ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Deliciousระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง
โดย Chavaroj
วันเวลาที่ผมและกัสจังรอคอยนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ อาทิตย์หน้าก็จะเป็นงานแต่งงานของกัสจังแล้ว และก่อนหน้างานหนึ่งอาทิตย์ ผมก็จะเดินทางไปที่รีสอร์ตของหมึก เพื่อไปช่วยเตรียมงาน รวมถึงไปพักผ่อนด้วย คณะของผมมีพ่อกับน้าแข ป้าอุ่น กับหลานตัวน้อยทั้งสองคน ส่วนพี่อนงค์และสามี ต้องอยู่เฝ้าร้าน ขืนไปกันหมดก็ไม่มีใครอยู่ดูแลบ้านพอดี
สำหรับหลานตัวน้อยสองคน มีป้าอุ่นกับน้าแขอยู่แล้วรวมถึงคุณพ่อที่จะคอยดูแลด้วย จึงไม่น่ามีห่วงอะไร ดีเสียอีก พี่อนงค์จะได้พักจากการเลี้ยงเด็ก ๆ เสียบ้าง ถึงลูกจะน่ารัก แต่เด็กซน ๆ ที่แทบจะไม่หยุดอยู่นิ่ง ๆ ยกเว้นตอนหลับ ก็พาเอาคนเป็นแม่เหนื่อยไม่ใช่น้อย พ่อกับน้าแขตื่นเต้นที่จะได้ไปพักผ่อน เปลี่ยนอากาศเสียบ้าง และรูปของสถานที่ปลายทางซึ่งสวยจับใจ ก็ทำให้ทั้งสองคนออกอากาศอยากไปอย่างปิดไม่มิด
ป้าอิ่มนั้นไม่ต้องพูดถึง ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใครทั้งหมด เพราะแกว่าไม่ค่อยจะได้ไปเที่ยวบ่อย ๆ โดยเฉพาะทะเล ส่วนเจ้าเด็กสองคน ก็คงสนุกที่ได้นั่งรถไปเที่ยวเล่น แต่พอนั่งนาน ๆ เข้าก็ผล็อยหลับกันไป ส่วนผมจะรู้สึกอย่างไร ก็ยากที่จะอธิบายเหมือนกัน
วันที่ผมขึ้นรถมานั้น ฌองเดินมาส่งที่รถตู้ ซึ่งเราว่าจ้างให้ขับไปส่งยังจุดหมาย เขาทำหน้าเศร้า ๆ นิด ๆ และตัวเขาเองก็แจ้งว่าจะเช็คเอ้าในตอนเที่ยง เพื่อเดินทางผจญภัยและตามหาความเป็นไทย
"จะไปเที่ยวที่ไหนต่อ?" ผมถามฌองซึ่งเจ้าตัวก็ทำท่านึกสนุกขึ้นมา
"จะไปเชียงใหม่" ฌองตอบ ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรฌองมาก เขาจะไปไหนมันก็ดูน่าตื่นเต้นทั้งนั้น และเชียงใหม่ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวซึ่งน่าสนใจ เพราะเต็มไปด้วยวัฒนธรรมและของกินอร่อย ๆ ฌองคงจะชอบใจที่ได้ไปเที่ยวแน่ ๆ
"เดี๋ยวไปพบกันอีกทีที่งานแต่งงานของกัสจังนะ" ผมบอกกับฌองและเขาก็รับปากรับคำ ฌองจะไปเที่ยวเชียงใหม่ และก่อนวันงานหนึ่งวันฌองจะกลับมาที่นี่เพื่อเดินทางไปร่วมงานกับพี่กุ๊กและพี่อนงค์ เพื่อไปร่วมแสดงความยินดีกับกัสจังเนื่องในงานแต่งงาน
"ผมมาเมืองไทยจุดประสงค์หลักก็เพื่อมางานแต่งงานของกัสจังนี่ล่ะ" ฌองเคยบอกกับผมว่าอย่างนั้น
