ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
บ้านของผมไม่มีเสียงเด็กร้องไห้จ้ามานานแล้ว และหลังจากการแต่งงานของพี่อนงค์กับพี่กุ๊ก ผ่านวันเวลาจนพี่สาวของผมแพ้ท้อง และหน้าท้องของเธอก็ป่องขึ้น ๆ จนน่ากลัว แต่โชคดีเหลือเกินที่พี่อนงค์ไม่แพ้ท้องเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับแข็งแรง และทำงานอย่างสนุก ผิวพรรณสดใส มีการทำนายว่าเด็กที่เกิดน่าจะเป็นหญิงเพราะดูสวยผุดผาด แต่บ้างก็ว่าน่าจะเป็นชายเพราะดูทะมัดทะแมงแข็งแรง ซึ่งก็ไม่มีใครทายผิดทายถูก
กิจการโรงแรมเล็ก ๆ ของเราค่อนข้างไปได้ด้วยดี เพราะความสวยเป็นเอกลักษณ์ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบไทย ๆ แน่ล่ะ ก็ของเก่าเก็บตั้งแต่สมัยคุณทวด ที่มันยังไม่แตกหักเสียหาย อย่างขวดโหลต่าง ๆ แจกัน ชามซึ่งแถมจากการซื้อของ ถูกนำมาประดับโดยทั่วไป แม้แต่ไหเกลือ ไหหมักปลาร้า ตุ่มเคลือบสี ก็เอามาประดับตามระเบียงห้อง หรือถนนทางเดินเล็ก ๆ ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นป่ากระถินรกเรื้อ ตอนนี้ตามทางเดินถูกปูไปด้วยต้น ต่างเหรียญ มันเป็นไม้เลื้อยคลุมดินต้นเล็ก ๆ มีดอกเล็ก ๆ สีขาว คลุมดินจนทั่ว
ข้อดีของมันคือไม่รก ตายยาก เลื้อยติดไปกับพื้นดิน ทำให้พื้นดินดูร่มรื่นสวยงาม ต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่เราปลูกไว้แทบจะไม่ได้ตัดทิ้งเลย เห็นจะมีแค่ต้นมะรุมซึ่งแก่ชรามาก ซึ่งป้าอุ่นแนะนำให้ตัดทิ้งไปเสียดีกว่าเพราะต้นของมันเปราะ และอยู่ใกล้กับอาคารมากเกินไป
ต้นไม้ที่เป็นทั้งไม้ดอกไม้ใบ คือต้นเฮลิโคเนีย ตระกูลต่าง ๆ ถูกนำมาปลูกไว้ตลอดทางมันเป็นพืชตระกูลต้นกล้วย ใบของมันผมว่าถึงจะไม่มีดอกให้เชยชม แค่มองใบของมันที่ขึ้นครึ้มก็สวยมาก ๆ แล้วยิ่งถ้ามันมีดอกด้วยล่ะก็ สวยงามขึ้นไปกันใหญ่ พี่กุ๊กว่ามันให้บรรยากาศเอเชีย ๆ ดี คล้าย ๆ เราอยู่ในป่าเมืองร้อน ที่สำคัญ คือมันอดทน ไม่ว่าจะแล้งหรือน้ำท่วมก็ไม่ตาย ไม่ต้องรดน้ำให้ยุ่งยาก เพราะได้ความชื้นจากแม่น้ำ
ห้องรับรอง กว่าจะปลูกเสร็จ สารภาพว่าค่อนข้างใช้เวลา แต่แรกพอผู้รับเหมารู้ว่าจะต้องเอาบรรดาไม้เก่า ๆ เหล่านั้นมาประกอบกันเป็นห้อง บางคนก็กลัว ก็ตามประสาคนไทยอย่างเรา ๆ ที่เชื่อเรื่องผี ๆ สาง ๆ แต่ผมเกิดและโตมาที่นี่ ก็ไม่เคยได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรแปลก ๆ เลยสักที
จนได้ผู้รับเหมาเจ้าหนึ่งดูเป็นคนทันสมัยหน่อย เห็นว่าเป็นญาติ ๆ กับคนรู้จักเจ๊หวัง ชื่อพี่ตั้มซึ่งเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบอาคารสถานที่ ซึ่งโด่งดัง ตัวออฟฟิศอยู่ถึงนครชัยศรี นครปฐมโน่น แต่จะว่าไป จะเข้ามาฝั่งธนก็เจอรถติดนิดหน่อย
