ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
จะอย่างไรก็ดี แม้ว่าการเอาสมบัติเก่าไปขายจะทำให้ผมรู้สึกผิด แต่มันอยู่ในภาวะจนตรอก ถ้าไม่เอาหนังสือไปขาย คนในบ้านของผมกี่ชีวิตจะอยู่กันได้อย่างไร เพราะเราต้องกินข้าว ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งแม้จะพยายามเขียมกันอย่างสุดกำลังแต่มันก็ยังต้องมีอยู่เรื่อย ๆ เพราะมันเป็นของใช้แล้วหมดไป
ได้เงินก้อนหนึ่งมา ก็พอจะทำให้ผมหายห่วงไปสักพักใหญ่ ๆ เราสองพี่น้องมองตาก็ได้แต่อมยิ้มเพื่อให้กำลังใจกันและกัน ผมสงสารพี่อนงค์ พี่สาวของผมที่ต้องทำงานจนน้ำหนักลดลงไปหลายกิโล รวมไปถึงป้าอุ่นด้วย ซึ่งเราต้องเปลี่ยนหน้าที่ไปขายอาหารที่ร้านโรงอาหารของเราอย่างเต็มตัว เพราะจับได้ว่าแม่ครัวทุจริต
"ไม่น่าเลย อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เห็นแก่ได้กับแค่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้" พี่อนงค์บ่น เราไม่ได้ติดใจเอาความแค่เลิกจ้าง ส่วนเด็กคนงานชาวพม่า ซึ่งขยันขันแข็ง ก็ยังคงจ้างอยู่ ให้นอนค้างที่บ้านของเรานี่ล่ะ เจ้ายีเป็นเด็กกะเหรี่ยงหุ่นสันทัด ล่ำเป็นมะขามข้อเดียว แต่ขยันขันแข็งและสู้งานหนักทุกชนิด กินข้าวครั้งละเยอะ ๆ และบอกกับผมว่า เงินเดือนของเขา จะน้อยลงกว่านี้ก็ได้ เพราะเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนกับเรา วัน ๆ แทบไม่ได้ใช้อะไร แต่ผมก็ไม่ได้ลดเงินค่าแรงของนายยีคนนี้แม้แต่บาทเดียว คนเราเขาให้ใจเรามา เราก็ต้องแลกใจให้เขาไปเช่นกัน
และอีกคนที่ผมแสนจะซึ้งน้ำใจก็คือหมึกเพื่อนรัก ซึ่งวันหยุดก็จะมาค้างที่บ้านผม ช่วยงานที่หน้าร้าน โดยไม่รับเงินทองสักบาท
"ก็จ่ายค่าแรงกูเป็นอาหารอร่อย ๆ ของป้าอิ่มก็แล้วกัน เพื่อนกันมึง... ช่วยกัน" หมึกพูดพร้อมกับช่วยกันยกโน่นยกนี่ ให้วุ่นวายไป
ข่าวดีข่าวหนึ่งซึ่งพอจะทำให้ผมกับหมึกดีอกดีใจ ก็คือข่าวของกัสจังที่กลับมาเยี่ยมบ้าน กำหนดคือช่วยต้นเดือนธันวาคม โดยกัสจังอธิบายว่า ช่วงคริสต์มาสนั้นที่ยุโรปจะหยุดงานกันเกือบหมด กัสจังอยู่แผนกการตลาด ไม่ได้อยู่แผนกขาย จึงได้หยุดงานกับเขาด้วย
"คิดถึงอีกัสเนอะ แหม ถ้ามันกลับมาแล้วมาเด ๆ เต ๆ แม่จะตบให้หน้าหัน ดัดจริต" หมึกผู้ซึ่งคิดถึงกัสจังที่สุด พูดบ่นกับผมในยามที่เราสองคนนั่งรถไปที่ร้านอาหารคุณย่าของกัสจังด้วยกัน เมื่อเจอกันก็กิ๊วก๊าวทักทายเสียงดัง นอกจากผมกับหมึก เจ๊หวังกับเปาก็มาด้วย ดูเจ๊หวังจะสวยและดูร่ำรวยมาก มีออร่า มีเพื่อน ๆ ของกัสจังอีกสองคนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคณะ พอจะรู้จักกันแต่ไม่ได้สนิทมาก
