ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
เดือนละหนหรือสองหน ที่ผมจะไปนอนค้างที่ห้องพักของหมึก ใจจริงก็อยากจะไปมันทุกอาทิตย์เลยทีเดียว ติดปัญหาว่าหมึกก็คงคิดถึงบ้านของเขาเหมือนกัน
"อยู่ด้วยนาน ๆ ก็รำคาญ แต่พอไม่เจอหน้าหลาน ๆ กูก็คิดถึงว่ะ พวกมันแต่ละตัวซนอยางก๊ะลิง" หมึกอธิบายและอวดพวกของเล่นต่าง ๆ ที่หมึกซื้อไปฝากหลาน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวก สมุดระบายสี สีเทียน สีไม้ ดินน้ำมัน
"ท่าทางหลานของหมึกจะมีหัวทางศิลปะนะ" ผมพูดยิ้ม ๆ แน่สิผมอยู่กับเด็กเล็ก ๆ มองออกว่าใครมีหัวทางไหน บางคนให้อ่านหนังสือทำท่าจะง่วงนอน แต่พอปล่อยให้ได้วาดรูปเล่นหรือให้ปั้นดินน้ำมัน ตั้งอกตั้งใจทำจริง ๆ
"ก็คงจะประมาณนั้นแหละ ซื้อไปเพราะบ้านของกูตอนนี้ ถ้าอีกพันปี แล้วคนยุคหน้ามาเจอ คงนึกว่าบ้านกูเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ เพราะอีหลานกูมันเอาสีไประบายที่ฝาบ้านจนลายไปหมด กูก็เลยต้องซื้อสีซื้อสมุดระบายสีไปให้มันระบายความเป็นศิลปินในตัวใส่กระดาษ ส่วนอีดินน้ำมันนี่เพราะพอเผลอเมื่อไร มันลงไปเล่นน้ำในบ่อโคลนตัวเลอะไปหมด"
หมึกบ่นแต่สีหน้าของหมึกก็แสดงออกว่าหมึกนั้นรักหลานนักหนา ผิดกับสมัยเรียนที่หมึกน่ะขี้รำคาญและเกลียดเด็ก ลองไปที่ไหนที่มีเด็กเล็ก ๆ ร้องไห้จ้าล่ะก็ หมึกจะหน้ามุ่ยและบอกให้เราไปจากที่นั่นให้ไวที่สุด
"ปวดหู หัวจะระเบิด พ่อแม่ก็ไม่ดูลูกปล่อยให้ร้องกรี๊ด ๆ อยู่ได้ อีห่า"
ส่วนผมก็รักเด็กและชอบเล่นกับเด็ก ๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จำได้ว่าสมัยที่คุณแม่ยังอยู่ พอช่วงปิดเทอม ก็จะพาผมกับพี่อนงค์ไปเลี้ยงที่โรงเรียน ผมก็จะช่วยคุณแม่ดูแลน้องเล็ก ๆ เรียกว่าเล่นกับเด็กมาตั้งแต่ตัวเองก็แก่กว่าเจ้าเด็กพวกนั้นไม่กี่ปี ชวนน้อง ๆ เล่น โน่นเล่นนี่
และวันหยุดวันนี้ ไหน ๆ ผมไม่ได้ออกไปไหน และจะต้องอยู่บ้านทั้งวัน ก็อยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับคนแก่แทนเด็ก ๆ ก็แล้วกัน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินตามหาป้าอุ่นเลย เพราะป้าอุ่นเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ต้องหาอะไรทำให้ตัวเองมือไม่ว่าง แกว่าแกรำคาญตัวเองถ้าจะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ ถ้าไม่อยู่ในห้องครัว ก็คงอยู่ในสวนแน่ ๆ
"ไว้ตายค่อยนอนค่ะ ยังมีแรงก็ทำงานดีกว่า" ป้าอุ่นแกว่าอย่างนั้นและตอนนี้ผมก็เห็นแกวุ่นวายอยู่ในสวน
"ให้น้องช่วยอะไรดีจ๊ะ?" ผมเดินไปหางาน มองไปที่แปลงผัก ป้าอุ่นคงเพิ่งรดน้ำผักเสร็จ และกำลังเก็บยอดและใบอ่อน ๆ ของต้นหม่อน ผมก็เลยไปอาสาช่วยเก็บ