คนงานที่มาก็ดูเป็นมืออาชีพดีมีด้วยกันประมาณแปดคน ผมให้พวกเขาไปพักตรงเรือนเก่า ๆ ซึ่งสภาพค่อนข้างดี เพราะแต่เดิมเราใช้เก็บของ วันแรกก็เจอดีเลย คือเช้ามาป้าอุ่นเดินยิ้ม ๆ กวักมือเรียกผมมากระซิบกระซาบ
"อะไรจ๊ะ?" ผมถามและเดินเข้าไปในครัวเพื่อจะเป็นลูกมือให้แก
"คนงานมาฟ้องค่ะ เขาว่าเมื่อคืน เจ้าของเก่าไปซักไซ้ใหญ่ว่ามาทำอะไรกัน" ป้าอุ่นเล่าทำตาโตแต่ทำเสียงกระซิบกระซาบ
"ใครกัน?" ผมอดจะตกใจไปกับเรื่องที่ได้ยิน
"จะใครอีกเล่าคะ ก็คุณทวดคุณนั่นแหละ แหมคนงานเขาว่า เจอคุณตาแก่ ๆ ใส่กางเกงแพรไม่ใส่เสื้อ ผมขาวโพลนแต่ท่าทางใจดี มาเรียกเขาตอนเขาทำงานน่ะสิคะ ตาคนงานก็เลยตอบไปว่า เขามาสร้างบ้านให้เจ้าของที่นี่ คราวนี้คุณทวดท่านก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่า ทำให้มันสวย ๆ ล่ะ พูดจบท่านก็เดินหายมาทางเรือนของเรานี่" ป้าอุ่นเล่าผมฟังแล้วก็ใจสั่นนิด ๆ เหมือนกัน ถึงจะเป็นบรรพบุรุษไม่เคยคิดร้ายไม่เคยเจอ แต่พอรู้ว่าท่านยังอยู่รักษาบ้านของเราก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ นิด ๆ ในใจ
"อย่างนี้เขากลัวจนจะเลิกทำงานให้เราไหมจ๊ะป้า" ผมถามอย่างกังวล
"ก็คงไม่นะคะ เห็นว่าท่านก็อวยชัยให้พร ให้มีโชคมีลาภด้วย สงสัยเดี๋ยวคงจะไปซื้อหวยกันล่ะ เดี๋ยวป้าว่าจะกันเหนียวสักสองตัว" ป้าอุ่นพูดแล้วก็หัวเราะลงลูกคอ ส่วนผมก็อมยิ้ม คนไทยกับหวยดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แยกกันยากสักหน่อย รู้อีกทีเมื่อวันหวยออก ปรากฏว่าป้าอุ่นและบรรดาคนงานถูกหวยกันหมดทุกคน สุดแต่ว่าจะถูกมากถูกน้อย คราวนี้รูปคุณทวดของผมที่ห้องพระ มีของถวายเต็มไปเลยทีเดียว
"ไม่เห็นมาให้หวยตอนลูกหลานลำบากบ้างเนาะ" ผมแอบค่อน แต่พี่อนงค์กลับหัวเราะ และกินแตงโมอย่างแสนเอร็ดอร่อย ท้องแรกของพี่อนงค์ เธอเอาแต่อยากจะกินแตงโม กินได้เกือบทุกวี่ทุกวัน แล้วแถมยังอยากจะกินแกงส้มแตงโม และเปลือกแตงโมที่กินเหลือ ก็เอามาดองกินกับน้ำพริก หรือจะเอามาใส่แกงส้ม แกงเลียงเธอก็ชอบ เรียกว่ากินได้กินดี ป้าอุ่นนินทาว่าคนท้องมักจะอยากกินอะไรแปลก ๆ ผมนึกถึงเรื่องราชาธิราชที่ ตอนมารดามะกะโทตั้งท้อง อยากกินดินกลางแผ่นดินหงสา เกิดพี่อนงค์อยากกินดินที่สนามหลวงขึ้นมาเห็นจะแย่
หมึกนั้นถ้ามาเยี่ยมก็จะซื้อแตงโมมาฝากเสมอ ๆ ซึ่งสร้างความยินดีแก่พี่อนงค์มากที่สุด แต่ที่จะทำให้ความยินดีลดน้อยลงก็คือ หมึกได้ลาออกจากงานแล้ว เนื่องจากที่บ้านบังคับให้หมึกไปบริหารรีสอร์ตของที่บ้าน ซึ่งหมึกบ่นว่าเบื่อเหลือทน แต่สุดท้ายก็ต้องไปเพราะถือเป็นมรดกที่พ่อแม่ยกให้ ถ้าไม่รับก็อดกัน พี่ ๆ ก็ได้รับมรดกกันไปหมดแล้ว