ผมออกจะอายนิด ๆ เพราะในเมื่อผมก็เปิดร้านอาหารเหมือนคุณย่าของกัสจังแต่เมนูอาหารของร้านคุณย่ามีแต่อาหารไทยโบราณหน้าตาน่ากิน แถมยังเอร็ดอร่อยสุด ๆ ร้านของผมนั้นขายอาหารแบบง่าย ๆ และเน้นปริมาณกับราคา เนื่องจากแถวที่ผมอยู่ลูกค้าคือคนทั่ว ๆ ไป
พูดคุยซักถาม มีแต่คนพูด แทบจะไม่มีคนฟัง เจ๊หวังนั้นยังคงน่ารัก ซักถามถึงชีวิตของผมกับหมึก และให้กำลังใจ ผมเคยได้ยินเปาเล่าให้ฟังว่า เจ๊หวังนั้นกว่าจะมาถึงวันนี้ แต่ก่อนก็เป็นลูกแม่ค้าขายผักอยู่ในตลาด แต่คนเราลองได้รู้ว่าตัวเองรักอะไรชอบอะไร และนำสิ่งที่ตัวเองถนัดมาทำให้เกิดงาน ก็จะประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย นอกจากความเก่งกาจแล้ว ผมว่าครึ่งหนึ่งน่าจะเป็นเพราะดวง ยิ่งสนิทกับหมึกมากกว่าเมื่อก่อนก็ชักจะเอนเอียงไปในสายมูกับเขาด้วย
คืนนั้นผมไปนอนค้างที่ห้องของหมึก และเช้ามืดก็จะกลับบ้านเพื่อไปช่วยพี่อนงค์เปิดร้าน หมึกเห็นผมตื่นแต่เช้ามืดก็บอกว่าให้รอเดี๋ยวจะไปร้านกับผมด้วย
"พักเถอะ เมื่อคืนหมึกก็นอนดึก" ผมกล่าวอย่างแสนเกรงใจเพื่อน
"เออน่าอยู่นี่กูอดตาย กูจะไปกินข้าวฝีมือป้าอิ่ม อย่าสาระแนน่า" หมึกด่าอย่างยิ้มแย้ม จะแสดงน้ำใจก็ยังจะแกล้งด่าอีกนะเพื่อนของผม
หลังจากนั้นอีกราว ๆ สามวัน กัสจังบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณพ่อ เพราะรู้ข่าวว่าท่านไม่สบาย ผมก็ว่าตอนนี้คุณพ่อทำกายภาพบำบัดจนสามารถเดินได้ในระยะทางใกล้ ๆ และพูดจาได้ชัดเจนขึ้นมากแล้ว นี่ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของน้าแขแท้ ๆ ที่ทั้งขู่ทั้งปลอบ ให้คุณพ่อไม่ท้อที่จะเคลื่อนไหวร่างกาย
ยามสาย ๆ ของวันนัด กัสจังมาพร้อมกับเปา เอากระเช้าซุปไก่และรังนกมาฝากคุณพ่อ พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็พากันมาดูร้านขายอาหารของผม
"เห้ยเก๋ว่ะ เหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กเลย ให้ลูกค้ากินอาหารในถาดหลุม แต่งร้านเหมือนกลับอยู่โรงเรียนจริง ๆ ด้วย" กัสจังเอ่ยปากชม และเปาก็อุดหนุนกับข้าวไปหลายอย่าง
"เอออีน้า อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ที่กูพาอีเปามาด้วยน่ะ เพราะจะให้อีเปามันเป็นนกต่อ ไปดูโรงเรียนของมึงที่มึงประกาศขายอ่ะ" กัสจังอธิบายและผมก็ออกจะสงสัยว่าใครกันหนอจะเป็นคนมาซื้อที่ของผม
