ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

Delicious - 24 ดอกโสน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Delicious

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

Delicious  โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง


และรสอร่อยที่เราโปรดปรานก็นำพาเราให้ย้อนนึกถึงความหวังในครั้งอดีตได้ด้วย

เมนูไหนเป็นเมนูโปรดของคุณกันนะ

สารบัญ

Delicious -1 สปาเกตตี,Delicious -2 ปลาเค็ม,Delicious -3 ไก่ต้ม ไก่ย่าง ไก่ทอด,Delicious -4 ไข่เจียว แกงจืด,Delicious -5 แกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่,Delicious -6 ต้มยำ,Delicious -7 ข้าวเหนียว หมูปิ้ง,Delicious -8 ลาบหมู,Delicious -9 ขนมปังหน้าหมู,Delicious -10 สังขยา,Delicious -11 แอปเปิล,Delicious -12 มะระ,Delicious -13 หัวไชเท้า หัวไชโป๊ว,Delicious -14 ส้มตำ,Delicious -15 กล้วย,Delicious -16 ผักบุ้ง,Delicious -17 มะเขือ,Delicious -18 ซีอิ๊ว,Delicious -19 ปลากระป๋อง,Delicious -20 ขนมจีน,Delicious -21 แตงโม,Delicious -22 ฟักทอง,Delicious -23 แหนม,Delicious -24 ดอกโสน,Delicious -25 ปลาทู,Delicious -25 หมูหวาน,Delicious -26 มะพร้าว,Delicious -27 ทุเรียน ขนุน สาเก,Delicious -29 ขาหมูเยอรมัน,Delicious -30 น้ำพริกไข่ปู

เนื้อหา

24 ดอกโสน

โดย  Chavaroj




เมื่อย่างเข้าเดือนหก ตกเดือนสิบ


มองลิบลิบโสนบานตระการทุ่ง


ชาวบ้านเก็บกินขายหลายกระบุง


แกล้มน้ำพริกแกงส้มกุ้งกรุงใจ


ทั้งเป็นยาแก้ไข้ในหน้าฝน


ดอกร่วงหล่นลอยฟ่องคลองน้ำใส


เป็นแพล่องดั่งทองคำผ่องอำไพ


โสนไหวลิ่วลิ่วปลิวล้อลม


เสียงเพลงก้านแก้วสุพรรณดังลั่นทุ่ง


โสนน้อยเรือนงานปรุงใจให้สุขุม


หนุ่มหนุ่มร้องจีบสาวพราวเลห์ลม


หวังจะได้ชื่นชมสุขสมปอง


สาวสาวแฟนพระบวชถึงหนึ่งพรรษา


สึกออกมาได้ภิรมย์สุขสมสอง


พระไม่สึกออกพรรษาน้ำตานอง


มองโสนสีทองต้องระทม


พายเรือมาหลังห้องของพระใหม่


ด้วยดวงใจเดือดปุดปุดสุดขื่นขม


เอื้อนเอ่ยคำรำพันอันสุดตรม


ฝากสายลมให้รู้ห้วงดวงฤดี


ดอกโสนสีเหลืองอ่อนเหลือง


เหมือนจีวรของหลวงพี่


ฉันนั่งนึกนอนนึกเมื่อไรจะสึกสักที


พระบวชใหม่ได้ฟังนั่งพินิจ


สาวทวงสิทธิ์ที่สัญญามาก่อนนี้


จำสละผ้ากาสาว์ของลาที


สมฤดีขอสาวเจ้าเข้าหอเอยฯ




จะมีคนแบบไหนที่เก็บดอกโสนไปก็ท่องกลอนไป นี่ไงมีอยู่คนหนึ่ง คนที่เก็บดอกโสนอยู่ข้าง ๆ ของผม น้องน้อยที่หน้าตาแสนน่ารักแต่ก็มีแววดื้อดึงในดวงตา ดูแต่ที่ผมมาถึง จะหันมามองผมสักนิดก็ไม่มี เวลามองก็ค้อนน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมคิดถึงเขาแทบใจจะขาด 


จะหาโอกาสคุยด้วยตามลำพังสักทีก็เห็นจะยาก เพราะผู้คนมากมาย แล้วเจ้าตัวก็พลอยหนีไม่อยากจะคุยกับผมเสียด้วย ไอ้อย่างนี้ล่ะก็ งอนแน่ ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย ผมเม้มริมฝีปากจนเรียบเป็นเส้นตรง มองเขาอยู่อีกฟากของห้อง พลางทำงานตามที่แม่สั่งเป็นระยะ ๆ ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เพราะต้องขับรถมาตั้งไกล จะขับเร็วก็ไม่ได้เพราะย่าจะคอยปรามไม่ให้ขับรถไว กว่าจะถึงรีสอร์ตแห่งนี้ก็ปาเข้าไปเย็นย่ำ 


แถมก่อนหน้านี้ผมเพิ่งลงจากเครื่องบินมาถึงบ้านในตอนเช้า ยังไม่ได้เอนหลังเลย เพราะไปเวียดนามมา 


ปกติผมชอบท่องเที่ยว ด้วยหน้าที่การงานของผม มันแสนอิสระ จะไปไหนมาไหนก็ได้ เพราะผมถือเรื่องผลงานที่ดีมันต้องออกมาจากอารมณ์ที่ดี ก็งานของผมมันไม่ใช่งานเอกสาร ปัจจุบันผมมีงานหลักก็คือ เป็นนักแต่งเพลง และนักเขียนอิสระ 


แน่นอนว่าผมเคยอยู่ในสังกัดค่ายเพลงดัง แต่มันกดดันจนความคิดสร้างสรรค์ของผมมันหายไปหมด เพราะสมองของผมมันไม่ใช่เครื่องจักร การแต่งเพลงสักเพลงมันต้องเกิดจากหัวใจและอารมณ์ และด้วยเหตุนี้ ผลงานดี ๆ จะต้องเกิดจากอารมณ์ที่ผมมักได้จากการเดินทางไปที่แปลก ๆ ที่เงียบ ๆ หรือที่ซึ่งส่งผลต่อแรงบันดาลใจ




"ต้นนี้สูงเดี๋ยวพี่โน้มต้นให้" ผมกล่าวแล้วดันโคนต้นโสนจนยอดของมันโน้มลงมา แล้วคนตัวเล็กท่าทางแสนงอนก็ค่อย ๆ เก็บดอกโสน เนื่องจากว่าเราโดนใช้ให้เก็บดอกโสนให้ได้มากที่สุด เพราะแม่ครัวจะต้องทำเลี้ยง ที่ด้านหลังของรีสอร์ตแห่งนี้มีดงโสนอยู่ น้องณรงค์โดนใช้ให้มาเก็บดอกโสนผมจึงอาสามาเก็บ อย่างน้อยจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน


"พี่ชอบกินขนมดอกโสน" ผมกล่าวเพื่อทำลายความเงียบและความอึดอัด หลังจากเมื่อคืนที่ผมเดินตามน้องไปที่ชายทะเล ความอึดอัดในใจของผมทำให้ผมต้องสารภาพไปว่าผมคิดถึงเขาเหลือเกิน และด้วยความมืดมิดที่ครอบคลุม ทำให้ใคร ๆ ไม่อาจเห็นได้ว่าสุดท้ายผมกอดเขาไว้จนแน่น ผมอยากกอดเขาอย่างนี้เป็นพัน ๆ ครั้งแต่ใจไม่เคยกล้าเลยสักที แต่กอดนั้นมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ


ท้ายที่สุด เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักนิด ลมพัดแรงจนผมเกรงว่าเขาจะป่วย ก็หุ่นผอมแบบบางราวกับจะพัดจนเจ้าตัวปลิวลอยตามลม ผมจึงต้องจูงมือพาเขาไปส่งถึงหน้าห้องพัก 