"ไว้ไปเที่ยวกันที่รีสอร์ตกู ทำใกล้จะเสร็จแล้ว หาดงิทรายขาวจั๊วะ บริสุทธิ์มาก ๆ ปูเสฉวนเต็มเลยมึง ตัวห้องพักเป็นแบบลอฟทำแบบเรียบ ๆ แต่เข้าไปลึกหน่อยก็อย่างว่าแหละนะ อยากได้น้ำสะอาดหาดสวย ๆ ก็ต้องไปตรงที่ที่คนยังเข้าไปไม่ค่อยถึง" หมึกคุยอวด และเปิดรูปรีสอร์ตของหมึกที่เสร็จแล้วบางส่วน จากในเพจอวดพวกเรา
"สวยชะมัด" ผมเอ่ยปากชมและรับปากว่าจะต้องไปให้ได้ แต่ช่วงนี้งานยุ่งเหลือเกิน นี่ขนาดร้านอาหารริมแม่น้ำแบ่งกันให้พี่อนงค์กับพี่กุ๊กเป็นคนดูแลไปเลย แทบจะไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่ง เพราะช่วงแรก ๆ ระบบของการจองห้องพัก ยังค่อนข้างยุ่ง ๆ จนต้องตัดใจซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปและผูกกับแอพท่องเที่ยวนั่นแหละ ค่อยง่ายขึ้นหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีแขกที่วอล์คอินมาพัก ทำให้ปวดหัวในการหาห้องพักให้ เพราะมันมีอยู่จำกัด และแต่ละคนก็อยากจะพักที่นี่จริง ๆ เพราะอยากได้บรรยากาศ จนห้องพักถูกสร้างจนเสร็จและได้ระบบการจองที่ดี นั่นล่ะค่อยเบาลง
ได้พนักงานที่เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ ซึ่งเขาปากว่าแสนพอใจที่ได้มาทำงานกับเราเพราะมันใกล้บ้านเขาชนิดเดินมาทำงานได้ เดิมเขาต้องไปทำงานไกลถึงสาทรโน่นซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่หรูหรา แต่โรงแรมของเรามันสบาย ๆ กว่านั้น ลูกค้าไม่จู้จี้ แต่ก็ไม่ใช่พวกซำเหมา เรียกว่าเป็นคนชั้นกลาง ๆ ที่มีการศึกษา และมีมารยาทงาม แขกที่พักมีตั้งแต่พวก ลุงป้าจากแถบยุโรปที่หลบความหนาวเย็น ชาวญี่ปุ่นที่ชอบถ่ายรูปสุด ๆ และลูกค้าเอเชียก็มีมากในสัดส่วนเกือบจะเท่า ๆ กับยุโรป และนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งข่าวดีก็คือกัสจังแจ้งกับพวกเราว่าได้ย้ายตามหัวใจกลับมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรแล้ว ดังนั้นจึงต้องทำกำหนดนัดเพื่อจะได้มาพบเจอกันสักหน่อย และถ้าจะให้ดี ก็ให้มาเจอกันที่โรงแรมของผมเห็นจะดีที่สุด เพราะจะได้นอนค้างคืนและคุยกันให้ยาว ๆ ให้หายคิดถึง ผมกึ่งบังคับกึ่งขอร้องให้หมึกมาด้วยซึ่งเจ้าตัวก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง แต่ท้ายที่สุดกัสจังก็หักคอให้มาเจอกันจนได้
