ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"น้า ๆ ทางนี้ ๆ" เสียงของกัสจังดังจากด้านหนึ่งของโรงอาหาร และในขณะเดียวกันหมึกก็กระโดดโบกมือโบกไม้ ไม่ได้แคร์สายตาคนทั้งโรงอาหารเลยสักนิด ผมอายหน่อย ๆ เพราะตอนนี้ผมกลับตกเป็นเป้าสายตาของคนเกือบครึ่งโรงอาหาร
"เห็นแล้ว ๆ หมึกนั่งลงได้แล้ว" ผมรีบเดินเร็ว ๆ และดันตัวของหมึกให้นั่งลง ดูสิเป็นรุ่นพี่ปีสี่แล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้ ผมขมวดคิ้ว
"ไป ๆ ไม่ต้องรีรอ รีบไปซื้อข้าวร้านป้าโน่น เออวันนี้มีแกงเทโพของโปรดน้าด้วยนะ" กัสจังบอกผมก็รีบแจ้นไปเข้าแถวต่อคิวซื้อกับข้าวเลยทีเดียว หลังจากเอากระเป๋าวางไว้ตรงที่นั่งข้าง ๆ กัสจัง
"ณรงค์กินอะไรดี?" เพื่อนคนที่อยู่ด้านหลังของผมถาม ครั้นหันไปก็เจอใบหน้ากลม ๆ ใส่แว่นตากลม ๆ และตัวกลม ๆ ของเขา ผมหน้าม้าเต่อจะว่าตลกก็ตลก แต่มันก็เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน และถึงจะอยู่ปีสี่เหมือนผม แต่ผมว่าด้วยรอยยิ้มซื่อ ๆ ของเขาก็ดูจะเหมือนทำให้พี่ปีสี่กลายเป็นน้องเฟรชชี่ด้วยซ้ำ
"ว่าจะกินแกงเทโพน่ะ แต่กำลังคิดอยู่ว่าเอาอะไรอีกอย่างดี เต่าล่ะ อยากกินอะไร?" ผมถามเพื่อนของผมย้อนกลับ ซึ่งเจ้าตัวก็พยายามยืดตัวมองไปข้างหน้า คิวข้างหน้าเราอีกสี่คน เต่าชะเง้อมอง แล้วก็ทำท่าครุ่นคิด
"แกงเทโพก็น่าสนใจ ป้าเขาทำอร่อย มีทีไรเราก็ซื้อทุกที ณรงค์ก็ชอบกินเหมือนกันหรอ?" เต่าถามและผมก็พยักหน้ารับ
ผมได้กับข้าวก่อน เพราะเข้าคิวก่อน แต่ก็ยังรอให้เต่าซื้อให้เสร็จ จะได้เดินไปนั่งกินข้าวด้วยกัน
เต่าเป็นเพื่อนร่วมคณะกับผม ถ้านับว่ากัสจังกับหมึกเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ปึก เต่าก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะที่สนิทกับผมอีกหนึ่งคนทีเดียว
เต่านั้นเป็นสายเด็กเนิร์ดของแท้ และเป็นหนอนหนังสือตัวยง สิ่งนี้ทำให้ผมกับเต่าสนิทกันค่อนข้างไว เราเจอกันในหอสมุดของมหาวิทยาลัยบ่อย ๆ และเมื่อรู้ในภายหลังว่าเป็นหนอนหนังสือคอเดียวกัน มีหนังสือบางเล่มที่ชอบอ่านเป็นแนวเดียวกัน แต่บางแนวผมก็ไม่ถนัดเอาเสียเลย อย่างเช่นนิยายกำลังภายในซึ่งเต่าชื่นชอบเป็นอันมาก
"อ๊ะพาผัวมาด้วยหรอ?" หมึกแซว จนผมยื่นมือของผมไปตีแขนของเจ้าตัว เนื่องจากตอนนี้เต่าไม่อยู่ อาสาไปซื้อน้ำมาให้ผม
"อย่าไปพูดอย่างนั้นนะ เดี๋ยวเต่าได้ยินมันไม่ดี ผัวเผออะไรเพื่อนกันหมึกนี่พูดอะไรไม่เข้าท่าเลย" ผมดุหมึก ในความรู้สึกของผม ผมว่าการดุของผมมันค่อนข้างแรงแต่หมึกไม่ได้ยี่หระเลยสักนิด แถมเบ้ปากใส่เสียด้วย แต่พอเต่ากลับมานั่งกับพวกเรา หมึกก็ชวนเต่าคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนานเสียฉิบ
"เอออีกัส มึงถามเต่าสิ เรื่องสอบชิงทุนของมึงน่ะ" หมึกพูดกับกัส และเมื่อกัสสอบถามเรื่องทุน เต่าซึ่งเป็นผู้รู้จนพวกเราแอบเรียกเต่าลับหลังว่าเป็นเอ็นไซโคลปีเดียร์ เราไม่ได้บอกว่าเต่าเป็นกูเกิ้ล เพราะภาพลักษณ์ของเต่ามักจะมีหนังสือติดตัวอยู่เสมอ เป็นหนังสือเอ็นไซโคลปีเดียร์หรือหนังสือสารานุกรมนั่นเห็นจะเข้ากันมากกว่า
นั่นไงแล้วเต่าก็รู้เรื่องทุนนี้จริง ๆ เสียด้วย แถมแนะนำกัสจังเป็นการใหญ่ราวกับว่าปีก่อนเป็นผู้ไปสอบชิงทุนกับเขามาแล้วทีเดียว
เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จ หมึกและกัสจังแยกย้ายกันไปเรียน ส่วนผมมีเวลาว่างราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งเพราะอาจารย์ยกคลาส
"ณรงค์ไปนั่งเล่นในห้องสมุดดีกว่า แอร์เย็นดี" เต่าชวนและผมก็เห็นด้วย เราเข้าไปในห้องสมุด และเลือกหนังสือมาอ่าน ผมเดินไปหยิบหนังสือเรื่องศกุนตลามาอ่าน ซึ่งแน่ล่ะ ดูเหมือนเต่าจะเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้ว แต่เต่าก็ไม่ได้สปอยล์อะไรให้ผมฟัง
"ณรงค์รู้หรือเปล่า ว่ากันว่าคนที่ชอบอ่านหนังสือทั้งหลาย มีหนังสืออยู่สี่เรื่องที่ไม่ควรพลาด" เต่ากระซิบกระซาบชวนคุย
"หรอ ๆ เรื่องอะไรบ้างน่ะ" ผมถามกลับ
"ของฝรั่งก็เรื่องมหากาพย์ อีเลียต ส่วนของจีนก็คือสามก๊ก และของอินเดียก็คือ รามมายณะ กับกาพย์มหาภารตะ" เต่าตอบแล้วก็ยกหนังสือเล่มหนาปึกให้ผมดู พลิกหน้าปก เป็นหนังสือหุ้มหนังดูเก่าคร่ำ ตัวอักษรเดินทอง เขียนว่า มหากาพย์มหาภารตะ
"เราเคยอ่านรามมายณะแต่อ่านยังไม่จบแล้วก็สามก๊ก แต่สามก๊กน่ะอ่านแค่รอบเดียวนะ คบได้" ผมพูดติดตลกซึ่งเต่าก็หัวเราะกับมุกตลกของผม หนึ่งคนในโลกที่หัวเราะกับมุกตลกของผมก็คือเต่านี่แหละ เพราะเขาว่ากันว่าใครอ่านหนังสือสามก๊กจบสามรอบจะเป็นคนคบไม่ได้ ดังนั้นผมอ่านจบแค่รอบเดียวจึงคบได้อย่างแน่นอน
"มหาภารตะสนุกดีนะ ซับซ้อนดี แต่เราแทบจะจำตัวละครไม่ได้ก็เลยต้องเขียนว่าใครเป็นลูกใคร" เต่าตอบและ ยื่นสมุดซึ่งเขียนชื่อตัวละคร มีลูกศรโยงจากตัวละครนั้นไปละครนี้คล้าย ๆ family tree
"ณรงค์ ไปตัดผมที่ไหนหรอ?" เต่าถามโดยยังจ้องหน้าอยู่ที่หนังสือ
"เจ๊หวังแฟนของเปาตัดให้น่ะ ทำไมหรอหัวเราตลกป่าว?" ผมถามพร้อมกับเอามือไปเสยผมตัวเอง ถึงใคร ๆ จะบอกว่าตัดผมทรงนี้แล้วดูดี แต่ผมก็แอบมีความไม่มั่นใจในบางครั้งเหมือนกัน
"ไม่ตลกออก ดูดี ดูดีมาก ๆ ทีเดียวล่ะ" เต่าบอก และเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงกริ่งดังผมก็เลยชวนเต่าไปเรียนคาบต่อไป
วันเวลาล่วงเลย อย่างรวดเร็ว ผมอดจะดีใจกับกัสจังเสียไม่ได้ เพราะในที่สุดกัสจังก็สอบได้ทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสจริง ๆ เสียด้วย กัสจังเป็นคนหัวดี จำเก่ง เรียนเก่งมาก ๆ ผมจึงไม่แปลกใจเลย แต่หมึกบอกว่าเพราะกัสจังดวงดีต่างหาก
แต่ยิ่งเห็นกำหนดเวลาซึ่งมันก็กระชั้นนัก และกัสจะต้องไปเตรียมตัวก่อนเดินทางไปฝรั่งเศส บางวันกัสจังก็ต้องหยุดเรียนเพื่อไปดำเนินการเรื่องเอกสาร เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว บางวิชาก็หนักหน่วง แต่บางวิชาก็ต้องปล่อยสบาย ๆ ได้เลยทีเดียว แต่กัสจังเรียนบางตัวจบไปตั้งแต่เทอมก่อนเลยมีเวลาเหลือค่อนข้างมาก
และคืนวันศุกร์คืนหนึ่ง อากาศข้างนอกมันค่อนข้างจะร้อน และพวกเราก็เครียดจากการอ่านหนังสือเพราะจะสอบวันพรุ่งนี้ ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรกิน เงยหน้ามาอีกทีก็สี่ทุ่ม หมึกปิดหนังสือ และกระโดดตุ๊บมาอยู่หน้าเตียง
"พวกมึง...กูหิว" หมึกโวยวาย
"ดึกแล้ว" กัสจังตอบโดยหน้ายังอยู่กับตำรา
"งั้นอีน้า ไปหาอะไรแดกกัน" หมึกโอดครวญ ผมก็ชักจะหิวนิด ๆ วันนี้ไม่ใช่วันพระ ผมไม่ถือศีลแปด และเริ่มจะรู้สึกว่า ตอนนี้หัวมันตื้อ ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศแล้วค่อยกลับมาอ่านหนังสือต่อก็เห็นจะเข้าทีอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายกัสจังก็ถูกลากมาด้วย ทีแรกจะเข้าร้านสะดวกซื้อ แต่กัสจังบอกว่า หมั่นไส้ เพราะตอนที่พวกเราไปสมัครทำเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ โดนเอาเปรียบจะแย่ อย่ากระนั้นเลยไปหาอย่างอื่นกินดีกว่า
"กินข้าวต้มดีไหม?" หมึกเสนอความเห็น ซึ่งแน่นอน มันเป็นความคิดที่ดี เราเดินไปร้านข้าวต้มซึ่งนาน ๆ พวกเราจะมานั่งกินด้วยกันสักที ยืนมองเมนูแล้วก็จดใส่กระดาษยุกยิก ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็น่าอร่อย เสนอกันคนละสองอย่าง และผมก็นึกอยากกินผักบุ้งผัดไฟแดง อีกสักจาน ซึ่งแน่ละ มากินข้าวต้มโต้รุ่งจะขาดผักบุ้งไฟแดงก็เหมือนพระบวชไม่ครบพรรษา
สั่งข้าวต้มร้อน ๆ หอม ๆ คนละสองถ้วยและเมื่อกับข้าวมาถึง ก็ลงมือตักทันทีไม่รีรอ แต่หมึกผู้ซึ่งหูไวตาไว ทำท่าเขม่นตามอง แล้วก็ชี้ชวนให้ดูว่าร่างอ้วน ๆ ซึ่งเห็นแต่ไกลก็รู้ว่าไม่ใช่ใครอื่นเต่านั่นเอง
"อีเต่า ๆ มานี่ ๆๆ มานั่งด้วยกันเด้อ" หมึกตะโกนเรียกออกท่าออกทางอย่างทุกที ผมเห็นจนชินแต่ก็ขำท่าทางของหมึกทุกครั้งและเต่าก็รีบเดินจ้ำ ๆ ยิ้มจนตาปิด พอพวกเราชวนเต่ากินข้าวต้มด้วยกัน เต่าก็ทิ้งตัวนั่งลงอย่างยินดี
"สั่งเพิ่มสิอีเต่า นี่เพิ่งเริ่มกินเอง อยากกินอะไรสั่งเลย หารเท่ากันจ๊า" หมึกสั่งการ
"เอาผักบุ้งไฟแดงดีมั๊ย?" เต่าถามความเห็น
"อีน้ามันสั่งแล้วสั่งอย่างอื่นค่ะ" กัสจังบอกและเต่าก็หันมามองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม...เหมือนทุกที
เรานั่งกินข้าวกันบ่นนั่นบ่นนี่ เต่าก็บ่นเหมือนกันว่าอ่านหนังสือจนเครียดเลยออกมาหาอะไรกิน
"อีเต่ามึงจำแม่นอย่างกะเอนไซโคลปีเดียร์ มีอะไรที่มึงจำไม่ได้วะ ไปเพิ่มแรมหน่อยสิไป" หมึกล้อและเต่าก็ยิ้มกว้าง เต่าเป็นคนน่ารักอย่างนี้ใครว่าอะไรเต่าก็ไม่เคยชักสีหน้าโกรธเลยสักครั้ง แถมยังหัวเราะไปกับคนที่ว่าตนเสียด้วย ก็เต่าเป็นคนน่ารักอย่างนี้ ใคร ๆ ก็รักเต่ากันทั้งนั้น
เมื่อกินเสร็จหารเงินกันเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับหอกันแต่เต่านั้นอยู่หอใน ก็เลยโบกมือลากันที่หน้าทางเข้า
"อีน้า กูว่าอีเต่ามันแอบชอบมึงอ่ะ มึงสัมผัสพลังรักของมันไม่ได้เหรอวะ?" หมึกถามและยื่นแขนมากอดคอของผมกับกัสจัง
"ไม่หรอก" ผมปฏิเสธ แต่จริง ๆ ผมรู้ว่าเต่าน่ะน่าจะแอบชอบผม ไม่สิ ผมรู้ รู้ดีมาก ๆ ทีเดียว แต่ผมไม่ได้ชอบเต่า ไม่ใช่เพราะว่า เต่าไม่หล่อหรือตัวอ้วน แต่ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าไม่ใช่สเปคของผม และผมก็เห็นว่าเต่าเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง...มากกว่า และคิดเกินเลยไปกว่านั้นไม่ได้เลยสักนิดเดียว
จนถึงช่วงเวลาของการสอบ แต่กัสจังสอบเก็บหมดทุกตัวแล้ว และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า พรุ่งนี้หลังจากสอบตอนเช้าเสร็จ เพราะกัสเหลือตัวสุดท้าย คุณพ่อหรือคุณแม่ของกัสก็จะมารับกัสกลับบ้าน เพราะต้องเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส เล่นเอาแม้แต่หมึกผู้ที่ครึกครื้นที่สุดในโลก ก็ยังถึงกับนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ไม่พูดเย้าหยอกกับใครเลย
จนในวันถัดมา ผมกับหมึกรีบวิ่งกลับไปที่หอพักเพื่อไปลากัสจัง เรากอดกับกลม ผมถึงกับน้ำตาคลอ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะอีกนานเท่าไรที่เราจะได้เจอกันอีก ใจหาย และเมื่อกลับมาที่ห้อง เห็นอาหารที่ทำให้ผมกับหมึกกิน ก็ซึ้งในความรักของเพื่อนและเราก็ร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งสามปีกว่าทีเดียวนะ เวลาสามปี ที่เราทั้งสุขทั้งทุกข์ เคยหัวเราะ เคยร้องไห้ เคยทะเลาะ เคยงอนกัน แล้วก็ต้องง้อกัน เคยนินทากัน มันมีแต่ความทรงจำดี ๆ ตั้งมากมาย ผมแสนใจหาย ไม่นึกเลยว่าวันนี้มันจะมาถึง
คืนนั้นเหลือแค่ผมกับหมึกเพียงสองคน มันดูเหงาลงถนัดใจ แต่หนังสือที่ต้องอ่านเพื่อสอบ ก็ยังมีอีกหลายเล่ม จนราว ๆ เที่ยงคืน หมึกถอดใจ ทิ้งหนังสือกลับไปนอนแล้ว ส่วนผมขออ่านหนังสือเตรียมสอบอีกสักครึ่งชั่วโมง พร้อมกับมองโน๊ตต่าง ๆ ที่จดเทียบกัน พลิกไปพลิกมา แล้วก็ลองอธิบายคำตอบในใจ จากนั้นถึงจะปิดไฟนอน
จนถึงวันสุดท้ายแห่งการสอบ พรุ่งนี้แล้วที่เราจะต้องแยกจากกัน หลายคนไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ แต่เพื่อนสนิทของผมมีแค่กัสจังกับหมึกแค่สองคน
"อีน้าไปแดกข้าวต้มกันดีกว่า" หมึกชวนและผมก็เห็นดีด้วย ถึงจะเหงาหน่อยที่ไม่มีกัสจัง แต่ด้วยความบังเอิญ เราก็เจอเต่าอีกแล้ว พอนั่งกินข้าวด้วยกัน กลับกลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายฟัง หมึกซักเต่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เช่นจบแล้วจะไปที่ไหน ทำงานหรือว่าเรียนต่อ อะไรอีกจิปาถะ จนเต่าหันมาถามผม ซึ่งฟังจนเพลิน
"ณรงค์ล่ะ จะไปสมัครงานที่ไหนหรือเปล่า?" เต่าถามและผมก็พยายามฝืนยิ้ม
"ก็ไปสอนที่โรงเรียนของพ่อน่ะ ท่านอุตส่าห์ส่งเราเรียนก็คงต้องกลับไปสอนที่โรงเรียนของท่านสิ" ผมพูดไปแต่ก็ใจหายชะมัด หมึกกับเต่าได้ยินกลับพูดว่าผมโชคดี เพราะทั้งสองคนจะยังไม่คิดเรียนต่อ อยากจะหางานทำ แล้วไอ้งานสมัยนี้มันหายากจะตาย ดังนั้นผมจึงเป็นคนโชคดีที่เรียนจบปุ๊บก็ได้งานทำเลย ไม่ต้องลุ้น ผมไม่อยากอธิบายอะไร เพราะถึงพูดไปมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้
จนเมื่อขากลับ ผมรู้สึกได้ว่าเต่าพยายามชวนผมคุยมากกว่าทุกที แต่ผมก็หนีบแขนของหมึกจนแน่น ไม่ยอมให้หมึกเดินห่างจากตัวของผมเลย เต่าก็เลยไม่ได้คุยอะไรกับผมเป็นชิ้นเป็นอัน
คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย มองดูฝ้าเพดาน มองดูเงาของหมึกที่นอนหลับตะคุ่ม ๆ อยู่ที่เตียงของเขา มองเตียงของกัสจังที่ว่างเปล่า มองกองกระเป๋าสัมภาระที่แยกเป็นสองกอง และน่าจะหลับไปเพราะความเพลียประมาณตีสามกว่า ๆ
มาตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงปึงปังของหมึกที่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวเอากระเป๋าลงไปไว้ที่ชั้นล่าง
"หมึกจะกลับบ้านยังไง?" ผมถามและนั่งมองอยู่บนเตียง
"เดี๋ยวพี่ชายมารับน่ะ บอกมันให้มาก่อนเที่ยงไม่รู้จะถึงเมื่อไร" หมึกตอบแล้วก็ไล่ผมให้ไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินด้วยกันตอนเช้า เราเลือกร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำหมึกสั่งผัดกะเพราทะเล ส่วนผมสั่งสุกี้แห้ง และออกจะเคืองแม่ค้าที่ใส่ผักบุ้งมาให้เสียเต็มชาม
"ของมันแพง ใส่ผักบุ้งให้ก็ดีแล้วดีกว่าใส่มาแต่วุ้นเส้นแดก ๆ ไปอย่าบ่น"
"พูดเหมือนเราเป็นเต่าจะให้กินแต่ผักบุ้งหรือยังไง" ผมย้อนแต่ดูเหมือนคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอก็ตายอยากกว่าที่คิด เต่าเดินต้วมเตี้ยม ๆ มาตั้งแต่เช้า แต่งตัวหล่อผิดกว่าทุกที และเมื่อเห็นผมกับหมึกก็รีบเดินมานั่งกินข้าวเช้าด้วย
กินข้าวเสร็จ หมึกก็ได้รับสายจากพี่ชายว่าใกล้จะถึงแล้ว เราก็เลยเดินกลับไปที่หออย่างว่องไว เต่าใจดีรับอาสาช่วยกันขนของหมึกลงมาจากห้อง จึงเป็นการขนของเพียงรอบเดียวเท่านั้น
"อีหมึกแน่ใจนะว่าไม่ได้ลืมอะไร?" พี่ชายของหมึกที่หน้าดุ ๆ ถาม แต่หมึกก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวสักนิด
"ไม่ลืมหรอกเก็บหมดแล้ว ถ้าลืมอะไรมึงเก็บของให้กูด้วยนะอีน้า" หมึกว่าและผมก็ยืนอมยิ้ม
ต้องจากลาอีกแล้ว ผมกอดกับหมึกจนแน่น และสัญญาว่าจะคุยกันในไลน์บ่อย ๆ แต่กับเต่าหมึกเพียงจับมือของเต่าเขย่าแรง ๆ และเอ่ยคำร่ำลากัน
จนรถของหมึกแล่นจากไป หน้าลานจอดรถหน้าหอ เหลือผมกับเต่าแค่สองคน แต่ผมจะกลับขึ้นไปบนห้อง เต่าก็เรียกผมให้หยุดก่อน
"อะไรหรอเต่า?" ผมถามและหันกลับมามองหน้าเต่าก็ทำอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋า หยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่มแล้วก็ยื่นให้ผม
"เป็นหนังสือที่เราชอบน่ะ อ่านหลายทีจนขึ้นใจแล้ว ของประภัสสร เสวิกุล เราว่ามันเป็นหนังสือที่ดี ก็เลยอยากจะให้ณรงค์ไว้เป็นที่ระลึก เอ่อไม่รู้ว่าณรงค์จะรังเกียจที่มันเป็นหนังสือที่เราอ่านแล้วหรือเปล่า?" เต่าร่ายยาวและผมก็รับมาอย่างยินดี
"รังเกียจอะไรกันเล่า เหมือนเราเคยอ่านตอนเด็ก ๆ นะ ตอนนั้นเหมือนเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา แต่เราลืมเรื่องของมันไปแล้ว แต่จำได้ว่าตอนนั้นก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน ขอบคุณเต่ามาก ๆ นะ" ผมพูดและสุดท้ายเต่าก็ขอตัวจากไป
ผมนั่งรถกลับบ้าน โชคดีที่สมบัติของผมมีไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าของผมก็เต็มกระเป๋าลากใบใหญ่ เพราะผมทยอยเอาพวกหนังสือของคุณแม่กลับบ้านไปหมดแล้ว นั่งรถนึกเบื่อ ๆ ก็เลยหยิบหนังสือ "เวลาในขวดแก้ว" ที่เต่าให้เป็นของที่ระลึกออกมาอ่าน
หนังสือเล่มหนาแค่นี้ ผมใช้เวลาเพียงสี่สิบห้านาทีก็อ่านจบแล้ว มาสะดุดใจในตอนท้าย เรื่องดอกตะแบก ที่พระเอกสัญญาว่าจะเก็บให้เพื่อนหญิงท่าทางห้าว ๆ คนหนึ่ง แต่สุดท้ายเพื่อนสาวห้าวคนนั้นก็ตายไปเสียก่อน โดยมีโน๊ตเล็ก ๆ เขียนให้พระเอก ทวงสัญญาว่า จะเก็บดอกตะแบกให้ เธอก็รอยคอยจนชั่วชีวิต...แต่พระเอกก็ไม่เคยเก็บดอกตะแบกให้เธอเลย
อ่านแล้วก็ใจหาย ผมรู้สึกว่าเต่าพยายามบอกความนัยอะไรบางอย่างกับผม ผมรู้สึกได้
"เต่าขอบคุณนะ แต่เราขอโทษเต่าจริง ๆ" ผมเปรยเบา ๆ และมองหนังสือเล่มเก่ามีร่องรอยการอ่านซ้ำหลายหน แล้วรีบนำมันเก็บลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก มองออกไปข้างทาง มองรถที่วิ่งขวักไขว่ไปมา
จนรถมาจอดที่เอกมัย ผมก็ต่อรถเมล์มาฝั่งธน จนในที่สุดก็ถึงปากซอยหน้าบ้าน ลากกระเป๋าเข้าไป และเมื่อถึงบ้าน บ้านก็เงียบกริบ ป้าอุ่นชะโงกหน้าออกมายิ้มอย่างดีใจและผมก็ยกมือไหว้แกแทบไม่ทัน
"โอ๊ยดีใจจัง คุณณรงค์เรียนจบสักที ป้าอุ่นจะได้ไม่ต้องรอคุณณรงค์เอาแต่คิดถึงอีกแล้ว" แกว่าแล้วก็พาผมกลับไปเข้าบ้าน
แน่นอนว่าบ้านเงียบงันเพราะทุกคนไปทำงาน ป้าอุ่นกำลังเตรียมทำกับข้าว ผมขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดี๋ยวจะลงครัวมาช่วยแกทำอะไรในครัว
"ให้น้องช่วยทำอะไรดีจ๊ะ?" ผมถามและป้าอุ่นก็ให้ผมล้างและเด็ดผักบุ้ง มันยังอยู่เป็นกำ ๆ ผมจัดแจงเอาไปล้างตรงอ่างล้างจานแล้วค่อย ๆ เด็ดเป็นท่อน ๆ
"ป้าอุ่นจะทำผัดผักบุ้งไฟแดงหรือจ๊ะ?" ผมถามไปเด็ดผักบุ้งไป
"ไม่ใช่ค่ะ โอกาสพิเศษอย่างนี้ ป้าอุ่นอยากทำพระรามลงสรง" ป้าอุ่นว่าพร้อมกับคนอะไรในหม้อใบเล็ก ๆ ลองได้ทำเมนูนี้แสดงว่าวันนี้มันพิเศษจริง ๆ ผมน่ะนาน ๆ จะได้กิน และแน่นอนว่าหากินตามร้านข้างนอกแทบไม่มีเลย
ซึ่งตำรับพระรามลงสรงที่บ้านของผมนั้นจะกินพร้อมกับข้าว คือมีผักบุ้งลวก วางข้างหน้าด้วยเนื้อหมูหั่นบาง ๆ ลวก แล้วก็ราดน้ำจิ้มสูตรพิเศษ
น้ำราดนั้นจะคล้าย ๆ กับน้ำหมูสะเต๊ะ ถามป้าอุ่นว่าทำอย่างไร แกก็ว่าตั้งหัวกะทิเคี่ยวให้แตกมันแล้วก็เอาพริกแกงแดงลงผัด (ต้องเป็นพริกแกงที่ป้าอุ่นตำเองด้วยนะ ที่ซื้อเขามันไม่หอม ป้าอุ่นว่าอย่างนั้น) พอพริกแกงกับหัวกะทิเข้ากันก็ใส่ถั่วลิสงป่น ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำมะขามเปียก เท่านี้ก็อร่อยจะแย่ และผมสารภาพตรง ๆ ถ้าไม่ใช่อยู่บ้าน ผมก็ไม่เคยเห็นว่าที่ไหนจะทำขายทั้ง ๆ ที่มันทำง่ายชะมัด หรือจะเพราะมันง่ายไปก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เมื่อจะกิน เราก็จะตักข้าว เรียงผักบุ้งลวกที่ด้านหนึ่งของจานผมชอบกินผักจึงตักผักบุ้งวางเป็นกองใหญ่ ส่วนเนื้อหมูลวกนั้น ป้าอุ่นก็ฝานจนมันบางเฉียบ เมื่อลวกแล้วก็เป็นหมูแผ่นบางเนื้อนุ่ม ยามเมื่อราดน้ำ ตักผักบุ้งเยอะ ๆ ให้ติดชิ้นหมูมาสักหน่อย และถ้าได้น้ำราดฉ่ำ เมื่อเคี้ยวแล้วจะหอมไปทั้งปาก รสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ ของน้ำจิ้ม กับเนื้อสัมผัสของหมูลวกนุ่ม ๆ ผสมกับผักบุ้งกรุบ ๆ อร่อยจนผมกินหมดไปหนึ่งจานโต ๆ หลังจากกินเสร็จ ผมก็นำหนังสือที่เต่ามอบให้เป็นของที่ระลึกนำไปเก็บในตู้หนังสือของคุณแม่ ผมคุ้น ๆ ว่ามีแถวหนังสือของ ประภัสสร เสวิกุล ซึ่งเป็นนักเขียนซีไรท์ อยู่แถวหนึ่ง ผมจำได้เพราะหนังสือถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และเมื่อจะเอาหนังสือเข้าไปเก็บ ก็เจอหนังสือเรื่องเดียวกันในชั้นตรงนั้น
"เอ๊ามีแล้วนี่" ผมบ่นกับตัวเองแต่ก็เก็บหนังสือทั้งสองเล่มเก็บเข้าไปในตู้ด้วยกัน และเมื่อลงมาข้างล่าง ป้าอุ่นก็ให้ผมช่วยจัดจาน เพราะคุณพ่อ น้าแข และพี่อนงค์ ใกล้จะกลับจากโรงเรียนแล้ว
"ผักบุ้งนี่ป้าอุ่นปลูกเองหรือซื้อที่ตลาดจ๊ะ?" ผมแซว
"แหมก็ต้องปลูกเองอยู่แล้วสิคะ" ป้าอุ่นตอบ และผมก็คิดว่านับจากนี้คงจะได้กินผักบุ้งอีกหลายมื้อ จะอะไรก็ขอให้เป็นเถอะ ยิ่งเป็นผักบุ้งก็ยิ่งดี เมนูไหนก็ได้ ผมกินอย่างยินดีทั้งนั้นแหละ ยิ่งเป็นผักบุ้งที่บ้านของเราปลูกเอง เท่านี้ก็ดูจะเอร็ดอร่อยกว่าที่อื่นเป็นกอง หลังจากนี้ผมคงได้ช่วยป้าอุ่นปลูกผักอย่างจริงจัง ผมน่าจะยุให้ป้าอุ่นลูกผักบุ้งเพิ่มอีกสักแปลง ถ้าได้กินผักบุ้งอาทิตย์ละหนสองหนก็เห็นจะเข้าที