"เอาน่าพาไปหน่อย" เปาว่าพร้อมกับดึงผมขึ้นรถไปกับกัสจัง เปาดูโน่นดูนี่ ทำท่าครุ่นคิดและโทรศัพท์เป็นระยะ ๆ และเมื่อขากลับ เปาหันมาบอกกับผมว่าคนที่สนใจอยากจะซื้อที่นั้นมีความสนใจค่อนข้างมาก ไว้จะนัดมาดูที่จริง ๆ อีกที แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ที่ทางมันรกเรื้อ อยากจะให้ผมจ้างคนไปทำความสะอาดพื้นที่เท่าที่ทำได้ เช่นพวกหญ้ารก ๆ เพราะพื้นที่มันถูกปล่อยไว้เนิ่นนาน
"เราโอนเงินไปให้หมื่นนึงนะ จ้างรถมาไถที่เลยก็ได้เอาให้เรียบ ที่จะได้สวย ๆ" เปาพูดแล้วก็จะโอนเงินให้ผม
"เห้ยเปา เราเกรงใจ" ผมพูดอย่างเกรงใจจริง ๆ จู่ ๆ จะมาโอนเงินให้ผมทำไม เงินหนึ่งหมื่นสำหรับเปามันไม่เยอะแต่สำหรับคนอย่างผมมันไม่น้อยเลยทีเดียว
"เออน่า คิดซะว่าเปามันให้ยืมก็แล้วกัน เอาอย่างนี้มึงรีบจ้างคนไปเคลียร์พื้นที่ รีบเคลียร์จะได้รีบขาย ทำเสร็จแล้วก็ไลน์หากันโอเคป่ะ" กัสจังพูด และผมก็แสนจะซึ้งใจกับเพื่อนทั้งสองคน ผมเป็นคนโชคดีอะไรอย่างนี้ที่มีเพื่อนที่ช่วยผมในยามยาก
วันรุ่งขึ้น ผมจัดแจงติดต่อให้รถไถไปไถพื้นที่โรงเรียนอย่างว่องไว โดยผมต้องยอมเสียเวลาไปยืนคุมไม่อย่างนั้นป้าอุ่นว่าคนงานมักจะอู้ แต่เราก็ต้องทำเนียน ๆ คือช่วงเที่ยงก็เอาอาหารไปให้เขากินสักหน่อย ใช้เวลาเพียงสองวันพื้นที่รกร้างจนชาวบ้านเอาไปลือว่าเป็นโรงเรียนร้าง โรงเรียนผีสิง ก็กลับกลายเป็นที่ผืนใหญ่แปลงสวย
กำหนดนัด มีกัสจังมากับเปาแต่เพิ่มคนมาด้วยคือเจ๊หวังกับพี่ของเจ๊หวังชื่อพี่คิด หรือที่แกให้ผมเรียกแกว่าพี่คิตตี้ พี่คิตตี้นั้นดูหน้าตาสวยหวานก็จริง แต่ก็ดูรู้ได้เลยว่าเป็นคนอย่างที่เขาเรียกว่าค่อนข้างเค็ม ต่อราคาค่าที่ของผมเสียย่อยยับ แต่เจ๊หวังกลับเป็นอัศวินขี่ม้าขาว เถียงพี่คิตตี้ฉอด ๆ จนสุดท้ายเราก็จบในราคาที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
"พี่คิตตี้จะซื้อที่เอาไปทำอะไรหรือครับ?" ผมถามอย่างเกรง ๆ เพราะรัศมีความรวยที่ส่องกระจาย ทั้ง ๆ ที่พี่ติตตี้ก็แต่งตัวธรรมดา ๆ เสื้อสีชมพูลายแมวกับกางเกงขาสามส่วนสีครีมกับหมวกแก๊ปสีขาวอีกใบดูไกล ๆ จะคล้ายคนทั่ว ๆ ไป
"ก็อีหวังมันมาออด ๆ ให้เจ๊ซื้อที่ ผัวเจ๊อยากทำคอนโด จะหุ้นกับบ้านของเปามัน เพราะบ้านเปามันทำอสังหาอยู่แล้วน่ะ" เจ๊คิตตี้พูด และผมก็แปลกใจที่ผมไม่รู้ว่าบ้านของเปาทำการค้าอะไร รู้แค่ว่ารวยมาก ๆ ถ้ารู้เสียอย่างนี้เสนอขายให้เปาไปนานแล้ว
ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน การจัดการเรื่องการเงินและเอกสารก็เสร็จสรรพ แม้จะมีเงินในบัญชีของผมหลายสิบล้าน ผมกลับมาอุ่นใจว่าต่อไปนี้ผมจะทำให้ครอบครัวผมสุขสบายไม่ต้องลำบากได้แต่ แต่ลึก ๆ ผมก็แอบกังวลเหมือนกัน ก็ดูแต่คุณพ่อของผมที่จู่ ๆ ท่านก็ล้มป่วย ฉวยวันดีคืนร้ายผมป่วยบ้าง ทีนี้ล่ะ ครอบครัวของผมจะเป็นอย่างไรต่อไป
"เอาเงินต่อเงินสิวะ มีเงินทุนแล้วก็ทำอะไรสักอย่าง" หมึกให้ความเห็น
"ทำอะไรดีล่ะ?" ผมจนแปดด้าน มีเงินแต่ไม่รู้ว่าจะเอามันไปลงทุนอะไร ก็ชีวิตเกิดมาไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของการค้าขาย รู้จักแต่การเป็นครู เป็นผู้ให้กันทั้งบ้านนี่นะ
"กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ชีวิตกูตอนเกิดก็อยู่มากับรีสอร์ท อยู่มากับห้องพัก จะไปเล่นหุ้น หรือจะเปิดซ่อง กูไม่ถนัดเลย" หมึกก็ยังคงเป็นหมึก ถึงจะพูดจริงจังแต่ก็ติดเล่นจนได้
"ทำห้องพักอย่างนั้นเหรอ เราว่าน่าสนใจนะ" ผมหันไปคุยกับหมึก ตาเป็นประกาย และนึกถึงวัดแถว ๆ บ้านผม ตลอดไปจนถึงท่าเตียน ท่าพระอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ ไล่ไปจนถึงถนนข้าวสาร ซึ่งมันอุดมไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
บ้านของผมจริง ๆ ก็จัดว่าเป็นทำเลที่ดี ติดแม่น้ำเจ้าพระยาเชียวนะ จะเดินทางทางน้ำ หรือทางบกก็แสนง่าย เอาล่ะทีนี้ผมกับหมึกก็ฟุ้งกันใหญ่ อย่ากระนั้นเลย ผมชวนหมึกไปคุยกับพี่อนงค์ และคุณพ่อด้วยดีกว่า เพราะใจของผมมันตื่นเต้นและไฟแห่งความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม
"อะไรกันคะคุณณรงค์วิ่งโลดมาทีเดียว" ป้าอุ่นซึ่งนั่งดูโทรทัศน์มือก็ถักไหมพรมไปด้วยถึงกับหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมวิ่งมาจากเรือนริมแม่น้ำ ตามด้วยหมึกที่ค่อย ๆ เดินตามมา
ผมเล่าความคิดแสนบรรเจิดของตนเอง แผ่นไม้เก่า ๆ ที่บ้านของผมมีเยอะแยะ สูงเต็มโกดัง สมควรที่จะเอามาทำให้เกิดประโยชน์ เท่านี้เราก็จะประหยัดค่าวัสดุก่อสร้างไปได้ตั้งมากมาย รวมไปถึงของเก่า ๆ ที่เก็บสุมไว้จนรกเต็มห้องเก็บของ หม้อชามรามไห ถาดสังกะสีลายดอกไม้ที่เก่าจนเริ่มมีสนิมขึ้น จะทิ้งไปป้าอุ่นก็ตัดใจไม่ลง เอามาเป็นของประดับเสียเลยก็น่าจะเข้าที
แต่คุณพ่อไม่ค้านแต่ก็ไม่ได้สนับสนุน ท่านว่าให้ผมลองไปคุยกับคนรับเหมาเสียก่อน ท่านว่ามันก็น่าจะดี แต่จะมีลูกค้ามาพักจริง ๆ หรือ