หลานของผมคลอดก่อนที่กัสจังจะกลับมา เป็นหลานแฝด หนึ่งชายหนึ่งหญิง ทำเอาใคร ๆ ก็แทบจะคลั่ง คุณพ่อของผมนี่แทบจะไม่ยอมให้หลานห่างสายตาเลย แต่ก็ไม่กล้าอุ้มเพราะกลัวจะทำหลานตก เนื่องจากแขนยังไม่แข็งแรงดี
"คุณตาต้องทำกายภาพบ่อย ๆ นะคะ จะได้อุ้มหลานได้" พี่อนงค์ล้อขณะที่นำหลานไปให้คุณตาอุ้ม คุณพ่อผมชอบจะนั่งเล่นที่โซฟา อุ้มหลานซึ่งมองคุณตา ตาแป๋ว ผมไม่เคยเห็นภาพคุณพ่อในเวอร์ชันนี้เลย สมัยผมยังดุเหมือนเสือ แต่ดูตอนนี้สิ กลายเป็นแมวไปเสียแล้ว แถมเป็นแมวแก่ที่เอาแต่นอนเล่นเสียด้วย
ทั้งคุณพ่อและน้าแข เรียกว่าแทบจะเอาหลานไปเลี้ยงเป็นงานหลัก พี่อนงค์ก็เลยทำงานเพลินไปเลย รู้ตัวอีกที น้องพนักงานก็ไล่ให้ไปปั๊มนม เพราะน้ำนมคัดจนเลอะซึมออกมาเปื้อนเสื้อ
"น้ำนมเยอะจัง พี่ปั๊มนมไปสองรอบแล้วนะ" พี่อนงค์บ่นขณะที่เอานมของเธอหลังจากปั๊มเสร็จแล้วเอาไปเข้าตู้เย็น
"สงสัยจะเป็นเพราะแกงเลียงของป้าอุ่นล่ะมั้ง" ผมแซว เพราะดูเหมือน หลังจากพี่อนงค์คลอด เมนูแกงเลียงจะมีให้เรากินบ่อยจนชักจะเหม็นเบื่อเล็กน้อย แต่พี่อนงค์เธอก็กินได้กินดี บางครั้งตักใส่ถ้วยกินเปล่า ๆ แม้ว่าผักจะเปื่อยจนยุ่ยเกือบเป็นโจ๊ก เธอว่ามันอยากกิน ไม่ต้องกินข้าวก็ได้ ผลจากการกินแกงเลียงซึ่งเธอกำชับว่าให้ใส่ผัก พริกไทยดำกับกระชายเยอะ ๆ ทำให้น้ำหนักเธอลดลงอย่างรวดเร็ว กลับมาเป็นสาวน้อยเอวเล็กเท่ามดตะนอย
วันที่กัสจังมา ก็ไม่ใช่จะมาแค่คนเดียว พาคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ และเฮียเกี๊ยวแฟนของกัสจังมาซะด้วย เพื่อเยี่ยมหลานแล้วก็เยี่ยมเฮียกุ๊กด้วยในตัวเสียเลย
"หลานอา งุ๊ย น่าร๊ากกก" กัสจังเจอหลานก็จับมือน้อย ๆ เขย่า ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบกำไลข้อเท้าออกมาให้สองคู่ พร้อมกับคล้องไปที่ข้อเท้าของหลานทั้งสอง สองเด็ก มีของแปลกปลอมมาอยู่ที่ตัว แถมมีเสียงกรุ๋งกริ๋งจากลูกกระพรวน ก็สนุกกันใหญ่ เตะเท้าไปมาหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
จบจากการเล่นกับหลาน ก็ปล่อยให้คนแก่เขาคุยกัน ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องตำรับอาหาร และเรื่องเก่า ๆ ไอ้พวกเราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเพราะเกิดไม่ทัน
จนถึงช่วงเย็น ๆ หมึกถึงขับรถมาถึง ไม่เจอหมึกสองเดือน หมึกผิวคล้ำลงเป็นกอง แต่ก็ยังคงเป็นหมึกที่แสนสดใส โวยวาย ร่าเริง กัสเพื่อนรักนั้นมีของมาฝากด้วยเป็นกระเป๋าสตางค์หนังจระเข้แสนสวย ดูท่าจะหลายบาท ซึ่งกัสจังบอกว่ากำลังจะทำมันออกขาย ขอให้เพื่อนขายดิบขายดีนะเพื่อนนะ หมึกซึ่งปกติเกลียดเด็ก แต่มาครั้งนี้ มีของเล่นติดมือมาฝากหลาน ๆ ของผมมากมายก่ายกองจนผมคิดว่า ถ้าหลานของผมโตจนเข้าโรงเรียนอนุบาลเห็นทีจะเล่นของเล่นพวกนี้ยังไม่หมดแน่ ๆ มีทั้งที่ซื้อใหม่และของเล่นของหลาน ๆ หมึกซึ่งเริ่มโตจนเลิกเล่นของเล่นไปแล้ว
เอาล่ะ แขกมาเกือบครบแล้ว พี่กุ๊กก็กลับมาจากที่ทำงานแล้ว ที่น่าแปลกใจคือเฮียกุ๊กก็ตามมาสมทบทีหลังกับเขาด้วย พักหลัง ๆ เฮียกุ๊ก ชอบมาพักที่โรงแรมของเราบ่อย ๆ ผมก็คุยกับเฮียกุ๊กดีและจะว่าไป ผมว่ากัสจังบุคลิกคล้าย ๆ เฮียกุ๊กมากกว่าพี่กุ๊กไก่ แต่เฮียกุ๊กนั้น ดูเป็นศิลปิน แต่ก็เป็นคนลึกซึ้งผิดจากที่ผมประเมินแกไว้ในตอนแรกไปหลายขุม
"รับอะไรเป็นมื้อเย็นดีครับ" ผมถามในวันหนึ่งซึ่งแกมาพักที่โรงแรม
"พี่ถือศีลแปดวันพระ ไม่กินอาหารหลังเที่ยง" เฮียกุ๊กตอบและผมก็ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
"จริงหรือครับเฮีย ผมก็เหมือนกัน ผมก็ถือศีลแปด วันพระเหมือนกัน" ผมบอกและเล่าที่มาที่ไปคือตอนเด็ก ๆ ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมอธิษฐานไว้ว่าขอให้คุณแม่แข็งแรง ถ้าคุณแม่หายดี ผมจะถือศีลแปดทุกวันพระ แต่ถึงการอธิษฐานของผมมันจะไม่สมหวัง แต่ผมก็ชินเสียแล้ว เลยกลายเป็นกิจวัตรไปว่า เกือบทุกวันพระผมจะรักษาศีลแปดให้ได้ ถ้ามีเหตุให้วันนั้นถือศีลแปดได้ไม่ครบ ก็ทดแทนทำในวันอื่นแทนก็แล้วกัน ไม่ได้ถือเคร่งครัดนัก
คืนนั้นครอบครัวของเราอยู่กันครึกครื้นที่สุด แต่เพื่อไม่ให้ที่ร้านอาหารตกใจ พวกเราก็เลยกินอาหารเย็นกันที่เรือนของผม จะได้เป็นสัดเป็นส่วนสักหน่อย
คุยกันจนอ่อนใจและหายคิดถึง คุณพ่อกับคุณแม่พาคุณย่ากลับบ้าน ผมกัสจังและหมึกจะนอนค้างเพื่อคุยกันให้สะใจ แต่ออกจะงง ๆ ที่เฮียกุ๊กก็จะนอนค้างด้วย
"ขี้เกียจกลับ" แกตอบง่าย ๆ อย่างนี้แหละ เอาเถอะ ห้องเรามีตั้งมากมายจะนอนก็นอนไป แถมเฮียกุ๊กก็มานอนค้างที่โรงแรมบ่อย ๆ มาช่วยงานที่ร้านอาหารด้วย จึงถือเป็นเรื่องปกติ ผมก็ชวนกัสจังและหมึกไปนั่งรับลมที่ร้านอาหารริมแม่น้ำดีกว่า กัสจังแอบหิ้วไวน์มาด้วย ผมกินไม่ค่อยเป็นแต่ก็จิบ ๆ พอไม่ให้เสียน้ำใจ กัสจังไปอยู่ฝรั่งเศสเสียหลายปี จนดื่มไวน์เก่งไปเสียแล้ว ส่วนเฮียเกี๊ยวแฟนกัสจังโดนไล่ให้กลับบ้านไปนอนพักเพราะวันรุ่งขึ้นต้องเดินทางไปทำงานที่ฮ่องกง
"ที่โน่นเขาว่าไวน์สำหรับเอาไว้ให้คนดื่ม น้ำเปล่าสำหรับให้ม้า" กัสจังบอกแล้วก็ดื่มไวน์โชว์เสียเลย
พวกเราสามคนนั่งคุยกันถึงความหลังมันแสนสนุกและเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ สมัยเรายังเรียนมหาวิทยาลัยมันเหมือนเราย้อนดูการ์ตูน อาจจะสงสัยว่าตอนนั้นทำไมเราทำแบบนั้นคิดแบบนั้นไปได้อย่างไร แต่สำหรับผมจะให้ย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงเลือกที่จะทำแบบเดิม ไม่เปลี่ยนอะไร เพราะสิ่งที่เคยทำผิดพลาด มันก็เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตในวันนี้ เพียงแต่นึกตลกว่าตอนนั้นพวกเราเด็กกันมาก ๆ
"คุยเรื่องผัวหน่อยดิ๊ อีกัส" หมึกเค้นถาม และกัสก็เล่าเรื่องราวให้ฟังตั้งแต่ต้น อดจะดีใจแทนเพื่อนเสียไม่ได้ อย่างน้อยในเราสามคนก็มีคนหนึ่งที่ขายออกได้แล้ว กำลังนั่งคุยกันเพลิน ๆ เฮียกุ๊ก ซึ่งวุ่นวายอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินก็ถูกกัสจังเรียกพี่ชายมานั่งกับพวกเราด้วย
"ได้ข่าวว่าไม่ค่อยกลับบ้านจนย่าบ่นหรอ?" กัสจังทักพี่ชายแล้วค้อนหนึ่งที
"ก็อยู่บ้านแล้วแม่ด่าเก่ง หัวมันตันด้วย เขียนงานไม่ออก" เฮียกุ๊กแก้ตัว
"ก็เลยต้องระเหเร่ร่อนไปค้างที่โน่นบ้างไปค้างที่นี่บ้าง เห้อ...เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ สามสิบกว่าแล้วนะเราน่ะ" กัสจังบ่นพี่ชาย
"บ่นเป็นแม่เลย เดี๋ยวจะโดนเตะ" เฮียกุ๊กว่าแล้วก็เอามือไปโยกหัวกัสจังแรง ๆ จนกัสโวยวาย จากนั้นกัสจังก็ขยับที่นั่งดึงเฮียกุ๊กให้มานั่งเบียดกับตัวเองบนเก้าอี้ตัวน้อย
"เอ๊ะ ผมเสียทรงหมด" กัสจังปัดมือแล้วก็ใช้นิ้วสางผมของตัวเอง ไม่ยักรู้ว่าพี่น้องเขาสนิทกันมากขนาดนี้ แต่เคยได้ยินกันจังเล่ามาว่า ตอนจำความได้ ก็มีคุณย่ากับเฮียกุ๊กนี่แหละเลี้ยงกัสจังมา เรียกว่ากระเตงเข้าเอวพาเดินเที่ยว พาป้อนข้าว ผมมองแล้วก็อมยิ้ม เพราะผมห่างกับพี่อนงค์ไม่กี่ปี แล้วพี่อนงค์ก็แสนเรียบร้อย ผมเองก็เหมือนกันเลยไม่ค่อยได้เล่นกันแรง ๆ แบบนี้
พอพี่ชายมานั่งด้วย คราวนี้วีรกรรมสมัยกัสจังเด็ก ๆ ก็ถูกเอามาเล่าจนกัสจังเอ่ยปากไล่พี่ชายของตัวเอง หมึกก็ซักไซ้ และผมก็เป็นแผนกหัวเราะ เพราะตอนเด็ก ๆ วีรกรรมของกัสจังก็ไม่ใช่น้อย ๆ เหมือนกันแฮะ
"ไปไหนก็ไปเลยไป แหมทำเป็นเขียนเพลง หนีพวกสาว ๆ สิไม่ว่า แม่เล่าให้ฟังว่ายายนักร้องอะไรนั่นตามราวีอยู่ไม่ใช่หรือไง" กัสจังหันมาแขวะกลับ
"เขาจะเร่งให้แต่งเพลงให้ แต่ขี้เกียจว่ะ" เฮียกุ๊กตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็ถือวิสาสะหยิบแก้วไวน์ของกัสจังไปดื่มจนหมด จากนั้นก็พูดถึงเพลงใหม่ที่กำลังแต่ง และที่ไปที่มาของมัน ในเนื้อเพลงพูดถึงคนที่เฝ้าคอยคนซึ่งจากไปไกล แต่เมื่อกลับมาใหม่ ก็ทวงสัญญาที่เคยมีให้กัน แต่มันกลับสายไปแล้ว ประมาณนี้
"นี่ก็แต่งได้แค่ครึ่งเพลง ทำนองมาละ แต่ยังเกลาเนื้อเพลงสวย ๆ ไม่ได้" เฮียกุ๊กพูดแล้วก็ยื่นแท็บเล็ต มาทางพวกเรา ผมที่ชอบอ่านหนังสือ อ่านกาพย์กลอนอยู่แล้วก็เลยนึกอะไรสนุก พูดต่อเพลงให้ซะเลย
"เห้ย ใช้ได้ว่ะ" เฮียกุ๊กตะโกนอย่างดีใจ หยิบปากกามาแก้เนื้อเพลงที่เขียนในแท็บเล็ต แล้วก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ กลับมาอีกทีพร้อมกับกีตาร์
"เอ้าลองฟังดูนะ เฮียทำคร่าว ๆ ไว้อย่างนี้ ช่วยฟังหน่อย" เฮียกุ๊กหันมาพูดกับพวกผมอย่างจริง ๆ จัง ๆ ลองดีดกีตาร์ และร้องเพลงที่ผมได้แก้ไข ผมฟังดูมันก็เพราะดี แต่ความคล้องจอง และคำมันธรรมดาไปนิด นั่งหลับตา แล้วลองพูดสิ่งที่คิดออกมา เฮียกุ๊กก็เอาปากกามาแก้ไขเนื้อเพลงเก่าและใช้คำพูดของผม ทำอยู่สักพักก็วิ่งหนีหายไปไหนก็ไม่ทราบแต่ไม่ได้กลับมาร่วมวงกับเราอีกเลย
"เฮียมันบ้า ๆ บอ ๆ อย่าไปถือสามัน" กัสจังบอก ทีนี้ล่ะถึงคราวเอาคืน นินทาพี่ชายของกัสจังบ้างละ
"เฮียกุ๊กน่ะ มันเป็นศิลปินเหมือนแม่ ตอนโน้นพอบอกจะไม่เรียนมหาวิทยาลัย พ่อโกรธใหญ่ แต่แม่ตามใจ ขอไปเรียนดนตรีอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็อย่างที่เห็นแหละ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นนักดนตรี แล้วก็ท้ายสุด มาแต่งเพลงแต่งทำนอง ก็คนเราก็ชอบไปคนละแบบ แต่เฮียน่ะ มันนิสัยเสีย ต้องมีอารมณ์มันถึงจะทำได้ แล้วเขียนเพลงแต่ละที ก็ต้องไปโน่นไปนี่ ไปที่แปลก ๆ มันว่าไปหาแรงบันดาลใจอะไรอย่างนี้ เข้าป่ามั่ง ไปต่างจังหวัดมั่ง บางทีหายไปเป็นอาทิตย์ ๆ ช่วงนี้ก็คงเครียด ๆ กับเพลงใหม่แหละ เห็นว่ามานอนค้างที่นี่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ?" กัสจังพูดแล้วก็หันมาทางผม
"ก็มาบ่อย มาช่วยที่ร้านด้วยน่ะ แต่ไม่ค่อยเจอกับเราหรอก เรานั่งเฝ้าเคาน์เตอร์โรงแรม กับร้านอาหารด้านหน้า ผมอธิบายซึ่งต้องแอบจิกขากางเกงตัวเองไว้ เพราะผมถึงผมจะไม่ได้กล่าวคำมุสา แต่ก็พูดความจริงไม่หมด
เฮียกุ๊กนี่นอกจากจะแต่งเพลง ยังเขียนบทความด้วย ทั้งวิเคราะห์การเมือง วิจารณ์หนังละคร เขียนเรื่องท่องเที่ยว เรื่องอาหาร หรือเรื่องปกิณกะ เรียกว่า เป็นคนรู้กว้างมาก ๆ ผมมารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็รู้สิ ก็ตอนเฮียกุ๊กมาพักที่นี่ ซึ่งแกชมว่าที่นี่สงบ ได้นั่งริมแม่น้ำ ทำให้มีสมาธิ จนในวันหนึ่งนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ จึงมานั่งคุยกับผม ซึ่งวันนั้นอยู่เฝ้าเคาน์เตอร์โรงแรม
ผมที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยค่อนข้างจะรู้อะไรกว้างเหมือนกัน คุยไปคุยมา รู้ตัวอีกทีก็เลยเวลาเข้าไปตีหนึ่งตีสอง เป็นอย่างนี้อยู่หลายที อย่างนี้เขาเรียกว่าคุยกันถูกคอ