"พอแล้วค่ะคุณณรงค์ มีลูกหม่อนด้วยแน่ะต้นตรงโน้นไปเก็บมากินสิคะ" ป้าอุ่นว่า และรับใบหม่อนจากมือของผมไปถือไว้เอง ผมเดินไปเก็บลูกหม่อน ซึ่งมันมีเยอะแยะเสียจริง ๆ แต่ก็ต้องคอยดูให้ดี ๆ ระวังลูกที่มีเพลี้ยให้ดีก็แล้วกัน
ครั้นพอเก็บมาได้เต็มกำมือ ก็รีบเอากลับไปล้าง แล้วก็ล้างมือของตัวเอง เพราะมือเปื้อนจากการเด็ดลูกหม่อนนิดหน่อย เห็นป้าอุ่นล้างใบหม่อนแล้วก็เอาไปผึ่งให้แห้ง อีกด้านหนึ่งหม้อที่ตั้งไฟจนร้อนมีควันโชย ป้าอุ่นก็ให้ผมยกมันออกมา แอบเปิดฝาดูก็เห็นถั่วเหลือง และถั่วดำต้มรวมกัน
"ป้าอุ่นจะทำอะไรจ๊ะ?" ผมถามและนึกไม่ออกว่าเมนูไหนกันหนอที่จะใช้
"จะทำซีอิ๊วค่ะ" ป้าอุ่นตอบ และผมก็มองแกอย่างทึ่ง ๆ ไอ้ครั้นจะบอกให้ไปซื้อที่เขาทำสำเร็จแล้ว เดี๋ยวก็จะมีงอนกัน สรุปทำอะไรก็ทำ ไปด้วยกัน ไม่มีขัดไม่มีขวาง หรือห้ามอะไรทั้งนั้น ...ไปด้วยกันเลือดสุพรรณเอ๋ย ๆ
สงสัยไอ้กับข้าวแสนอร่อยที่บ้านของผมทุกมื้อ ที่มันเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษก็คงเป็นเพราะซีอิ๊วสูตรพิเศษของป้าอุ่นเป็นแน่
"ป้าเคยทำหรือจ๊ะน้องไม่เคยเห็นเลย" ผมถามและป้าอุ่นก็ยิ้มแห้ง ๆ ใส่ผม
"ไม่เคยหรอกค่ะ แต่อยากลอง ดูจากในโทรศัพท์ก็เห็นว่าไม่ยากเย็นอะไร" แน่ะ แกดูจะเป็นคนทันสมัยกว่าผมเสียอีก ผมที่ส่วนมากถ้ามีเวลาว่าง ๆ ชอบอ่านหนังสือ แต่ป้าอุ่นกลับท่องโลกโซเชียล
"มาจ๊ะให้น้องช่วยทำอะไรดี" ผมรับอาสาและเราก็ช่วยกันทำขะมักเขม้น
อันดับแรกก็ให้ผมเทถั่วที่ต้มแล้วใส่กระชอน เพื่อจะได้สะเด็ดน้ำ ส่วนพวกส่วนผสม ป้าอุ่นแกเตรียมใส่ชามเป็นอย่าง ๆ เท่าที่ดูก็เห็น มีสับปะรดที่ถูกสับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ใบหม่อน ลูกตะลิงปลิงกับลูกมะเฟือง น้ำตาลทรายแดง และที่สำคัญคือเกลือเม็ดโต ๆ
อันว่าถ้วยโถโอชาม ขวดแก้วสารพัดขนาดที่บ้านของผมนั้นมีมากมายจนต้องมีห้องเล็ก ๆ หนึ่งห้องสำหรับเก็บรักษาพวกมันได้เลยทีเดียว เพราะเป็นของเก็บสะสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ขวดโหลแก้วขนาดสี่เหลี่ยมถูกล้างคว่ำไว้เรียบร้อยแล้ว ผมชักจะสนุกเสียแล้วสิ
"คุณณรงค์ช่วยป้าอุ่นหั่นพวก ตะลิงปลิงกับมะเฟืองหน่อยนะคะ เอาขนาดเท่า ๆ กับสับปะรดพวกนี้นะ" ป้าอุ่นใช้ผมก็จัดแจงเอามาหั่นเมื่อได้เป็นชิ้น ๆ อย่างที่ต้องการก็เอากลับไปใส่ใจชามเหมือนเดิม เอาล่ะเริ่มทำได้แล้วเพราะของน่าจะเตรียมครบหมดแล้ว แต่ไอ้อะไรปริมาณเท่าไร ผมไม่ได้ถามแต่เห็นจากที่ข้าง ๆ โต๊ะทำอาหารมีกิโลอันเล็ก ๆ วางอยู่แสดงว่าต้องมีการชั่งตวงวัดพอสมควร
"ต้องใช้เวลาหมักนานเท่าไรจ๊ะ?" ผมถามเพราะสงสัยว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าไรกันหนอ
"อย่างน้อยสามเดือนค่ะ แต่ป้าว่ายิ่งนานก็น่าจะยิ่งอร่อยนะคะ"