"เดี๋ยวนี้เราขายของไม่ต้องปิดป้ายประกาศหรือรอคนบอกปากต่อปากแล้วคุณพ่อ เราใช้อินเทอร์เน็ต" หมึกแทรกจนโดนคุณพ่อมองดุ ๆ
คืนนั้นผมจัดการวิดีโอคอลกลุ่มโดยให้ชวนเปาเข้ามาพูดคุยด้วย บ้านเปาทำอสังริมทรัพย์ และก่อสร้างอยู่แล้ว แถมเปาสัญญาว่าจะช่วยในราคาที่แสนเป็นมิตร
"ทำเสร็จแล้วเดี๋ยวเจ๊จะไปรีวิวให้ค่ะ" เจ๊หวังพูดจนผมใจฟู
"เออ เจ๊ว่าจะไปรีวิวน่ะ มันได้แค่ห้องพัก ไหน ๆ หล่อนทำร้านข้าวอยู่แล้ว ทำคาเฟ่เล็ก ๆ ด้วยสิ คาเฟ่เก๋ ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โรแมนติกชะมัด" เจ๊หวังเปิดทางแต่ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะไม่เคยเปิดร้านอาหารหรู ๆ กับเขา
"ไม่ยาก ๆ เดี๋ยวกูให้พี่ชายกูไปคุมให้ นั่นน่ะคนจัดแจงเรื่องร้านอาหารของย่าจนเป็นอย่างที่มึงเห็นเลย" กัสจังร่วมอีกแรง คืนนั้นผมนอนไม่หลับใจคิดฟุ้งไปถึงพื้นที่ซึ่งแต่เดิมเคยรกเรื้อไร้ประโยชน์ ต่อไปนี้ มันคงจะสวยงามและคึกคัก เหมือนเมื่อสมัยคุณทวดยังอยู่
เปากับเจ๊หวังมาหาในวันหนึ่ง พาคนออกแบบและช่างรับเหมาก่อสร้างมาด้วย พูดคุยกันถึงคอนเสป ซึ่งผมอยากให้มันดูเป็นไทย ๆ เรียบง่าย และถูกประดับด้วยของใช้โบราณ ราคาไม่แพงนัก ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็หาข้อมูลด้วยการไปถ่ายรูปบ้านเรือนเก่า ๆ แต่หลักฐานประจักษ์ที่ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นเรือนที่ผมอยู่นี่แหละ เพราะมันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เจ็ด สมัยคุณทวดเลยทีเดียว
"ทำให้ด้านนอกมันล้อไปกับเรือนใหญ่ แต่ผมแนะนำให้ทาสีใหม่ ผมชอบสีเหลืองรัชกาลที่ห้า มันทำให้บ้านดูสว่างและเป็นมิตร" พี่คนออกแบบเสนอความเห็น และเปิดรูปให้ดูถึงเรือนไทยซึ่งทาสีเหลืองตุ่น ๆ คล้าย ๆ สีเหลืองไพล ๆ แต่สว่างกว่า ตัดขอบเช่นกรอบหน้าต่างกรอบประตูด้วยสีขาวครีม ๆ ดูเป็นบ้านที่แสนน่ารักไปเลยทีเดียว
พวกเราพากันเดินสำรวจพื้นที่ ซึ่งพี่คนออกแบบก็แสนน่ารัก รับปากว่าจะพยายามออกแบบให้ตัดต้นไม้ใหญ่ให้น้อยที่สุด ถ้าต้นไม้พวกนี้ถูกตัดไปคงเสียดายแย่ และเรือนแถวริมแม่น้ำ จะดัดแปลงให้เป็นร้านอาหาร
"ร้านอาหารน่าจะเสร็จก่อน แค่ดัดแปลงแล้วก็ซ่อมแซมนิด ๆ หน่อย เติมครัวเข้าไปด้วย ส่วนคอนเสปของร้านแล้วก็ระบบ เดี๋ยวให้พี่ชายของอีกัสจังมันนัดให้หล่อนก็แล้วกันนะ" เจ๊หวัง หันมาบอกผม นี่มันเป็นกิจการของผมแท้ ๆ แต่เจ๊หวังกับเปา ทำราวกับมันเป็นงานของตัวเอง ทุ่มเทจนเจ๊หวังซึ่งเดินไปเดินมา เสนอความคิดโน่นนี่ เหงื่อแตก เปาเองก็เดินไป ดึงเสื้อไปให้หายร้อนด้วย