เอาล่ะ คณะเดินทางของเราสงบราบรื่นกว่าที่คิด พ่อกับน้าแขก็หลับไปเพราะความไกลจากระยะทาง ป้าอิ่มให้นมเด็กแฝดคนหนึ่งจนหลับคาอก ส่วนยายแฝดอีกคนก็อยู่บนตักของผม คนขับรถซึ่งเราว่าจ้าง ขับรถมาอย่างนิ่มนวล ปลอดภัย แวะให้เราพักยืดเส้นยืดสายเข้าห้องน้ำระหว่างทางหนึ่งหน ผมก็เลยแวะซื้อขนมมานั่งกินระหว่างทาง จนในที่สุดก็เข้าสู่จังหวัดระยองสักที
ลัดเลาะไปตามทางซึ่งหลานทั้งสองคนทำท่าตื่นเต้นเมื่อเห็นผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาอยู่ทางฝั่งขวาของรถ ถึงกับกระโดดเร่า ๆ กันทีเดียว ละเมื่อรถตู้กว้างสบายพาเราไปจนถึงจุดหมาย เจ้าบ้านก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ
"ยินดีต้อนรับคร้าบ การเดินทางราบรื่นดีใช่มั๊ย?" หมึกยกมือไหว้พ่อน้าแขและป้าอิ่ม หลังจากนั้นจึงเดินยิ้มมาหาผม เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าเด็กแฝดคนพี่โผตัวไปให้หมึกอุ้ม พาเอาหมึกโวยวายเพราะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็กินอิ่มนอนหลับ โตเอา ๆ แค่ไม่กี่เดือนน้าหมึกก็แทบจะอุ้มไม่ไหวแล้ว หมึกโวยวายอย่างนั้นและพาพวกเราให้นำกระเป๋าสัมภาระไปเก็บไว้ที่ห้องพัก
"น้ามึงนอนที่ห้องนี้กับป้าอุ่นก็แล้วกันเนอะ" หมึกนำทาง มีพนักงานของหมึกช่วยลากกระเป๋าของป้าอิ่มและข้าวของเครื่องใช้ของเด็ก ๆ ส่วนผมหิ้วกระเป๋าของตัวเองเดินตามไปต้อย ๆ
"อืม กว้างน่าสบายจัง" ผมเอ่ยปากชม เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ห้องพักของผมใหญ่กว่าของคุณพ่อและน้าแข ก็ต้องอยู่กันตั้งสี่ชีวิต มีเตียงเดี่ยวหนึ่งเตียง และเตียงใหญ่อีกหนึ่งเตียง ตัวอาคารเป็นผนังปูนทาสีขาวสะอาด ดูเรียบ ๆ แต่มันเท่ชะมัด กัสจังให้คำนิยามไว้ว่า เรียบแต่โก้ มองแล้วเป็นคล้าย ๆ สไตล์ บ้านแบบเมอดิเตอร์เรเนียนกระมัง เพราะบนหลังคามุงไว้ด้วยหญ้าแฝก และเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเครื่องประดับต่าง ๆ ก็ทำมาจากไม้ และไม้ไผ่ ที่อยากจะกรี๊ดให้ดังสุดใจก็ถึงห้องน้ำ ซึ่งหลังคาเปิดโล่ง มีต้นไม้รายรอบ ซึ่งหมึกใช้ต้นเฮลิโคเนียปลูกไว้แถมบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก โรงแรมของผม ที่สำคัญคือมีอ่างอาบน้ำสีขาวน่านอนแช่ให้สบายใจ
แดดยังแรงมากนัก แต่ต้นไม้ร่มครึ้มก็ช่วยบดบังแสงแดดได้เป็นอย่างดี ประกอบกับมีลมทะเลพัดเอื่อย ๆ ตามชายคา แขวนโมบายที่ทำมาจากเปลือกหอย กระทบกันเสียงดังไพเราะแบบแปลก ๆ รวมไปถึงมีขวดซึ่งถูกตัดก้น ทำเป็นระฆังใบน้อย ๆ ยามเมื่อลมพัดก็จะส่งเสียงดังแหลมกังวาน ได้บรรยากาศของทะเลได้เป็นอย่างดี
ผมค่อย ๆ เอาเสื้อผ้า ของตัวเองออกมาจัดเรียงใส่ตู้ จากนั้นก็ดูหลาน ๆ และให้เวลาป้าอุ่นได้จัดการธุระของตัวเองเหมือนกัน ครบครันดีแล้ว พวกเราก็อุ้มเจ้าเด็กออกมาข้างนอกด้วยกัน ไม่ต้องลงกลอนอะไรให้ยุ่งยาก เพราะหมึกได้ทำการปิดรีสอร์ต สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ จึงมีแต่คนงานและพวกเราเท่านั้น
เสียงโหวกเหวกโวยวายของหมึก พาให้เราเดินตามไปต้นเสียงซึ่งคล้าย ๆ กับจะเป็นอาคารสำหรับรับประทานอาหาร หมึกยืนเท้าเอวเถียงกับใครสักคน และเมื่อผมกับป้าอุ่นเดินเข้าไป ก็ได้รับการแนะนำว่านั่นคือพี่สาวของหมึก ผมแทบจะยกมือไหว้แทบไม่ทัน แต่ดูหน้าพี่สาวของหมึกแล้ว ก็เรียกว่าไม่ต้องเดาว่าเป็นอะไรกันเพราะก็คือ หมึกในเวอร์ชั่นผมยาว แต่ตัวเล็กกว่าเท่านั้นเอง สองพี่น้องหน้าเหมือนกันชะมัด
"เถียงอะไรกัน เสียงดังไปจนถึงปากซอย" ผมแซวและหมึกก็บ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่อง พี่สาวของหมึกก็ดูแล้วเข้าข่ายขิงก็ราข่าก็แรง พูดสวนหมึกได้เป็นฉาก ๆ แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี พี่สาวของหมึกแยกไปด้านหนึ่งส่วนหมึกก็แลบลิ้นใส่ ยามพี่สาวของเขาเดินหันหลังให้
"ยุ่งไม่เข้าเรื่อง อีดำเอ๊ย" หมึกแอบนินทาพี่สาวและผมก็ขมวดคิ้วแต่กลั้นขำ
"นี่มันรีสอร์ตของกู อีดำนั่นก็เข้ามายุ่งวุ่นวายอยู่ได้ ทำอย่างกับของตัวเอง...เชอะ" หมึกบ่นเข้าอีก
"เขามาช่วยก็ไปว่าเขา ขืนหมึกทำคนเดียว ได้ปวดหัวแย่เลยใช่ไหมเล่าเขามีประสบการณ์ก็เชื่อ ๆ เขาไปเถอะ" ผมพูดจนหมึกค้อนใส่ให้ทีหนึ่ง ครู่เดียวกัสจังก็ส่งเสียงโวยวาย จนผมหันหน้าไปเจอ เจ้าตัวก็รีบวิ่งมาในอาคาร เขย่ามือของผมแรง ๆ หลายที แล้วก็เอาแต่เล่นกับหลาน
"อยากได้ไหมเล่าคะ ป้าจะยกให้เอาไปเลี้ยงสักคืน เอาคนเดียวหรือเอาไปเป็นคู่เลยก็ได้นะคะ" ป้าอุ่นเอ่ยปากแซว และกัสจังก็ยิ้มแห้ง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น หลานสาวตัวน้อยก็กอดกัสจังไม่ยอมปล่อย เอานิ้วจิ้มหน้า จิ้มตากัสจัง แล้วก็พูดอ้อ ๆ แอ้ ๆ
"โอ๊ะ หลานอาเก่งจัง นี่ตาใช่ไหมคะ แล้วนี่อะไรคะจมูกหรอ?" กัสจังคุยเล่นกับหลาน อย่างน่าสนุก พักเดียวเฮียเกี๊ยวก็เดินมาสมทบ คุยกันอยู่ครู่เดียว ทั้งสองคนก็หนีไปนั่งตรงเก้าอี้ไกล ๆ หยิบโน๊ตบุ๊กออกมาคนละเครื่อง แล้วก็พูดคุยเรื่องงานกันใหญ่ ดูเอาเถอะ ขนาดมาถึงนี่แล้วยังขนงานมาทำ ช่างขยันขันแข็งกันเสียจริง อย่างนี้สินะที่เขาเรียก ผัวหาบเมียคอน
ส่วนผมนะสบายใจหายห่วง เพราะพนักงานครบครัน แถมมีพี่อนงค์ คอยอยู่ดูแล ไม่มีอะไรให้ห่วงเลยสักนิด กัสจังแจ้งว่า ญาติ ๆ ฝั่งเฮียเกี๊ยว จะทยอยเดินทางกันมาในอีกสองสามวัน ผมนึกดีใจที่จะได้เจอ เจ๊หวัง เพราะแกคุยสนุกที่สุด ยิ่งถ้าเดี๋ยวได้เข้าคู่กับหมึกล่ะก็ คนฟังคงฟังจนหูชาแน่ ๆ ที่สำคัญ เจ๊หวังช่วยผมมาตั้งมากมาย ผมจึงอยากเจอเจ๊หวังมากกว่าใคร ๆ
แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น ขณะที่ป้าอุ่นเอาเด็ก ๆ ซึ่งหลับไปแล้ว เข้าไปพักผ่อนในห้องพัก ตัวแกเองก็อ่อนเพลียจากการเดินทางเหมือนกันเลยว่าจะขอเอนหลังสักครู่ ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เลยว่าจะช่วยงานหมึกเท่าที่ตัวเองพอจะช่วยได้
"ทำอะไรดีวะ ทำครัวดีมั๊ย เห็นแม่ครัวเขาว่าคนเริ่มมาเยอะ กลัวจะทำอาหารไม่ทัน" หมึกพูดแล้วเราก็ชวนกันเข้าครัว
"ให้ทำอะไรดีหรือจ๊ะ ช่วยกันสับหมูแล้วกัน หรือใครจะหั่นหนังหมูก็ได้ เพราะเดี๋ยวฉันจะทำแหนม" แม่ครัวท่าทางใจดีบอก และเราสองคนก็ช่วยกันผมรับหน้าที่สับหมู ส่วนหมึก รับแผ่นหนังหมูต้มมาแล้วก็หั่นจนเป็นเส้น ๆ
"ทำไมทำแหนมล่ะ?" ผมถาม เพราะออกจะตื่นเต้นกับเมนูนี้ เคยแต่ซื้อกินไม่เคยทำเองสักที
"อีหอยกัสมันสั่งไว้น่ะสิ มันว่าเอามาแกล้มไวน์" หมึกพูดกระซิบกระซาบ จริงสินะ แหนมอร่อย ๆ ต้องมีรสเปรี้ยวซึ่งเกิดจากการหมัก ถ้าจะเทียบเรื่องราวให้มันซึ้ง ๆ ก็คงเหมือนกับคนเรากว่าจะได้อะไรสมใจ ก็คงต้องรอให้เวลาของมันสุกงอมก่อนกระมัง
จริง ๆ การทำแหนมก็ดูไม่ยุ่งยากกระไรนัก วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มีแค่เนื้อหมูสับละเอียด หนังหมู ข้าวเหนียว พริกสีสันสดใสจำนวนหนึ่ง กระเทียมโขลกละเอียด เกลือ แล้วก็ผงเอลซ่า
ได้วัตถุดิบกองมหึมา เพราะมีพวกเราช่วยงานกันหลายคน นับรวมผมกับหมึกด้วย ในครัวนี้ก็เห็นจะนับได้สิบชีวิต แต่ส่วนใหญ่เป็นคนงานหญิงชาวต่างด้าว ซึ่งดูขันแข็งแต่ร่าเริง ที่รู้ก็เพราะแต่ละคน ทาทานาคาที่แก้มปราง และถ้าพูดกันเองก็จะพูดด้วยภาษาบ้านเกิด แต่ถ้าพูดกับพวกเราก็จะพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่ง ๆ แต่ก็จัดว่าพูดได้ค่อนข้างเก่งและชัดเจนทีเดียว พวกเราทำงานตามคำสั่งแม่ครัวซึ่งแกดูท่าทางใจดีและเสียงดัง เพราะนอกจากจะต้องคอยดูแลกองการผลิตแหนม แกยังต้องคอยดูแลอาหารซึ่งทำไว้สำหรับมื้อเย็นอีกด้วย
กะละมังใบโต ๆ ถูกนำวัตถุดิบเทใส่ทีละอย่าง ข้าวเหนียวที่ล้างน้ำและผึ่งให้แห้งแล้ว นำมาผสมกับหมูบด หนังหมู กระเทียม ผงปรุงรส และเกลือ นวดให้เหนียวเข้ากันดีประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็จะถูกนำไปใส่ภาชนะซึ่งเป็นถาดสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ หลายใบ ปิดฝามิดชิด แกว่าถ้าอากาศร้อน ๆ ก็ใช้เวลาสองสามวัน ถ้าเปรี้ยวได้ที่แล้วก็เก็บเข้าตู้เย็น แหนมพวกนี้จะเอามาหั่นกินกันเลยก็ได้ หรือจะยักย้ายมาทำกับข้าวอื่น ๆ ก็น่าสนใจ อย่างเช่น ข้าวผัดแหนม ยำแหนม ไข่เจียวแหนม หรือแหนมหลนที่ป้าอุ่นเคยทำให้เรากินกัน แต่ละเมนูคิดแล้วก็น้ำลายสอ
ตลอดเวลาสองสามวันที่ผ่านมา พี่อนงค์ เมื่อไรที่ว่างก็จะวิดีโอคอลมาคุยกับพวกเรา เพราะห่วงลูก และรายงานว่าที่บ้านไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนทางเรา คุณพ่อกับน้าแขดูจะสบาย ๆ และมีความสุข คุณพ่อนั้นยิ้มกว้าง และหัวเราะเยอะกว่าที่เคย ถ้าไม่เล่นกับหลาน บางวันถึงกับชวนน้าแขไปเดินเล่นในทะเลกันทีเดียว น้าแขว่าเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาว ส่วนป้าอุ่นยามเย็น ๆ ก็ชวนผมกับหมึกพาเด็ก ๆ ไปเล่นน้ำทะเลตรงที่ตื้น ๆ ตามธรรมดาของเด็กเมื่อได้เล่นน้ำ ก็มักจะไม่อยากขึ้นกันเลยทีเดียว ส่วนผมถ้ามีบางจังหวะก็หลบพาตัวเองไปอ่านหนังสือเงียบ ๆ อย่างสบายใจที่สุด
อากาศในตอนกลางวันค่อนข้างร้อน เพราะช่วงปลายปีก็จริง แต่ยามดึกจะอากาศเย็นจนสบาย ถ้าเราจะสวมเสื้อแขนยาวหรือมีผ้าคลุม หรือผ้าพันคอสักหน่อย ผมมักจะใช้เวลาว่าง ๆ ช่วงเย็น ๆ ไปเล่นน้ำกับป้าอุ่นและหลาน ๆ ส่วนหมึกไม่เล่นน้ำเลย ถามดูเจ้าตัวก็บ่นว่าเล่นตั้งแต่เด็กจนเบื่อเสียแล้ว ดูเหมือนผิวของผมจะคล้ำลงไปเป็นกอง แต่มันก็ทำให้ผมดูเป็นคนสุขภาพดี และผมก็ชอบสีผมของตัวเองที่มันเข้มขึ้นจนพ่อชมว่าดูคม
และแล้ววันที่แหนมเปรี้ยวได้ที่ก็มาถึง อาหารเย็นมื้อนี้คือข้าวผัดแหนมแสนอร่อย แหนมถูกหั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นโต ๆ ผัดมากับข้าวสวยนิ่ม ๆ แต่สวยเป็นตัว มีกลิ่นซีอิ๊วหอม ๆ และกลิ่นหอมกระทะและกลิ่นไหม้ ด้านข้างมีต้นหอมตัดเป็นต้น ๆ และแตงกวาหั่นเป็นแว่น ๆ กองโต ๆ รวมไปถึงมะนาวฝานถ้าใครอยากได้รสเปรี้ยวสะใจ ด้านข้างถัดไปอีก มีชามใบโตบรรจุ น้ำปลาพริก ซึ่งหมึกคุยอวดว่าน้ำปลานี้อร่อยกว่าน้ำปลาที่ขายตามท้องตลาดเพราะเป็นน้ำปลาซึ่งหมักเอง