คราวนี้ก็ถึงตอนที่น่าสนุก คือเอาส่วนผสมที่มีค่อย ๆ เทใส่ขวดโหล แล้วเรียงเป็นชั้น ๆ สลับกับน้ำตาลทรายและเกลือไปด้วย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ แล้วป้าอุ่นก็เอากระดาษปากกามาเขียนวันที่ทำ ทากาวแล้วก็เอามาแปะที่ข้างขวดโหล แล้วจึงให้ผมยกเอาไปไว้ที่มุมด้านหนึ่งของครัว
แค่นี้ก็หมดเวลาไปแล้วครึ่งวัน คุณพ่อกับน้าแขออกไปธุระข้างนอก ส่วนพี่อนงค์วุ่นวายอยู่กับการซักผ้าตากผ้า เดี๋ยวหมดรอบของพี่อนงค์ ก็เป็นคิวของผมที่ต้องไปซักผ้าตากผ้าบ้าง จริงอยู่ว่าบ้านของเรามีเครื่องซักผ้า แต่เสื้อเชิ้ตของผมส่วนใหญ่มันเป็นสีขาวหรือสีอ่อน ๆ ก็เลยอยากจะซักมือมากกว่า ผมเอาเสื้อของผมแช่น้ำผงซักฟอกไว้แล้ว ตรงไหนที่มีรอยเปื้อนก็จะใช้สบู่เอามาถูแล้วทิ้งไว้ เนื่องจากอยู่กับเด็ก ๆ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกที่เสื้อผ้าจะต้องมีการเปื้อนบ้าง เพราะไหนจะต้องอุ้ม ไหนจะต้องไปเล่นกับเด็ก ๆ ในสนามเป็นบางที
เมื่อกลับมาซักผ้า พอขยี้เบา ๆ ไม่กี่ที รอยเปื้อนก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย น้ำจากผงซักฟอกที่เหลือ ก็จะใช้ซักกางเกงชั้นในและถุงเท้า เพราะคงไม่เหมาะที่จะเอามันไปซักรวมในเครื่องซักผ้าร่วมกับคนอื่น และเมื่อตากผ้าเสร็จ มองแสงแดดที่ส่องสว่างจ้า ไอ้ที่เขาว่าคนเราพอเริ่มแก่ หนึ่งในนั้นก็คือ จะเป็นคนหวงแดด เห็นแดดแล้วเสียดายอยากจะตากผ้าให้มันหอมแดดเสียจริง ๆ ผมก็เห็นจะเข้าใกล้ความแก่ไปครึ่งค่อนตัวแล้วละ
จนในวันหนึ่งซึ่งผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ป้าอุ่นก็พยายามถือเจ้าขวดซีอิ๊ว เดินผ่านหน้าผม ผ่านไปผ่านมาจนผิดสังเกต และเมื่อพี่อนงค์ถามป้าอุ่นก็ยิ้มแป้น พร้อมกับอวดว่านี่คือซีอิ๊วที่ป้าอุ่นกับผมช่วยกันหมักเองเชียวนะ
"ไหนขอลองชิมหน่อยสิคะ" พี่อนงค์ทำท่าตื่นเต้น เมื่อป้าอุ่นเหยาะมันใสถ้วยใบน้อย ๆ ผมกับพี่อนงค์ก็เอาชิ้นแตะมันให้ติดปลายช้อนนิดหน่อยแล้วก็เอามาชิม
"อื้ม...หอม...อร่อย ไม่เค็มมาก มีรสหวานติดปลายลิ้นเล็กน้อยแล้วก็หอมมาก ๆ เลยค่ะ" พี่อนงค์วิจารณ์ แน่นอนว่าคนทำยิ้มจนแก้มแทบแตก ในฐานะผมที่เป็นลูกมือก็เลยพลอยได้หน้าไปกับเขาด้วยนิดนึง
เรื่องราวในชีวิตที่ใครสักคนบอกกับผมว่ามันน่าเบื่อ และเขาก็อธิบายกับผมว่า นั่นล่ะมันคือความสุข ตื่นเช้าจนถึงเข้านอนก็ทำแต่อะไรที่มันซ้ำ ๆ เดิม ๆ นั้น ผมจะเห็นจริงก็ต่อเมื่อวันหนึ่งซึ่งเกิดเรื่องที่เราไม่คาดคิด เรื่องที่ทำให้ครอบครัวของเราล้มเซ หรือจะว่าล้มคว่ำก็น่าจะถูก แทบจะเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน
พวกเรากำลังชื่นชมกับซีอิ๊วของป้าอุ่นกันอยู่ดี ๆ แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของพี่อนงค์ก็ดังขึ้น และเมื่อพี่อนงค์รับสาย เธอก็หน้าซีด ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ และยื่นโทรศัพท์ให้ผมเป็นคนพูดแทน
"สวัสดีครับ" ผมรับสายและ เมื่อรู้เรื่องราวจากปลายสาย ผมไม่นึกโทษพี่อนงค์เลยที่มีปฏิกิริยาเช่นนั้น เพราะผมเองก็แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ผมยังพอมีสติ สอบถามเรื่องราวจากปลายสาย และเมื่อวางสายลง ผมก็ยื่นมือไปจับมือของพี่อนงค์เพื่อให้กำลังใจ
"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?" ป้าอุ่นถาม และมีทีท่าว่าเห็นเราสองคนพี่น้องแล้ว แกใจคอไม่ดี
"คุณพ่อเข้าโรงพยาบาล น้าแขบอกว่ารถพยาบาลมารับคุณพ่อไปเรียบร้อยแล้วแกอยู่ในรถพยาบาลกับคุณพ่อ" พอผมกล่าวจบ ป้าอุ่นก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง ผมรีบไปหายาหอมมาละลายสามแก้ว เพื่อให้ป้าอุ่น พี่อนงค์ และตัวของผมเองดื่มให้เลือดลมมันเดิน ป้าอุ่นถึงกับเรอออกมาดัง ๆ ท่าทางยาหอมจะไม่พอเสียแล้ว ผมเดินไปหายาดม เอามาแบ่งกันดมเลยทีเดียว
"ตัว...พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?" พี่อนงค์ถามเสียงสั่น และผมก็พยายามหายใจลึก ๆ
"น้องจะไปโรงพยาบาล ทำใจดี ๆ คุณพ่อถึงมือหมอถึงโรงพยาบาลแล้ว คุณพ่อปลอดภัยแน่นอน ป้าอุ่นอยู่บ้านนะ เดี๋ยวน้องจะไปโรงพยาบาลเอง" ผมบอกและจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์
"ให้เค้าไปด้วย" พี่อนงค์บอกและคว้ามือของผมไว้
"ตัวอย่าไปเลย เดี๋ยวเค้าจะโทรศัพท์มารายงาน ตัวอยู่เป็นเพื่อนป้าอุ่นดีกว่า ฉวยเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่เอา" ผมว่าและพี่อนงค์ก็พยักหน้าอย่างจนด้วยเหตุผล
และโรงพยาบาลก็ห่างจากบ้านผมไม่ไกล ชนิดเดินไปหาได้ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนความร้อนใจก็จะทำให้ผมเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และเมื่อถึงโรงพยาบาล ผมก็รีบไปที่บริเวณผู้ป่วยนอก มองเห็นแต่ไกลคือน้าแขที่นั่งหน้าซีดเซียวอยู่ ผมก็รีบเดินไปหาแก
"ณรงค์" น้าแขเห็นผมแกก็รีบลุกขึ้นมาอย่างยินดี แต่พอแกทำท่าจะเข้ามาโผกอดผม ผมก็ถอยห่าง แต่เปลี่ยนเป็นยื่นมือไปจับมือของแกแทน
"คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับน้าแข?" ผมถามและแกก็ค่อย ๆ เล่า แกว่าช่วงสาย ๆ แกกับคุณพ่อวุ่นวายอยู่ที่โรงเรียนนั่นแหละ น้าแขว่าแกออกไปคุยธุระกับแม่ครัวอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ครั้นกลับมาหาคุณพ่อเพื่อจะชวนกันไปกินอาหารเที่ยงก็เห็นคุณพ่อนอนหลับฟุบไปกับโต๊ะทำงาน
"น้าเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น แถมพอเห็นหน้า ก็เห็นว่าคุณพี่แกปากเบี้ยวไปข้างหนึ่ง เรียกก็ไม่ลุก น้าแขก็มือไม้สั่น พยายามตั้งใจกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แล้วก็ออกมาด้วยกัน" แกเล่าไปเสียงสั่นไปน่าสงสาร ในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน มีผ้ากั้นอยู่ ผมกับน้าแขเอาแต่ชะเง้อคอมอง ผ่านไปราว ๆ ชั่วโมงกว่า ๆ และผมก็รู้สึกได้ว่าเวลาหนึ่งวินาทีมันยาวนานกว่าเวลาปกติหลายเท่าตัว
แต่ในที่สุดผ้าที่ล้อมเตียงของคุณพ่อก็เปิดออก เราสองคนรีบถลันเข้าไปหาคุณหมอ เพราะพยาบาลส่งสัญญาณให้น้าแขให้เข้ามาคุยกับคุณหมอได้
สรุปอาการจากคุณหมอก็คือ คุณพ่อนั้นมีเส้นเลือดอุดตัน แต่โชคดี ที่ช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง จนถึงมือหมอ ยังไม่เกินสามชั่วโมง คุณหมอให้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็จะยังไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ในเวลาอันนั้น
"คนไข้มีอาการอัมพฤกษ์ที่ด้านซ้าย ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการกายภาพบำบัด สาเหตุอาจจะเนื่องจากความเครียด และภาวะความดันสูง ฯลฯ" คุณหมออธิบายจนเสร็จสรรพ แล้วก็ขอตัวไปดูแลคนไข้รายอื่น
ผมอดจะคิดว่าอย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ต้องผ่าตัด และอาการนี้ก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ ก็เลยค่อนข้างโล่งใจ
"น้าแข ทำใจดี ๆ ครับ คุณพ่อปลอดภัยแล้ว" ผมปลอบใจและพาแกมานั่งพัก เนื่องจากในห้องอุบัติเหตุ ไม่มีที่ให้ญาตินั่งรอ แต่น้าแขก็ยืนยันจะอยู่ใกล้ ๆ คุณพ่อ อย่างน้อยแกก็จะอุ่นใจ ส่วนผมก็สอบถามพี่พยาบาลว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แกก็แนะนำให้ไปจัดทำเอกสารและจองห้องพักผู้ป่วย คุณหมอว่าอย่างน้อยก็ต้องอยู่โรงพยาบาลประมาณอาทิตย์หนึ่ง ผมรีบโทรศัพท์หาพี่อนงค์ให้เธอเอาพวกเอกสารของคุณพ่อแล้วตามมาที่โรงพยาบาล ส่วนผมก็ค่อย ๆ จัดการจนคืนนั้น คุณพ่อก็ได้เข้าไปนอนพักผ่อนที่ห้องพักพิเศษรวม ซึ่งในหนึ่งห้องรับคนไข้ได้สี่คน
จะโทษอะไรก็ไม่ได้ ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าที่นี่คือโรงพยาบาลรัฐ การที่คุณพ่อได้ห้องพักภายในวันนี้ก็ถือว่าดวงดีมากแล้ว พี่อนงค์กับน้าแขกลับบ้านเพื่อจะไปเตรียมข้าวของ และคืนนี้น้าแขจะอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนคุณพ่อ ผมเฝ้ามองการปรนนิบัติของน้าแขกับคุณพ่อแล้วก็แอบคิดว่า ถ้าไม่มีน้าแข ถ้าคุณพ่อไม่แต่งงานใหม่ จะมีใครคอยอยู่ดูแลคุณพ่ออย่างนี้ไหม จะให้ผมหรือพี่อนงค์อย่างนั้นหรือ ทิฐิมานะสำหรับผมกับน้าแขลดลงจนผมนึกตำหนิตัวเอง
หรือผมเป็นคนใจดำเกินไปนะ น้าแขกับคุณพ่อตลอดเวลาตั้งแต่แต่งงานกันมา น้าแขไม่เคยทำตัวใจร้ายเหมือนในนิทานที่ผมเล่าให้เด็ก ๆ ฟังเลยสักนิด ตรงกันข้ามน้าแขใจดี พยายามเข้าหาผมกับพี่อนงค์ ไม่เคยคิดเอาเปรียบ และเป็นผู้ช่วยและคู่คิดของคุณพ่อในทุกสถานการณ์ ใช่สิ ตอนที่คุณพ่อโมโหผมเพราะผมดื้อ กลับเป็นน้าแขเสียอีกที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ แต่ตอนนั้นผมกลับมองว่าน้าแขนั้นชอบเข้ามายุ่งวุ่นวาย เรื่องของครอบครัวผมเสียนี่ ผมนี่มันนิสัยแย่ชะมัด
"อนงค์กับน้อง กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะ" กลับเป็นน้าแขที่ตอนนี้ดูมีสีหน้าดีขึ้น และผมกับพี่สาว เมื่อกลับบ้าน เราสองคนมีเรื่องที่ต้องคุยต้องปรึกษา เพราะหลังจากนี้อะไร ๆ จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเรื่องโรงเรียน เรื่องที่บ้านนี้ และเรื่องคุณพ่อที่หลังจากกลับจากโรงพยาบาลจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ไหนแต่ไร ทุกสิ่งทุกอย่าง คุณพ่อเป็นคนดูแลมันทั้งหมด แล้วจู่ ๆ ผมกับพี่อนงค์จะต้องมารับภาระหน้าที่อันนี้อย่างนั้นหรือ
แต่คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย พอเราสองพี่น้องได้ปรึกษากัน มันก็เห็นปัญหามากมายรออยู่เบื้องหน้า แต่ไม่เป็นไรนะ เราสองคนจะช่วยกันและมันน่าจะฝ่าฟันกันไปได้
ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ด้านล่างของบ้านถูกจัดเตรียมใหม่ เพราะคุณพ่อจะยังเดินไม่ได้ไปอีกนาน ห้องนอนของท่านซึ่งอยู่ด้านบน ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องด้านล่าง ป้าอุ่นกับคนงาน ช่วยกันทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากระเบียงห้อง เปิดออกไปเห็นสวนครัวน้อย ๆ คุณพ่อก็คงจะไม่เหงาเท่าไรนัก
และน้าแขก็ดูจะเข้มแข็งขึ้นมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังอดทำให้เราคิดไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีน้าแขสักคน ทั้งคุณพ่อ ทั้งผมกับพี่อนงค์จะทำอย่างไร
น้าแขยังคงไปโรงเรียนเหมือนปกติ เพียงแต่ช่วงเที่ยงแกจะขับรถกลับมาดูแลคุณพ่อ และเมื่อเลิกงานแกก็จะรีบกลับบ้านมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำ รวมไปถึงการเช็ดอึเช็ดฉี่
ของพวกนี้เราต้องผลัดกันทำ แต่น้าแขคือตัวหลัก แรก ๆ ผมรู้ว่าคุณพ่อคงอายมาก ๆ กับผมนั้นไม่เท่าไร แต่กับพี่อนงค์ซึ่งยังเป็นสาวเป็นแส้ และเมื่อไม่มีใครว่าง พี่อนงค์ก็ต้องทำความสะอาด เช็ดก้น ล้างทำความสะอาดให้คุณพ่อ แต่พี่อนงค์ก็ทำเฉยเสีย ทำราวกับว่าเหมือนคุณพ่อเป็นเด็กอนุบาล ที่ฉี่รดที่นอนจนเธอต้องเป็นคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ไม่ได้ต่างกันเลย ยกเว้นขนาดตัว
ส่วนผมถ้าจะต้องทำ ผมก็จะทำเงียบ ๆ ไม่ได้พูดจาอะไร อย่างน้อยก็จะไม่เขินกันและคุณพ่อก็จะนอนหลับตา
เอาล่ะในเรื่องทางบ้าน เราประสานกันสามคนช่วยกัน จึงไม่เหน็ดเหนื่อยมากนัก แต่เรื่องที่โรงเรียนนี่สิ พอผมกับพี่อนงค์เข้าไปดูแลแทนคุณพ่อ ก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด ที่คุณพ่อเครียดจนถึงกับทำให้ป่วย นั้นก็เพราะสารพัดเรื่องที่ทานต้องคอยดูแล มากที่สุดก็คือเรื่องเงิน
ยิ่งวันกิจการที่โรงเรียนของเราก็แย่ลง ๆ จนเหลือแค่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมสามเท่านั้นครูที่อยู่ก็ทำงานกันไปเพราะใกล้จะเกษียณกันแล้ว ส่วนใครจะลาออกไปก็ไม่ว่ากัน ผมกลับคิดได้ว่าคุณพ่อนั้นเก่งมาก ๆ ที่ต้องประคองโรงเรียนแห่งนี้มานับสิบ ๆ ปี และเมื่อผมมองจากห้องทำงานของท่าน โรงเรียนแห่งนี้ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ มันอาจเป็นความภูมิใจของใครหลาย ๆ คน
แต่ผมว่าถ้ามองอีกด้าน มันก็เหมือนกับดักที่ทำให้คุณพ่อนั้นแทบจะไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตที่ไหนเลย ชีวิตของท่านก็คือมีแค่ที่บ้านกับที่โรงเรียน เห็นจะไม่มากไปกว่านี้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าท่านเคยไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เพราะทุกลมหายใจเข้าออกของท่านมีแต่งาน
เช้าวันหนึ่งผมนั่งกินข้าวกับพี่อนงค์สองคน วันนี้มีข้าวต้มกุ้งแสนอร่อย ซีอิ๊วหมักแสนอร่อยสุดวิเศษของป้าอุ่นถูกนำใส่ถ้วยใบน้อยให้เรานำมาปรุงรสเพิ่ม ผ่านไปครู่เดียวน้าแขก็เดินมาสมทบที่โต๊ะอาหาร เพราะแกเพิ่งป้อนข้าวให้คุณพ่อ ซีอิ๊วที่ถูกเวลาหมักบ่ม ทำให้ส่วนผสมที่ต่างกันหลายชนิด กลับกลายเป็นน้ำปรุงรสแสนอร่อย ได้ฉันใด เรื่องเลวร้ายก็กล่อมเกลาให้ครอบครัวเรากลับมาผสานกลมเกลียวกันได้ฉันนั้น แม้ว่าเวลากับสถานการณ์นี้จะ ชวนให้ทุกข์ใจสักหน่อยก็ตาม
"อนงค์จ๊ะ ณรงค์จ๊ะ น้าแขว่าน้าแขจะลาออก จะได้อยู่ดูแลคุณพ่อเต็มเวลา" น้าแขชวนคุยและเราสองพี่น้องก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดใจแก ดีเสียอีก คุณพ่อจะได้ไม่เหงา และน้าแขก็จะได้ไม่ต้องคอยแต่ห่วงกังวลว่าคนงานที่คอยกำชับให้พลิกตัวคุณพ่อทุก ๆ สองชั่วโมง จะลืมทำหน้าที่หรือเปล่า เพราะการนอนติดเตียงนาน ๆ สิ่งที่ได้ก็คือแผลกดทับ
"ดีเหมือนกันค่ะ อนงค์ว่าคุณพ่อก็ดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ต้องกายภาพบำบัดให้เคร่งครัด มีน้าแขอยู่คุณพ่อน่าจะไม่ดื้อ จะได้หายไว ๆ" พี่อนงค์เสนอความเห็น และเราก็ทานไปคุยอะไรกันไปนิด ๆ หน่อย ๆ
Ink : อีน้า หายไปเลยนะมึง
Narongwit : ที่บ้านมีเรื่องยุ่ง ๆ น่ะ
ผมตอบข้อความของหมึก และรอเพียงไม่กี่อึดใจหมึกก็โทรศัพท์มาหาผมทันที ผมเล่าเรื่องวุ่น ๆ ที่เกิดขึ้น จนหมึกแอบถอนหายใจสองสามครั้ง
"เออกูเข้าใจ เอาอย่างนี้ เดี๋ยววันเสาร์นี้มึงไม่ต้องมาหากูหรอก เดี๋ยวกูไปหามึงเอง จะได้ไปเยี่ยมเจ้าคุณพ่อของมึงด้วยไง" หมึกจากปลายสาย และผมก็อยากจะปฏิเสธหมึกนิด ๆ แต่นึกเหตุผลดี ๆ ไม่ออกก็เลยปล่อยให้มันเลยตามเลย
จริง ๆ ถ้าหมึกไม่มาหาผมในวันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครอบครัวของผมจะพลิกฟื้นมาดีได้อย่างไร ขอบคุณหมึกจริง ๆ นะเพื่อนรัก