เมื่อเปิดประตูห้องพัก ทั้งแม่และย่า กำลังเล่นกับหลาน เจ้าตะวันเขียนและยายนับดารา เด็กแฝดแสนซนที่ตอนนี้เริ่มหัดคลานและเริ่มพูดอ้อแอ้ ใครกันนะจะตั้งชื่อคนได้เพราะถึงเพียงนี้ และผมจะไม่สงสัยเลยว่าคนตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองคนคือคนที่ผมเพิ่งจับมือ เพราะเขานั้นเก่งกาจเรื่องภาษาเสียเหลือเกิน ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาเท่านั้นนะ แต่เขายังเล่นดนตรีไทยเก่งเสียด้วย และนั่นก็คือความประทับใจแรกของผม 


ชายหนุ่มตาแป๋วที่นั่งตีขิม ใบหน้ามุ่งมั่นแต่ก็แอบอมยิ้มเพราะเก้อที่ตีผิด อมยิ้มน้อย ๆ เพราะเขินอายทำให้ผมได้แต่ยืนมองเขาจนตะลึง เพราะความน่ารัก ถ้าจะเทียบไปเขาก็เป็นน้องสะใภ้ของผม เราเจอกันครั้งแรก และผมก็มีความคิดที่จะตามมาทำความรู้จักกับเขาที่โรงแรมเล็ก ๆ ของเขานี่ล่ะ


โชคดีที่มีห้องพักให้ผมได้หาเรื่องมาใช้ได้ และจริง ๆ มันก็เป็นโอกาสให้ผมได้ทำงานเขียนเพลงรักตั้งสามเพลง เพลงของคนแอบรัก


น้องชายของผม แต่งงานกับพี่สาวของเขา และผมซึ่งมีส่วนช่วยที่ร้านอาหารของย่า ก็ถือโอกาสมาช่วยงานที่ร้านอาหารของน้องชายด้วยเสียเลย ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว


ณรงค์เป็นคนน่ารัก ซื่อ ๆ แต่ก็ดื้อ กัสจังน้องชายคนเล็กของผมรายงาน 


"จะดื้อแค่ไหนเชียว" ผมพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดเพราะเจ้ากัสจังมันทะเล้น


"ดื้อสุด ๆ อีน้าอ่ะเฮียไม่เจอก็ไม่เชื่อหรอก เห็นมันหงิม ๆ อย่างนั้นก็เถอะอีน้าน่ะมันดื้อตาใส ดื้อเงียบ" น้องชายของผมยังคงยืนยัน 


และผมมารู้เอาว่าเขาดื้อก็ตอนนี้ แต่ไม่เห็นเป็นไร คนดื้อคนขี้งอน เราก็ต้องง้อก็เท่านั้น




"ผมก็ชอบกินขนมดอกโสน ป้าอุ่นทำให้กินบ่อย ๆ หรือจะเอามาลวกกินกับน้ำพริกก็อร่อยแต่ที่บ้านของผมมันไม่มีขึ้นเองจะได้กินก็คือเจอที่ตลาด น่าอิจฉาหมึกชะมัด ถ้ามีเมล็ด สงสัยต้องให้หมึกส่งมาให้ปลูกสักหน่อย" น้องณรงค์พูดไปปากก็เก็บเจ้าดอกไม้สีเหลืองทองไป ผมก็ได้แต่อมยิ้มและเฝ้ามองใบหน้าซึ่งเริ่มมีเหงื่อผุดพราย


"พี่เคยกินแต่ขนมข้าวเหนียวดอกโสน" ผมพูดไปยิ้มไป นี่แสดงว่าหายโกรธผมแล้ว ถึงพูดเรื่อยเจื้อยแบบนี้ เหมือนเมื่อก่อนที่เราชอบพูดคุยกัน 


"ขนมดอกโสนอร่อยแต่มันทำยากกว่าไงครับ" 


"ทำยังไงน้องทำเป็นหรือ?" ผมถามและคิดว่าเดี๋ยวคนรอบรู้จะต้องอธิบายเป็นฉาก ๆ ไป


"ผมทำเองไม่เป็นหรอกครับ แต่เคยเป็นลูกมือช่วยป้าอุ่น มันก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีดอกโสน แป้งข้าวเจ้า มะพร้าวทึนทึก น้ำตาลกับเกลือป่น  แล้วก็เอาแป้งมานวดกับน้ำหรือถ้าจะให้อร่อยก็ยีกับน้ำมะพร้าว จากนั้นก็เอามายีกับกระชอนให้แป้งละเอียดเป็นผงเล็ก ๆ เอาดอกโสนคลุกกับแป้ง แล้วก็เอาไปนึงพอสุกก็ใส่จานโรยมะพร้าวขูด แล้วก็คลุกกับน้ำตาลแค่นี้เองครับจะให้หอมอร่อยขึ้นก็โรยงาคั่วเข้าไปด้วย" นั่นไงล่ะ คนแสนรู้อธิบายจริง ๆ อย่างที่ผมคิดเสียด้วย


เขาเป็นคนรู้เยอะ เพราะอ่านหนังสือมากมายเหลือเกิน เรียกว่ามากกว่าที่ผมอ่านมาทั้งชีวิต ผมเคยแอบเห็นห้องหนังสือประจำตระกูลของน้อง ซึ่งมันอัดเต็มไปด้วยหนังสือกองสูงท่วมหัว เหมาะแก่การที่ปลวกจะมากินยิ่งนัก


ไม่ว่าหนังสืออะไรแทบจะมีหมด ทั้งเก่าทั้งใหม่ แต่เจ้าตัวบ่นว่าพักหลัง ๆ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือใหม่ ๆ เสียแล้วเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้ซื้อ แต่ผมว่าแค่เท่าที่มีก็อ่านจนตายก็ไม่หมด


แต่เรื่องราวที่เรามักจะพูดคุยกันมากที่สุดกลับเป็นเรื่องประสบการณ์ท่องเที่ยวของผมเสียนี่ 


"ผมไม่เคยไปเที่ยวไหนไกล ๆ เลย สมัยเด็ก ๆ สมัยเรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนที่สำคัญไม่ค่อยมีเงินด้วย ส่วนตอนนี้ทำงานแล้วก็ยุ่งแต่กับงาน" น้องพูดเสียน่าสงสาร ผมเห็นแล้วก็เอ็นดู


ยามปลอดโปร่งที่เราจะพูดคุยกันได้ดีที่สุดก็คือตอนที่น้องต้องนั่งหน้าเคาน์เตอร์โรงแรม ส่วนผมก็จะมานั่งเขียนบทความข้าง ๆ เขา แต่พักหลัง ๆ งานเขียนของผมมันไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะผมชอบแอบมองเขาบ่อย ๆ ภาพใบหน้ายุ่ง ๆ สวมแว่นตากลม ๆ กับผมยุ่งนิด ๆ ทำให้ผมต้องคอยแอบมองอยู่เรื่อยทีเดียว


และเมื่อเรามีโอกาสได้พูดคุยกัน ไม่ว่าจะเรื่องเนื้อเพลงซึ่งเขาจะคิดคำพูดสวย ๆ ทำให้ผมแปลกใจ แต่เจ้าตัวชอบอ่านตำราเก่า ๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และยามที่เขาเอาแต่อ้อนให้ผมเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ การท่องเที่ยวผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญ


และความรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ของใครสักคน มันก็ทำให้ผมตกหลุมรักเขาได้ง่าย ๆ


คนอย่างผมนี่น่ะรึจะตกหลุมรักใคร น่าตลกแท้ ๆ ผมไม่เคยคิดเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่เพลงรักของผม มันแสนโด่งดัง หรือเพลงอกหักบางเพลงที่คนฟังแล้วก็ถึงกับต้องร้องไห้ แต่แย่ชะมัดที่ผมเองก็ไม่เคยอกหักเลยสักหน ก็แฟนสักคนยังไม่เคยมี จะเอาที่ไหนไปอกหัก เศร้าที่สุดก็คือตอนโดนแม่ด่า แต่แม่ของผมก็คือไอดอลของผม เราสองแม่ลูกเคยผ่านความยากลำบากจากสามีเก่าของแม่มาด้วยกัน 


แต่เมื่อแม่ได้พบกับพ่อ ได้พบกับรักครั้งเก่า และพ่อก็รักผมเหมือนลูกคนหนึ่ง ผมไม่เคยรู้สึกว่าพ่อคือคนอื่น พ่อรักผม รักแม่ และยิ่งพ่อกับแม่มีน้องให้ผมอีกคนคือเจ้ากัสจัง ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเราคือครอบครัวเดียวกันจริง ๆ 


และวันพรุ่งนี้แล้ว เจ้าน้องคนเล็กของผมก็จะแต่งงานกับคนที่เขารัก คนที่ห่างกันสุดหล้าฟ้าดิน แต่ก็ได้พบเจอแล้วก็รักกันในที่สุดเหมือนเพลง "รักข้ามของฟ้า" เพลงเก่าสมัยย่ายังสาว ๆ


ย่านั้นคือแม่ของพ่อ แต่ย่าก็เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ทั้งรักทั้งตามใจ แต่ก็ด่าผมเยอะพอ ๆ กับแม่เพราะย่านั้นค่อนข้างหัวโบราณ และถ้าวันไหนไม่ค่อนขอดเรื่องผมของผมที่มันยาวจนถึงกลางหลัง ก็เห็นทีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ไม่เจอหน้าผมเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าไปเจอหน้าย่า อย่างน้อยผมก็ต้องรวบผมของตัวเองให้มันเรียบร้อยสักหน่อย 


แต่ที่ไม่ได้ทีเดียว ไม่ได้เป็นอันขาดคือเรื่องหนวดเครา ย่าว่า ถ้าไว้ผมยาวก็ไม่ว่าแต่ขออย่างเดียวคือหนวดเคราให้โกนให้เรียบร้อย ซึ่งนั่นก็ต้องมียกเว้นกันบ้างคือยามเมื่อผมไปต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดไกล ๆ ไหน ๆ ย่าไม่เห็นผมก็ไว้มันเสียดกครึ้ม มองคล้าย ๆ ฮิปปี้อยู่หน่อย ๆ แต่มันมองไกล แล้วก็หร๋อมแหร๋ม ผมว่าหน้าเกลี้ยง ๆ ก็เหมาะกับผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมยาว ๆ นี่ผมไว้ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น จึงชินกับมันแล้ว แต่ก็แอบคิดในใจว่าถ้าวันไหนเบื่อขึ้นมา ก็จะตัดและจะตัดสั้นแบบโกนหัวไปเลย


"ไปเที่ยวเวียดนามเป็นยังไง สนุกไหมครับ?" เขาถามผม และนี่ล่ะก็คือโอกาสที่ผมจะได้เล่าเรื่องที่ไปเจอให้เขาฟัง พักหลัง ๆ เมื่อผมเล่าอะไรให้น้องฟัง ผมก็จะเอาไปเขียนในเพจของตัวเองอีกรอบ เพราะเห็นรีแอคของคนฟังที่ฟังอย่างตั้งใจ เผื่อเอาไว้ว่าเขาซึ่งเป็นคนรักการอ่าน เกิดวันไหนมาอ่านงานเขียนของผม เจ้าตัวจะได้นึกถึงเรื่องที่ผมเล่าให้เขาฟัง...เป็นคนแรก


"น่าสนุกจัง แถมผมก็ยังไม่เคยกินอาหารญวนแท้ ๆ เลยสักที" น้องว่าและยิ้มละไม


"พี่พูดตรง ๆ ว่าไปครั้งนี้มันไม่สนุกเท่าไรหรอก เพราะมองไปทางไหนก็คิดถึงแต่เรา เอาอย่างนี้ดีไหม ไว้เราไปเที่ยวด้วยกัน หาเวลาว่าง ๆ แล้วไปด้วยกัน แต่ลำบากหน่อยก็อย่าว่าพี่นะ" ผมพูดจนเขายิ้มกว้าง 


"ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว" น้องตอบและเราก็พยายามรวมดอกโสนใส่กะละมังใบย่อม ๆ จนมันเกือบจะเต็ม


"พี่กะไว้ว่า หน้าร้อนปีหน้า พี่จะไปอินโดนีเซีย" ผมพูดปุ๊บคนฟังก็หูผึ่ง


"จะไปด้วยกันกับเฮียได้ไหมครับ?" ผมถามและเจ้าตัวก็ทำนิ่งอั้น แต่ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้ม


"ไปหรือเปล่า...ไปด้วยกันนะ...ไปนะครับ ที่อินโดนีเซียสวยนะ เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเลยล่ะพี่เคยไปหนหนึ่งนานมาแล้ว" ผมพูดแล้วเจ้าตัวก็พยักหน้าน้อย ๆ ผมเผยรอยยิ้มตัวเองออกมาและ ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อสักร้อยตัวบินอยู่ในท้อง อย่างเรื่อง ดอกส้มแสนรัก ที่น้องเคยเล่าให้ฟัง มันกำลังเกิดขึ้นกับผม




ตัดภาพมาที่งานแต่งงานของน้องชายคนเล็กของผม เจ้าบ่าวของเขาแก่กว่าผมเสียอีก และดูเป็นคนมุ่งมั่นอย่างที่ผมเป็นไม่ได้แน่ ๆ เจอกันหลายที แล้วก็ได้แต่คิดถึงความเป็นนักธุรกิจใหญ่ของเขา แม้จะอายุไม่มาก แต่กัสจังก็ว่าเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจที่น่าจับตา และเจ้าตัวแสบของผมก็เป็นคนเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเจ้าน้องน้อยของผม ที่แม้แต่ซักเสื้อผ้าเองยังทำไม่เป็น จะต้องบินข้ามฟ้าไปอยู่เมืองนอกเมืองนาและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ตั้งหลายปี ได้ดีเสียด้วย


ผมที่แม้จะเหนื่อยเพราะต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อช่วยงานย่าทำกับข้าวเลี้ยงแขกในงาน ซึ่งจะว่าไปก็มีแต่ญาติ ๆ เราทั้งนั้นทั้งทางเจ้าบ่าวและญาติทางผม ทุกคนสวมชุดสีขาว แต่แน่ละ  คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดสุดเท่ เมื่อทั้งสองสวมแหวนกัน และจูบกันแบบฉ่ำ ๆ ย่านั้นคงขัดใจ เพราะจะให้คนแก่มาดูคนจูบกันต่อหน้าคนหลายสิบ แต่ผมก็แอบเห็นว่าย่านั้นแอบแก้มแดง ส่วนไอ้ตัวแสบของผมคงชินเสียแล้วเพราะไปอยู่เมืองนอกเสียนาน แล้วจากน้องน้อยที่เอาแต่ขโมยกินขนมในร้านของย่า ตอนนี้ไอ้ตัวดีกินไวน์ได้เป็นขวด ๆ 


ผมเองก็ถือไวน์อยู่ในมือเช่นกัน และเมื่อเพลงจากนักดนตรี ซึ่งก็คือเพื่อน  ของผมที่ผมไหว้วานให้มาช่วยงาน กำลังบรรเลงเพลงแสนไพเราะ สองบ่าวสาวก็เต้นรำกันที่ริมหาดทราย บรรยากาศแสนซึ้ง แสงแดดเริ่มอ่อน และแสงไฟจากดวงไฟเล็ก ๆ ก็เริ่มส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณที่เราใช้จัดงาน


เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องคลอเพลงตามนักดนตรี มันเป็นบรรยากาศแห่งความสุข พ่อถูกแม่ซึ่งเป็นนักเรียนเก่าฝรั่งเศส จูงมือให้ไปเต้นรำ ใกล้ ๆ กับบ่าวสาว เพลงแห่งความรัก...เพลงโปรดของแม่และมันก็กลายเป็นเพลงโปรดของผมเหมือนกัน La via en rose


ผมได้แต่แอบมองน้องอยู่ไกล ๆ นึกอยากจะใจกล้ากว่านี้ชวนเขาไปเต้นรำ แต่มันก็เหมือนมีหมุดตรึงให้ผมอยู่กับที่ และเฉไฉด้วยการอุ้มหลาน แล้วก็เต้นรำกับหลานสาวแทน ส่วนย่าก็อุ้มเจ้าหลานชายแล้วก็เต้นรำไปด้วย แม้ว่าย่าจะทำท่าเหมือนรำวงก็เถอะ


"เจ้าตะวันตัวหนักชะมัด" ย่าบ่นแล้วสุดท้าย น้องณรงค์ก็รับเจ้าหลานชายไปอุ้มแทน เราทั้งสองคนต่างอุ้มหลานในอก และผมก็จูงมือ ให้เราทั้งสี่คนเต้นรำด้วยกัน อย่างน้อยมีหลานตัวน้อยในอ้อมอก ความเก้อเขินก็เลยน้อยลงไปหน่อย ทั้งผมที่หน้าแดง ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะฤทธิ์จากไวน์ และน้องเองก็หน้าแดงด้วยความเขินอายไม่ต่างกัน


เมื่อเพลงจบ เด็กน้อยถูกส่งคืนให้ไปแม่และป้าอุ่น ฟ้ามืดแล้ว เหลือผมยืนอยู่กับน้องสองคน แม้ว่าคนอื่นจะพูดคุยและกินอาหารแสนอร่อย แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามีแค่เราสองคนเท่านั้น


เราสองคนค่อย ๆ ปลีกตัวแยกออกมาเดินเลียบไปตามชายหาดซึ่งน่าแปลกวันก่อนลมยังพัดอย่างแรง แต่ตอนนี้มันกลับพัดเอื่อย ๆ พอสบาย


"น้องแต่งตัวน่ารักดีนะ" ผมเอ่ยปากชม และมองเขาที่สวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด มีผ้าพันคอสีน้ำเงินผืนเล็ก ๆ พันคอเหมือนผม ซึ่งแน่นอน มีคนจัดแจงให้ในฐานะเพื่อนเจ้าสาว


"เฮียก็หล่อมากครับวันนี้" เขาชมผมกลับ และผมก็ยิ้มกว้างจนคิดว่า ผมเหมือนตัวเองตอนเด็ก ๆ ตอนแม่ชมที่ผมเล่นกีตาร์ให้แม่ฟังจนจบเพลงเป็นครั้งแรก


ผมรวบรวมความกล้ายื่นมือของตัวเองไปจับมือเล็ก ๆ ของเขา และเราก็เดินพูดคุยเรื่องเบา ๆ ขณะที่เท้าของเราโดนคลื่นซัดสาดจนมันเย็นสดชื่น 


ผมเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย แต่เพราะรู้ตัวเองว่าผมไม่ได้มีหัวทางด้านการเรียนสายสามัญใด ๆ เลย ผมรักดนตรี และชอบเสียงเพลง ผมรวบรวมความกล้าขอแม่ที่จะไม่เรียนต่อ และขอแม่ที่จะเรียนอย่างจริงจังด้านดนตรี


จนในที่สุดผมก็มีวันนี้ วันที่ผมได้ใช้สิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมถนัดเอามาทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัว แต่แรงบันดาลใจมันไม่ใช่อะไรที่ได้มาง่าย ๆ ผมก็เลยต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ และเมื่อต้องจากไปที่ไกล ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ผมก็เกิดเหงาและคิดอยากพูดอยากระบายอะไรกับใครสักคน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียน 


ผมเขียนเรื่องราวจากแรงบันดาลใจ ทั้งนิยาย และสารคดี หรือเรื่องอะไรที่มันผุดขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจ โชคดีที่ยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนที่กว่าจะเป็นนักเขียนโด่งดัง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และด้วยชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงให้นักร้องคนเก่ง ที่ผมแต่งเพลงให้เขาทีไร เพลงก็ดังทุกที มันก็เลยส่งผลมาถึงงานเขียนที่มีคนรู้จักว่าเป็นคนเดียวกับคนเขียนเพลงที่ดังติดชาร์ตคนนั้น


"เฮียกุ๊กรู้จักกับฌองเพื่อนของกัสจังหรือยังครับ เขาก็เป็นนักเขียนเหมือนเฮียเลยนะ" กัสจังพูดจนผมขมวดคิ้ว ไอ้ฝรั่งหน้าหล่อที่ตามมาวอแวน้องตั้งแต่มันมาถึงทำให้ผมหมั่นไส้มันชะมัด


"รู้จักแต่พูดกันไม่รู้เรื่อง พี่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง พี่จบมอหกเอง ได้แค่สเนก ๆ ฟิด ๆ" ผมพูดไปด้วยความหมั่นไส้ แต่คนฟังก็หัวเราะขำเสียแทบแย่ เขาเป็นคนเส้นตื้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็ขำเสียจะเป็นจะตาย ซึ่งผมว่ามันน่ารักชะมัด


"ไว้ผมเป็นล่ามให้ก็ได้" น้องเสนอตัว


"ไม่เอาขี้เกียจคุย" ผมปฏิเสธ ทำปากคว่ำและน้องก็หัวเราะขำหน้าตลก ๆ ของผมอีกแล้ว


"คุยกันแค่สองคนพอแค่นี้แหละ อ้อ ถ้ากลับไปกรุงเทพฯ เดี๋ยวพี่ให้ย่าทำข้าวเหนียวดอกโสนให้กินนะ ราดกะทิให้ฉ่ำ ๆ อร่อยอย่าบอกใคร" ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อให้ห่างจากไอ้ฝรั่งที่ชอบมาวุ่นวายกับคนที่ผมชอบ


"เฮียเป็นอะไรไม่ชอบฌองหรอ เขาตลกดีนะ ป้าอุ่นว่าถ้าอยู่เมืองไทยนาน ๆ เห็นทีฌองคงกลายเป็นฝรั่งขี้นก" กัสจังพูดและผมก็ยิ่งเบ้ปากเข้าไปใหญ่ เร่งฝีเท้าไว ๆ เพราะไม่อยากได้ยินน้องพูดถึงคนอื่นเลย


"เฮียจะรีบไปไหนครับ" น้องเร่งฝีเท้าและเดินมาจับมือผม


"..." ผมไม่ตอบ แต่ทำงอนใส่เข้าบ้าง ดูเหมือนคนขี้งอนตอนนี้จะรู้ว่าผมก็เริ่มจะงอนแล้ว


"ไม่ชอบให้ผมพูดถึงฌองหรอ?" 


"ใช่" ผมตอบโดยไม่ลังเล เขายิ้มกว้าง จับมือของผมไว้ทั้งสองข้าง แต่ผมก็คลายมือออกแล้วรวบเอวเล็ก ๆ มากอดไว้จนแน่น


"พี่หวง" ผมบอกและก้มลงใช้จมูกสูดลมหายใจลึก ๆ ที่ซอกคอของเขา ผมชอบที่จะได้สูดกลิ่นกายหอมบริสุทธิ์ และเมื่อผมถูกดันตัวออกเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มก็ยื่นมาจูบผมจนแนบแน่น ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ไวน์ที่ผมดื่มหรือเพราะน้องก็แอบดื่มเพราะเห็นเจ้ากัสจังบังคับให้น้องดื่มไวน์ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลิ่นน้ำองุ่นแสนหอมหวานมันกระจายไปทั่วโพรงปาก ผมเอาแต่กอดและจูบอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ไม่ว่าคลื่นจะซัดสาดจนเปียกมาถึงหัวเขา แต่ผมกับเขาก็ยังคงจูบกันอย่างโหยหา 


ผมไม่กล้าบอกรักแต่จูบของผมครั้งนี้มันแทนคำพูดทั้งหมด ผมรักน้อง และน้องที่จูบผมกลับอย่างเร่าร้อนก็เป็นคำตอบเหมือนกันว่าเรารักกัน ลมพัดเอื่อยจนผมยาวสยายของผมปลิวจนคลุมไล้แผ่นแก้มของเราสองคน และเมื่อผมถอดริมฝีปากจากมา น้องก็ยื่นตัวเพื่อที่จะจูบผมซ้ำอีกหน และอีกหน






โดย  Chavaroj




เมื่อย่างเข้าเดือนหก ตกเดือนสิบ


มองลิบลิบโสนบานตระการทุ่ง


ชาวบ้านเก็บกินขายหลายกระบุง


แกล้มน้ำพริกแกงส้มกุ้งกรุงใจ


ทั้งเป็นยาแก้ไข้ในหน้าฝน


ดอกร่วงหล่นลอยฟ่องคลองน้ำใส


เป็นแพล่องดั่งทองคำผ่องอำไพ


โสนไหวลิ่วลิ่วปลิวล้อลม


เสียงเพลงก้านแก้วสุพรรณดังลั่นทุ่ง


โสนน้อยเรือนงานปรุงใจให้สุขุม


หนุ่มหนุ่มร้องจีบสาวพราวเลห์ลม


หวังจะได้ชื่นชมสุขสมปอง


สาวสาวแฟนพระบวชถึงหนึ่งพรรษา


สึกออกมาได้ภิรมย์สุขสมสอง


พระไม่สึกออกพรรษาน้ำตานอง


มองโสนสีทองต้องระทม


พายเรือมาหลังห้องของพระใหม่


ด้วยดวงใจเดือดปุดปุดสุดขื่นขม


เอื้อนเอ่ยคำรำพันอันสุดตรม


ฝากสายลมให้รู้ห้วงดวงฤดี


ดอกโสนสีเหลืองอ่อนเหลือง


เหมือนจีวรของหลวงพี่


ฉันนั่งนึกนอนนึกเมื่อไรจะสึกสักที


พระบวชใหม่ได้ฟังนั่งพินิจ


สาวทวงสิทธิ์ที่สัญญามาก่อนนี้


จำสละผ้ากาสาว์ของลาที


สมฤดีขอสาวเจ้าเข้าหอเอยฯ




จะมีคนแบบไหนที่เก็บดอกโสนไปก็ท่องกลอนไป นี่ไงมีอยู่คนหนึ่ง คนที่เก็บดอกโสนอยู่ข้าง ๆ ของผม น้องน้อยที่หน้าตาแสนน่ารักแต่ก็มีแววดื้อดึงในดวงตา ดูแต่ที่ผมมาถึง จะหันมามองผมสักนิดก็ไม่มี เวลามองก็ค้อนน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมคิดถึงเขาแทบใจจะขาด 


จะหาโอกาสคุยด้วยตามลำพังสักทีก็เห็นจะยาก เพราะผู้คนมากมาย แล้วเจ้าตัวก็พลอยหนีไม่อยากจะคุยกับผมเสียด้วย ไอ้อย่างนี้ล่ะก็ งอนแน่ ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย ผมเม้มริมฝีปากจนเรียบเป็นเส้นตรง มองเขาอยู่อีกฟากของห้อง พลางทำงานตามที่แม่สั่งเป็นระยะ ๆ ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เพราะต้องขับรถมาตั้งไกล จะขับเร็วก็ไม่ได้เพราะย่าจะคอยปรามไม่ให้ขับรถไว กว่าจะถึงรีสอร์ตแห่งนี้ก็ปาเข้าไปเย็นย่ำ 


แถมก่อนหน้านี้ผมเพิ่งลงจากเครื่องบินมาถึงบ้านในตอนเช้า ยังไม่ได้เอนหลังเลย เพราะไปเวียดนามมา 


ปกติผมชอบท่องเที่ยว ด้วยหน้าที่การงานของผม มันแสนอิสระ จะไปไหนมาไหนก็ได้ เพราะผมถือเรื่องผลงานที่ดีมันต้องออกมาจากอารมณ์ที่ดี ก็งานของผมมันไม่ใช่งานเอกสาร ปัจจุบันผมมีงานหลักก็คือ เป็นนักแต่งเพลง และนักเขียนอิสระ 


แน่นอนว่าผมเคยอยู่ในสังกัดค่ายเพลงดัง แต่มันกดดันจนความคิดสร้างสรรค์ของผมมันหายไปหมด เพราะสมองของผมมันไม่ใช่เครื่องจักร การแต่งเพลงสักเพลงมันต้องเกิดจากหัวใจและอารมณ์ และด้วยเหตุนี้ ผลงานดี ๆ จะต้องเกิดจากอารมณ์ที่ผมมักได้จากการเดินทางไปที่แปลก ๆ ที่เงียบ ๆ หรือที่ซึ่งส่งผลต่อแรงบันดาลใจ




"ต้นนี้สูงเดี๋ยวพี่โน้มต้นให้" ผมกล่าวแล้วดันโคนต้นโสนจนยอดของมันโน้มลงมา แล้วคนตัวเล็กท่าทางแสนงอนก็ค่อย ๆ เก็บดอกโสน เนื่องจากว่าเราโดนใช้ให้เก็บดอกโสนให้ได้มากที่สุด เพราะแม่ครัวจะต้องทำเลี้ยง ที่ด้านหลังของรีสอร์ตแห่งนี้มีดงโสนอยู่ น้องณรงค์โดนใช้ให้มาเก็บดอกโสนผมจึงอาสามาเก็บ อย่างน้อยจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน


"พี่ชอบกินขนมดอกโสน" ผมกล่าวเพื่อทำลายความเงียบและความอึดอัด หลังจากเมื่อคืนที่ผมเดินตามน้องไปที่ชายทะเล ความอึดอัดในใจของผมทำให้ผมต้องสารภาพไปว่าผมคิดถึงเขาเหลือเกิน และด้วยความมืดมิดที่ครอบคลุม ทำให้ใคร ๆ ไม่อาจเห็นได้ว่าสุดท้ายผมกอดเขาไว้จนแน่น ผมอยากกอดเขาอย่างนี้เป็นพัน ๆ ครั้งแต่ใจไม่เคยกล้าเลยสักที แต่กอดนั้นมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ


ท้ายที่สุด เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักนิด ลมพัดแรงจนผมเกรงว่าเขาจะป่วย ก็หุ่นผอมแบบบางราวกับจะพัดจนเจ้าตัวปลิวลอยตามลม ผมจึงต้องจูงมือพาเขาไปส่งถึงหน้าห้องพัก 


เมื่อเปิดประตูห้องพัก ทั้งแม่และย่า กำลังเล่นกับหลาน เจ้าตะวันเขียนและยายนับดารา เด็กแฝดแสนซนที่ตอนนี้เริ่มหัดคลานและเริ่มพูดอ้อแอ้ ใครกันนะจะตั้งชื่อคนได้เพราะถึงเพียงนี้ และผมจะไม่สงสัยเลยว่าคนตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองคนคือคนที่ผมเพิ่งจับมือ เพราะเขานั้นเก่งกาจเรื่องภาษาเสียเหลือเกิน ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาเท่านั้นนะ แต่เขายังเล่นดนตรีไทยเก่งเสียด้วย และนั่นก็คือความประทับใจแรกของผม 


ชายหนุ่มตาแป๋วที่นั่งตีขิม ใบหน้ามุ่งมั่นแต่ก็แอบอมยิ้มเพราะเก้อที่ตีผิด อมยิ้มน้อย ๆ เพราะเขินอายทำให้ผมได้แต่ยืนมองเขาจนตะลึง เพราะความน่ารัก ถ้าจะเทียบไปเขาก็เป็นน้องสะใภ้ของผม เราเจอกันครั้งแรก และผมก็มีความคิดที่จะตามมาทำความรู้จักกับเขาที่โรงแรมเล็ก ๆ ของเขานี่ล่ะ


โชคดีที่มีห้องพักให้ผมได้หาเรื่องมาใช้ได้ และจริง ๆ มันก็เป็นโอกาสให้ผมได้ทำงานเขียนเพลงรักตั้งสามเพลง เพลงของคนแอบรัก


น้องชายของผม แต่งงานกับพี่สาวของเขา และผมซึ่งมีส่วนช่วยที่ร้านอาหารของย่า ก็ถือโอกาสมาช่วยงานที่ร้านอาหารของน้องชายด้วยเสียเลย ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว


ณรงค์เป็นคนน่ารัก ซื่อ ๆ แต่ก็ดื้อ กัสจังน้องชายคนเล็กของผมรายงาน 


"จะดื้อแค่ไหนเชียว" ผมพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดเพราะเจ้ากัสจังมันทะเล้น


"ดื้อสุด ๆ อีน้าอ่ะเฮียไม่เจอก็ไม่เชื่อหรอก เห็นมันหงิม ๆ อย่างนั้นก็เถอะอีน้าน่ะมันดื้อตาใส ดื้อเงียบ" น้องชายของผมยังคงยืนยัน 


และผมมารู้เอาว่าเขาดื้อก็ตอนนี้ แต่ไม่เห็นเป็นไร คนดื้อคนขี้งอน เราก็ต้องง้อก็เท่านั้น




"ผมก็ชอบกินขนมดอกโสน ป้าอุ่นทำให้กินบ่อย ๆ หรือจะเอามาลวกกินกับน้ำพริกก็อร่อยแต่ที่บ้านของผมมันไม่มีขึ้นเองจะได้กินก็คือเจอที่ตลาด น่าอิจฉาหมึกชะมัด ถ้ามีเมล็ด สงสัยต้องให้หมึกส่งมาให้ปลูกสักหน่อย" น้องณรงค์พูดไปปากก็เก็บเจ้าดอกไม้สีเหลืองทองไป ผมก็ได้แต่อมยิ้มและเฝ้ามองใบหน้าซึ่งเริ่มมีเหงื่อผุดพราย


"พี่เคยกินแต่ขนมข้าวเหนียวดอกโสน" ผมพูดไปยิ้มไป นี่แสดงว่าหายโกรธผมแล้ว ถึงพูดเรื่อยเจื้อยแบบนี้ เหมือนเมื่อก่อนที่เราชอบพูดคุยกัน 


"ขนมดอกโสนอร่อยแต่มันทำยากกว่าไงครับ" 


"ทำยังไงน้องทำเป็นหรือ?" ผมถามและคิดว่าเดี๋ยวคนรอบรู้จะต้องอธิบายเป็นฉาก ๆ ไป


"ผมทำเองไม่เป็นหรอกครับ แต่เคยเป็นลูกมือช่วยป้าอุ่น มันก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีดอกโสน แป้งข้าวเจ้า มะพร้าวทึนทึก น้ำตาลกับเกลือป่น  แล้วก็เอาแป้งมานวดกับน้ำหรือถ้าจะให้อร่อยก็ยีกับน้ำมะพร้าว จากนั้นก็เอามายีกับกระชอนให้แป้งละเอียดเป็นผงเล็ก ๆ เอาดอกโสนคลุกกับแป้ง แล้วก็เอาไปนึงพอสุกก็ใส่จานโรยมะพร้าวขูด แล้วก็คลุกกับน้ำตาลแค่นี้เองครับจะให้หอมอร่อยขึ้นก็โรยงาคั่วเข้าไปด้วย" นั่นไงล่ะ คนแสนรู้อธิบายจริง ๆ อย่างที่ผมคิดเสียด้วย


เขาเป็นคนรู้เยอะ เพราะอ่านหนังสือมากมายเหลือเกิน เรียกว่ามากกว่าที่ผมอ่านมาทั้งชีวิต ผมเคยแอบเห็นห้องหนังสือประจำตระกูลของน้อง ซึ่งมันอัดเต็มไปด้วยหนังสือกองสูงท่วมหัว เหมาะแก่การที่ปลวกจะมากินยิ่งนัก


ไม่ว่าหนังสืออะไรแทบจะมีหมด ทั้งเก่าทั้งใหม่ แต่เจ้าตัวบ่นว่าพักหลัง ๆ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือใหม่ ๆ เสียแล้วเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้ซื้อ แต่ผมว่าแค่เท่าที่มีก็อ่านจนตายก็ไม่หมด


แต่เรื่องราวที่เรามักจะพูดคุยกันมากที่สุดกลับเป็นเรื่องประสบการณ์ท่องเที่ยวของผมเสียนี่ 


"ผมไม่เคยไปเที่ยวไหนไกล ๆ เลย สมัยเด็ก ๆ สมัยเรียน ก็ต้องตั้งใจเรียนที่สำคัญไม่ค่อยมีเงินด้วย ส่วนตอนนี้ทำงานแล้วก็ยุ่งแต่กับงาน" น้องพูดเสียน่าสงสาร ผมเห็นแล้วก็เอ็นดู


ยามปลอดโปร่งที่เราจะพูดคุยกันได้ดีที่สุดก็คือตอนที่น้องต้องนั่งหน้าเคาน์เตอร์โรงแรม ส่วนผมก็จะมานั่งเขียนบทความข้าง ๆ เขา แต่พักหลัง ๆ งานเขียนของผมมันไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะผมชอบแอบมองเขาบ่อย ๆ ภาพใบหน้ายุ่ง ๆ สวมแว่นตากลม ๆ กับผมยุ่งนิด ๆ ทำให้ผมต้องคอยแอบมองอยู่เรื่อยทีเดียว


และเมื่อเรามีโอกาสได้พูดคุยกัน ไม่ว่าจะเรื่องเนื้อเพลงซึ่งเขาจะคิดคำพูดสวย ๆ ทำให้ผมแปลกใจ แต่เจ้าตัวชอบอ่านตำราเก่า ๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และยามที่เขาเอาแต่อ้อนให้ผมเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ การท่องเที่ยวผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญ


และความรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ของใครสักคน มันก็ทำให้ผมตกหลุมรักเขาได้ง่าย ๆ


คนอย่างผมนี่น่ะรึจะตกหลุมรักใคร น่าตลกแท้ ๆ ผมไม่เคยคิดเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่เพลงรักของผม มันแสนโด่งดัง หรือเพลงอกหักบางเพลงที่คนฟังแล้วก็ถึงกับต้องร้องไห้ แต่แย่ชะมัดที่ผมเองก็ไม่เคยอกหักเลยสักหน ก็แฟนสักคนยังไม่เคยมี จะเอาที่ไหนไปอกหัก เศร้าที่สุดก็คือตอนโดนแม่ด่า แต่แม่ของผมก็คือไอดอลของผม เราสองแม่ลูกเคยผ่านความยากลำบากจากสามีเก่าของแม่มาด้วยกัน 


แต่เมื่อแม่ได้พบกับพ่อ ได้พบกับรักครั้งเก่า และพ่อก็รักผมเหมือนลูกคนหนึ่ง ผมไม่เคยรู้สึกว่าพ่อคือคนอื่น พ่อรักผม รักแม่ และยิ่งพ่อกับแม่มีน้องให้ผมอีกคนคือเจ้ากัสจัง ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเราคือครอบครัวเดียวกันจริง ๆ 


และวันพรุ่งนี้แล้ว เจ้าน้องคนเล็กของผมก็จะแต่งงานกับคนที่เขารัก คนที่ห่างกันสุดหล้าฟ้าดิน แต่ก็ได้พบเจอแล้วก็รักกันในที่สุดเหมือนเพลง "รักข้ามของฟ้า" เพลงเก่าสมัยย่ายังสาว ๆ


ย่านั้นคือแม่ของพ่อ แต่ย่าก็เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ทั้งรักทั้งตามใจ แต่ก็ด่าผมเยอะพอ ๆ กับแม่เพราะย่านั้นค่อนข้างหัวโบราณ และถ้าวันไหนไม่ค่อนขอดเรื่องผมของผมที่มันยาวจนถึงกลางหลัง ก็เห็นทีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ไม่เจอหน้าผมเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าไปเจอหน้าย่า อย่างน้อยผมก็ต้องรวบผมของตัวเองให้มันเรียบร้อยสักหน่อย 


แต่ที่ไม่ได้ทีเดียว ไม่ได้เป็นอันขาดคือเรื่องหนวดเครา ย่าว่า ถ้าไว้ผมยาวก็ไม่ว่าแต่ขออย่างเดียวคือหนวดเคราให้โกนให้เรียบร้อย ซึ่งนั่นก็ต้องมียกเว้นกันบ้างคือยามเมื่อผมไปต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดไกล ๆ ไหน ๆ ย่าไม่เห็นผมก็ไว้มันเสียดกครึ้ม มองคล้าย ๆ ฮิปปี้อยู่หน่อย ๆ แต่มันมองไกล แล้วก็หร๋อมแหร๋ม ผมว่าหน้าเกลี้ยง ๆ ก็เหมาะกับผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมยาว ๆ นี่ผมไว้ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น จึงชินกับมันแล้ว แต่ก็แอบคิดในใจว่าถ้าวันไหนเบื่อขึ้นมา ก็จะตัดและจะตัดสั้นแบบโกนหัวไปเลย


"ไปเที่ยวเวียดนามเป็นยังไง สนุกไหมครับ?" เขาถามผม และนี่ล่ะก็คือโอกาสที่ผมจะได้เล่าเรื่องที่ไปเจอให้เขาฟัง พักหลัง ๆ เมื่อผมเล่าอะไรให้น้องฟัง ผมก็จะเอาไปเขียนในเพจของตัวเองอีกรอบ เพราะเห็นรีแอคของคนฟังที่ฟังอย่างตั้งใจ เผื่อเอาไว้ว่าเขาซึ่งเป็นคนรักการอ่าน เกิดวันไหนมาอ่านงานเขียนของผม เจ้าตัวจะได้นึกถึงเรื่องที่ผมเล่าให้เขาฟัง...เป็นคนแรก


"น่าสนุกจัง แถมผมก็ยังไม่เคยกินอาหารญวนแท้ ๆ เลยสักที" น้องว่าและยิ้มละไม


"พี่พูดตรง ๆ ว่าไปครั้งนี้มันไม่สนุกเท่าไรหรอก เพราะมองไปทางไหนก็คิดถึงแต่เรา เอาอย่างนี้ดีไหม ไว้เราไปเที่ยวด้วยกัน หาเวลาว่าง ๆ แล้วไปด้วยกัน แต่ลำบากหน่อยก็อย่าว่าพี่นะ" ผมพูดจนเขายิ้มกว้าง 


"ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว" น้องตอบและเราก็พยายามรวมดอกโสนใส่กะละมังใบย่อม ๆ จนมันเกือบจะเต็ม


"พี่กะไว้ว่า หน้าร้อนปีหน้า พี่จะไปอินโดนีเซีย" ผมพูดปุ๊บคนฟังก็หูผึ่ง


"จะไปด้วยกันกับเฮียได้ไหมครับ?" ผมถามและเจ้าตัวก็ทำนิ่งอั้น แต่ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้ม


"ไปหรือเปล่า...ไปด้วยกันนะ...ไปนะครับ ที่อินโดนีเซียสวยนะ เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเลยล่ะพี่เคยไปหนหนึ่งนานมาแล้ว" ผมพูดแล้วเจ้าตัวก็พยักหน้าน้อย ๆ ผมเผยรอยยิ้มตัวเองออกมาและ ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อสักร้อยตัวบินอยู่ในท้อง อย่างเรื่อง ดอกส้มแสนรัก ที่น้องเคยเล่าให้ฟัง มันกำลังเกิดขึ้นกับผม




ตัดภาพมาที่งานแต่งงานของน้องชายคนเล็กของผม เจ้าบ่าวของเขาแก่กว่าผมเสียอีก และดูเป็นคนมุ่งมั่นอย่างที่ผมเป็นไม่ได้แน่ ๆ เจอกันหลายที แล้วก็ได้แต่คิดถึงความเป็นนักธุรกิจใหญ่ของเขา แม้จะอายุไม่มาก แต่กัสจังก็ว่าเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจที่น่าจับตา และเจ้าตัวแสบของผมก็เป็นคนเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเจ้าน้องน้อยของผม ที่แม้แต่ซักเสื้อผ้าเองยังทำไม่เป็น จะต้องบินข้ามฟ้าไปอยู่เมืองนอกเมืองนาและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ตั้งหลายปี ได้ดีเสียด้วย


ผมที่แม้จะเหนื่อยเพราะต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อช่วยงานย่าทำกับข้าวเลี้ยงแขกในงาน ซึ่งจะว่าไปก็มีแต่ญาติ ๆ เราทั้งนั้นทั้งทางเจ้าบ่าวและญาติทางผม ทุกคนสวมชุดสีขาว แต่แน่ละ  คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดสุดเท่ เมื่อทั้งสองสวมแหวนกัน และจูบกันแบบฉ่ำ ๆ ย่านั้นคงขัดใจ เพราะจะให้คนแก่มาดูคนจูบกันต่อหน้าคนหลายสิบ แต่ผมก็แอบเห็นว่าย่านั้นแอบแก้มแดง ส่วนไอ้ตัวแสบของผมคงชินเสียแล้วเพราะไปอยู่เมืองนอกเสียนาน แล้วจากน้องน้อยที่เอาแต่ขโมยกินขนมในร้านของย่า ตอนนี้ไอ้ตัวดีกินไวน์ได้เป็นขวด ๆ 


ผมเองก็ถือไวน์อยู่ในมือเช่นกัน และเมื่อเพลงจากนักดนตรี ซึ่งก็คือเพื่อน  ของผมที่ผมไหว้วานให้มาช่วยงาน กำลังบรรเลงเพลงแสนไพเราะ สองบ่าวสาวก็เต้นรำกันที่ริมหาดทราย บรรยากาศแสนซึ้ง แสงแดดเริ่มอ่อน และแสงไฟจากดวงไฟเล็ก ๆ ก็เริ่มส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณที่เราใช้จัดงาน


เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องคลอเพลงตามนักดนตรี มันเป็นบรรยากาศแห่งความสุข พ่อถูกแม่ซึ่งเป็นนักเรียนเก่าฝรั่งเศส จูงมือให้ไปเต้นรำ ใกล้ ๆ กับบ่าวสาว เพลงแห่งความรัก...เพลงโปรดของแม่และมันก็กลายเป็นเพลงโปรดของผมเหมือนกัน La via en rose


ผมได้แต่แอบมองน้องอยู่ไกล ๆ นึกอยากจะใจกล้ากว่านี้ชวนเขาไปเต้นรำ แต่มันก็เหมือนมีหมุดตรึงให้ผมอยู่กับที่ และเฉไฉด้วยการอุ้มหลาน แล้วก็เต้นรำกับหลานสาวแทน ส่วนย่าก็อุ้มเจ้าหลานชายแล้วก็เต้นรำไปด้วย แม้ว่าย่าจะทำท่าเหมือนรำวงก็เถอะ


"เจ้าตะวันตัวหนักชะมัด" ย่าบ่นแล้วสุดท้าย น้องณรงค์ก็รับเจ้าหลานชายไปอุ้มแทน เราทั้งสองคนต่างอุ้มหลานในอก และผมก็จูงมือ ให้เราทั้งสี่คนเต้นรำด้วยกัน อย่างน้อยมีหลานตัวน้อยในอ้อมอก ความเก้อเขินก็เลยน้อยลงไปหน่อย ทั้งผมที่หน้าแดง ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะฤทธิ์จากไวน์ และน้องเองก็หน้าแดงด้วยความเขินอายไม่ต่างกัน


เมื่อเพลงจบ เด็กน้อยถูกส่งคืนให้ไปแม่และป้าอุ่น ฟ้ามืดแล้ว เหลือผมยืนอยู่กับน้องสองคน แม้ว่าคนอื่นจะพูดคุยและกินอาหารแสนอร่อย แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามีแค่เราสองคนเท่านั้น


เราสองคนค่อย ๆ ปลีกตัวแยกออกมาเดินเลียบไปตามชายหาดซึ่งน่าแปลกวันก่อนลมยังพัดอย่างแรง แต่ตอนนี้มันกลับพัดเอื่อย ๆ พอสบาย


"น้องแต่งตัวน่ารักดีนะ" ผมเอ่ยปากชม และมองเขาที่สวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด มีผ้าพันคอสีน้ำเงินผืนเล็ก ๆ พันคอเหมือนผม ซึ่งแน่นอน มีคนจัดแจงให้ในฐานะเพื่อนเจ้าสาว


"เฮียก็หล่อมากครับวันนี้" เขาชมผมกลับ และผมก็ยิ้มกว้างจนคิดว่า ผมเหมือนตัวเองตอนเด็ก ๆ ตอนแม่ชมที่ผมเล่นกีตาร์ให้แม่ฟังจนจบเพลงเป็นครั้งแรก


ผมรวบรวมความกล้ายื่นมือของตัวเองไปจับมือเล็ก ๆ ของเขา และเราก็เดินพูดคุยเรื่องเบา ๆ ขณะที่เท้าของเราโดนคลื่นซัดสาดจนมันเย็นสดชื่น 


ผมเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย แต่เพราะรู้ตัวเองว่าผมไม่ได้มีหัวทางด้านการเรียนสายสามัญใด ๆ เลย ผมรักดนตรี และชอบเสียงเพลง ผมรวบรวมความกล้าขอแม่ที่จะไม่เรียนต่อ และขอแม่ที่จะเรียนอย่างจริงจังด้านดนตรี


จนในที่สุดผมก็มีวันนี้ วันที่ผมได้ใช้สิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมถนัดเอามาทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัว แต่แรงบันดาลใจมันไม่ใช่อะไรที่ได้มาง่าย ๆ ผมก็เลยต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ และเมื่อต้องจากไปที่ไกล ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ผมก็เกิดเหงาและคิดอยากพูดอยากระบายอะไรกับใครสักคน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียน 


ผมเขียนเรื่องราวจากแรงบันดาลใจ ทั้งนิยาย และสารคดี หรือเรื่องอะไรที่มันผุดขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจ โชคดีที่ยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนที่กว่าจะเป็นนักเขียนโด่งดัง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และด้วยชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงให้นักร้องคนเก่ง ที่ผมแต่งเพลงให้เขาทีไร เพลงก็ดังทุกที มันก็เลยส่งผลมาถึงงานเขียนที่มีคนรู้จักว่าเป็นคนเดียวกับคนเขียนเพลงที่ดังติดชาร์ตคนนั้น


"เฮียกุ๊กรู้จักกับฌองเพื่อนของกัสจังหรือยังครับ เขาก็เป็นนักเขียนเหมือนเฮียเลยนะ" กัสจังพูดจนผมขมวดคิ้ว ไอ้ฝรั่งหน้าหล่อที่ตามมาวอแวน้องตั้งแต่มันมาถึงทำให้ผมหมั่นไส้มันชะมัด


"รู้จักแต่พูดกันไม่รู้เรื่อง พี่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง พี่จบมอหกเอง ได้แค่สเนก ๆ ฟิด ๆ" ผมพูดไปด้วยความหมั่นไส้ แต่คนฟังก็หัวเราะขำเสียแทบแย่ เขาเป็นคนเส้นตื้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็ขำเสียจะเป็นจะตาย ซึ่งผมว่ามันน่ารักชะมัด


"ไว้ผมเป็นล่ามให้ก็ได้" น้องเสนอตัว


"ไม่เอาขี้เกียจคุย" ผมปฏิเสธ ทำปากคว่ำและน้องก็หัวเราะขำหน้าตลก ๆ ของผมอีกแล้ว


"คุยกันแค่สองคนพอแค่นี้แหละ อ้อ ถ้ากลับไปกรุงเทพฯ เดี๋ยวพี่ให้ย่าทำข้าวเหนียวดอกโสนให้กินนะ ราดกะทิให้ฉ่ำ ๆ อร่อยอย่าบอกใคร" ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อให้ห่างจากไอ้ฝรั่งที่ชอบมาวุ่นวายกับคนที่ผมชอบ


"เฮียเป็นอะไรไม่ชอบฌองหรอ เขาตลกดีนะ ป้าอุ่นว่าถ้าอยู่เมืองไทยนาน ๆ เห็นทีฌองคงกลายเป็นฝรั่งขี้นก" กัสจังพูดและผมก็ยิ่งเบ้ปากเข้าไปใหญ่ เร่งฝีเท้าไว ๆ เพราะไม่อยากได้ยินน้องพูดถึงคนอื่นเลย


"เฮียจะรีบไปไหนครับ" น้องเร่งฝีเท้าและเดินมาจับมือผม


"..." ผมไม่ตอบ แต่ทำงอนใส่เข้าบ้าง ดูเหมือนคนขี้งอนตอนนี้จะรู้ว่าผมก็เริ่มจะงอนแล้ว


"ไม่ชอบให้ผมพูดถึงฌองหรอ?" 


"ใช่" ผมตอบโดยไม่ลังเล เขายิ้มกว้าง จับมือของผมไว้ทั้งสองข้าง แต่ผมก็คลายมือออกแล้วรวบเอวเล็ก ๆ มากอดไว้จนแน่น


"พี่หวง" ผมบอกและก้มลงใช้จมูกสูดลมหายใจลึก ๆ ที่ซอกคอของเขา ผมชอบที่จะได้สูดกลิ่นกายหอมบริสุทธิ์ และเมื่อผมถูกดันตัวออกเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มก็ยื่นมาจูบผมจนแนบแน่น ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ไวน์ที่ผมดื่มหรือเพราะน้องก็แอบดื่มเพราะเห็นเจ้ากัสจังบังคับให้น้องดื่มไวน์ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลิ่นน้ำองุ่นแสนหอมหวานมันกระจายไปทั่วโพรงปาก ผมเอาแต่กอดและจูบอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ไม่ว่าคลื่นจะซัดสาดจนเปียกมาถึงหัวเขา แต่ผมกับเขาก็ยังคงจูบกันอย่างโหยหา 


ผมไม่กล้าบอกรักแต่จูบของผมครั้งนี้มันแทนคำพูดทั้งหมด ผมรักน้อง และน้องที่จูบผมกลับอย่างเร่าร้อนก็เป็นคำตอบเหมือนกันว่าเรารักกัน ลมพัดเอื่อยจนผมยาวสยายของผมปลิวจนคลุมไล้แผ่นแก้มของเราสองคน และเมื่อผมถอดริมฝีปากจากมา น้องก็ยื่นตัวเพื่อที่จะจูบผมซ้ำอีกหน และอีกหน