หรือเรื่องแต่งเพลง เฮียกุ๊กก็เคยขอร้องให้ผมเอาเครื่องดนตรีไทยมาลองเล่นให้แกฟังหน่อย ฟังไปแกก็บอกให้หยุดเป็นระยะ ๆ แล้วก็เขียนโน๊ตเพลงอะไรไปเรื่อย แล้วก็ลองให้ผมตีขิมตามทำนองที่แกแต่ง จนได้ทำนองที่ต้องการ ผมก็ตีขิมคลอไปกับการที่เฮียกุ๊กดีดกีตาร์ไปด้วย
คืนนั้นเราสามคนนอนคุยกันจนดึก จากตอนหัวค่ำที่เราคุยกันเรื่องอดีต ตอนนี้พวกเราชวนคุยกันเรื่องอนาคตบ้างละ
"กูลาออกจากงานเก่า ก็คงอยากจะช่วยเฮียเกี๊ยวทำแบรนด์กระเป๋าของเราเองน่ะ ก็อีหนังจระเข้ที่กูเอามาให้พวกมึงไง" กัสจังคุยถึงอนาคต
"มึงไม่คิดจะทำหนังอื่น ๆ บ้างหรอ หนังเหี้ยอะไรอย่างเงี้ยะ" หมึกป่วน
"เอาหนังมึงสิอีผี" กัสจังด่ากลับผมก็เอาแต่หัวเราะ
"แล้วหมึกล่ะ?" ผมถามหมึกเพื่อนรักต่อ
"ก็คงทำรีสอร์ตที่พ่อยกให้อ่ะ แต่คิดว่าไม่น่ายากอะไร ก็ของเคยทำมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เพียงแต่คราวนี้ต้องตั้งใจทำ เพราะเป็นของกูจริง ๆ จัง ๆ เห้อ... บางทีก็เหนื่อยว่ะมันมีอะไรหยุมหยิมเยอะแยะ ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวพ่อกับแม่หรือพี่ ๆ จะแก้ปัญหาเอง แต่ตอนนี้เป็นของกูเต็มตัวทุกเรื่องก็เทมาที่หัวกูหมด ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ" หมึกบ่นกลาย ๆ แต่ผมว่ามันเป็นทิศทางที่ดีเพราะน้ำเสียงของหมึกมันปนไปด้วยความสนุกและกระตือรือร้น
"มึงล่ะอีน้า จะทำแค่นี้แล้วไม่มีโปรเจคอื่นอีกใช่ไหม?" กัสจังถามผม ผมก็ตอบอือ ๆ ในลำคอ ก็นี่มันแค่เริ่มต้น ผมเข้าใจความยุ่งยากของหมึกได้ดีเชียวเพราะตัวเองก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ทุกวัน
"พรุ่งนี้ กินปลาแห้งแตงโมไหม" ผมถามเรื่องราวอื่นฉีกไปเลย เพราะจู่ ๆ ก็นึกได้
"เห้ยมีด้วยหรอ เคยกินสมัยเด็ก ๆ แล้วก็ไม่ได้กินอีกเลย ย่าทำให้กิน" กัสจังพูดอย่างดีใจ
"อืม พอดีมีคนสอนให้ทำน่ะ" ผมตอบและอมยิ้มในความมืด เฮียกุ๊กนอกจากจะแต่งเพลงเพราะแล้ว ยังทำกับข้าวเก่งมาก ๆ ด้วย ปลาแห้งแตงโมก็เป็นเฮียกุ๊กที่สอนให้ป้าอุ่นทำ ก็ทำตั้งแต่ช่วงพี่อนงค์แพ้ท้องต้องกินแตงโมเกือบทุกวัน นั่นแหละ เฮียกุ๊กซึ่งมาเยี่ยมน้องชาย ก็เลยดำริจะทำให้กินเสียเลย ป้าอุ่นก็เลยอยากจะลองทำและให้เฮียกุ๊กสอน ออกจะเอิกเกริกสักหน่อย และผมก็ได้เป็นลูกมือช่วยป้าอุ่นด้วย เพราะขั้นตอนมันก็ออกจะวุ่นวาย
"นี่ว่าไหม ผู้ชายทำกับข้าวเป็นน่ะ มีเสน่ห์" ผมถามเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งกัสจังออกจะเห็นด้วย ส่วนหมึกก็ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ส่วนผมได้แต่นอนอมยิ้ม