ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
การมาเยี่ยมผมและครอบครัวของหมึก ทำเอาผมหนักใจเก้อ เพราะติดภาพจำของเพื่อนรักเมื่อครั้งสมัยเรียนที่ตลกโปกฮาฟ ปากจัดด่าเก่ง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ หมึกวางตัวดี มุกตลกของหมึกเล่นเอาแม้แต่พ่อก็ยังหัวเราะขำ น้าแขกับพี่อนงค์นั้นคุยกับหมึกอย่างถูกคอ และผมอยากจะเอามืออังหน้าผากของหมึกว่าตัวร้อนเป็นไข้ หรือใช่หมึกตัวจริงหรือเปล่าหนอ
"อีน้าเป็นห่าอะไรอีผี มองกูอยู่ได้" นี่หมึกตัวจริงมาแล้ว
"เปล่า ๆ ทีแรกเราก็นึฟกว่าคุณพ่อจะ...เอ่อ...ไม่ค่อยถูกใจหมึกน่ะ" ผมพยายามพูดอ้อม ๆ กลัวเพื่อนจะเสียใจ
"แหมมึง...กูก็ต้องมีกาละเทสะสิวะ มัวแต่ทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ นายกูก็เฉดหัวกูพอดี จริง ๆ กูว่าพ่อมึงไม่ยักกะดุเท่าไรนะ เอ่อไม่ใช่สิ ก็ดูดุแหละ เห็นกูทีแรกจ้องเขม็งเชียว แต่ก็ไม่ดุเท่าที่กูคิด แล้วยิ่งมาป่วยอย่างนี้ จากเสือเห็นทีจะกลายเป็นแมวซะแล้วล่ะอีน้า หม่อมพ่อมึงอ่ะ" หมึกนินทาพ่อผม ซึ่งโชคดีตรงที่ผมอยู่กับหมึกมันห่างไกลจากตัวบ้าน
ผมกลัวหมึกจะอัดอั้นก็เลยพาหมึกมานั่งเล่นที่เรือนแถวริมแม่น้ำเสียเลย หมึกตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นก็ขออนุญาตให้ผมเปิดห้องโน้นห้องนี้ให้ดู ซึ่งเจ้าตัวก็ออกจะตื่นเต้นเพราะห้องพวกนี้มันเก่าก็จริง แต่ของในห้องนั้นดูจะเก่าเก็บไปเสียยิ่งกว่า ก็คนเคยอยู่กันมาเกือบร้อยคน ข้าวของเครื่องใช้นั้นแสนมากมาย
บรรดาคนเก่าคนแก่ครั้นย้ายออก ก็ไม่ได้เอาของตัวเองไปด้วย เพราะบางชิ้นก็ใหญ่โตเทอะทะ แถมเก่าคร่ำ ตู้เสื้อผ้าเตียง ตู้ใส่ของ และชั้นหนังสือจึงมีอยู่กระจัดกระจายทุกห้อง แต่ห้องที่ผมชอบเข้าไปใช้ประจำ ก็คือห้องที่มีเครื่องดนตรีไทยเก็บอยู่ ขิม จะเข้ ซอ เป็นพื้น แล้วก็พวกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างขลุ่ยซึ่งมีอยู่หลายเลา
"ใครเล่นดนตรีวะ?" หมึกถามและยื่นหน้าไปดูใกล้ ๆ
"ก็บรรดาญาติ ๆ นั่นแหละ อยากฟังเราเล่นขิมไหมล่ะ?" ผมถามและหมึกก็ทำตาโต ดูเหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด
"เล่นเป็นด้วยรึ?"
"เป็นสิแหม" ผมตอบแล้วก็นำขิมตัวเก่งที่เล่นมาตั้งแต่เล็ก ออกมาตั้งที่กลางห้อง รวบไม้ตีขิมขึ้นพนมมือไหว้ครูบาอาจารย์ แล้วก็ตีเพลงสั้น ๆ ให้หมึกได้ฟัง
"เอาเพลงทันสมัยหน่อยสิ นี่มันยุคไหนแล้วอีน้า" หมึกกระเซ้า แต่ผมก็ไม่ยอมทำให้เพื่อนผิดหวัง พยายามนึกโน๊ตเพลง แล้วก็ตีท่อนฮุกของเพลง เมล่อน ให้ฟังเสียเลย หมึกได้ฟังก็หัวเราะอย่างพอใจ จากนั้นก็เก็บขิมให้เรียบร้อย หมึกอยู่จนถึงเย็น แล้วจึงลากลับไป แต่ก่อนกลับก็ขอฝากท้องที่บ้านของผมก่อนสักมื้อ ป้าอุ่นบรรเลงฝีมือเสียเต็มที่ ด้วยว่าบ้านเรานาน ๆ จะมีแขกแปลกหน้ามาเยือนสักคน
"อร่อยทุกอย่างเลย" หมึกเอ่ยปากชม ขณะที่พวกเรานั่งกินอาหารด้วยกัน แม้แต่น้าแข ก็ยังรีบป้อนข้าวคุณพ่อแล้วตามมาสมทบ ฟังหมึกคุยโม้เรื่องโน้นเรื่องนี้
"โอ๊ยฝรั่งแต่ละคนบ้าบอ ๆ เคยมีอยู่หนนึง เป็นฝรั่งแก่ ๆ โทรม ๆ เกิดคลั่งอะไรก็ไม่ทราบ แก้ผ้าแก้ผ่อนเดินจากชายหาดเข้ามาจนถึงในที่พัก ผู้คนแตกฮือ นึกว่าชีเปลือยบุก" หมึกคุยโม้ นี่ดีว่าคุณพ่อไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องโดนหยิกหรือทำโทษอะไรสักอย่าง เพราะหมึกกินไปพูดไป แถมยกมือยกไม้ทำท่าประกอบด้วย
"แล้วหมึกทำอย่างไรล่ะจ๊ะ?" น้าแขถามอย่างนึกสนุก
"หมึกก็ตกใจสิครับน้าแข หันซ้ายหันขวา เจอผ้าปูโต๊ะ ก็เลยวิ่งเอาไปให้ตาแก่นั้นคลุมตัว แถมต้องพูดคุยกันอยู่นานว่าที่เมืองไทย ยูจะมาแก้ผ้าเดินโทง ๆ อย่างนี้ไม่ได้" หมึกอธิบายและทำท่าประกอบ แม้แต่ป้าอุ่นยังหัวเราะขำ
และเมื่อหมึกจะลากลับ เข้าไปลาคุณพ่อ ท่านก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจให้หมึกมาเที่ยวบ่อย ๆ แถมยังบอกว่ามาทั้งทีมานอนค้างก็ได้เดินทางไปเดินทางกลับเหนื่อยแย่ ซึ่งหมึกก็รับปากรับคำ และนั่นมันก็เริ่มกลายเป็นจุดเปลี่ยน ที่สัปดาห์ไหนหมึกไม่ได้กลับบ้านที่ระยอง ก็จะมานอนค้างที่บ้านผม
โดยผมขนพวกอุปกรณ์การนอน ไปนอนค้างกับหมึกที่เรือนแถวริมน้ำ ซึ่งทำความสะอาดเรียบร้อย เพราะแน่นอนว่าเราต้องมีเรื่องคุยกันยันดึกดื่น ซึ่งมันจะรบกวนการนอนของคนในบ้านเพราะคนอื่นเข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่ม
อยู่กันสองคนก็ให้คิดถึงเพื่อนรักที่อยู่แดนไกล เราวิดีโอคอลหากัสจัง ซึ่งบัดนี้ได้ทำงานที่บริษัทแบรนด์เนมอันดับต้น ๆ ของฝรั่งเศส กัสจังชอบเอาเรื่องสนุก ๆ ของที่ทำงานมาเล่า ผมอดจะอิจฉากัสจังไม่ได้ เพราะโลกของกัสจังมันกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน ผิดกับผมที่เหมือนกบตัวน้อย ๆ ในกะลาครอบ แต่อีกใจก็ชื่นชมยินดีที่เพื่อนรักของผมคนนี้แสนเก่ง ได้ทำงานกับบริษัทระดับโลก
เรื่องแย่ ๆ ดูจะยังไม่พอไหนนะคุณพ่อป่วย ไหนจะกิจการของเราที่แย่ลงทุกวันและ วันดีคืนดี ปรากฏว่า ข้าง ๆ กับโรงเรียนของเรา ซึ่งแต่เดิมเป็นชุมชน เป็นห้องแถวเก่า ๆ จู่ ๆ ก็ถูกล้อมรั้วด้วยสังกะสี แผ่นป้ายโครงการถูกติดด้านหน้า และคอนโดแสนทันสมัยจะมาตั้งอยู่แทนที่ตรงนี้
ผลกระทบนั้นย่อมต้องมี เพราะถึงแม้ว่ากฎหมายจะระบุเวลาทำงาน แต่การทำงานก่อสร้างที่ต้องแข่งกับเวลานั้น ก็มักจะทำงานล่วงเวลากันเสมอ ๆ ข้อนี้ไม่กระไรนัก แต่สิ่งที่มาพร้อมการปลูกสร้าง ก็คือฝุ่น
เริ่มจากฝุ่นจากการทุบทำลายอาคารเก่า ๆ ซึ่งเล่นเอาห้องเรียนนั้นขาวโพลน ด้วยละอองฝุ่นจนเด็ก ๆ พากันป่วย ผมถึงกับต้องให้ปิดหน้าต่างเรียนและซื้อเครื่องฟอกอากาศ เลยทีเดียว ยามกลางวันเสียงปั้นจั่นกระแทกเสาเข็มดังตึง ๆ ทำเอาเด็กอนุบาลนอนผวา
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ จำนวนนักเรียนที่ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย โรงเรียนของเรานับวันจะคล้ายโรงเรียนร้าง ซึ่งนั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลเรื่องต่าง ๆ มีปัญหา เพราะรายรับน้อยกว่ารายจ่าย
ผมปรึกษากับหมึก และคนเดียวที่เราพอจะนึกถึงก็คือกัสจัง เพราะกัสจังนั้นอยู่แผนกมาร์เก็ตติ้ง ผมนั้นไม่มีหัวทางธุรกิจเลย ซึ่งกัสจังรับฟังปัญหา ก็ทำสีหน้าจริงจัง
"อีน้า มึงเอากระดาษปากกา เอามาดิ๊ แล้วก็จดนะว่าทรัพย์สินของมึงมีอะไรบ้าง ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์" กัสจังพูดทำเอาผมกับหมึกงงเป็นไก่ตาแตก
"อสังหาก็คือของที่เคลื่อนย้ายไม่ได้น่ะอีโง่ อย่างเช่นพวกที่ดิน ตึกรามบ้านช่องอะไรอย่างนี้ ส่วนสังหาก็ของมีค่าที่พอจะยกไปไหนมาไหนได้อย่าง โต๊ะเรียนเก้าอี้" กัสจังพูดไปด่าไป ชักจะติดนิสัยคนฝรั่งเศสเสียแล้ว หมึกนินทา
แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่กัสจังแนะนำก็ทำเอาผมใจสั่น เพราะจริง ๆ ไอ้ความคิดนี้มันผุดขึ้นในหัวของผมมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ปัญหาก็คือ คุณพ่อ น้าแข และพี่อนงค์ ว่าจะยอมทำตามที่กัสจังแนะนำหรือไม่
"ขายโรงเรียนนั้นซะเชื่อกู มีเงินทุนเราก็ทำโรงเรียนใหม่ก็ได้ แต่กูไม่รู้นะอีน้า ว่าที่ดินตรงนั้นมันมีมูลค่าเท่าไร ต้องให้คนเชี่ยวชาญดู แต่จากที่มึงว่า ถ้ามันติดถนนใหญ่ มีรถไฟฟ้าผ่านด้านหน้า กูว่า ขายกันเป็นตารางเมตร จากที่มีว่ามามีอยู่สองไร่ครึ่ง ก็ทำคอนโดขนาดกลาง ๆ ได้นะ น่าจะสี่สิบห้าสิบล้านนั่นแหละ" กัสจังวิเคราะห์เป็นฉาก ๆ จนผมอยากจะเชิญตัวให้กัสจังมาอธิบายให้ทุก ๆ คนฟังจัง
คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย แม้แต่หมึกยังรู้สึกได้
"อีน้า คิดมากเหรอ?" หมึกถามและผมก็ได้แต่ถอนหายใจเอามือก่ายหน้าผาก
"กูว่าที่อีกัสมันพูดก็ถูกทุกอย่างนะ เราต้องยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตว่ะ หรือมึงกลัวว่า พ่อมึงจะไม่ยอม?" หมึกถามตรงประเด็นเล่นเอาผมถอนใจแรง ๆ อีกรอบ
"เอาน่า เรามีเหตุผลอธิบายนี่หว่า เออเอาอย่างนี้สิ กูถามมึงหน่อย สมมุตินะว่าที่มันขายได้แล้วคราวนี้มีเงินแล้วมึงจะทำยังไงต่อไป กูว่ามึงคิดเผื่อไว้ก็ดีนะ จะได้เอาไปอ้างอิงกับหม่อมพ่อมึงได้ว่า เรามีทางหนีทีไล่" หมึกพูดเล่นเอาผมเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา
"ง่วงหรือยัง ช่วยกันคิดได้ไหม?" ผมถามและหมึกก็ตอบว่าพร้อมจะช่วยกันคิด
กระดาษปากกาถูกจดข้อเสนอทีละข้อ ๆ คิดอะไรได้ก็พูดออกมาก่อน ทำได้หรือไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที เช่นจะให้หารเงินกันไปเท่า ๆ กันแล้วก็แยกย้าย ซึ่งข้อเสนอนี้ผมไม่ให้ผ่าน ไม่อย่างนั้นเข้าข่ายลูกอกตัญญูแน่ ๆ ถึงผมจะไม่ได้รักคุณพ่อเท่ากับพี่อนงค์ แต่จะอย่างไรเราก็มีสายเลือดเดียวกัน และท่านก็ส่งเสียให้ผมได้ร่ำเรียนจนมีอาชีพได้อย่างที่ท่านหวัง
ยิ่งผมฟังเรื่องครอบครัวของผม กับครอบครัวของหมึก ก็รู้สึกว่า คุณพ่อท่านก็ดีกับผมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ท่านไม่ได้แสดงออกก็เท่านั้นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้า ผมเรียกพี่อนงค์มาคุยกับผมและหมึกเป็นการส่วนตัว จู่ ๆ จะไปบอกให้ขายที่ดินของโรงเรียนนั้นผมโดนรุมด่าแน่ ๆ ดังนั้นจึงต้องหาพันธมิตร คอยช่วยกันล็อบบี้ หมึกนั้นยกแม่น้ำทั้งห้าออกมาจนในที่สุด พี่อนงค์จดด้วยเหตุผล แล้วชักจะเห็นชอบด้วย และในอาทิตย์ถัดมา ผมเลือกช่วงเวลาที่มีจังหวะดี ๆ ชวนพี่อนงค์กับผมเข้าไปคุยกับคุณพ่อและน้าแขเสียเลย
คุณพ่อสงบกว่าที่ผมคิดไว้ ทีแรกผมคิดว่าท่านจะอาละวาด แต่กลายเป็นว่าท่านรับฟังอย่างสงบ แล้วกล่าวตะกุกตะกักถาม ปัญหาสารพัด ซึ่งโชคดีมันเป็นปัญหาที่พี่อนงค์ถามผมเมื่อทีแรก และคนอธิบายกลับกลายพี่อนงค์ซึ่งสนิทกับคุณพ่อมากกว่า
ส่วนน้าแขนั้นแกก็ตามใจคุณพ่ออยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จนคุณพ่อไล่ให้ผมกับพี่อนงค์ออกไปก่อน แล้วปรึกษากับน้าแขสองคน เย็นวันนั้น ที่โต๊ะอาหาร น้าแขไขก็มาแจ้งข่าวว่าคุณพ่อนั้นอนุญาตแล้ว
เอาเป็นว่าปัญหาข้อแรกจบลงแต่ปัญหาข้อที่สองก็ตามมา เราพร้อมจะขาย แต่คนพร้อมจะซื้อนี่น่ะสิจะไปหาที่ไหนกันนะ โรงเรียนของเราปิดตัวในวันหนึ่ง ผมจ้างให้คนทำไวนิล ไปปิดที่หน้าโรงเรียนเพื่อประกาศขายที่
คนมาติดต่อซื้อที่ดินมากกว่าที่ผมคิดไว้ แต่แน่ละ ที่ดินโดนกดราคาเสียแทบแย่ รวมไปถึงข้อเสนออะไรหยุมหยิมซึ่งล้วนแต่เอาเปรียบอย่างหน้าทนที่สุด
"เอาน่าใจเย็น ๆ ที่มึงสวยขนาดนี้ มันต้องได้เยอะกว่านี้สิ" หมึกเอาใจช่วยในวันหนึ่ง และมองโครงการสำรองที่ผมกับพี่อนงค์ร่วมทุนสร้างด้วยกันในระหว่างนี้
ด้านหนึ่งของที่ดินบ้านเราตรงนั้นเคยเป็นห้องแถวเก่า ๆ ดูโทรมเพราะเมื่อมีถนนตัดผ่าน ทางการเล่นถมถนนเสียสูง ห้องแถวตรงนั้นก็เลยเตี้ยกว่าพื้นถนนเป็นอันมาก ผมจ้างช่างรับเหมามาปรับห้องแถวเก่า ๆ ตีมันให้โล่งกว้าง เปลี่ยนหลังคาเสียใหม่ ทาสีให้ดูสวยงามขึ้น ของใช้ที่เหลือมาจากโรงเรียน ผมก็ถอดเอามาเก็บไว้ที่นี่ ผนังห้องทุกด้านถูกกรุด้วยกระดานดำสีเขียว ซึ่งมีรอยชอล์ก และรอยขีดข่วน
โรงเรียนเก่านั้นด้านบนเป็นไม้ด้านล่างเป็นปูนอย่างโรงเรียนสมัยโบราณ อะไรถอดมาได้ผมก็ถอดมาเก็บไว้ที่นี่จนหมด ที่ทางเราออกเยอะแยะแต่ก็น่าใจหายที่ข้าวของกองสูงเป็นภูเขาทีเดียว อะไรที่ยังใหม่ยังดีถ้าขายได้ก็ขายไป
ผมมีความคิดจะทำร้านอาหาร แต่ต้องมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ก็ไหน ๆ ข้าวของจากโรงเรียนมีเยอะแยะ ถาดหลุมถูกนำมาใช้สำหรับเสิร์ฟลูกค้า บรรดาแม่ครัวก็เป็นคนเก่าคนแก่ โต๊ะที่ใช้นั่งรับประทานอาหารก็ใช้โต๊ะเรียนนั่นแหละ แถมที่หน้าร้านมีเสาธง ซึ่งชักธงชาติตอนแปดโมงเช้าและตอนห้าโมงเย็น ผมให้ชื่อร้านอาหารของผมว่า "โรงอาหาร" มันเป็นไปได้ด้วยดีกว่าที่คิด และงบประมาณน้อยกว่าที่ตั้งไว้ค่อนข้างมาก เพราะมีของเก่า ๆ จากโรงเรียนเอามาซ่อมแซมดัดแปลง มองดูเผิน ๆ เหมือนอยู่ในโรงเรียนเหมือนกัน แม้แต่เมนูอาหาร ก็ถูกเขียนบนกระดานดำ
แต่ก็ใช่ว่าจะได้กำรี้กำไรอะไรมากมาย แค่พอเลี้ยงครอบครัวเราไม่ให้ลำบากเท่านั้น ลุงและป้าคนงานก็ถูกให้ไปช่วยที่ร้าน ผมกับพี่อนงค์ก็ผลัดกันไปช่วย และส่วนหนึ่งของร้าน ผมก็ใช้เปิดสอนพิเศษให้เด็ก ๆ เสียเลย บุคลากรนั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคุณครูที่เกษียณไปแต่ยังแข็งแรง นับว่าช่วยเหลือคนได้หลายคนอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญทำให้พวกเราไม่ว่างจนต้องคิดมาก
"เมื่อไรที่โรงเรียนมึงจะขายได้สักทีหนอ" หมึกเปรยเพราะจนป่านนี้กินเวลามาครึ่งปีแล้วที่ดินก็ยังติดป้าย "ขาย" อยู่ผมผ่านไปผ่านมาจนเห็นว่าแผ่นป้ายไวนิลมันเริ่มขาดก็เลยสั่งทำป้ายอันใหม่ไปติดสักที
"สงสัยต้องมูเตลูสักหน่อยแล้วมั้ง" หมึกผู้ใช้ความเชื่อมากกว่าวิทยาศาสตร์แนะนำ และในวันดีคืนดี ผมก็ต้องไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ศาลหลักเมือง โดยมีหมึกคอยเป็นผู้กำกับบอกบทให้ผมอธิษฐานกับเจ้าพ่อหลักเมือง ว่าขอให้ขายที่ได้ดี ๆ สักทีเถิด
ถ้าคิดว่าจบแค่นี้ก็เห็นจะง่ายไป หมึกชวนผมซื้ออาหารคาวหวาน น้ำแดง ดอกไม้พวงมาลัยไปไหว้เจ้าที่ที่โรงเรียน มีหมึกรับบทผู้กำกับอีกเช่นเคย ให้ผมขอให้เจ้าที่เจ้าทางดลจิตดลใจให้มีคนดี ๆ มาซื้อที่ต่อจากผมสักที
"โรงเรียนมึงโทรมไปเยอะเลยว่ะ" หมึกพูดเมื่อเดินสำรวจพื้นที่ ผมเองก็เศร้าใจ เคยวิ่งเล่นที่นี่ตั้งแต่เด็ก จนโตมากลายเป็นครูสอนหนังสือ ก็มาสอนที่นี่ แต่ตอนนี้ตึกอาคารเรียนเก่าหักพัง มีวัยรุ่นมือบอนเอาสีสเปรย์มาฉีดจนเลอะเทอะ ผมแอบอธิษฐานในใจ ถ้าเจ้าที่มีจริงก็คงเศร้าใจ ขอโปรดดลจิตดลใจให้มีคนมาทำที่ตรงนี้ให้มันสะอาดสะอ้านสวยงามด้วยเถิด
เมื่อกลับบ้าน ผมกับหมึกเข้าครัว แน่ล่ะว่าป้าอุ่นเตรียมกับข้าวไว้ให้พวกเราเช่นเคย
"มีอะไรให้น้องกับหมึกช่วยไหมจ๊ะ?" ผมถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ จนป้าอุ่นหันมายิ้ม
"พอดีเลยค่ะ คุณณรงค์เข้าไปในสวน เด็ด ใบมะกรูด ตะไคร้ แล้วก็ขุดข่ามาสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวป้าจะทำต้มยำแซ่บ ๆ ให้กินอ้อ เด็ดสะระแหน่ติดมือมาด้วย ป้าจะทำยำปลากระป๋อง" ป้าอุ่นสั่งปุ๊บผมกับหมึกก็ลงสวนปั๊บ ได้ของมาครบก็ช่วยป้าอุ่นทำ ต้มยำปลากระป๋องกับ ยำปลากระป๋อง มีไข่เจียวและผัดผักซึ่งเราปลูกเอง
หมึกมองอาหารแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนเมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคน หมึกก็ถามผมตรง ๆ
"มึงอย่าว่ากูอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ ที่บ้านมึงเริ่มมีปัญหาทางการเงินแล้วใช่ป่าว?" หมึกถามและผมก็ถอนหายใจ
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่เรารู้สึกว่าอะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดน่ะ โชคดีของกินที่บ้านเรามันมีผักที่ปลูกเองนะ แต่ที่ร้านอาหาร ของแพงเอา ๆ ทุกอย่าง ไข่ไก่ เนื้อหมู ผัก แก๊ส แล้วก็ค่าแรงคนงานอีก" ผมบ่นและทิ้งตัวลงนั่งยอง ๆ
"เอาน่าสมัยเราเรียนก็ไม่ได้มีเงินเยอะแยะ แดกมาม่ากับปลากระป๋องกันประจำมึงจำไม่ได้เรอะ มาม่าสองห่อ ปลากระป๋องอีกกระป๋องนึง ใส่น้ำเยอะ ๆ แดกกับข้าวด้วย เราเคยลำบากกันมากกว่านี้มาแล้วอีน้า" หมึกพูดให้กำลังใจทิ้งตัวลงนั่งข้างผม และยื่นแขนมาโอบที่บ่า ผมคิดไม่ถึงเลยว่าถ้าไม่มีกำลังใจ ไม่มีความคิดจากเพื่อนคนนี้คอยช่วยหาทางให้ผมทำโน่นทำนี่ ผมจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร ร้านโรงอาหารก็เป็นความคิดของหมึกเหมือนกัน
ครอบครัวของผมเหมือนจะล่มสลาย คุณพ่อผู้เป็นเสาหลัก ป่วยจนทำอะไรไม่ได้ ผมในฐานะลูกชายคนเดียวจึงรู้สึกว่าทุกอย่างมันประดังประเดมาอยู่บนบ่าของผมจนหนักแทบจะจมแผ่นดิน
"หมึกเชื่อไหม บางครั้งเราก็เครียดนะ เราเคยแอบคิดนะว่า ถ้าเราไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว เรื่องบ้า ๆ พวกนี้ก็จะจบสิ้นลงสักที" ผมหลับตาพูด และเริ่มซุกหน้าลงกับท่อนแขน น้ำตาของผมค่อย ๆ ไหลออกมา พร้อมกับคำพูดที่พรั่งพรูจนหมดหัวใจ
หมึกปล่อยให้ผมพูดออกมาจนหมด พูดจนหัวใจ ทุกเรื่องที่ผมไม่อยากเผชิญและผมกำลังอยู่ต่อหน้ามันหลั่งไหลราวกับว่า พรุ่งนี้จะไม่มีความสุขให้ผมอีกแล้ว เพราะความทุกข์ที่โถมทับ ผมต้องแบกรับภาระไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่เป็นทั้งครอบครัว
ผมนึกอะไรไม่ออกแล้ว และเริ่มเปลี่ยนเสียงพูดเป็นเสียงสะอื้นแทน หมึกยังคงมาเที่ยวที่บ้านของผม แต่จะติดไม้ติดมือคือวัตถุดิบ ซึ่งซื้อเผื่อมาเป็นจำนวนมาก ผมรับอย่างไม่ค่อยสบายใจ แต่หมึกว่า อยากกินอะไรอร่อย ๆ จึงซื้อมาให้ป้าอุ่นทำให้
เวลาแห่งความทุกข์ เมื่อมันครอบงำ ความสุขของผมก็ดูจะริบหรี่เต็มที หนังสือที่ผมเคยมีความสุขด้วยการอ่านมันอย่างลืมวันเวลา แต่บัดนี้ ผมไม่มีเวลาที่จะหาความสุขใส่ตัวเองเลย ทำงานตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็น เพราะคนงานที่หน้าร้านลาออกไปหนึ่งคน ผมจึงต้องลงแรงไปทำงานแทน เพราะเราต้องประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส นับวันก็จะมีแต่ขึ้นราคา ไหนรัฐบาลที่ตอนหาเสียงบอกว่าจะลดพวกมันทันทีไงล่ะ และดึกดื่นกว่าผมจะได้เข้านอนเพราะต้องช่วยแม่ครัวทำความสะอาดร้าน กำไรที่ได้มา มันก็พอจะได้บ้างแต่งานค้าขายนั้นมันเป็นเงินหมุน ได้มาก็ใช้ไป ไม่รู้จักจบ และดูเหมือนรายจ่ายของผมจะบานปลายเพิ่มมากขึ้นทุกที
ผมเข้าไปในห้องหนังสือซึ่งบัดนี้แทบไม่ได้ย่างกราย ถึงพื้นห้องจะสะอาดไม่มีฝุ่น แต่ผมก็สัมผัสได้ว่า ห้องหนังสือที่เคยมีชีวิต บัดนี้มันก็คล้ายกับว่าจะมีลมหายใจเพียงรวยริน หนังสือที่ไม่มีใครหยิบไปอ่าน มันจะมีชีวิตชีวาได้อย่างไร ผมเปิดไฟในห้องให้สว่าง ค่อย ๆ ไล่ดูหนังสือหลายพันเล่ม ซึ่งมีทั้งเก่าทั้งใหม่ พลันในหัวของผมก็ฉุกคิดอะไรได้หนึ่งอย่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปเคาะประตูห้องพี่อนงค์ และบอกความคิดบางอย่างในหัวของผมซึ่งพี่อนงค์นั้นมีท่าทีไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
"ตัวจะตัดใจขายหนังสือพวกนั้นได้จริง ๆ หรือ?" พี่อนงค์ถามและเอาแต่จ้องหน้าของผมแน่วนิ่ง
"มันไม่มีทางอื่นแล้ว ตัวก็รู้ทุกวันนี้ที่บ้านของเรามันแย่แค่ไหน" ผมพูดเสียงสั่น และพี่อนงค์ก็ดึงผมไปนอนหนุนตัก
ผมไม่พูดเรื่องขายหนังสืออีกแล้ว และเปลี่ยนเป็นพูดคุยถึงหนังสือเล่มต่าง ๆ ที่เราเคยอ่านกันมาตั้งแต่เด็ก บางเล่มลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำ และมันก็เป็นเสียงหัวเราะสุดท้าย เหมือนเป็นสัญญาณบอกลาหนังสือที่ครั้งหนึ่ง คนในตระกูลของผมหวงแหนเท่าชีวิต
ผมกำชับให้น้าแขอย่าได้แพร่งพรายให้คุณพ่อรู้ ผมโพสต์หนังสือเก่า ตั้งแต่หนังสือรามเกียรติ์ และหนังสือโบราณหายากมากมาย แต่ดูท่ามันจะน่าสนใจสำหรับคอหนังสือเก่ามากกว่าที่คิด เพราะหนังสือพวกนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ที่สำคัญสภาพยังดีมาก ๆ เพราะพวกเราอ่านมันด้วยความรัก หนังสือทุกเล่มถูกถนอมราวกับไข่ในหิน
เมื่อมีคนอยากได้หลายคน ผมจึงเสนอให้มีการประมูลกัน และเพียงหนังสือรามเกียรติ์ชุดเดียว ก็ได้เงินมาประทังชีวิตของพวกเราให้อยู่ได้ไปอีกหลายเดือน ถ้าใช้อย่างประหยัด ๆ
"เสียดายจังเนอะ" ผมเปรยกับพี่อนงค์ และคนที่มารับซื้อหนังสือไป สัญญากับผมว่าจะดูแลมันให้ดีที่สุด แกเป็นข้าราชการวัยใกล้เกษียณซึ่งชอบสะสมของเก่า แกให้ราคามากกว่าคนอื่น เพราะแกว่าหนังสือชุดนี้แกตามหามาหลายสิบปีแล้ว และการที่ได้มาครบทั้งชุดแบบไร้ตำหนิ จึงทำให้แกยินดี ปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอ
"พวกมันได้ไปอยู่กับเจ้าของที่ดีแล้วล่ะ" พี่อนงค์ปลอบผม และเมื่อเรากลับเข้าบ้าน หลังจากลาคนที่มาเหมาซื้อหนังสือเก่าแก่ ผมก็มอบเงินสำหรับให้ป้าอุ่นจ่ายกับข้าวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ป้าอุ่นแกรับไว้และยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ มองอาหารที่เพิ่งทำเสร็จมีปลากระป๋อง ซึ่งพักหลัง ๆ เรากินมันบ่อยเหลือเกิน พรุ่งนี้ไปก็ขอห่างจากมันสักหน่อยนะ ถึงมันจะอร่อย แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอห่างสักพักก็แล้วกันเพราะ ผมว่าหน้าของผมจะคล้ายกับพรีเซ็นเตอร์ที่อยู่ข้างกระป๋องเข้าไปทุกทีแล้ว จึงเดินไปกระซิบบอกป้าอุ่นเบา ๆ "ป้าจ๋า งดปลากระป๋องไปสักเดือนนึงก่อนเถอะนะ" ผมพูดแล้วป้าอุ่นก็อมยิ้มพยักหน้าแต่ไม่ได้กล่าวอะไร