าอุ่นบ่นโน่นบ่นนี่ไปตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว จนช่วงสาย ๆ ป้าอุ่นก็สวมหมวกใบโต หยิบมีดอีโต้มาหนึ่งอัน ท่าทางทะมัดทะแมง
"ป้าอุ่นจะทำอะไรจ๊ะ?" ผมถามและวางหนังสือในมือมองป้าอุ่นหัวจรดเท้า
"จะไปตัดกล้วยไงคะ มันเริ่มสุกแล้ว ป้าช้าไปหน่อย โดนนกกางเขนขโมยกินไปตั้งสองลูกแน่ะ" แกว่าอย่างนั้นและทำท่าจะรีบเดินไปหลังบ้าน
"ป้าจ๋ารอด้วยเดี๋ยวน้องไปช่วยตัด กล้วยเครือเบ้อเริ่มหิ้วคนเดียวไม่ไหวหรอก" ผมว่าและรีบวิ่งตามแกไป เราสองคนยืนชะเง้อมององศาของต้นกล้วยที่มันเอนไปกว่าครึ่ง ตรงหัวเครือมีรอยนกมาแทะกล้วยไปครึ่งค่อนผล ท่าทางจะอร่อยละสิ แต่เสียใจด้วย เจ้านกขี้ขโมยได้กินแค่นี้แหละ
ผมค่อย ๆ จับปลายเครือกล้วย แล้วก็ออกแรงดึงให้มันเอนลงมาอีกสักหน่อย มีด้ามยาวตัดไปตรงก้านเครือใหญ่ ๆ ฟันทีเดียวก็ขาดฉับ
"ว๊ายคุณณรงค์ระวังยางกล้วยค่ะ" ป้าอุ่นโวยวายเสมอ ผมรีบถอยตัวและท้ายที่สุด ผมก็ลากเจ้ากล้วยเครือใหญ่เบิ้มมาจนถึงห้องครัว
"เอ๊ากล้วยสุกแล้วรึ ตรงที่มีนกเจาะมันหง่อมแล้วเสียด้วย" พี่อนงค์เดินออกมาเห็นเข้าก็ร้องโวยวายอีกคน
"เอาไปทำขนมกล้วยดีไหมคุณอนงค์?" ป้าอุ่นเสนอความเห็น และพี่สาวของผมก็ปรายตามาทางผมอย่างรู้ทัน
"ป้าอุ่นอยากกินหรือใครอยากกินกันน๊อ?" เธอล้อ
"น้องอยากกิน อยากกินฝีมือพี่อนงค์ด้วย ทำให้น้องกินหน่อยนะ น๊าาาาา" ผมประจบจนเธออมยิ้ม
"ก็ได้ พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ต้องไปซื้อของจากตลาดด้วย เออดีจริง กล้วยดิบ ๆ เอาไปทำแกงป่าเห็นจะเข้าทีนะคะป้าเห็นคุณพ่อท่านบ่นอยากกินอะไรเผ็ด ๆ มาหลายวันแล้ว นี่ตัว เค้ารบกวนตัวไปขุดหัวกระชายให้สักหน่อยสิ" พี่อนงค์ถือโอกาสใช้ ผมก็เลยต้องเดินหน้ามุ่ย ไปหยิบจอบอันเล็ก ๆ เดินย้อนกลับไปใกล้ ๆ กอกล้วยเมื่อกี้ มันมีกอกระชายที่ขึ้นอัดแน่นอยู่หลายกอทีเดียว
แต่เอาล่ะ ในเมื่อเย็นนั้นผมได้กินแกงป่าลูกชิ้นปลาใส่กล้วยดิบแสนอร่อย ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะบ่นอะไรทั้งนั้น
และเมื่อถึงวันอาทิตย์ พี่อนงค์เธอคงไปตลาดกับป้าอุ่นตั้งแต่เช้า ผมลงมาก็เห็นเธอวุ่นวายอยูในครัวกับของเยอะแยะเสียแล้ว
"มาให้น้องช่วยอะไรดี?" ผมเสนอตัว และพี่อนงค์ก็ให้ผมยีกล้วยที่สุกจนเปลือกของมันแทบจะเป็นสีดำกระดำกระด่าง ผมค่อย ๆ ปอกเปลือกของมันสวมถุงมือแล้วก็ยีจนเนื้อของมันเละ จริง ๆ จะใช้เครื่องบดก็ได้แต่ผมว่าให้มันมีเนื้อสัมผัสของกล้วยหยาบมั่งละเอียดมั่งจะอร่อยกว่า
พี่อนงค์ชะเง้อมองกล้วยที่เริ่มเละไม่เห็นซาก จากนั้นเธอก็โยนโน่นโยนนี่ลงมาแล้วก็ให้ผมคลุกพวกมันไปเรื่อย ๆ ให้เข้ากัน มีแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล เกลือ แล้วก็หัวกะทิ ทีเด็ดก็คือมีมะพร้าวขูด ซึ่งก็เป็นมะพร้าวจากบ้านของเราเหมือนกัน ป้าอิ่มแกให้ลุงคนงานไปสอยแล้วก็ขูดจนได้เนื้อมะพร้าวทึนทึกถ้วยโต เราใส่เพียงครึ่งเดียวอีกครึ่งเอาไว้โรยหน้า
ทีนี้ก็ตักใส่ถ้วยตะไล ซึ่งมีมากมาย บางเจ้าที่เขาทำขายก็ใส่กระทงใบตอง ผมว่ามันก็มีเสน่ห์ดี เพราะจะได้กลิ่นหอม ๆ ของใบตองด้วย แต่นี่เราทำกินกันเองก็เอาสะดวกเข้าว่า โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดที่เหลือจากนั้นก็เอาไปนึ่ง ทิ้งไว้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ
แต่กล้วยเครือนี้มันใหญ่โตจริง ๆ ขนาดทำขนมกล้วยไปตั้งสองหวี ก็ยังเหลือกล้วยอีกตั้งมากมาย
เมื่อถึงวันก่อนเปิดเทอม ผมก็ได้กล้วยเชื่อมกลับมากินที่มหาวิทยาลัยถุงโต ๆ กัสจังกับหมึกดีใจกันใหญ่
ไอ้เรื่องกล้วย ๆ บางทีกว่าจะได้มันมาก็ไม่กล้วยเลย ผมใจหายชะมัด เมื่อนึกถึงเวลาหลังจากที่การที่ผมจะได้อยู่กับเพื่อน ๆ ที่รักมันถอยหลังลงทุก ๆ วัน
มื้ออาหารเย็นวันหนึ่ง เราสามคนกินข้าวด้วยกันเหมือนเคย ค่อนข้างพิเศษที่หมึกเอาปลาหมึกแห้งมาจากที่บ้าน ทอดเสียหอมฉุย แน่ล่ะเราคนกินก็ต้องว่าหอม แต่คนไม่ได้กินคงด่าบรรพบุรุษของเราเสียย่อยยับ ขนาดเอาไปทอดที่ระเบียงห้องแล้วนะ
กินกันเสียเต็มคราบ ผมก็เลยรู้สึกว่าต้องมีอะไรล้างปากสักหน่อย นึกขึ้นมาได้ว่ากล้วยเชื่อมที่เอามาจากบ้านเหลือติดถุงอยู่นิดหน่อย ก็เลยเอามาเทใส่จานกินด้วยกัน
กล้วยเชื่อมซึ่งตอนนี้มันแข็งปั๋งเนื้อเหนียวหนึบ แต่เมื่อเคี้ยวใส่ปาก จะได้รสหวานเจื้อยเคี้ยวหนึบ ๆ ยิ่งเอาออกมาจากตู้เย็น ก็กินอร่อยขึ้นไปอีก ผมนั่งอมยิ้มมองเพื่อนสองคนที่เคี้ยวกล้วยเชื่อมด้วยกัน
"อีหม่อมมองอะไรยะ?" หมึกถามเมื่อเห็นผมเอาแต่มองแต่พวกเขา
"ไม่มีอะไร เห็นกัสจังกับหมึกกินแล้วอร่อยเราก็ดีใจน่ะ" ผมตอบและหยิบกล้วยเชื่อมชิ้นสุดท้ายมากิน เคี้ยวหยับ ๆ แล้วเราสามคนก็ยิ้มด้วยกัน