ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Deliciousระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน
อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง
โดย Chavaroj
ปลาทูแม่กลองคือของดีจนน่าจะเป็นซอฟพาวเวอร์อีกอย่างของไทย อย่างที่เขาเรียกว่าหน้างอคอหัก แต่ปลาทูฝั่งระยองมันก็อีแบบเดียวกันนั่นแหละ หน้างอคอหักเหมือนกัน เพียงแต่ไอ้ของขึ้นชื่อจังหวะระยองนี่ส่วนใหญ่ก็คือสถานที่ท่องเที่ยว เพราะมีชายหาดสวย ๆ ตั้งหลายที่ ยกตัวอย่างชายหาดที่รีสอร์ตส่วนตัวของผมนี่ไง
ส่วนไอ้เรื่องหน้างอเหมือนปลาทู ตอนนี้ก็ไม่ใช่ใคร กูนี่แหละค่ะ เพราะปวดกบาลจะแย่อยู่แล้ว งานวิวาห์หรืองานวิวาทก็ไม่รู้ ไม่น่าใจอ่อนรับปากอีเพื่อนชั่วให้มาจัดงานวิวาห์ที่นี่เลย
คนงานก็ยังน้อย เพราะตัวรีสอร์ตเองก็เพิ่งสร้างเสร็จเพียงบางส่วน และห้องพักห้องสุดท้ายที่สร้างเสร็จ ก็สำเร็จล่วงหน้าก่อนงานเพียงสามวันเท่านั้น เรียกว่ายังมีกลิ่นสีจาง ๆ อยู่เลย
แต่ไอ้ที่ทำให้ผมปวดกบาลที่สุดก็เพราะได้แขกรับเชิญที่ลิสต์มาแล้วเสือกมาเยอะเกินกว่าที่แจ้งไว้ อีกัสกับผัวมันก็ญาติเยอะจริง ๆ ไม่รู้เป็นอะไรกับยุ้ยญาติเยอะ เรียกว่าทีแรกกะจะให้พักกันห้องหนึ่งสองถึงสี่คน กลับต้องอัดกันห้องหนึ่งถึงห้าคนเลยทีเดียว
แล้วยังมีตัวแถม เป็นฝรั่งหน้าหล่อแต่เด๋อ ๆ ชื่ออีตาฌอง ติดสอยห้อยตามมากับเขาด้วย แต่ในเมื่อห้องมันเต็มแล้ว และห้องที่ยังเหลือให้มีคนนอนด้วยอีกสักคนก็ไม่ใช่ห้องของใครที่ไหน ห้องของอีหมึกคนนี้นี่ล่ะ
ผมชื่อหมึก อย่าเอ็ดไป ที่ชื่อหมึกนี่เพราะตอนเด็ก ๆ แม่เรียกอีตูดหมึก แถมที่บ้านตอนผมเกิด แม่ว่าบ้านของผมซึ่งทางพ่อทำเรือประมง เกิดจับปลาหมึกยักษ์ได้ตัวบะเริ่มเทิ่มเชียวล่ะ ซึ่งเป็นศุภนิมิตอันดี ก็เลยเอามาตั้งชื่อผมซะเลย
ผมซึ่งเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว ซึ่งจัดว่าเป็นผู้มีอันจะกิน ไม่ใช่แค่จะกินธรรมดา ๆ ด้วยนะ กินแบบอิ่มหมีพีมันเลยแหละ เพราะพ่อเป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นว่าจะเลี้ยงผมอย่างลูกเศรษฐีเลย ตั้งแต่จำความได้
ตั้งแต่เด็ก โน่นแน่ะ อะไร ๆ ก็เรียกใช้แต่อีหมึก ทำตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ โรงงานน้ำปลาคนขาด นี่ค่ะ ให้อีหมึกไปช่วยยกเข่งปลา ไปคลุกปลากับเกลือ แล้วก็เอาลงหมักในโอ่ง หรือให้ไปเก็บค่าแผงในตลาดของแม่ เก็บได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าเก็บได้ไม่ครบแม่ก็ด่าอีก ทั้ง ๆ ที่สงสารพ่อค้าแม่ค้าแทบขาดใจ แต่กูก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนจ้า แม่ด่าน่ะไม่คุ้มกัน เพราะด่าแต่ละที ด่าไม่พัก ด่าเช้ากลางวันเย็น ผ่านมาสองสามวันแม่ก็ยังเอามาด่าได้อีกซ้ำ ๆ
นี่ยังแค่กิจการของพ่อกับแม่ แล้วยังพี่ ๆ ของผมอีกสี่คนซึ่งถ้าขาดคนงาน จะใครที่ไหนล่ะ ก็อีหมึกผู้อาภัพอีกใช่ไหมเล่า ดังนั้น ผมก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกคนร่ำคนรวยเลยสักนิด ดูเหมือนเพื่อนสมัยเรียนที่บอกว่าตัวเองยากจน จะสบายกว่าผมเสียอีก เพราะนี่ตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นก็โดนใช้ให้ทำงานเหมือนทาส
ตัดภาพมาที่อีตาฝรั่งหัวดำ ซึ่งก็ไม่ดำเท่าไร ออกสีน้ำตาลอ่อน ๆ ไอ้หล่อนั้นก็หล่ออยู่แหละ แต่แม่เอ๊ย เกิดมากูไม่เคยพบเคยเห็นใครที่มันจะอยากรู้อยากเห็น ชอบซักชอบถามเท่าอีตานี่มาก่อน มึงอยากรู้ไปหมด จนชักจะเข้าใจที่อีน้ามันแอบนินทาแล้วล่ะว่า เหมือนเจ้าหนูจำไม ในการ์ตูนอิกคิวซัง
ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้หรือ แล้วคนอื่น ๆ ทำอย่างนี้ด้วยไหม พ่อก็ถามจนไมเกรนของผมแทบขึ้น ถ้าจะถามว่าอีฝรั่งขี้นกนี้มาแสร๋นอยู่ในงานแต่งงานอีกัสได้ยังไง อีกัสมันก็ว่าเป็นเพื่อนสมัยอยู่ปารีสโน่น
"เพื่อนอย่างเดียวแน่นะ" ผมเค้นถามมัน
"เพื่อนสิ แค่เพื่อนน่า" อีกัสมันตอบ ตาของมันล็อกแล่กแต่ผมในฐานะเพื่อนเจ้าสาวจะเค้นเรื่องคนที่เจ้าสาวเคยแอบชอบ ก็คงจะไม่ค่อยเข้าที ในเมื่อผัวของมันนั่งอยู่ไม่ไกล เพียงแต่มัวแต่โฟกัสกับงานที่หน้าจอแท็บเล็ตก็เลยไม่ได้ยินที่ผมคาดคั้นอีเจ้าสาวตัวดี
"นี่ได้ข่าวว่าจบงาน อีฌองอะไรของมึงจะพักที่รีสอร์ตของกูต่อ ทำไมมึงไม่ลากมันกลับพระนครไปด้วยวะ" ผมคาดคั้นมันอีก
"ฌองเขาชอบท่องเที่ยว อยู่กรุงเทพฯ คงเบื่อแล้วมั้ง มาเจอทะเลที่นี่ เห็นว่ากรี๊ดจนคอแตกไม่ใช่รึ เดี๋ยวญาติ ๆ กูกลับกรุงเทพฯ กันที่นี่คงสงบ ฌองคงอยากได้ที่เงียบ ๆ ไว้เขียนวิจัย เขียนหนังสือล่ะมั้ง" อีกัสตอบซึ่งก็ยังไม่ค่อยเป็นคำตอบที่ผมพอใจเท่าไรนัก
"เออนี่ เรื่องฌองน่ะช่างมันก่อน ยังไงเขาก็เป็นแขก คุยเรื่องอีเพื่อนรักของมึงกับพี่ชายกูก่อน กูว่าอีสองตัวนี่มันมีอะไรแปลก ๆ พี่กูก็เอาแต่ถามถึงอีน้า ส่วนอีน้าก็เอาแต่หลบหน้าพี่ชายกู มึงได้ระแคะระคายอะไรบ้างมั๊ยวะ?" อีกัสถาม ผมนี่คันปาก
"กูพอจะจับสังเกตได้ ก็อีคราวก่อนที่ตอนไปงานแต่งงานพี่ชายคนกลางมึงน่ะ กูเห็นเลยว่าพี่มึงมองอีน้าแบบว่า ตกหลุมรัก เลิฟแอทเฟิร์สไซต์ค่ะ อีน้าก็แหมดัดจริต ทำเป็นเล่นขงเล่นขิม แม่คงนึกว่าเป็นนางในวรรณคดีล่ะสิ กูเห็นสภาพมันแล้วกูนึกถึงอยู่คนเดียวคือ ขงเบ้ง ที่ตีขิมบนกำแพงเมืองลวงสุมาอี้" ผมกระซิบกระซาบ แต่เหมือนอีคนถูกนินทามันจะมีญาณทิพย์ เสือกเดินมานั่งแทรกระหว่างผมกับอีกัสแทบจะในทันที
"คุยอะไรกันน่ะ?" อีน้าถาม ผมกับอีกัสก็เลยทำหน้าปูเลี่ยน ยิ้มแหย ๆ ส่ายหน้าปฏิเสธบอกไม่มีอะไร แต่สายตาของอีน้ามันบอกว่ามันรู้ว่าผมนินทามันอยู่
"มานี่เดี๋ยวกูผูกผ้าพันคอให้มึงใหม่" อีกัสเฉไฉ ให้อีน้าแกะผ้าพันคอ ออกมา พับ ๆ ม้วน ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แล้วก็พันคอให้จนดูแสนเก๋ แล้วก็ให้ผมแกะผ้าพันคอ แล้วก็ทำเหมือนของอีน้า ตอนกูทำเอง แม่เอ๊ยอย่างกะย้อนตัวเองกลับไปเป็นลูกเสือสำรอง
เพื่อนรักของผมสองตัวนี่ คือสุดยอดของความเนิร์ด อีน้าน่ะ แค่หนังหน้ามันก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กเนิร์ด ไม่ใช่เนิร์ดธรรมดา ๆ แต่โคตรเนิร์ดเลย ก็แว่นหนา ๆ ผมรก ๆ ยุ่ง ๆ กับรอยยิ้มแห้ง ๆ และท่าทางที่พูดตามไม่ค่อยจะทันใคร แต่อย่าให้มันด่าหรือเหน็บแนมใครเข้าล่ะ มันชอบพูดเป็นบทเป็นกลอน ถ้าตั้งใจฟังรู้ว่ามันด่าล่ะก็ เจ็บแสบเหมือนจะกระอักเลือดกันเลยทีเดียวล่ะ
แต่ที่ร้ายคือด่าเหมือนไม่ด่า ผมนี่เคยโดนมากับตัว ครั้งหนึ่งอีน้ามันกลับบ้าน ป้าอุ่น ผู้ดูแลกิจการงานครัวที่บ้านของมันนึกครึ้มทำแกงอะไรก็ไม่รู้ เกิดทำเยอะเกินไปหน่อย หรืออีน้ามันติดใจ อยากเอามากินต่อที่มหาวิทยาลัย หรือเกิดพ่อจะมีน้ำใจเอามาฝากเพื่อน ๆ ให้ได้กินอาหารชาววังเป็นบุญปาก ก็สุดจะเดา ก็โคตรเหง้าเหล่ากอของมันน่ะเป็นคนมีเชื้อมีสาย ดูจากนามสกุลของมันที่ต่อท้ายว่า ณ อยุธยา ก็เลยทำให้เราสถาปนามัน เรียกมันว่าอีหม่อมน้านั่นไงล่ะ
กลับมาที่แกงจากห้องเครื่องหลวงที่อีน้าอุตส่าห์ประคองมาจากวัง เมื่อถึงมื้อเย็น ก็เอามาอุ่น จนกลิ่นหอมฉุย พวกเราสามตัวสมัยเรียน ชอบกินข้าวเย็นด้วยกัน ไม่ออกไปกินที่ตลาดก็กินที่ห้องพักนี่ล่ะ ทำเองมั่งซื้อเอามั่ง
"แกงอะไรของมึงอีหม่อมน้าหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นหอมน่ากิน?" ผมถามมันและยืนเท้ากะเอวมองแกงทีส่งควันฉุยหอมไปทั่วห้อง เพราะเพิ่งอุ่นออกมาจากเตาไมโครเวฟใหม่ ๆ
"แกงระแวง" อีหม่อมน้าตอบ และผมก็ขมวดคิ้ว ชื่อแกงมันพิก๊ล เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้ยิน
"แกงอะไรของมึงวะ ชื่อพิกลชะมัด" ผมทักท้วงและตักข้าวตักปลามาเตรียมลองแดกแกงพิสดาร
"แกงผู้ดีน่ะ" อีหม่อมน้าตอบเสียงเรียบ ๆ ก็มันเป็นคนพูดช้า ๆ ไม่เคยสักหนที่จะพูดกระโชกโฮกฮาก จนผมมารู้ตัวอีกทีว่าโดนมันแอบด่า ก็คือตอนก่อนจะนอน ซึ่งอีหม่อมน้าแม่งก็หลับเฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว จะปลุกมันมาด่าก็เกินไป ผมก็เลยปล่อยแม่ง เช้ามาผมก็เป็นคนขี้ลืมก็เลยลืมเรื่องที่มันแอบด่าผมไปเสียฉิบ
นี่คือความแสบขอบอีนังตัวดี ถัดมาก็คืออีกัส หรือที่อีน้ามันเรียกว่า กัสจัง แต่ผมเรียกมันว่าอีกัสนี่ล่ะ หมั่นไส้มัน จะมาดัดจริตกัสจงกัสจัง เชอะ
แต่ผมด่ามันได้คนเดียวนะ ใครมาด่าเพื่อนผมนี่ผมเอาตาย อีกัสจังนี่มันเป็นคนที่หลาย ๆ คนในโลกจะต้องอิจฉา เพราะมันเข้าข่ายอัจฉริยะ เพราะผมก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะเป็นคนตั้งใจเรียนอะไรเลย จริงอยู่ถึงมันจะเข้าเรียนไม่เคยขาด แต่มันก็ทำตัวเหมือนเรียน ๆ เล่น ๆ แต่พอใกล้สอบอีกัสก็จะอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย แดกเอ็มร้อยเกินวันละสองขวด และแม่งเสือกสอบได้ท๊อป อีห่า
ผมน่ะเรอะ ต้องตั้งใจสอบแทบแย่ ก็ความเรียนโรงเรียนบ้านนอกมา ภาษาอังกฤษก็แทบจะไม่กระดิก แล้วยังเสือกเลือกเรียนต่อในคณะโลจิสติกอีก แต่ผมว่าผมเป็นคนขยันและตั้งใจเรียนแล้วเชียวนะแต่อย่างน้อย กูก็ไม่ตกก็แล้วกัน
อีกัสจังนี่พื้นภาษามันดี ถึงขนาดสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสทีเดียว เราล้อมันแทบแย่ว่า เขาส่งไปเรียนนะไม่ใช่ไปหาผัว ให้มันรีบเรียนแล้วก็รีบกลับมา แต่อีหอยหลอดนี่เรียนจบก็เสือกได้งานที่โน่น แต่กามเทพก็ช่างเล่นตลก ส่งหนุ่มตี๋ลุคอ๊ปป้าไปให้มันถึงโน่น จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นงานวิวาห์ในวันนี้จนได้นี่ไง
"กูไม่ชอบฝรั่งหรอก แล้วก็ไม่ใช่สเปคฝรั่งด้วย ถ้าอย่างมึงน่ะอีหมึกว่าไปอย่าง" อีกัสมันย้อน เมื่อผมแซวมันให้หาผัวฝรั่งติดมือมาสักคนสองคน
"สเปคยังไงอีหอยหลอด?" ผมถามมันกลับ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ตัวเองแหละ
ผมน่ะมันเป็นคนผิวเข้ม ๆ ตาโต ๆ ดูแล้วช่างแตกต่างจากอีสองตัวนี่เป็นอันมาก เดินด้วยกันในตลาดหน้ามอ เหมือนนางกุลาเดินกับโสนน้อยเรือนงาม กูล่ะเศร้าใจ
ก็ในเมื่อบิวตี้พริวิเลจเขาชอบคนผิวขาว ๆ หมวย ๆ หรือตี๋ ๆ ดูแล้วเป็นลูกคุณอย่างอีกัสนี่ไง หรืออีน้าที่เป็นลุคเรียบร้อยน่ารัก แต่ผมน่ะไม่ได้มีลุคแบบนั้นเลยสักนิด ผมตัวตันออกไปทางแข็งแรง ผมจมูกรั้นแบบแม่ ผิวคล้ำแบบพ่อ ไม่สวยไม่สะเลยสักนิด แต่เคยเห็นอยู่เหมือนกัน ตอนแอบไปเที่ยวพัทยา เก้งฝรั่งแก่ ๆ จูงมือเด็กชายไทยผิวคล้ำ ๆ ตัวเล็ก ๆ ช่างเหมือนกูเสียจริง เพียงแต่ผมตัวล่ำกว่า ก็ผมแข็งแรงถึงขนาดปีนขึ้นไปเก็บต้นมะพร้าวได้เชียวนะ ถ้าเป็นต้นที่ไม่สูงมาก แต่ตอนเด็ก ๆ ต้นมะพร้าวสูง ๆ ผมก็ไม่หวั่นหรอก ปีนไปเก็บได้สบายมาก หรือแม้แต่ต้นหมากก็ปีนไปเก็บหมากมาให้ยายกินได้ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไม่ได้ออกแรงแบบเมื่อก่อนแล้ว เพราะยุ่งกับไอ้กิจการที่พ่อยกให้นี่ล่ะ
งานแต่งงานของเพื่อนรักผ่านไปได้ด้วยดี อุปสรรคนั้นมีอยู่แต่ก็ค่อย ๆ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ ไอ้ผมก็ชินเสียแล้ว เพราะกิจการของพี่ชายคนโต ก็คือบังกะโลที่ชายหาดอันเป็นกิจการแรก ๆ จนตอนนี้จากบังกะโลตอนผมยังเด็ก ๆ ซึ่งต้องพาลูกค้าเข้าห้องพร้อมกับยื่นกุญแจ และกำชับให้เช็คเอ้าท์ตอนเที่ยงของอีกวัน ห้ามลืมเอากุญแจมาคืนด้วย แต่ตอนนี้จากบังกะโลพวกนั้นมันได้กลายเป็นโรงแรมขนาดย่อย ๆ ไปซะแล้ว
และเมื่อจบงานอย่างจริงจัง สารภาพตรง ๆ ว่าเช้ามาผมแทบลุกไม่ขึ้นเพราะแฮงก์ ก็อีหอยเจ้าสาว เสือกสวมวิญญาณเมรีขี้เมา ทั้งเบียร์ ทั้งเหล้า ทั้งไวน์ แม่จัดมาเต็มที่ชนิดไม่กลัวศุลกากรเข้าตรวจ ไอ้ผมก็ไม่อยากขัดศรัทธา ว่าไปเสียหลายแก้ว ขนาดอีหม่อมน้าผู้ซึ่งถือศีลแปดในวันพระ ยังโดนบังคับให้แดกไวน์ไปสองแก้วเลยทีเดียว
ผมรู้สึกตัวเลา ๆ ว่าอีฝรั่งลากผมกลับมายังห้องนอน เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองคงประคองร่างตัวเองไม่ไหวแน่ ๆ แต่เช้ามาอีน้าชื่นชมว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ดี๊ดียามเมื่อผมเมา
"กูเมา" ผมพูดพร้อมกับซดน้ำเย็น ๆ ตอนอาหารมื้อเช้า
"แหม พูดอังกฤษคล่องปรื๋อเลยนะ แถมทำท่าจะท่องกวีของเช็คสเปียร์ซะด้วย" อีกัสสำทับ
"กูเมาค่ะ" ผมพูดอีกคำ พร้อมกับซดข้าวต้มปลาร้อน ๆ จากฝีมือแม่ครัวคนเก่ง ไม่ใช่ปลาเก๋า ปลากะพงซะด้วย แต่เป็นข้าวต้มปลาทูร้อนฉ่า กลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ได้กินข้าวต้มปลาทูซึ่งเป็นเมนูโปรด ทำให้สร่างเมาไปได้เยอะทีเดียว
พวกเราสามคนนั่งกินข้าวที่โต๊ะเดียวกัน เหมือนจะพยายามตรึงอดีตครั้งเรายังเป็นเด็กน้อยนักศึกษา ตอนนั้นพวกเราทำอะไรบ้า ๆ โง่ ๆ กันตั้งเยอะแยะ แต่ใช่ว่าโตจนอีกัสจังมีผัว แล้วจะดีขึ้น เราก็คงจะทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ต่อไปนั่นแหละ เพียงแต่มีสติขึ้นสักหน่อย
นั่งกินกันอยู่เพลิน ๆ เฮียเกี๊ยวผัวอีกัส กับเฮียกุ๊กว่าที่ผัวอีน้าก็มานั่งประทับทรงข้าง ๆ นั่งแบบแนบสนิท แทบจะสิงกันอยู่แล้ว ไม่เกรงใจคนโสดอย่างกูมั่งเลยเน้อ
"ฌองมานั่งกินข้าวตรงนี้ด้วยกัน" อีกัสจังมันตะโกน โบกไม้โบกมือ แล้วไอ้ที่นั่งว่างก็ช่างเป็นใจเป็นที่นั่งข้างกูซะด้วยอีผี
"อันนี้คืออะไร กินอย่างไร?" นั่นไง นั่งปุ๊บ ลูกอีช่างถามก็เริ่มถามเลยค่ะมึง
"ข้าวต้มใส่ปลาทู" อีกัสมันบอก และอีฌองก็มองพวกเราที่ปรุงข้าวต้มด้วยน้ำส้ม พริกป่น และพริกไทย น้ำปลา
"ใส่นี่หมดเลยได้ใช่ไหม?" อีฝรั่งเจ้าปัญหาถามอีก
"อีหมึกมึงปรุงให้ฌองหน่อยดิ๊" อีกัสจังเจ้ากี้เจ้าการ ไม่พ้นกูอีก ผมก็เลยเหยาะโน่นนิด เหยาะนี่หน่อย จนอีฝรั่งขี้สงสัยทำตาโต
"ผมกินเผ็ดได้ ผมกินเผ็ดเก่งนะ" อีตาฌองคุยอวด แต่ผมไม่เชื่อน้ำยามันหรอก เห็นลูกค้าฝรั่งมามาก เหยาะพริกใส่กับข้าวนิดเดียวทำท่าจะเป็นจะตาย ถ้าลงไปดิ้นพราด ๆ ได้คงทำไปแล้ว
"ลองชิมดูก่อน ไม่พอก็ค่อยเติม" ผมว่าและอีตาฌองก็ค่อย ๆ ลองชิม พอชิมคำแรก คำที่สองสามและสี่ก็ตามมา เกิดเป็นฝรั่งก็มีกรรม พอได้เจออาหารไทยที่มันมีครบรสแบบนี้ เห็นทีกลับบ้านกลับเมืองต้องไปกินอาหารจืด ๆ คงร้องไห้คิดถึงแน่ ๆ ก็อย่างอีกัสจังไง มันไปอยู่ฝรั่งเศส พอพวกเราสามคนคุยกันทีไร มันก็บ่นแต่อยากกินอะไรแซ่บ ๆ ทุกทีสิน่า
"อาหร่อย หมักม๊าก" อีตาฌองพูดแล้วก็ยิ้มกว้าง จีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้วเอามาแตะที่ปาก อันเป็นท่าทางบ่งบอกว่าอาหารอร่อย แต่ดูสีหน้าสีตา ก็ทำเอาพวกเราหัวเราะครืนกับฝรั่งขี้นก
เสร็จจากมื้ออาหาร ผู้คนทยอยเดินทางกลับ แต่อีกัสจังกับเฮียเกี๊ยวผัวมันขออยู่ต่ออีกสักคืน มันว่าพรุ่งนี้จะไปทำธุระที่ จันทบุรี เจ๊หวังกับไอ้เปา ก็เลยนัดแนะว่าจะไปเจอกันที่นั่น เพราะแกมีสวนทุเรียนใหญ่โต ก็แน่ล่ะสิ มาร่วมงานแต่งงาน แกยังขนเอาทุเรียนลูกโต ๆ งาม ๆ มาฝากเป็นสิบ ๆ ลูก ลากปากอีหมึกล่ะงานนี้ ยังเหลืออีกตั้งสามสี่ลูก เดี๋ยวกูจะเก็บไว้แดกคนเดียว ผมแอบคิดในใจ
ร่ำลาอาลัย จนรีสอร์ตของผมกลับมาเงียบสงบเหมือนเก่า ผมบัญชาการให้คนงานรีบไปทำความสะอาดและจัดห้องให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วเพราะจะมีแขกมาเช็คอินอีกสองเจ้า กลัวไม่ทันการผมก็เลยไปช่วยเขาทำห้องด้วย แอบคิดว่าทำไมกูไม่เรียนการโรงแรมไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดนะ แต่เอาเถอะ เรียนครูมาก็ยังมาเป็นเจ้าของโรงแรมเหมือนอีน้าได้เลย
ผมจะบ่นทำไมเนี่ย รีบ ๆ ขึงผ้านวมสีขาวให้ตึง ช่วยกันกับคนงานอีกคน เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วผมก็ปลีกตัวไปหยิบไม้กวาด เพื่อกวาดดอกลั่นทมซึ่งมันร่วงหล่นเต็มทางเดิน มองเห็นไกล ๆ ว่าอีกัสสวีทอยู่กับผัว ผมก็ไม่ควรเข้าไปแทรกเป็นก้างขวางคอ จนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาผมก็เข้าไปต้อนรับและพาแขกไปยังห้องพัก
มื้อเที่ยงอีกัสกับผัวแล่นแตร๊ออกไปหาอะไรแดกข้างนอก แต่มันว่ามื้อเย็นมันจะกลับมากินข้าวที่นี่ ให้ผมทำอะไรแซ่บ ๆ ให้มันกินด้วย ซึ่งหมึกจะจัดให้ค่ะ แต่ผมไม่ได้ทำเองหรอกนะ โน่นบัญชาการแม่ครัวคนเก่งโน่น
"ทำน้ำพริกกะปิดีไหม?" แม่ครัวถามและผมว่าอีกัสคงชอบใจ
"ป้าทำน้ำพริกแบบไม่เผ็ดด้วยอีกถ้วยนึงนะ ใส่พริกแค่เม็ดเดียวนะ" ผมไม่ลืมที่จะสั่งแม่ครัวเพราะเกือบจะลืมลูกค้าฝรั่งอีกคน
"ของคุณฌองน่ะหรือคะ?" แม่ครัวหัวเราะกิ๊ก ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจ
เคยได้ยินอีกัสจังมันเล่าว่าสมัยมันเรียนที่โน่น มันทำงานพาร์ทไทม์ร้านอาหารไทย อีตาฌองนี่ก็เป็นหลานตาลุงเจ้าของร้านนี่ล่ะ แล้วก็เข้ามาวุ่นวายในครัวให้อีกัสสอนทำกับข้าวไทย สารพัด กูว่าฌองคะ มึงเกิดผิดที่ค่ะ มึงควรมาเกิดแถว ๆ ถนนข้าวสาร มากกว่า
มื้อเย็นแห่งความวุ่นวายมาถึง แน่ล่ะ อีตาฌองถูกเชิญมาร่วมกินข้าวด้วย วิญญาณเจ้าเด็กช่างสงสัยเข้าสิง และแม่ก็ถามว่าไอ้ที่แดกกับน้ำพริกนี่มันคืออะไร ทั้งดอกโสน บวบงู กระเจี๊ยบเขียว ถั่วฝักยาว บรรดาสารพัดผักที่แนมกับน้ำพริก สมน้ำหน้าอีกัสที่ต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ อย่าหวังอะไรกับกูแบบนี้กูรู้จักแต่ศัพท์ภาษาอังกฤษ แค่เรื่องโรงแรมกับ การขนส่ง ไอ้ดอกโสนเรียกภาษาอังกฤษว่าอะไรนี่กูก็จนปัญญาเหมือนกันค่ะ
จบเรื่องบรรยายว่าในสำรับมีอะไร คราวนี้ก็ต้องสาธิตว่าแดกยังไงต่อ ไม่พ้นกูอีกแล้ว เพราะนั่งติดกับอีฝรั่ง จะใจดำให้มันแกะปลาดูแดกเอง เกิดก้างปลาทูแทงคอตายห่าเป็นผีเฝ้ารีสอร์ตกูอีก พอดี ตามหลอกหลอนลูกค้ากูว่าโน่นอะไร นี่อะไรอีก
"ดูนะ" ผมบอกแล้วก็สาธิต แกะเนื้อปลาทู วางโปะบนข้าว ตักชะอมไข่วางข้าง ๆ ตักน้ำพริกราดลงไปเล็กน้อยพองาม แล้วก็ส่งเข้าปากเคี้ยว ซึ่งอีตาฌองก็ทำตาเหลือกอีแบบนี้แดกไม่เป็นแหง ๆ กูต้องรับบทนางฟ้าแม่ทูนหัวอีก
"เดี๋ยวทำให้" ผมว่าแล้วก็ใช้มือตัวเองนี่ล่ะ แกะปลาทูออก ไม่ให้มีก้าง
"ล้างมือแล้วน่า" ผมบอกกับอีฝรั่งขี้สงสัย เห็นหน้ามันก็รู้เลยเมื่อเห็นผมใช้มือเปล่า ๆ หนอยแน่ะ เดี๋ยวแม่จะเปิบข้าวด้วยมือเปล่า ๆ ให้ดูเป็นขวัญตาซะหรอก อันนี้แค่คิดไม่ได้ทำหรอก เพราะเนื้อปลาทูทอดจนสุกมันแกะง่ายจะตาย
จากนั้นก็ลองทำให้อีตาฝรั่งกิน ไม่ลืมที่จะให้จิ้มน้ำพริกที่ตำไว้ต่างหาก กัดเข้าไปคำแรก อีตาฌองก็เอ่ยปากชมเหมือนเป็นอาหารจากสรวงสวรรค์
ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็อร่อย อีกัสก็บรรยายเป็นฉาก ๆ ถึงวิธีการทำ ไม่ได้มองหน้าผัวมึงเลยที่มองมึงหน้าตึง ๆ ผมก็เลยต้องคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการชวนเฮียเกี๊ยวคุยบ้าง เรียกว่าเม้าเพลินจนลืมผัว
จบมื้ออาหารและแยกย้าย คืนนี้กูจะได้นอนสงบ ๆ สักที เพราะห้องพักว่างแล้ว ห้องพักของอีฌอง อยู่ไกลลิบสุดกู่ เป็นห้องเดี่ยวห้องเล็ก ๆ สงบแต่สวยงาม ซึ่งเจ้าตัวเป็นคนเลือกเองเพราะบอกชอบใจที่มีดอกไม้ขึ้นเยอะ ปัดโธ่เอ๋ย นั่นน่ะมันดอกปืนนกไส้ ซึ่งชาวบ้านน่ะถือว่าเป็นดอกหญ้าด้วยซ้ำ คนงานที่ทำสวนยังไม่ว่างก็เลยไม่ได้ถางมันทิ้ง อีตาฌองว่าสวยผมก็เลยเห็นว่าดี ก็เลยปล่อยไว้สักพักก็แล้วกันไว้อีตาฌองกลับบ้านกลับเมือง ผมค่อยคนงานตัดให้เหี้ยน
จนอีกัสจังมันจากไป ผมแอบสังเกตดูอีตาฌอง ที่มักจะถือสมุดกับปากกา หรือไม่ก็นั่งพิมพ์อะไรบนแท็บเลตทำหน้ายุ่ง ๆ เออก็ดีเหมือนกัน ชีวิตของผมจะได้กลับมาสงบสักที
แต่ผมคิดผิด เมื่ออาหารมื้อเย็นมาถึง เมื่อเที่ยงแม่ครัวทำข้าวผัดปลาทูไว้จานโตใครอยากกินเท่าไรก็ตักเอาแกล้มกับ แตงกวาและต้นหอม ผมมัวแต่ยุ่ง ๆ เพราะต้องเตรียมรับแขกอีสองห้อง ก็เลยปล่อยอีตาฌองให้แดกข้าวคนเดียว เห็นเด็กรายงานว่าตักข้าวใส่จานแล้วก็ไปนั่งกินในครัวกับแม่ครัว น่าสงสัยอยู่ว่าจะพูดกันรู้เรื่องไหมหนอ
มื้อเย็นที่ผมกินอาหารง่าย ๆ แม่ครัวทำกับข้าวเลี้ยงคนงาน ซึ่งพวกเราจะกินด้วยกันที่ห้องข้าง ๆ ครัวนี่เอง ไม่ปะปนกับแขก
"ว้าวของโปรด" ผมตาโต และแสนดีใจที่เห็นต้มสายบัวใส่ปลาทู มีมะดันลอยเท้งเต้งอยู่รับรองว่าต้องเปรี้ยวเข็ดฟันแน่ ๆ แน่ล่ะว่าอีตาฌองต้องมานั่งกินข้าวด้วย ก็ผูกปิ่นโตกันแล้วนี่นะ คราวนี้จะกินอย่างสงบ ๆ ไม่ได้ละ ลูกอีช่างถามก็ซักจังว่าไอ้สายบัวนี่มันคืออะไร
"lotus branch" ผมตอบและแน่นอนว่าอีตาฌองก็ทำตาเหลือก ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง โลตัสก็ดอกบัว เบรนช์ก็กิ่งไม้ รวมกันก็สายบัวละกันเนอะ ไม่บอกว่าโลตัสเลทก็บุญหัวกูแล้ว
"อ๊าหร่อยม๊ากมากขรับ" อีตาฌองพูดเอาใจ
"อร่อยก็กินเยอะ ๆ" ผมตอบไปและแค่นยิ้ม นึกถึงอีกัสจับใจ อีกัสมึงกลับมาทรานสเลทแทนกูถี กูหัวจะแตกแล้วคร่า