ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

Delicious - 22 ฟักทอง โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Delicious

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

Delicious  โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง


และรสอร่อยที่เราโปรดปรานก็นำพาเราให้ย้อนนึกถึงความหวังในครั้งอดีตได้ด้วย

เมนูไหนเป็นเมนูโปรดของคุณกันนะ

สารบัญ

Delicious -1 สปาเกตตี,Delicious -2 ปลาเค็ม,Delicious -3 ไก่ต้ม ไก่ย่าง ไก่ทอด,Delicious -4 ไข่เจียว แกงจืด,Delicious -5 แกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่,Delicious -6 ต้มยำ,Delicious -7 ข้าวเหนียว หมูปิ้ง,Delicious -8 ลาบหมู,Delicious -9 ขนมปังหน้าหมู,Delicious -10 สังขยา,Delicious -11 แอปเปิล,Delicious -12 มะระ,Delicious -13 หัวไชเท้า หัวไชโป๊ว,Delicious -14 ส้มตำ,Delicious -15 กล้วย,Delicious -16 ผักบุ้ง,Delicious -17 มะเขือ,Delicious -18 ซีอิ๊ว,Delicious -19 ปลากระป๋อง,Delicious -20 ขนมจีน,Delicious -21 แตงโม,Delicious -22 ฟักทอง,Delicious -23 แหนม,Delicious -24 ดอกโสน,Delicious -25 ปลาทู,Delicious -25 หมูหวาน,Delicious -26 มะพร้าว,Delicious -27 ทุเรียน ขนุน สาเก,Delicious -29 ขาหมูเยอรมัน,Delicious -30 น้ำพริกไข่ปู

เนื้อหา

22 ฟักทอง

โดย  Chavaroj




"ดอกเอ๋ย เจ้าดอกฟักทอง มีแต่ลงรักปิดทอง ความรัก อย่าจองหน่อยเลย" เสียงป้าอุ่นร้องเพลงกล่อมหลานแฝดซึ่งหลับอยู่ในเปลกันพอดี ดูจนเห็นว่าหลับดีแล้ว ป้าอุ่นก็ค่อย ๆ ย่องออกมาข้างนอก ผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ก็หันไปมองแล้วป้าอุ่นก็ยิ้มให้


"หลับแล้วหรอ?" ผมกระซิบกระซาบพูด


"หลับแล้วค่ะ" ป้าอุ่นตอบแล้วก็พยักหน้าชวนผมไปในครัว ผมรีบปิดหนังสือ เดินตามแกไปเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าถ้ามีเสียงอะไรดังขึ้นมา เจ้าสองคนตื่นก็จะตื่นพร้อมกันและอะไรนิดอะไรหน่อยก็มักจะตื่น ช่างหูไวจริง ๆ แล้วถ้าเจ้าเด็กทั้งสองคนตื่นล่ะก็ คราวนี้ก็จะยุ่งละ เพราะชักจะคลานเก่งจนวุ่นวายไปหมด เข้าใจที่เขาว่าจับปูใส่กระด้งเลยทีเดียว 


พอดีคุณพ่อกับน้าแขไม่อยู่เสียด้วยเพราะต้องพากันไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพตามกำหนดนัดของคุณหมอซึ่งคุณหมอก็ชมว่าคุณพ่อขยันทำกายภาพบำบัดจนกลับมาดีได้เกือบจะเหมือนเดิม ส่วนน้าแขเจออาการเบาหวาน แต่คุณหมอยังให้โอกาส ยังไม่ให้ยาลดน้ำตาล แต่ให้ไปควบคุมอาหาร ลดพวกข้าว แป้ง น้ำตาล ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับบ้านเรา เพราะป้าอุ่นทำกับข้าวอร่อย


"ก็กินแต่กับข้าวไงล่ะคะ" ป้าอุ่นบอกกับน้าแข แรก ๆ ก็ยากสักหน่อย แต่พอทำไปสักพักก็เห็นผลว่าน้ำหนักเริ่มลดลง และเมื่อลองตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยเครื่องที่ตรวจเองก็เห็นว่าค่าน้ำตาลค่อย ๆ ดีขึ้น