"แต่ก่อนบรรพบุรุษกูทำน้ำปลาขาย" หมึกอธิบาย และผมรู้มาว่า น้ำปลายี่ห้อดัง ที่แท้ก็เป็นของบ้านหมึกนี่เอง แต่เป็นกิจการของคุณอาคนเล็กของหมึก ซึ่งได้ลองชิมน้ำปลาที่หมึกว่าหมักจากโอ่งดินธรรมชาติ มันก็อร่อยกว่าน้ำปลาในขวดแก้วจริง ๆ เสียด้วย คงเหมือนซีอิ๊วที่ป้าอุ่นแกหมักเองกระมัง คิดแล้วก็นึกถึงแดจังกึม ที่หมักกิมจิ หมักเต้าเจี้ยว ด้วยสูตรลี้ลับ เรื่อยไปจนถึงซังกุงห้องเครื่อง ส่วนหมึกดูไกล ๆ เห็นจะเป็นซังกุงสูงสุด เพราะต้องเดินคอยชี้โน่น สั่งนี่ ไม่ได้หยุดเลย น่าสงสารเล็กน้อย
ถัดมาจากด้านข้างของจานเปลซึ่งมีข้าวผัดแหนมกองโต ก็ยังมีแหนมถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ เผื่อใครกินแหนมไม่สะใจ ซึ่งกัสจังกับเฮียเกี๊ยว เอามันใส่จาน เอาไปกินแกล้มไวน์ กำลังกินกันเพลิน ๆ ก็มีรถตู้คันใหญ่เข้ามาจอด ที่แท้ก็เป็นคุณแม่กับคุณย่าของกัสจังนั่นเอง แต่คนที่ขับพามานั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน เฮียกุ๊กที่ ผมไม่ได้เจอหน้าตั้งนานนี่เอง
พวกเราทักทายกันกิ๊วก๊าว แน่ล่ะว่าคุณย่ากับคุณแม่ของกัสจัง เห่อหลานแฝดเป็นอันมาก ก็นาน ๆ เจอกันทีนี่นะ เจ้าเด็กสองคนก็รู้อยู่ เห็นคนแปลกหน้าก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิด กลับคลานขึ้นไปนั่งบนตัก อ้อนแบบนี้ไม่รักอย่างไรไหว
"ไม่เจอตั้งนานสบายดีไหม เล่นน้ำทะเลเยอะหรอ ผิวคล้ำลงไปเป็นกอง" เฮียกุ๊กเดินเข้ามาทักทายผม ส่วนผมได้แต่ยิ้ม และเดินไปช่วยอุ้มเจ้าเด็กสองคน เพื่อจะได้ให้คนที่มาใหม่ ได้รับประทานอาหารด้วยกันเสียก่อน
"เดี๋ยวแม่พาคุณย่าไปเก็บของก่อนดีกว่า ไอ้กุ๊กนอนกับคุณย่านะ เดี๋ยวพ่อตามมาจะได้นอนห้องแม่" คุณแม่ของกัสจังบัญชาการ และเฮียกุ๊กก็เดินกลับไปที่รถ หิ้วกระเป๋าเดินทางหายกันไปครู่หนึ่งถึงกลับมานั่งกินข้าวด้วยกัน นี่มาเพิ่มแค่นี้ยังคุยกันเสียงดังน่าสนุก ถ้ามากันครบ ๆ เห็นทีจะเหมือนงานวัดย่อย ๆ ทีเดียว
คืนนั้นหลังอาหารเย็น ใครใคร่จะทำอะไรก็ทำกันตามสบาย คุณย่านั้นขอมาเล่นกับหลานที่ห้องนอนของผมกับป้าอุ่น แล้วคุณแม่ของกัสจังจึงเดินมาสมทบ ส่วนผมก็รู้สึกอยากให้คนแก่ได้คุยกัน จึงอยากจะไปเดินเล่นข้างนอก ลืมนึกไปว่ากลางคืนอากาศจะค่อนข้างเย็น แต่ถึงอย่างนั้นลมที่พัดเย็น ๆ มันกรีดผิวแต่มันก็ทำให้รู้สึกสงบสบายดีเหมือนกัน
มองไปในผืนทะเลกว้าง มีเสียงคลื่นที่ดังเบา ๆ เป็นระยะ เหมือนเพลงจากพระสมุทร คืนนี้พระจันทร์กระจ่างฟ้า มองเห็นผืนทรายได้ชัดเจนกระจ่างใจ ผมเดินกอดอกและเดินเลียบไปตามชายหาด ที่ยาวจนเหมือนไร้ปลายทาง แต่สุดท้ายรู้ตัวว่าเดินมาไกลจนเกินไป ผมก็ค่อย ๆ หันหลังเดินกลับ
"มาเดินอะไรคนเดียว" เสียงคุ้นเคยดังขึ้นและเมื่อผมหันไปหาต้นเสียง ผู้ชายผมยาว ซึ่งปกติเขามักจะมัดผมเป็นมุ่นมวยอย่างลวก ๆ อยู่เสมอ กลับปล่อยผมให้สะบัดตามสายลม ดวงตาหวานจ้องมองผมไม่กะพริบ และรอยยิ้มที่แสงจันทร์สาดส่องจนเห็นฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ เสียงเครื่องประดับโลหะ กระทบกันทุกจังหวะการก้าวเดิน เสื้อผ้าฝ้ายตัวหลวมโคล่ง ปลิวพัดเมื่อกระทบกับสายลม และเขาก็เดินมาใกล้จนมาหยุดเคียงข้างกายผม
"เดินเล่นครับ" ผมตอบและพยายามเร่งฝีเท้า แต่เมื่อเกิดอารมณ์กรุ่น ๆ ในใจก็อดที่จะปล่อยคำพูดที่ปกติผมจะไม่พูด เพราะผมไม่เคยแดกดันใคร แต่ผมรู้ตัวว่าแท้จริง ภายนอกที่แสนอ่อนน้อม ผมคือคนที่ดื้อที่สุด ...ดื้อเงียบ
"ไปเที่ยวสนุกไหมครับ นึกว่าจะไม่กลับมาเสียแล้ว" ผมพูดเร็วปรื๋อ
"ไปเที่ยวน่ะหรอ ก็สนุก แต่ไม่มาก ปกติเวลาพี่ไปเที่ยวที่ไหน มักจะไปนาน ๆ แต่ไปครั้งนี้ กลับไม่สนุกเลย มันเอาแต่คิดถึง...ใครบางคน" เฮียกุ๊กพูดในขณะที่ผมเร่งฝีเท้าหนี
"จะรีบไปไหนกัน?" เขาว่าและรีบคว้ามือของผมไว้
"จะรีบกลับห้องครับ" ผมตอบแต่ก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
"ถามทำไม... คิดถึงพี่หรอ?" เขาถามแต่ผมก็ไม่ตอบได้แต่เม้มริมฝีปากของตัวเอง
"ไม่คิดถึงหรอกครับ ก็รู้ว่าเฮียไปเที่ยว สนุก ๆ อยู่" ผมตอบเขาไปอีก รู้สึกตัวเองทำไมประชดเก่ง
"เอ๊า แย่จัง คิดว่าจะคิดถึงพี่บ้าง พี่ไปโน่นไม่สนุกเลย เพราะมัวแต่คิดถึงเรา" เฮียกุ๊กพูดตอบและผมก็รู้สึกว่าตัวของผมชาวูบ อากาศข้างนอกมันแสนหนาวเหน็บ แต่ผมรับรู้ได้ว่าตัวของผมมันเริ่มจะร้อนผ่าว
"จะคิดถึงผมทำไม?" นี่มันต้องอย่างนี้ทำไมผมกลายเป็นคนแบบนี้กันหนอ ไม่เข้าใจตัวเองเลย
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน" เฮียกุ๊กตอบแล้วก็ถอนหายใจ เขาปลดผ้าพันคอผ้าฝ้ายผืนหนา ๆ ที่คล้องอยู่ที่คอ เอามาคลุมหัวไหล่ของผมและคลุมที่ต้นคอและบ่า ซึ่งมันโดนสายลมเย็นกรีดผ่าน
"ห่มไว้ ลมมันแรง" เฮียกุ๊กว่า และกระชับผ้าฝ้ายผืนหนา พูดแล้วก็ก็ขยับมายืนตรงหน้าผม และเอาแต่จ้องหน้าส่วนผมก็ขยับหน้าหนี หันไปมองชายหาดที่คลื่นลูกน้อย ๆ ค่อย ๆ สาดมาซัดจนผืนทราบเรียบราบ
"ไม่คิดถึงพี่จริง ๆ หรอ พี่คิดถึงเราทุกวันเลย" เฮียกุ๊กขยับมาพูดใกล้ผม แต่ผมก็ได้แต่ยืนหยุดนิ่ง ลมหายใจของผมมันคล้ายกับจะหยุดไปตามร่างกาย ตัวของผมร้อนวาบขึ้นมาอย่างประหลาด จนผมไม่รู้ตัวเลยว่าร่างของผมถูกโอบกอดจนแนบแน่นไปตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที มือของผมก็โอบกอดฝ่ายตรงข้ามจนแนบแน่นเสียแล้ว
เราไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ผมแนบใบหน้าเข้ากับผืนอกของเขา สูดลมหายใจลึก ๆ จนได้กลิ่นหอมจากเนื้อกายได้ชัดเจน กลิ่นที่คล้ายว่าจะเคยคุ้นแต่ไม่เคยสัมผัสที่มาของกลิ่นได้ใกล้เท่านี้มาก่อน
ผมหลับตาสนิท และรู้สึกได้ว่าที่กระหม่อมของผมถูกประทับจูบ
"คิดถึง........." ผมหลุดปากพูดถ้อยคำจากก้นบึ้งของหัวใจ ตลอดเวลาหลายวันที่ผมไม่เจอเขา ผมคิดถึงเขาแทบตาย คิดถึงจนในบางคืนผมก็นอนไม่หลับ และหลายครั้งผมได้แต่เดินงุ่นง่านเพราะความไม่ได้ดั่งใจที่ภาพใครสักคนมันเอาแต่หลอกหลอนให้ผมเหมือนจะเป็นคนบ้า
ผมแอบชอบเฮียกุ๊ก ผมไม่รู้ตัวจนถึงวันหนึ่งที่ผมต้องห่างจากเขา เขาหนีไปเที่ยวสนุก ไม่คิดถึงผมเลยสักนิด ผมเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในโลกแคบ ๆ อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่กล้าที่จะออกไปไหนไกล ๆ โดยลำพัง
เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากโลกภายนอกแสนสนุก ผมนึกอิจฉาเขา และคิดว่าจะดีแค่ไหนนะ ถ้าผมได้ไปไหนไกล ๆ ไกลจนผมจินตนาการไม่ออก ที่ซึ่งผมไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่บนผืนโลก ...ไปกับเขา ถึงมันอาจจะลำบากไปบ้าง ได้ที่นอนสกปรกและห้องเท่ารูหนู ได้กินอาหารรสชาติแย่ ๆ หรือมีกรรมวิธีหรือวัตถุดิบแปลกประหลาด แต่ถ้าเขากินได้ ผมก็ต้องกินได้ ผมอยากไปกับเขา ไม่ว่าจะที่ไหน แต่ความเป็นจริงเขากลับทิ้งผมไปสนุกอยู่คนเดียว
"คิดถึงครับ" เฮียกุ๊กกระซิบที่ข้างหูของผม และอารมณ์เด็กร้ายกาจในตัวของผมก็ปลาสนาการหายจนหมดสิ้น ผมรู้สึกตัวเองกลับมาเป็นคนสำคัญ และเวลาที่เราต้องจากกันมันทำให้ผมรู้หัวใจตัวเองอย่างเด่นชัด เหมือนกาลเวลาที่บ่มเพาะจนเราได้รู้ซึ่งหัวใจของตัวเอง เหมือนแหนมอร่อยรสเลิศ ต้องผ่านการหมักบ่มจนเมื่อถึงเวลาของมัน
คลื่นยังคงซัดสาด จนเรากลับมารู้ตัวเพราะคลื่นซัดจนกระทบกับเท้าของเราสองคน
"ไปกลับไปที่ห้องพักกันได้แล้ว" เฮียกุ๊กพูดพร้อมกับคลายอ้อมกอด เขาจับมือของผมไว้ และเดินนำหน้าผมไป ผมมองเขาจากทางด้านหลัง สายลมยังพัดเส้นผมยาวสลวยของเขาจนปลิวเป็นจังหวะ ไหล่กว้างและเสื้อตัวหลวมพริ้ว แต่มือของเขายังคงจับมือของผม และผมก็ได้แต่อมยิ้ม มองมือของตัวเองที่ถูกจับกุมไว้อย่างทะนุถนอมแต่ก็แนบแน่น