"กินข้าวด้วยกันสักมื้อนะ" ผมบอกกับชาวคณะ นี่ยังดีบอกให้ป้าอุ่นเตรียมทำกับข้าวไว้เลี้ยงแขกแล้ว อะไรจะดีไปกว่าแกงเขียวหวาน เพราะมันทำง่าย แสนอร่อย ซึ่งเจ๊หวังถึงกับออกปากขอแกงเขียวหวานกับขนมจีนเอากลับไปกินที่บ้าน
"ทำไว้เยอะแยะเลยค่ะ เอาไปเยอะ ๆ ได้เลย" ป้าอุ่นยิ้มอย่างดีใจ ก็ฝีมือของแกถูกปากคนกินถึงกับต้องขอห่อกลับบ้านทีเดียวนะ
เปานั้นช่วยผมมากกว่าที่ผมคิดไว้ เอกสารกว่าจะก่อสร้างได้ท่าทางยุ่งยากไม่ใช่เล่น แต่ในเวลาไม่นาน บ้านของผมก็เริ่มคึกคัก แน่ล่ะคุณพ่อออกจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่มีคนเดินเข้าเดินออกทั้งวัน แถมยังมีเสียงดังโครม ๆ ของการก่อสร้างด้วย แต่ตอนเย็น ๆ คุณพ่อกับน้าแขก็จะเดินดูโรงแรมของเราซึ่งพอทำระบบฐานรากเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้ตรงอาคารก็ถูกประกอบว่องไวราวกับใช้เวทมนตร์ ผมแอบเห็นคุณพ่อ แวะห้องนั้น ดูห้องนี้ วิเคราะห์วิจารณ์ ว่าน่าจะเอาอะไรมาประดับ ดูท่าคุณพ่อจะสนุกเต็มที่
คนเราพอดวงขึ้นอะไร ๆ มันก็ดีจริง ๆ คุณพ่อแข็งแรงขนาดใช้แค่ไม้เท้าพยุงแค่ข้างเดียว เดินเหินคล่องจนถึงขนาดไปเป็นช่วยเป็นแคชเชียร์ที่ร้านอาหาร
ตึกแถวริมแม่น้ำนั้นเสร็จก่อนเพราะไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้าง เพิ่มเติมคือครัวเล็กกะทัดรัดทันสมัย เราตกลงกันว่าจะทำอาหารไทยง่าย ๆ ที่ฝรั่งรู้จักดีอยู่แล้ว อย่างผัดไทย ต้มยำกุ้ง เมนูยำต่าง ๆ ไปจนถึงส้มตำ ท่าทางจะไม่ใช่แค่ฝรั่งแล้วละ คนไทยได้ยินก็คงอยากกิน
คนเซ็ทระบบ คิดเมนู และออกแบบเป็นฟู้ดสไตล์ลิสต์คือพี่ชายของกัสจัง เหมือนเส้นผมบังภูเขา พี่กุ๊กน่ะ ทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ตรงข้ามบ้านผมนี่เอง เพียงแต่อยู่คนละฝั่ง ผมอยู่ฝั่งธน แกอยู่ฝั่งพระนคร
เลิกงานมาแกก็จะนั่งเรือข้ามฟากและมาที่บ้านผมเกือบทุกวัน แต่ไอ้ที่มานี่ไม่ใช่แค่คุยงานอย่างเดียวแน่ ๆ เพราะผมเห็นแกชอบไปคุยกับพี่อนงค์ คุยโน่นคุยนี่มันชักจะยังไงเสียแล้ว
"อนงค์ ตัวเองโดนพี่กุ๊กจีบหรอ?" ผมถามพี่สาวของตรง ๆ มีเราอยู่กันแค่สองคน เพราะผมบุกไปถึงห้องนอนของเธอเลยทีเดียว
"บ้า อย่าพูดเสียงดัง" พี่อนงค์ทำท่าทางตกใจ แถมตีต้นแขนของผมดังเผี๊ยะ
"เอ๊า ตกลงเขามาจีบตัวจริง ๆ ใช่มั๊ย เช้าถึงเย็นถึง" ผมล้อพี่อนงค์อีก
"ตัวอย่าพูดดัง เดี๋ยวคุณพ่อได้ยินจะมาแหกอกเค้าเอา" เธอพูดแล้วก็หนีไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีมาแปรงผมของเธอซึ่งมันยาวสลวยเคลียไหล่
"แสดงว่าตัวก็ชอบพี่กุ๊กล่ะสิ เค้าก็ชอบพี่กุ๊กนะ ดูเหมาะสมกับตัวออก ดูเคร่งขรึมนิด ๆ แต่ก็ไม่ครึ ที่สำคัญหล่อด้วย" ผมพูดแล้วพี่สาวของผมก็ถึงกับยิ้มเอียงอาย
ความลับไม่มีในโลก และเรื่องการชอบกันของคนสองคนที่เหมาะสมกันทุกอย่าง ก็ไม่ควรจะเป็นความลับ พี่กุ๊กนั้นเช้าถึงเย็นถึง และคุณพ่อก็ดูจะชอบผู้ชายคนนี้นัก ท่านเอ่ยปากชมว่า วางตัวดีสมกับเป็นครูบาอาจารย์ หน้าที่การงานก็ดี แถมเก่งรอบด้าน ด่านที่มีว่าที่พ่อตาจึงไม่มีอุปสรรคใด ๆ แม้แต่น้อย
คบหากันหกเดือนก็ทำการสู่ขอ และกำหนดวันแต่งงานคือต้นเดือนธันวาคม เพราะกัสจังรั้งให้จัดงานช่วงนั้น จะได้มางานแต่งงานด้วย และโชคดีก็คือฤกษ์งานแต่งเป็นช่วงนั้นพอดี ตกกลางเดือนธันวาคม
ทุกอย่างไปได้สวย ร้านอาหารของเราสวยมาก ๆ วิวดีเพราะติดแม่น้ำเจ้าพระยา อาหารอร่อย บริการดี อาจจะเข้ามายากหน่อย แต่คนลองได้อยากจะดั้นด้นมาเรื่องกินของอร่อยบรรยากาศดี ๆ แค่นี้ขี้ปะติ๋ว เอารถไปจอดที่วัดแล้วค่อยเดินมา ไม่ได้ยากเย็น
งานฉลองมงคลสมรสของพี่กุ๊กกับพี่อนงค์ จัดกันที่บ้านเราอย่างเรียบ ๆ มีเลี้ยงพระทำบุญ ของเลี้ยงนั้น คุณย่าของพี่กุ๊กถึงกับปิดครัว มาทำเลี้ยงที่บ้านของเราทีเดียว จึงครึกครื้นมาก ผู้คนดี ๆ ในชีวิตของผมถูกเชิญมาในงานนี้ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คุณพ่อจะด้วยปลื้มใจหรือดีใจ ตั้งแต่งานหมั้นของพี่อนงค์ล่วงผ่านมา คุณพ่อขยันในการออกกำลังกาย และกายภาพจนตอนนี้สามารถเดินโดยไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรช่วยเลยสักนิด
และเมื่อถึงพิธีสวมแหวน ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งจะเคยเห็นน้ำตาของคุณพ่อ แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ เจ๊หวังนั้นทำหน้าที่กึ่ง ๆ พิธีกรในงานนี้ ไลฟ์สดไปด้วย เรียกว่าได้คอนเท้นต์ ได้โฆษณาร้านอาหารและโรงแรมของเราไปด้วยในตัว
ผมชักจะเหนื่อย เพราะต้องคอยวิ่งหยิบโน่นหยิบนี่ ได้ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ฝีมือของป้าอุ่นที่ยืนยันว่าจะอย่างไรเราก็ต้องทำอาหารเลี้ยงคนมาร่วมงาน จะไม่ยอมให้ฝ่ายเจ้าบ่าวทำแค่ฝ่ายเดียว เส้นขนมจีนเส้นเล็ก ๆ เข้าปากเคี้ยวเหนียวหนับแต่นุ่มเหนียวสู้เหงือก น้ำแกงเข้มข้น หอมเครื่องแกงที่โขลกเองตั้งแต่เช้ามืด หม้อแขกใบใหญ่ชนิด กินได้ทั้งตำบล ถูกวางอยู่บนเตาอั้งโล่ซึ่งราไฟพอให้น้ำแกงอุ่นตลอดเวลา งานเลี้ยงถูกจัดที่ร้านอาหารเรือนแถวริมแม่น้ำ แขกเหรื่อในงานบ้างก็เคลิ้มไปกับภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยาแสนสงบ ผมว่าผมควรเสริมบรรยากาศให้มันดีกว่านี้อีกหน่อย
ผมจึงเดินเข้าไปในห้องเก็บของด้านข้างที่ผมแอบใช้เมื่ออยากเปลี่ยนที่นอน หยิบขิมออกมา และเอาไปบรรเลงกล่อมแขกสักหน่อย พี่อนงค์เห็นว่าผมหยิบขิมมา ก็เลยให้ผมไปหยิบซออู้ เพื่อเราสองพี่น้องจะได้บรรเลงเพลงด้วยกันเสียเลย
ทันทีที่เสียงดนตรีแสนไพเราะดังขึ้น บรรดาแขกเหรื่อที่พูดคุยกันก็นิ่งเงียบเหมือนโดนสะกด เสียงขิมแสนไพเราะและเสียงซออู้หวานเจื้อย ทำให้ทุกคนถึงกับเคลิ้มไป แต่เราแค่เล่นโชว์เท่านั้นแหละ เพียงสองสามเพลงก็พอ ผมกลับมานั่งกับกัสจัง ซึ่งกำลังเอร็ดอร่อยกับของกินสารพัด ข้าง ๆ กัสจังคือพี่ชายของเปาชื่อเฮียเกี๊ยว ดูท่าคนแต่งงานคู่ต่อไปน่าจะเป็นคู่นี้เพราะผมเห็นสายตาที่เฮียเกี๊ยวมองกัสจังมันช่างเป็นสายตาแห่งความลุ่มหลง ส่วนกัสจังเองก็เขินจนตัวบิด ผมไม่เคยเห็นกัสจังเสียอาการอย่างนี้เลย ได้ข่าวว่าคุยกันมาสักพักหนึ่งแล้วซะด้วย
จนเก้าอี้ด้านข้างกัสจังถูกคนมานั่งข้าง ๆ นี่ก็เป็นพี่ชายของกัสจังอีกคน แถมชื่อกุ๊กเหมือนกัน แต่กัสจังจะเรียกพี่ชายคนโตว่าเฮียกุ๊ก ส่วนพี่กุ๊กซึ่งได้มาเป็นพี่เขยของผมนั้น กัสจังจะเรียกพี่กุ๊ก พี่อนงค์แอบมานินทาให้ฟังว่า จริง ๆ พี่กุ๊กมีชื่อเล่นเต็ม ๆ ว่ากุ๊กไก่ ผมได้ยินทีแรกขำจนหัวเราะเสียแทบแย่
"เล่นขิมเป็นด้วยหรือ เล่นเพราะเชียว" เฮียกุ๊กเอ่ยปากชม ผมยิ้มให้และตอบรับ ไม่ได้สนใจอะไรเฮียกุ๊กมากเพราะท่าทางซ่า ๆ แต่งตัวแบบที่คนทั่วไปเขาเรียกว่าศิลปิน คือไว้ผมยาว ใส่ต่างหู มีรอยสักแปลก ๆ เต็มตัว ถึงจะใส่เสื้อเชิ้ต กับกางเกงสแลคก็เถอะ มันดูไม่เข้ากับเฮียกุ๊กเลย และแน่นอนไม่เข้ากับผมด้วย ถ้ามีเด็กนักเรียนของผมแต่งตัวแบบนี้ เห็นทีจะได้มีตำหนิกัน
"ขนมจีนอร่อย" เฮียกุ๊กชวนผมคุยอีก
"อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะครับ" ผมตอบและหันไปคุยกับกัสจังและหมึกต่อ ไม่ได้สนใจจะตอบให้จริงจัง เพราะทั้ง กัสจัง หมึก เฮียเกี๊ยว เจ๊หวังกับเปา เจ๊คิตตี้กับผัวแกชื่อเฮียเต๋อ พูดกันราวกับว่ากลัวใครจะแย่งพูด ผมเป็นคนฟังคนเดียวแยกประสาทหูไม่ทัน แต่ผมรู้สึกว่าคืนนี้ผมจะต้องนอนปวดแก้มแน่ ๆ เพราะมันยิ้มค้างตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำทีเดียว