ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
มะเขือนั้นเป็นพืชผักที่เข้ากับอาหารไทยมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ย่าง ผัด แกง ทอด ทั้งมะเขือเปราะ มะเขือยาวไปจนถึงมะเขือเทศ และมะเขือแปลก ๆ อีกหลายอย่างที่ผมเห็นแล้วก็ออกจะเอ็นดูมัน เช่นมะเขือตอแหล ลูกกลม ๆ เล็ก ๆ สีม่วงสดใส หรือสีขาวซึ่งกินกับน้ำพริกเอร็ดอร่อยดี ได้ลูกสด ๆ เคี้ยวทีดังกร๊วม
เหตุที่ทำให้ผมนึกถึงบรรดามะเขือพวกนี้ก็เป็นเพราะว่าหลังจากที่ไปสอนที่โรงเรียนของคุณพ่อ ผมรับหน้าที่เป็นครูประจำชั้นเด็กชั้นประถมหนึ่ง ซึ่งแน่ล่ะ เด็ก ๆ ก็มักจะมีปัญหาไม่ชอบกินผัก
หน้าที่ของผมก็คือต้องหาวิธีจูงใจให้เด็ก ๆ พวกนี้ กินผักให้เป็นอย่างน้อยก็ไม่เขี่ยทิ้งอยู่ข้างจานให้เห็นเป็นกองอย่างนี้ ผมก็พอจะเข้าใจที่พ่อแม่สมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีเวลาดูแลเรื่องอาหารการกินของลูก ๆ มักจะเห็นบ่อย ๆ ที่ยามเลิกเรียน เด็ก ๆ จะเข้าไปนั่งเล่นกันที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ไก่ทอด มันฝรั่งทอด มันเอร็ดอร่อยดีผมไม่ปฏิเสธเลย สมัยเรียนผมก็ชอบไปนั่งกินกับหมึกและกัสจังในสมัยเรียนบ่อย ๆ
แต่ครั้นโตแล้ว รู้ถึงประโยชน์ สารอาหาร ตลอดไปจนถึงอันตรายจากแป้ง และสารปรุงแต่งซึ่งทำให้เด็ก ๆ มีโภชนาการที่ไม่ดีเท่าที่ควรก็ชักจะเลือน ๆ ไป แต่อันที่จริง เพราะว่าผมไปคนเดียวก็คงจะเด๋อ แต่ถ้าจะชวนใครไปก็ไม่รู้จะชวนใครไปดี ยิ่งกับข้าวบ้านของผมป้าอุ่นทำได้เอร็ดอร่อย ผมก็เลยเลิกสนใจพวกไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์ไปเลย
จริงอยู่เด็ก ๆ ในห้องเรียนของผมน่ารัก มีดื้อบ้างซึ่งก็ไม่ยากเกินจะปราบ ต้องใช้จิตวิทยาสักนิด และไม่เด็กขนาดชั้นอนุบาลที่ร้องไห้จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่
ยิ่งผมที่หน้าตาท่าทางใจดี หงิม ๆ ดูไม่มีพิษไม่มีภัย เด็ก ๆ ก็เลยค่อนข้างไม่กลัว และจิตวิทยาอันดีในวันแรกที่พ่อแม่มาส่งลูกหลาน ก็คือผมก็จะไปทำความรู้จักกับผู้ปกครองของเด็ก ๆ ก่อนเลยทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้เด็กรู้สึกว่าผมไม่แปลกหน้าจนเกินไปนัก
ด้วยโรงเรียนของคุณพ่อเป็นโรงเรียนเก่าแก่ หลาย ๆ คนส่งลูกมาเรียนที่นี่จนจบไปเติบโตทำงานและเมื่อมีลูกก็ส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่สืบทอดกันอีก
โรงเรียนของคุณพ่อ ถ้าจะนับเป็นโรงเรียนดีเด่น เพราะมุ่งเน้นสอนให้เด็กเป็นเด็กดี มีมารยาท รวมไปถึงการศึกษาที่ไม่ยัดเยียดจนเกินไป คุณครูใจดีมีหัวใจแห่งความเป็นครูเต็มหัวใจ จะดุไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำร้ายทุบตี และพ่อของผมผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและครูใหญ่ก็รับหน้าที่คอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ลงมาสอนหนังสือเอง เว้นแต่ว่า คุณครูที่สอนวิชานั้น ๆ เกิดป่วยหรือมีธุระ พ่อของผมก็จะไปทำการสอนแทน แน่นอนเด็ก ๆ กลัวกันจะตาย
แต่พอคุณพ่อของผมเริ่มสอน ราว ๆ ตอนท้ายของคาบเรียน คราวนี้ก็ถึงทีเด็ดของท่านที่มักจะชอบเล่านิทานอย่างที่ท่านเรียกว่า "นิทานหลอกเด็ก" เพราะมันเหนือจริง และคล้าย ๆ นิทานเรื่องอาหรับราตรีซึ่งเล่าได้ไม่มีวันจบ
ตัวเอกของคุณพ่อ เป็นบุรุษหนุ่มชื่อ ไอ้โข่ง เป็นลูกศิษย์วัดอยู่กับหลวงปู่ ผู้ขยันขันแข็ง ครั้นโตเป็นหนุ่มก็กราบลาจะไปผจญภัย ตามรายทางก็จะต้องเจอกับสัตว์ร้าย และภูตผีปีศาจ หรือหมอผีผู้มากด้วยวิชาอาคม แต่ไอ้โข่งก็สามารถปราบได้ และได้ของวิเศษติดไม้ติดมือมาด้วย ผมเคยผ่านตอนคุณพ่อเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง นั่งฟังกันอ้าปากหวอเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ ได้ฟังนิทานที่ไม่รู้จบเท่านั้นหรอกนะ ตอนผมเด็ก ๆ คุณพ่อก็เล่าให้ฟังผมฟังอย่างนี้แหละ นึกไปแล้วก็ขำ และนึกอัศจรรย์ใจ ที่คุณพ่อท่านก็ช่างหาเรื่องมาเล่าได้ไม่จบจริง ๆ อาจเพราะคลังความรู้ของท่านนั้นมากมาย และคงมาจากกองหนังสือหลายร้อยหลายพันเล่มในบ้านของผมนั่นเองกระมัง
ถามป้าอุ่นเธอก็ว่า เกิดมาแกก็เห็นกองหนังสือมากมายในตู้ตั้งแต่แกยังเด็กแล้ว แต่ถ้าจะมีหนังสือยุคใหม่ ๆ หน่อย ก็จะเป็นหนังสือของคุณพ่อและคุณแม่ซึ่งเป็นนักอ่านทั้งคู่
และเที่ยงนี้ที่ผมต้องเป็นครูดูแลชั้นเด็กเล็กซึ่งรับประทานอาหารกลางวัน นั่นไงเอาอีกแล้ว ผมเห็นกองมะเขือเทศซึ่งอยู่ในมะเขือเทศผัดไข่ มันกองอยู่ข้าง ๆ ถาดหลุมซึ่งใช้ใส่อาหาร แลดูกว่าครึ่งของเด็ก ๆ จะไม่กินเจ้ามะเขือเทศพวกนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าเป็นซอสมะเขือเทศ กลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่รู้เลยว่าซอสพวกนั้นแทบจะมีส่วนผสมของมะเขือเทศเพียงน้อยนิด มันผสมมะละกอต่างหาก แต่เด็ก ๆ อาจจะชอบใจด้วยรสหวาน ๆ อมเปรี้ยวซึ่งมันเป็นสารปรุงแต่งทั้งนั้น
"น้องดรีมไม่ชอบกินมะเขือเทศหรือลูก?" ผมถามเด็กนักเรียนในห้องของผมซึ่งพอรู้ว่าผมกำลังจ้องมองเธอกินข้าวก็เขี่ยมะเขือเทศพวกนั้นไปมา และเลือกจะตักข้าวกับไก่ทอดกระเทียมขึ้นมากินแทน
"น้องดรีมไม่ชอบกินมะเขือเทศเลยค่ะพี่ณรงค์" เด็กน้อยตอบ และผมชอบให้ลูกศิษย์เรียกผมว่าพี่มากกว่าจะได้ดูน่าเกรงขามน้อยลง
"ว๊าเสียดายจัง น้องดรีมรู้หรือเปล่าลูก สารสีแดงในมะเขือเทศทำให้กินแล้วมีแก้มแดงเปล่งปลั่ง แล้วก็ทำให้ลูกตาสวยนะลูกเพราะว่ามีวิตามินเอ" ผมพูดแล้วก็นั่งยอง ๆ จะหลอกเด็กก็ต้องใช้เครื่องมือสักหน่อย ผมเปิดโทรศัพท์มือถือ และเสิร์ชหารูปเด็กน้อยชาวยุโรป ที่กำลังกินมะเขือเทศ เด็กน้อยยิ้มอย่างน่ารัก แก้มแดงปลั่งสดใส
"จริงหรือคะพี่ณรงค์" น้องดรีมถามและทำท่าไม่ค่อยมั่นใจ
"พี่ณรงค์ครับ แต่อาโปกินมะเขือเทศเป็นนะครับ" เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม คุยอวด และใช้ช้อนตักมะเขือเทศเข้าปากเคี้ยวกร้วม ๆ อวดให้ดูว่าตนทำได้จริง ๆ ไม่ได้โม้
"โอ๊ะ...เก่งจังอาโป มิน่าล่ะพี่ไม่แปลกใจเลยทำไมอาโปถึงได้แข็งแรง เตะบอลได้เก่ง แล้วก็โตไวมาก ๆ ต้องเป็นเพราะอาโปกินผักเก่งนี่เองใช่ไหมครับลูก" งานอวยต้องมาละผมคิด
"ใช่ครับ อาโปกินผักเก่งทุกอย่างเลย ขนาดพริกหยวกอาโปยังชอบกินเลยครับ ไม่เหมือนดรีมกินผักไม่เป็นเลยสักอย่าง" เอาสิ เจ้าขี้โม้ได้ทีขี่แพะไล่ ดูสองคนนี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแต่ก็ชอบเล่นด้วยกันที่สุด
"ดรีมกินได้นะนี่ไง" ว่าแล้วแม่เด็กสาวผมเปียก็ตักมะเขือเทศ เข้าปาก หลับตาเคี้ยวหยับ ๆ แต่พอเคี้ยวจนได้รสหวานของมะเขือเทศ สาวน้อยก็สามารถกินได้อีกแบบไม่ต้องบังคับเลย
แน่ล่ะ ผมก็ต้องชมเจ้าพวกเด็กกินผักไปเรื่อย ๆ คนโน้นก็ดี คนนี้ก็เก่ง ชมตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวเลยทีเดียว เหนื่อยเหมือนกัน จะว่าหลอกเด็กก็ไม่ได้ ทำเพื่อลูกศิษย์แท้ ๆ
ครั้นเด็ก ๆ กินกันจนเกือบเสร็จ ผมก็ไปกินอาหารเที่ยงบ้าง ห้องอาหารของครู ก็อยู่ถัดไปจากโรงอาหารของนักเรียนนั่นแหละ ทำเป็นห้องกั้นเป็นสัดส่วน แต่ติดกระจกพอให้มองเห็นด้านนอกได้ เป็นสัดส่วนพอสมควร
จะมีโต๊ะอาหารสำหรับครู ซึ่งจัดกับข้าวใส่ถาดแยกไว้ แบบบุฟเฟ่ต์ ใครใคร่จะกินอะไรก็ตักเอาเองตามชอบใจซึ่งผมก็รีบไปสมทบกับพี่อนงค์ซึ่งนั่งกินอยู่ก่อนหน้า หลังจากตักอาหารเรียบร้อยแล้ว อาหารที่ครูกิน ก็อีอย่างเดียวกับเด็กนักเรียนนั่นแหละ เห็นมะเขือเทศผัดไข่ซึ่งพร่องไปนิดเดียว ก็อ่อนใจ ก็ขนาดครูยังไม่ค่อยอยากจะกิน เด็กนักเรียนจะไปอยากกินได้ยังไง
"ไปหลอกอะไรนักเรียน?" พี่อนงค์ถามและกลั้นหัวเราะ
"ไม่ได้หลอก เค้าบอกนักเรียนว่ากินมะเขือเทศแล้วจะแก้มแดง" ผมตอบและควักโทรศัพท์ที่มีรูปเด็กน้อยแก้มแดงให้พี่สาวดู เธอก็หัวเราะกิ๊ก และชมว่าเป็นวิธีการหลอกเด็กที่ดี
จริง ๆ โรงครัวของโรงเรียนแม่ครัวของเราก็ทำอาหารได้เอร็ดอร่อยไม่แพ้ใคร แต่ปัญหามันอยู่อีตรงที่งบประมาณในการซื้อวัตถุดิบนี่สิ ที่มันค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย ก็โรงเรียนของเราไม่ได้เป็นโรงเรียนที่จ้องจะรีดเงินทองจากนักเรียนและผู้ปกครองนี่นา มันก็เลยมีคุณภาพจำกัดอย่างนี้ ซึ่งถือว่าช่วย ๆ กัน เอาให้รอดทุกฝ่าย ถ้าครูกินอย่างหนึ่ง นักเรียนกินอีกอย่างหนึ่งก็ค่อยมาตำหนิกัน
แต่ถ้าเด็กที่โตหน่อย อีกด้านหนึ่งของโรงอาหารก็จะมีอาหารขาย พื้น ๆ ก็มีข้าวราดแกง และก๋วยเตี๋ยว ซ้ำซากอยู่อย่างนี้แต่เด็ก ๆ ก็คงกินแค่พออิ่มไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ผมว่าถ้ากัสจังต้องมาอยู่ที่นี่ต้องอกแตกตายแน่ ๆ เพราะมันมีแต่กับข้าวซ้ำ ๆ และกัสจังก็โตมาในร้านอาหารแสนอร่อยของคุณย่า ได้กินแต่ของอร่อย ๆ มาเจออาหารซ้ำ ๆ อย่างนี้คงบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
เมื่อกลับบ้าน กลิ่นอาหารเย็นของป้าอุ่น หอมฟุ้งไปทั่วบ้าน และเมื่อผมเข้าไปพิสูจน์กลิ่น ป้าอุ่นก็ถึงกับยิ้มกว้าง
"ทำอะไรจ๊ะ หอมจัง" ผมถามและยื่นมือไปเปิดฝาหม้อที่เพิ่งดับไฟ เพราะยังมีไอร้อน ๆ เล็ดลอดออกมาจากฝา
"ทำแกงเขียวหวานไก่ค่ะ นี่คุณณรงค์รู้ไหม มะเขือพวกนี้ เป็นมะเขือที่เราปลูกกันเองเชียวนะคะ ป้าก็เลยใส่เสียเยอะแยะเลย เห็นว่าพวกคุณ ๆ ชอบกัน" ป้าอุ่นว่าและผมก็ถึงกับยิ้มกว้าง จะมะเขือเปราะมะเขือพวง ลองได้อยู่ในแกงเขียวหวานล่ะก็ ขอให้ต้มจนเปื่อย ๆ สักหน่อย จะเอามากินกับข้าว หรือราดขนมจีนก็เข้าที กินกันจนข้าวหมดจานเลยทีเดียว
กินแกงเขียวหวานมะเขือ ที่ต้องกล่าวอย่างนี้เพราะผมตักไก่เพียงสองชิ้นที่เหลือคือมะเขือ แล้วก็ให้นึกถึงนิทานที่เกี่ยวกับมะเขือนั่นก็คือเรื่องปลาบู่ทอง
ได้การละ พรุ่งนี้ถ้าไปสอนหนังสือผมจะเล่านิทานเรื่องปลาบู่ทอง แล้วก็เล่าถึงตำนานของแม่ปลาบู่ที่เมื่อตายลงลูกสาว ก็เอาเกล็ดแม่ปลาบู่ไปฝังดิน จนขึ้นเป็นต้นมะเขือเปราะ เด็ก ๆ คงฟังนิทานที่ผมเล่าจนอ้าปากหวอ ไม่ผิดกับนิทานไม่รู้จบของคุณพ่อเลยทีเดียว
นับนิ้วที่สอนหนังสือ กิจวัตรมันซ้ำซากจนผมรู้สึกเหมือนวนอยู่ในลูปเวลาตื่นมาทำอะไร กลับมาทำอะไรแทบไม่มีอะไรผิดไปจากเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจมาก ๆ ก็คือหมึกได้แจ้งว่า หมึกได้งานใหม่ ซึ่งอยู่แถวคลองเตย
"ไว้กูไปนอนค้างบ้านมึงนะ คิดถึงว่ะอีหม่อม" หมึกว่าแต่ผมก็ยังไม่รับปาก ก็คุณพ่อของผมอาจจะไม่ชอบกิริยาของหมึกที่โหวกเหวกโวยวายก็เป็นได้
"พ่อเราดุน่ะหมึก ไม่ใช่ไม่อยากให้หมึกมาหานะ เอาอย่างนี้ดีกว่า วันเสาร์นี้เราไปนอนค้างที่หอของหมึกดีกว่า ดีไหม?" ผมพูดไปและหมึกก็หัวเราะ
"เออ ขอให้มาจริงเหอะมึง ไว้มาทำอะไรกินกันด้วยนะ" หมึกว่า และผมก็แทบจะรอให้วันเสาร์มาถึงแทบจะไม่ไหว
ตอนนี้ผมโตขึ้นและดูคุณพ่อก็จะลดความเข้มงวดกับผมลงอย่างมาก และเมื่อเราต้องทำงานที่เดียวกันทั้งสี่คน บางครั้งคุณพ่อก็จะปรึกษาเรื่องงานในรถด้วยกันบ่อย ๆ ผมก็เสนอความเห็นบ้าง ซึ่งท่านก็รับฟังเป็นอย่างดี รู้สึกว่ากำแพงเมืองจีนของผมกับคุณพ่อที่กั้นเราสองพ่อลูกนั้น ถึงมันจะยังไม่พังทลายลง แต่อย่างน้อย คุณพ่อก็มายืนที่ขอบกำแพง แล้วก็ตะโกนคุยกับผมบ้าง รวมถึงผมที่ไม่ได้วิ่งหนีเมื่อได้ยินเสียงของท่านแบบเมื่อก่อน
"จะไปค้างที่ไหนล่ะ?" คุณพ่อถามเมื่อรู้ว่าจะไปนอนค้างกับหมึก
"ลูกไปค้างห้องเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครับ เคยเป็นรูมเมทกัน ตอนนี้เขามาได้งานที่คลองเตย ไม่ได้เจอกันสองปีแล้วตั้งแต่ลูกเรียนจบ" ผมอธิบาย
"ไปหาเขาก็เอาของติดไม้ติดมือไปสักหน่อย เราไปเป็นแขก เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีน้ำใจ" คุณพ่อท่านว่าแล้วก็เดินขึ้นห้องของท่านไป ผมเหลือกตามองและเมื่อหันหน้ามาเจอพี่อนงค์กับป้าอุ่น ทั้งสองคนก็กลั้นขำ
"ทำไมตัวทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?" พี่อนงค์ถาม
"ก็นึกว่าคุณพ่อจะด่าเค้าเสียอีก" ผมตอบไปป้าอุ่นแกก็ขมวดคิ้วและส่ายหน้านิด ๆ
"คุณนี่ก็คิดอะไรอย่างนั้น โต ๆ แล้ว ท่านจะไปดุเหมือนสมัยคุณณรงค์ยังเด็ก ๆ ได้อย่างไรเล่าคะ ว่าแต่จะเอาอะไรไปฝากเพื่อนดี?" ป้าอุ่นถามและผมก็จนปัญญาแท้ ๆ ทีเดียว
"เอาอย่างนี้ เดี๋ยวมะม่วงไปฝากเพื่อนดีไหมคะ มะม่วงที่หลังบ้านเราออกเยอะแยะ เดี๋ยวป้าอุ่นทำน้ำปลาหวานไปให้ด้วยเสียเลย อย่ากระนั้นเลย ทำเสียตอนนี้เลยดีกว่า เดี๋ยวคุณอนงค์ช่วยป้าอุ่นทำน้ำปลาหวานนะคะ แล้วคุณณรงค์ก็ไปสอยมะม่วงมานะคะ ตะกร้อสอยผลไม้อยู่ข้าง ๆ โกดังเก็บไม้ อยู่ข้างบน ๆ สักหน่อยมองให้ดี" ป้าอุ่นบัญชาการ ผมที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ก็เดินลัดเลาะไปจนเจอตะกร้อสอยผลไม้แล้วก็เก็บมะม่วงมาได้หลายลูก โชคร้ายโดนยางมะม่วงติดเสื้อนิดหน่อย แต่คิดว่าน่าจะซักออก ถ้าเป็นยางกล้วยล่ะแย่เลย
สาย ๆ วันเสาร์ ผมค่อย ๆ นั่งรถเมล์ไป และเมื่อถึงจุดหมาย ที่หมึกบอกให้ผมรอ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที หมึกก็เดินยิ้มร่า และโบกมือให้ผมเหมือนสมัยเรียนไม่ผิดไปจากเดิมเลยสักนิด
แต่ที่เปลี่ยนไปคือ หมึกดูกรำแดดจนผิวคล้ำขึ้นอีกนิด ผมเผ้ายังเป็นทรงเดิม และรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของหมึกที่ดูเหมือนจะผ่านวันเวลาเท่าไรก็ยังดังเหมือนเดิม
"โอ๊ยอีน่า อีผี คิดถึง มึงไม่เปลี่ยนไปเลยว่ะ" หมึกพูดพร้อมกับเขย่ามือผมแรง ๆ
"หมึกก็เหมือนเดิมเลย เป็นยังไงสบายดีไหม งานใหม่เป็นอย่างไรบ้าง?" ผมถามกลับและหมึกก็เบ้ปากใส่ ไม่ยอมอธิบายอะไร เป็นอันว่าหมึกจะไม่เล่าให้ผมฟังแน่นอน หมึกนั้นดูเหมือนเป็นคนปากเปราะ แต่ลองมีเรื่องที่หมึกจะไม่เล่า ให้เอาอะไรไปง้างปาก หมึกก็จะไม่เล่าเป็นเด็ดขาดผมรู้นิสัยของเพื่อนดี
"มึงไปหาอะไรแดกกันก่อน แล้วเออ ขากลับค่อยแวะตลาดซื้ออะไรไปทำกับข้าวกินกัน" หมึกว่าและท้ายที่สุดเราสองคนไปนั่งจุ้มปุ๊กที่ร้านขายไก่ทอดเจ้าดัง ดูเอาเถอะแต่ไก่ทอดจะโด่งดัง เอร็ดอร่อย มันก็ดีไม่สู้มีเพื่อนรักคอยกินเป็นเพื่อนเราได้หรอก และเมื่อซื้อมาแบ่งกันกิน ผมก็รู้สึกว่าได้ราคาที่ซื้อกินวันนี้ กับสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมันก็เพิ่มขึ้นมาเยอะเหมือนกัน จะด้วยเงินเฟ้อหรือ เพราะการเมืองอย่างที่กัสจังชอบบ่น ก็ไม่รู้ได้ เพราะผมน่ะมันกบอยู่แต่ในกะลา
กินไก่ทอดเสร็จก็เดินตลาดสดคลองเตยด้วยกัน แน่นอนว่าผมไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร เพราะตลาดสดแถวบ้านดูจะสะอาดสะอ้านกว่าแต่ก็อึกทึกน้อยกว่า
"ซื้อ ๆ ให้มันเสร็จ จะได้รีบไป ถ้าอยากเดินสบาย ๆ ก็ต้องไปซูเปอร์แหละเนอะ แต่แม่งก็โคตรแพง" หมึกว่าและผมก็เห็นด้วยชะมัด
กลับถึงห้องของหมึก มันเป็นห้องเช่าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มองจากระเบียงเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ไม่ไกล แต่สีของมันดำคล้ำน่ากลัวอยู่ไม่น้อย หมึกไล่ผมให้ไปอาบน้ำ และเราก็นั่งคุยกันนิดหน่อย คุยกันไป ก็กินมะม่วงกับน้ำปลาหวานไป หมึกดูท่าทางชอบใจไม่ใช่น้อย แต่เผลอแป๊บเดียวก็ดูจะใกล้อาหารเย็นเสียแล้ว
"ทำอะไรแดกกันดีกว่า" หมึกว่าพร้อมกับหยิบไข่ไปต้ม ต้มน้ำทำแกงจืด ส่วนมะเขือยาวพวกนี้ หมึกซื้อมาสี่ลูกแต่ละลูกก็โต ๆ ผมได้แต่มองและเป็นลูกมือ ดูช่วงเวลาสองปีที่เราจากกันฝีมือการทำอาหารของหมึกจะพัฒนาขึ้นมากทีเดียว
หมึกเอาฟรอยด์มาห่อมะเขือยาวแล้วก็นำมันเข้าไปอบในเตาไมโครเวฟ พอมันสุกกลิ่นหอม ๆ ก็ลอยคลุ้งออกมาจนผมต้องทำจมูกฟุดฟิด หมึกใช้ให้ผมซอยหัวหอมแดงกับพริกขี้หนู ทำเป็นน้ำยำ เติมน้ำปลา น้ำตาล มะนาว ซึ่งหมึกก็บีบมะนาวเสียจนผมได้กลิ่นแล้วน้ำลายสอ
"หมึกทำไมเดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเก่ง" ผมถามและหมึกก็อมยิ้ม พร้อมกับยักไหล่ อีอย่างนี้ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังอีกแน่ ๆ
มื้อเย็นของเราไม่น่าเชื่อว่ามันจะว่องไวและเอร็ดอร่อยอย่างนี้ เทียบกับไก่ทอดแห้ง ๆ และน้ำซอสหวานแสบไส้ ผมว่า แกงจืดกับยำมะเขือยาวตรงหน้าอร่อยกว่าเป็นไหน ๆ
"เหลือมะเขือยาวอีกสองลูก พรุ่งนี้กูจะเอาไปผัดใบโหระพา" หมึกบ่นเหมือนพูดกับตัวเอง ขณะที่คดข้าวพูนจานมาสองจานเพื่อที่เราจะนั่งกินด้วยกัน
ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปอาหารที่ทำ และรูปผมกับหมึกส่งเข้าไปในไลน์กลุ่ม ซึ่งใช้เวลาเพียงห้าวินาทีกัสจังก็วิดีโอคอลมาหาหมึกทันที
"ว้าย ทำไมพวกมึงอยู่ด้วยกันได้" กัสจังโวยวาย และหลังจากนั้น บรรยากาศเหมือนครั้งเดิม ๆ ก็หวนกลับมา บรรยากาศในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่พวกเราจะซื้อข้าวมากินด้วยกัน แย่งกันกินของอีกคน หรือเอาของที่ตัวเองไม่ชอบยกให้เพื่อน
บรรยากาศตอนมื้อเย็นวันศุกร์ที่พวกเราชอบทำกับข้าวง่าย ๆ กินด้วยกันโดยบางมื้ออาจจะมีเปามาร่วมวง และมื้อที่เปามาร่วมวงกับข้าวของเราก็จะอลังการขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะเปานั้นเป็นพ่อบุญทุ่มและใจใหญ่
"อีผีเรียนใกล้จบหรือยังจะเอาให้ถึงดอกเตอร์เลยหรือไง?" หมึกถาม และมองกัสซึ่งใส่แว่นและท่าทางกำลังอ่านตำราอยู่ในมือยังถือปากกาอยู่เลย
"ใกล้จบแล้วมึง แต่อาจารย์แนะนำงานให้กู มะรืนกูจะไปสมัครแหละ ถ้าได้นะมึงกูจะต้องร้องกรี๊ด" กัสจังเล่าไปยิ้มไปจนแก้มป่อง
"กัสจังอยากได้งานที่นั่นหรอ?" ผมถามและกัสจังก็พยักหน้าแบบไม่ต้องคิดเลยสักนิด
"ที่นั่นเป็นบริษัทระดับโลกเลยนะ ก็คิดดูสิ เป็นบริษัทที่ถ้านึกถึงปารีสนึกถึงฝรั่งเศส ก็ต้องนึกถึงแบรนด์นี้ กระเป๋าใบนึงเป็นหมื่น ๆ แสน ๆแต่ท่าทางจะเข้ายากชะมัด" กัสจังพูดแล้วก็ทำหน้าม่อยไปเล็กน้อย
"กัสจังเก่งอยู่แล้ว เหมือนตอนสอบชิงทุนไง กัสจังคิดว่าตัวเองไม่ได้แน่ ๆ แต่เราว่ากัสจังทำได้" ผมให้กำลังใจเพื่อน
"อีกัสกูว่ามึงอาศัยความสามารถมึงอย่างเดียวไม่พอค่ะ หล่อนต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์" หมึกเสนออะไรแผลง ๆ อีกแล้ว
"อะไรดีวะ?" กัสจังถามและคงนึกสนุกไปกับหมึกด้วย
"เออที่ฝรั่งเศสมันมีอะไรเริด ๆ มั่งวะ อ้อ หอไอเฟลไง มึงบนไปเลยว่าถ้าลูกช้างได้งาน ลูกช้างจะเอาผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกมาผูกที่หอไอเฟลให้นะเจ้าคะ" หมึกพูดไปยกมือยกไม้ท่วมหัว ทำท่าเหมือนบนแก่เจ้าพ่อหอไอเฟลไปด้วย
"อีผี ขืนกูไปผูกผ้าให้เลอะเถอะ เขาได้ลากกูเข้าตะรางน่ะสิ" กัสจังด่าอย่างยิ้มแย้ม ส่วนผมหัวเราะแทบตาย
"ว้ายไม่ดีเหรอมึง เขาว่าตำรวจที่ฝรั่งเศสแต่ละคนน่ะ หล่อ ๆ ล่ำ ๆ ทั้งนั้น หุ่นฟิต ๆ เป้าตึง ๆ แอร๊ย เสว" หมึกร่ายอีก และกัสจังก็เหลือกตามองบน
"มันก็มีดีมั่งไม่ดีมั่งเหมือนที่ไทยแหละย่ะ ว่าแต่เขาจับแล้วเขาจะเอากูไปกระทืบน่ะสิ มันคงคิดว่าอีกะเหรี่ยงนี่ทำห่าอะไร ยิ่งตอนนี้พวกผู้ลี้ภัยก็ก่อกวนเยอะมาก เมื่อวานก็มีเดินขบวน รถไฟใต้ดินก็เสือกหยุดงานประท้วงอีก ยังดีกูไปเรียนขี่บีเอ็มไปนะ" กัสจังเล่าฉอด ๆ
"วุ๊ยทำไมเพื่อนร่ำรวยคะ?" หมึกถามทำหน้าสงสัยผมเองก็สงสัยไหนว่าเวลาว่างกัสจังต้องไปทำงานพิเศษด้วยไม่ใช่หรือไง
"บีเอ็มเอ็กซ์ย่ะ เก๊าเก่า ขี่ไปโซ่หลุดไปอีห่า" กัสจังเฉลยผมกับหมึกก็เลยหัวเราะกันใหญ่เพราะนึกสภาพกัสจังแล้วคงทุลักทุเลน่าดู
ตกลงมื้ออาหารมื้อนี้ กินไปคุยกันไป จนมันหมดจาน ผมมองอดีต จานซึ่งใส่ยำมะเขือยาว ซึ่งบัดนี้มันหมดเกลี้ยงส่วนแกงจืด เหลือในหม้อกินได้อีกหนึ่งมื้อ
ถ้าเด็ก ๆ ของผมกินผักเก่ง ๆ กินจนหมดจานอย่างนี้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย แต่เออ ที่ผมกินหมดเพราะเพลินไปกับเพื่อน ๆ ที่คุยกันอย่างแสนคิดถึง หรือเพราะอาหารมันอร่อยกันนะ หรือเพราะว่าทั้งสองอย่างรวมกัน