"ได้ฟักทองมาลูกเบ้อเริ่มเลยค่ะ  เอามาผัดไข่กับโหระพาดีไหมคะ" ป้าอุ่นเสนอความเห็น และสำหรับผมมันก็ต้องดีอยู่แล้วผัดฟักทองให้สุกจนได้รสหวานธรรมชาติ เหยาะน้ำปลานิดหน่อย ใส่ไข่ผัดจนสุกหอมฟุ้ง ก่อนยกลงโรยใบโหระพาเคล้าไปเคล้ามา จนผักสลด ก็ตักใส่จานเป็นอันเรียบร้อย โรยพริกไทยหน่อยให้มันหอม ๆ แต่ถ้ามื้อไหนพิเศษก็ใส่กุ้งด้วย 


จริง ๆ ฟักทองนี่ก็เอามาทำกับข้าวได้หลายอย่าง ที่บ่อยที่สุดง่ายที่สุดก็คือเอามาผัดไข่แบบวันนี้ หรือจะเอามาทำแกงฟักทองใส่หมู หรือจะเอามาทำขนม อย่างฟักทองแกงบวด หรือขนมฟักทอง ก็กินได้กินดี เจ้าเด็กทั้งสองคนก็ดูจะชอบ อย่างวันก่อนที่เอาฟักทองมาทำขนมฟักทอง คู่กับขนมกล้วยเพราะมันทำคล้าย ๆ กัน เจ้าสองคนคลานมาดูผมนั่งกิน น้ำลายไหลคลอปากเลยทีเดียว


แต่ไอ้ที่ดีงามไปกว่านั้นก็คือ เมล็ดฟักทองที่เราควักทิ้ง ป้าอุ่นโยนส่ง ๆ ไปแถว ๆ แปลงผัก ปรากฏว่ามันกลับขึ้นออกมางอกงาม ยอดฟักทอง และดอกฟักทอง ก็จะถูกเด็ดเอามาลอกขนอ่อน ๆ ของมัน จากนั้นก็นำมาลวกจนสุก กินกับน้ำพริกเอร็ดอร่อยที่สุด แสนเข้ากัน


ป้าอุ่นนั้นเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องอาหารบ้านเรามาแต่ไหนแต่ไร ครั้นเข้าวัยสาวเทื้อ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีความรักกับเขาสักครั้ง


"ป้าอุ่นจ๋า น้องอยากรู้ว่าสมัยสาว ๆ น่ะ ป้าอุ่นมีหนุ่ม ๆ มาจีบบ้างไหม?" ผมนึกสนุกเลยแซวแก


"โอ๊ย พูดแล้วจะหาว่าคุย เยอะแยะเลยค่ะ แต่ตอนนั้นน่ะ ป้าอุ่นตกหลุมรักอยู่คนเดียวคือ..." แล้วแกก็กล่าวชื่อแปลก ๆ ออกมา ฟังดูคล้าย ๆ จะเป็นลิเกหรืออะไรนี่ล่ะ


"ใครหรือจ๊ะ?" ผมถามอย่างสงสัย


"ตายจริง คุณณรงค์น่าจะเกิดไม่ทัน เขาเป็นพระเอกละครกรมศิลป์ค่ะ ตอนนี้ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์เสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร คนใหม่ ๆ ก็ยังมี" ป้าอุ่นพูดไปหัวเราะไป ผมนึกได้แล้ว ตั้งแต่ผมเด็ก ๆ วันดีคืนดี ก็จะเห็นป้าอุ่นแต่งตัวซะสวยงาม ทำผมเผ้าเสียสวย แล้วก็ไปเที่ยวเล่นของแก ต่อเมื่อค่ำ ๆ จึงจะกลับ 


"พี่อนงค์ ป้าอุ่นแกหนีไปเที่ยวไหนนั่นน่ะ" ผมถามขณะที่นั่งอ่านหนังสือกับพี่สาว และเห็นป้าอุ่นเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน


"ไปดูละครกรมศิลป์ไง ได้ข่าวว่ามีพระเอกที่แกชอบด้วย เล่นเป็นจเด็จเชียวนะ" พี่อนงค์ว่า ในมือของเธอถือหนังสือเรื่องผู้ชนะสิบทิศพอดี 


ครั้นช่วงบ้านเรามีปัญหาเรื่องการเงิน ป้าอุ่นก็งดการเที่ยวเตร่อันเป็นความสุขเดียวของแกที่มี แต่ตอนนี้บ้านเรากลับมามั่นคงแล้ว แกอยากไปเที่ยวไหน ไปทำอะไรก็ตามใจแก แถมผมยังกำชับด้วยว่า ให้นั่งรถแท็กซี่ไป อย่าลำบาก แถมสอนการใช้แอปเรียกรถเสียด้วย ซึ่งทำให้อุ่นใจและสะดวกสบายมาก 


ส่วนหลาน ๆ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ หรือ ให้พี่อนงค์เลี้ยงไปตามหน้าที่ ส่วนผมงานหลักก็คือเดินไปโน่นเดินมานี่ และช่วงหลายเดือนนี้ ผมมีหน้าที่หลักคือการอยู่หน้าฟร้อนท์โรงแรม เพราะพนักงานต้อนรับลาคลอดเป็นเวลาสามเดือน โรงแรมของเราเป็นโรงแรมเล็ก ๆ ช่วยอะไรกันได้ก็ช่วยกัน


เฮียกุ๊กซึ่งมักมาช่วยงานที่ร้านอาหารบ่อย ๆ รวมถึงมาพักผ่อนด้วย เห็นแกว่าอย่างนั้น 


"ที่นี่เงียบดี ทำงานได้อย่างมีสมาธิน่ะ" เฮียกุ๊กเคยอธิบาย ซึ่งมาสนิทสนมพูดคุยกันก็ตอนที่ผมต้องอยู่กะกลางคืนนี่แหละ ผมนั้นพอเข้าวัยทำงาน จากที่เคยนอนหลับตอนสี่ทุ่ม และตื่นอย่างสดชื่นตอนหกโมงเช้า ก็กลายเป็นนอนตีสองตีสาม เพราะอ่านหนังสือเพลิน ก็โต ๆ กันแล้วจะนอนกี่ทุ่มกี่ยามก็ไม่มีใครว่า 


ยิ่งตอนนี้อยู่กะดึก ผมก็ได้มีเวลาอ่านหนังสือได้สบาย ๆ ไม่มีใครกวน เพราะแขกซึ่งมักจะเป็นคนมีอายุ ก็ชอบจะเข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนกัน หรือถ้ากลับมาดึก ๆ ก็ไม่กี่ห้องเท่านั้น 


"เฮียกุ๊กทำไมยังไม่นอน" ผมทักเมื่อเห็นเฮียกุ๊กเดินเตร่มาถึงเขตโรงแรม


"เพิ่งทำงานที่ร้านเสร็จ พอดีแคชเชียร์ลาป่วย" เฮียกุ๊กอธิบาย ช่างเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกันแท้ ๆ 


"ไม่ไปนอนพักล่ะครับ?" ผมถามเพราะดูท่าทางเฮียกุ๊กจะเพลีย ๆ


"ยังไม่ง่วงอ่ะ ปกติพี่นอนตอนเช้า ดึก ๆ อย่างนี้มันเงียบดี มีสมาธิทำงาน" เฮียกุ๊กอธิบาย และผมก็เข้าใจ ก็ในมือของผมยังถือหนังสือค้างไว้


"แต่ทำคนเดียวมันก็เหงา ๆ ขอนั่งทำตรงนี้ด้วยคนได้ไหม?" เฮียกุ๊กถามและผมก็ไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่งานไม่เสีย และเฮียกุ๊กก็นั่งถัดจากเคาน์เตอร์ของผมไปเล็กน้อย เปิดโน้ตบุ๊คของแก แล้วก็พิมพ์อะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมพอจะรู้ว่านอกจากเฮียกุ๊กผู้มีร้อยอาชีพ หนึ่งในนั้นก็คือการเขียนบทความ 


มองจากทางด้านข้าง เฮียกุ๊กผู้เรียนไม่จบปริญญาตรี แต่ผมว่าด้วยประสบการณ์ ความรู้ในความกว้างขวางเก่งกว่าคนจบปริญญาตรีเสียอีก อย่างน้อยก็ผมคนนึงล่ะ 


มองจากทางด้านข้างผมก็รู้สึกคุ้นตา เหมือนครั้งสมัยเรียนที่โต๊ะอ่านหนังสือของผม กัสจัง และหมึก มันตั้งติดกัน และเราก็มักจะอ่านหนังสือ หรือทำรายงานกันไปเงียบ ๆ นาน ๆ จะพูดคุยอะไรกันสักคำ ครั้นได้ยินเสียงนาฬิกากุ๊กกู ซึ่งเป็นนาฬิกาเก่าแก่ แต่ยังดีอยู่ แม้สีของมันจะเก่าคร่ำ แต่เมื่อถึงเวลาทุก ๆ ชั่วโมง เจ้านกก็จะโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง ทำให้เรารู้ว่าโมงยามมันผ่านพ้นไปกี่โมงแล้ว 


นกกุ๊กกูมันร้องสามหน แสดงว่านี่ล่วงเข้าตีสามเข้าไปแล้ว แต่เฮียกุ๊กก็ยังนั่งทำงานง่วนอยู่ ผมเผลอหาวออกมาหนึ่งที จึงเดินไปห้องหลังเคาน์เตอร์ อยากดื่มอะไรเย็น ๆ เห็นมีชามะนาวจึงรินใส่แก้ว ใส่น้ำแข็ง คนเราพอง่วง ๆ ได้ดื่มอะไรหวาน ๆ เย็น ๆ ให้ชื่นใจ มันจะได้มีเรี่ยวแรง เหลือบเห็นกล่องใบน้อย ๆ ซึ่งมีฟักทองเชื่อมเก็บอยู่ เพราะป้าอุ่นทำไว้เมื่อบ่าย ก็ถือออกมาด้วย 


นั่งตรงโต๊ะที่เฮียกุ๊กทำงานนี่ล่ะ เอาของกินมาวาง และมองหน้าเพลีย ๆ ของเฮียเขา


"กินหน่อยสิครับ อร่อยนะ ฝีมือป้าอุ่น" ผมบอกและเฮียกุ๊กก็บิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยขบ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณและซดน้ำชาเสียงดัง 


"อ๊าาาาา...ชื่นใจ" กล่าวจบเฮียกุ๊กก็ใช้ช้อนส้อมตักฟักทองเชื่อมกินชิ้นโต สีหน้าบ่งบอกว่ามันเอร็ดอร่อย แน่ล่ะ ก็ฝีมือป้าอุ่นโดยมีผมเป็นลูกมือนี่นะ


"เขียนอะไรอยู่หรือครับ?" ผมถามเพราะที่หน้าจอของโน้ตบุ๊ก มีรูปสวย ๆ ของเจดีย์ มันเป็นสีทองอร่าม รวมไปถึงรูปของพระพุทธรูป รูปทรงแปลกตา


"เขียนเรื่องตอนไปเที่ยวพม่าน่ะ" เฮียกุ๊กอธิบาย และเมื่อผมสอบถาม แกก็เล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว ฟังแล้วสนุกยิ่งกว่าไปเที่ยวเองเสียอีก 


"น่าสนุกจัง" ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ เมื่อแกอธิบายถึงอาหารพม่า และกระบวนการทำ 


"ก็สนุกนะ แต่ตอนนั้นไม่ค่อยสนุกเท่าไร ก็เห็นแม่ค้าเอามือไปขยำ ๆ กันเห็น ๆ นั่งทำยอง ๆ กับพื้นนั่นแหละ รองเท้าก็ไม่ใส่ เรียกว่า เพิ่มโปรตีนให้อาหารโดยไม่ได้ตั้งใจ" แกเล่าไปทำสีหน้าสีตาไปผมซึ่งเป็นคนเส้นตื้นก็หัวเราะเสียแทบตาย


"ขำขนาดนั้นเชียวหรือ?" เฮียกุ๊กถามและขมวดคิ้ว


"ก็ผมนึกถึงภาพเฮียกุ๊กตอนนั้น แล้วก็นึกถึงถ้าเป็นผม หรือกัสจัง หรือหมึก คงดูไม่จืดไปเลย" ผมอธิบายแล้วก็หัวเราะต่อ ส่วนเฮียกุ๊กก็มองผมด้วยหางตา คล้าย ๆ จะประชด


เฮียกุ๊กนั้นมาไม่บ่อย แต่ก็ไม่หายไปนาน ต่อเมื่อบางครั้งหายไปนาน ๆ จนผมสงสัย พอถามไถ่จากพี่กุ๊ก ก็ได้รู้ว่าเฮียกุ๊กได้ไปท่องเที่ยวอีกแล้ว แต่รอบนี้ไป เวียดนาม 


"น่าอิจฉาจัง ได้ไปเที่ยวจนทั่วเลย" ผมเปรย แต่พี่กุ๊กดูไม่ค่อยเห็นด้วยนัก


"ชอบลำบาก ไอ้หมอนี่ ไปดี ๆ ก็ไม่ได้ ไปก็ต้องไปแบบแบกเป้ แล้วก็ชอบมาบ่นโน่นบ่นนี่ให้เราฟัง แต่ถามว่าเข็ดไหมก็ไม่เข็ดนะ เฮ้อ..." พี่กุ๊กตอบพร้อมกับอุ้มลูกไปด้วย เจ้าตัวเล็ก ไม่งอแง แต่ก็ไม่ยอมหลับง่าย ๆ และที่ตอนนี้ทั้งพ่อทั้งแม่ต้องเลี้ยงลูกเอง เพราะพี่อนงค์ก็ให้นมหลานสาวของผมอยู่ไม่ไกล ก็เพราะป้าอุ่นกำลังจะไปเที่ยวอีกแล้ว แต่รอบนี้พิเศษ คือมีผมติดสอยห้อยตามไปด้วย


"วันนี้มีละครนอกค่ะ ไม่น่าเบื่อ ออกจะสนุก ถ้าไปดูพวกละครรำ คุณณรงค์ดูไปก็จะเบื่อเสียเปล่า ๆ ไปดูละครนอกนี่ล่ะสนุกจะตายไป" ป้าอุ่นแกอุตส่าห์ชวนผม ซึ่งผมก็นึกสนุกอยู่เหมือนกัน ก็เลยตามแกไปดูด้วยซะเลย 


ปกติการแสดงละครของละครกรมศิลป์ จะเปิดขายตั๋วซึ่งถ้ามีดาราดัง ๆ ก็เรียกว่าเต็มตั้งแต่วันเปิดให้จองบัตร แต่ถ้ามีละครนอกอย่างนี้ ป้าอุ่นว่า มักจะเปิดให้ชมฟรี เพียงแต่ปัญหาก็คือ เราต้องไปให้ไวสักหน่อยเพื่อจะได้ที่นั่งดี ๆ ปัญหาของการไปไวก็คือ ถ้าไม่มีเพื่อนไป ฉวยลุกจากที่นั่งไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ไม่มีคนจองก็จะเสียที่นั่งดี ๆ ของเราไปได้ ผมก็เลยต้องตามแกไปด้วยประการฉะนี้


ละครนอกนั้นใช้ผู้ชายในการเล่นทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็จะเล่นเรื่องจากนิทานเก่าแก่ เช่น พระอภัยมณี พระสุธน มโนราห์ หรือที่ป้าอุ่นแกว่าสนุกที่สุดก็คือ เรื่องสังข์ทอง 


"ครูน้อย แกแสดงเป็นนางมณฑา แม่ของรจนาได้ตล๊กตลกค่ะคุณ นี่ป้าเตรียมรางวัลมาให้แกด้วย" พูดแล้วป้าอุ่นก็หยิบซองสีขาว ๆ ขึ้นมาโชว์ 


"เป็นแม่ยกกับเขาด้วยหรือ?" ผมแซวแกแล้วแกก็หัวเราะอย่างพออกพอใจ 


เรามานั่งจองที่นั่งกันตั้งแต่เย็น จนตอนนี้ตะวันเริ่มคล้อย พอเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงเท่านั้น ผมก็เกิดขนลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ เพราะมันเพราะเหลือใจ ยิ่งมีลมพัดแรง ๆ ปนอากาศอ้าวน้อย ๆ ทำให้เราดูละครกันได้โดยไม่ลำบากนัก ตลอดเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ที่แสนน่าตื่นตาตื่นใจ และหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมป้าอุ่นถึงต้องเตรียมรางวัลให้นักแสดงเหล่านี้ พอละครจบ ป้าอุ่นแกนึกสนุกชวนผมไปหาอะไรกินรองท้อง จนค่ำมืดเราถึงกลับบ้านกันสักที


นึกแล้วก็รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตของผมก็คือการได้ไปเที่ยวไหนตามอกตามใจ ผมได้เที่ยวน้อยเหลือเกิน ชีวิตในวัยเด็กก็มีแต่เรียน ครั้นเรียนจบก็ทำงาน ชักจะรู้สึกตงิด ๆ ในใจว่าชีวิตของผมมันเริ่มต้องการความสนุกมาเติมเต็มบ้าง 


ระหว่างทางกลับ ขณะที่รถแล่นอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้า จังหวะที่รถติดอยู่กลางสะพาน ผมทอดสายตาออกไปไกล ๆ มองไปที่แม่น้ำเจ้าพระยาเรือแล่นข้ามฟาก และเรือด่วน ยังคงแล่นอยู่บ้าง ผู้คนก็ช่างเดินทางไปไหนต่อไหน กัสจังหนีไปอยู่ปารีสตั้งไกล หมึกก็ไปอยู่ระยอง และเห็นรูปรีสอร์ตของหมึกแล้วผมก็ได้แต่รับปากว่าจะไปเที่ยวในสักวันหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเวลาสักที และคนสุดท้ายที่ผมกลับนึกถึง นั่นคือเฮียกุ๊ก ป่านนี้เขาจะไปเที่ยวเล่นสนุกถึงไหนกันหนอ แต่เอ๊ะทำไมมีแต่ผมนะที่วัน ๆ ก็หัวซุกหัวซุนอยู่แต่บ้าน อยู่แต่ที่ทำงานทั้ง ๆ ที่ผมในตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากเดือดร้อนเรื่องเงินแล้วแท้ ๆ


นั่นน่ะมันเป็นความคิดเมื่อยามว่างและเพ้อไป แต่พอชีวิตกลับมาอยู่ในรูปรอยเดิม ๆ ตื่นมาทำงาน เลิกงานก็กลับบ้านอาบน้ำ อ่านหนังสือ แล้วก็นอน มันก็เป็นความสุขไปอีกแบบ ถ้าจะเข้าข้างตัวเอง ไปอยู่ต่างประเทศแบบกัสจังแสนจะเหงา และกัสจังก็ว่าผู้คนที่โน่นแสนจะร้ายกาจ หรือเฮียกุ๊กที่ไปเที่ยวสถานที่แปลก ๆ เจออาหารพิสดาร ส่วนผมน่ะสุขสบายอยู่กับบ้าน ได้มีกับข้าวอร่อย ๆ ได้อยู่กับคนที่รัก แล้วก็หลานรักสองคนที่ตอนนี้แข่งกันแผดเสียงร้องเสียลั่นบ้าน


วันหนึ่งกัสจังโทรมาฝากฝังผมว่า มีเพื่อนเก่าแก่ของกัสจังซึ่งรู้จักสมัยเรียนและทำงานที่ปารีส แต่เขาเป็นคนเยอรมัน ชื่อ ฌอง และมิสเตอร์ฌอง คนนี้ก็กำลังจะมาเที่ยวเมืองไทย 


"อีตาฌองเขาชอบอาหารไทยน่ะ แล้วก็ชอบเที่ยวไปทั่ว" กัสจังอธิบายและฝากฝังกับผม ซึ่งเจ้าตัวก็อธิบายและย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ต้องไปดูแลอะไรฌองเป็นพิเศษ เขาเที่ยวมาแล้วครึ่งโลก และอยากได้ความเป็นส่วนตัว กัสจังยังอธิบายด้วยว่าตาฌองคนนี้ เป็นฝรั่งสายวัฒนธรรม ชอบเที่ยวสถานทีเก่า ๆ ธรรมชาติสวย ๆ ไอ้สถานเริงโลกีย์นั้น ไม่เอาเป็นเด็ดขาด ซึ่งจะเชื่อได้สักกี่น้ำกันนะ


วันดีคืนดี ก็ถึงกำหนดที่นายฌองคนนี้จะมาถึง และเขาก็มาถึงอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว ครั้นเขาเดินแบกเป้อันใหญ่เท่าเด็กอายุประมาณสิบขวบ แต่ครั้นพูดคุยทักทายกันเป็นภาษาอังกฤษ และฌองก็แนะนำตัวเองว่าเขาคือเพื่อนของกัสจัง ผมก็แสดงความยินดีนัก และฟังเรื่องที่ฌองเล่าได้ประมาณ 80% เพราะตั้งแต่มาถึงพ่อก็จ้อไม่หยุดจนผมยิ้มจนเหงือกแห้งเพราะฟังแล้วต้องแปลไปด้วย แปลเกือบไม่ทัน


"ไหนว่าฌองชอบความเป็นส่วนตัวไง คนเดียวกันแน่เรอะ?" ผมถามกัสจัง และรายงานว่าฌองได้ถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพแล้ว


"เขาเป็นยังไงล่ะ?" กัสจังถามกลับและหัวเราะกิ๊ก


"ก็ช่างพูดช่างคุย แล้วก็ไนซ์เกิ๊น ทีแรกเราก็นึกว่าเขาชอบอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนได้ เดินให้วุ่น เดินไปช่วยเราขายของที่ร้าน เดินไปช่วยป้าอุ่นทำกับข้าวแถมถามโน่นถามนี่ เราก็ต้องทำหน้าที่ล่าม พ่อก็ถามเก่งจริง ๆ" ผมบ่นอย่างเอ็นดูระคนกับระอาใจหน่อย ๆ และนึกถึงภาพเจ้าหนูจำไม ในการ์ตูนเรื่องอิ๊กคิวซัง เพราะถามทำไม อะไร ยังไง ที่ไหน เมื่อไร มากน้อยเท่าไร ตลอดเวลา


"แหมแต่ฌองมันหล่อนาเว้ย เผื่ออีน้าจะได้ผัวฝอกับเขาสักคน" กัสจังแกล้งทำเป็นพูดจริงจัง


"ไม่ต้องมาเป็นแม่สื่อ ว่าแต่กัสจังเถอะ จะแต่งงานเดือนหน้าแล้วตื่นเต้นไหม?" ผมถามย้อนกลับและกัสจังก็บ่นอะไรของเขาเสียมากมาย แต่ถึงจะบ่นแต่น้ำเสียงมันแสดงความตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร 


และที่ฌองเดินทางมาเมืองไทย ก็เพราะเจ้าตัวรู้ข่าวว่ากัสจังจะแต่งงาน จึงยืนยันจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยให้ได้ ผนวกกับอยากมาเที่ยวเมืองไทยเต็มแก่


"โอ๊ยสมัยกูอยู่ที่ฝรั่งเศส ฌองเขาก็อย่างนี้แหละ เข้ามาป่วนในครัว อยากรู้อยากเห็นอยากช่วยไปหมด กูเลยแซวไปเลยว่าไอ้ที่กินอร่อย ๆ นี่คนไทยทำเป็นหมดทุกคน" กัสจังโม้


"บ้าไปหลอกเขา" ผมหัวเราะกิ๊ก เมื่อกัสจังเล่าเรื่องเก่า


"ก็เกือบจะจริง ไม่ได้โกหกทั้งหมดที่ไหน กูเลยแกล้งเขาเลยว่า ถ้าชอบอาหารไทย ก็ต้องหาเมียคนไทย รับรองว่าได้กินอาหารไทยสามมื้อ" 


"แล้วเขาว่ายังไงล่ะ?" ผมถามกลับ และมองฌองที่เดินเตร็ดเตร่ในสวน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ มองคนสวนซึ่งกำลังดูแลต้นไม้ 


"Mango" ผมอธิบายและหยิบตะกร้อสอยมะม่วงลงมาเสียเลย สอยมาได้ลูกหนึ่งฝรั่งอยากรู้ก็ขอลองบ้าง สนุกเสียเต็มที่ ถ้าไม่บังเอิญไปสอยเอาจนโดนรังมดแดง แล้วกองทัพมดแดงก็แห่กันมาเอาคืนผมกับตาฝรั่งขี้นก


จะไม่ให้เรียกฝรั่งขี้นกอย่างไรได้ ก็พ่อเล่นใส่กางเกงช้าง แล้วก็เสื้อกล้ามลายกระทิงแดง ดูเผิน ๆ เหมือนฝรั่งซำเหมาอย่างกับอะไรดี ปกติยามกลางวันฌองมักจะเดินไปเที่ยวโดยถามสถานที่ท่องเที่ยวกับผม ฌองจะจดไว้ สอบถามเส้นทางนิดหน่อย แล้วทำมาร์คในกูเกิ้ลแมพ ฌองชอบวัฒนธรรมไทย ๆ ของไทย ๆ และดูอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด 


"เดี่ยวจะเอามะม่วงไปทำอาหารไทย ๆ ให้กิน" ผมบอกกับฌองด้วยภาษาอังกฤษ


"ผมนึกว่ามันเป็นเพียงผลไม้" ฌองตอบกลับทำสีหน้าตื่นเต้น


"ทำเป็นอาหารได้ อร่อยด้วย" ผมยืนยันและพาฌองกลับเข้าครัว ป้าอุ่นให้ผมสอนฌองเฉาะมะม่วง เพื่อจะทำยำมะม่วง ฌองก็พยายามอย่างขมีขมัน แม้ว่าเส้นมะม่วงจะใหญ่เท่าเส้นเฟรนช์ฟรายก็เถอะ


"คุณณรงค์ไปช่วยป้าอุ่นเก็บยอดฟักทองหน่อยสิคะ เดี๋ยวเอามาลวกจิ้มน้ำพริกกัน ป้าอุ่นทำน้ำพริกแมงดา ใส่มะนาวเปรี้ยวปรี๊ดเลยเชียวล่ะ" ป้าอุ่นพูดแล้วผมก็ชักจะนำลายสอ ฟักทองพวกนี้ก็แปลก เก็บได้ไม่หมดไม่สิ้น ทั้งยอดทั้งดอก เอามาลวกกินอร่อยที่สุด


"What is that?"


"Pumkin flower" ผมตอบ และอธิบายว่าจะเอามันลวกกินซึ่งฌองก็พยักหน้าหงึกหงัก และถ่ายรูปพวกมันไปด้วย


"คุณณรงค์ลวกฟักทองให้ดีนะคะ สุกแล้วรีบเอาแช่ในน้ำเย็นเลย" ป้าอุ่นสั่งและผมรับคำ แต่ฌองได้ยินก็ทำตาเหลือก 


"ภาษาไทยเรียกฟักทอง" ผมอธิบาย และรู้ว่าที่ฌองตาเหลือกก็เพราะชื่อของมัน แต่ถึงอย่างนั้นฌองก็กินไปชมไป ไหน ๆ มาช่วยทำกับข้าวแล้ว และฌองก็ชักจะกลายเป็นคนไทยมากขึ้นทุกที ๆ ถ้าไม่ติดดวงตาสีเขียวกับจมูกโด่งมาก ๆ นั่นล่ะก็นะ 


ผมก็ไม่รู้ว่าฌองสนิทกับป้าอุ่นตอนไหน ก็ฌองถามป้าอุ่นเป็นภาษาอังกฤษ และป้าอุ่นก็ตอบฌองเป็นภาษาไทย แบบไทยล้วน ๆ ไม่มีภาษาอื่นมาเจือปน แต่ทั้งคู่ก็หัวเราะกันอย่างเข้าอกเข้าใจ คุณพ่อนั้นก็คุยกับฌองดี ท่านว่าได้ฝึกภาษาอังกฤษที่ชักจะเรื้อไปนาน คุณพ่อน่ะท่านเก่งภาษาอังกฤษมาก ก็ตำราภาษาอังกฤษของท่านออกมากมาย ผมเทียบท่านไม่ติดเลย ยิ่งการเขียนด้วยล่ะก็ ผมว่าผมก็เป็นคนลายมือสวย อย่างน้อยในสามคน ผมกัสจังและหมึก แต่คุณพ่อท่านสามารถคัดทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษได้สวยจนเหมือนพิมพ์ โชคดีที่มือขวาของท่านใช้การได้ 


"แน่ะ ป้าอุ่นแต่งตัวซะสวย" ผมเอ่ยปากแซวในวันหนึ่งซึ่งแน่ล่ะแต่งตัวสวยอย่างนี้ต้องไปดูละครอย่างไม่ต้องสงสัย


"ต้องสวยสิคะ วันนี้พระเอกของป้าเล่นเรื่องอิเหนาเชียวนะ" ป้าอุ่นพูดแล้วก็ส่องตัวเองอยู่หน้ากระจก


"แล้วทำไมวันนี้ไปช้าล่ะจ๊ะ ?" ผมถามและดูเหมือนป้าอุ่นจะรอใคร


"ป้าไม่ได้ไปคนเดียวค่ะ จะไปกับหนุ่ม  โน่นไงมาแล้ว" ป้าอุ่นแกว่าแล้วก็หัวเราะกิ๊ก ก็ฌองเล่นแต่งตัวมาเสียเต็มยศ ใส่สูทผูกไทมาทีเดียว


ต้องอธิบายกันอยู่นานว่า ไปดูละครกรมศิลป์เราแต่งตัวสบาย ๆ ไปก็ได้ ไม่ต้องทางการถึงเพียงนี้ ก็ป้าอุ่นเล่นไปอธิบายกับฌองว่าละครกรมศิลป์นี่เล่นกันในวัง ถึงจะเป็นวังหน้า ฝรั่งก็แปลงสาร แต่งตัวเสียบเรียบแปล้ เพราะกลัวแต่งตัวไม่เรียบร้อยเขาจะไม่ให้เข้าวัง ครั้นไล่ให้ไปแต่งตัวใหม่ เขาก็เพียงถอดสูท ถอดเนกไท และสวมรองเท้าผ้าใบแทน


"ไปแล้วนะคะ เดี๋ยวค่ำ ๆ จะเอาพ่อหนุ่มมาส่งคืนค่ะ" ป้าอุ่นพูดแล้วก็ควงแขนฌอง เออหนอ ฝรั่งขี้นกถ้าโดนละครกรมศิลป์ตกล่ะก็ ช่วยไม่ได้ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน