ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

Delicious - 25 หมูหวาน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Delicious

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ตลก,ครอบครัว,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

Delicious  โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระหว่างอาหารจานนี้กับผม คุณอยากกินอะไรมากกว่ากัน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

อาหารรสชาติแสนอร่อย โยงใยถึงเรื่องราวประทับใจทั้งความสุข ความหวัง ความเศร้า และความคิดถึง


และรสอร่อยที่เราโปรดปรานก็นำพาเราให้ย้อนนึกถึงความหวังในครั้งอดีตได้ด้วย

เมนูไหนเป็นเมนูโปรดของคุณกันนะ

สารบัญ

Delicious -1 สปาเกตตี,Delicious -2 ปลาเค็ม,Delicious -3 ไก่ต้ม ไก่ย่าง ไก่ทอด,Delicious -4 ไข่เจียว แกงจืด,Delicious -5 แกงคั่วสับปะรดใส่หอยแมลงภู่,Delicious -6 ต้มยำ,Delicious -7 ข้าวเหนียว หมูปิ้ง,Delicious -8 ลาบหมู,Delicious -9 ขนมปังหน้าหมู,Delicious -10 สังขยา,Delicious -11 แอปเปิล,Delicious -12 มะระ,Delicious -13 หัวไชเท้า หัวไชโป๊ว,Delicious -14 ส้มตำ,Delicious -15 กล้วย,Delicious -16 ผักบุ้ง,Delicious -17 มะเขือ,Delicious -18 ซีอิ๊ว,Delicious -19 ปลากระป๋อง,Delicious -20 ขนมจีน,Delicious -21 แตงโม,Delicious -22 ฟักทอง,Delicious -23 แหนม,Delicious -24 ดอกโสน,Delicious -25 ปลาทู,Delicious -25 หมูหวาน,Delicious -26 มะพร้าว,Delicious -27 ทุเรียน ขนุน สาเก,Delicious -29 ขาหมูเยอรมัน,Delicious -30 น้ำพริกไข่ปู

เนื้อหา

25 หมูหวาน

 โดย   Chavaroj




ดูท่าดูทางอีตาฝรั่งคนนี้ชาติเก่าก่อนคงเกิดเป็นคนไทยแล้วพอตายไป วิญญาณดันไปผิดที่ ไปหล่นอยู่เยอรมันเป็นแน่แท้ เพราะดูท่าพ่อเมื่อได้กลับมาเมืองไทย จะพลอยระลึกชาติได้ซะอย่างนั้น ผมนึกนินทาอีฝรั่งฌองพลางมองอีตาฝรั่งผมเข้มตาสีเทา ซึ่งเดินพูดคุยกับลุงคนสวนของผมอย่างออกรส


ถามว่าคุยกันรู้เรื่องหรือ ก็ไม่สักนิด ก็คนนึงพูดภาษาไทยสำเนียงระยองฮิ อันเป็นเอกลักษณ์ แต่อีกคนพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่ง ๆ เวลาผมจะฟังยังต้องตะแคงหูฟังให้ชัด ๆ เลย แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะหัวใคร่เข้าอกเข้าใจกันดี๊ดีเหมือนคนพูดภาษาเดียวกัน 


นอกจากพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแล้ว อีฝรั่งยังช่วยลุงปลูกต้นไม้เสียด้วย ท่าทางสนุกสนานน่าดู ครั้นผมไปถาม ฌองก็ตอบว่าบ้านเขาเป็นเมืองหนาว และฌองก็ชอบต้นไม้ต้นไร่เป็นอันมาก พอได้มาปลูกไม้เมืองร้อน ซึ่งดูมันปลูกง่ายแสนง่าย เจ้าตัวก็เลยชอบอกชอบใจ แถมพ่อยังเอาดอกชบาดอกเล็ก ๆ สีชมพูมาทัดหูซะด้วย กูละอ่อนใจ


ผมนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ พร้อมกับมองตารางสเกดูล พ่อนะพ่อ จะฉลองวันเกิดก็นึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ เกิดอยากจะมาฉลองวันเกิดที่รีสอร์ตของผมเสียนี่ แต่ผมจะทักท้วงหรือพูดอะไรก็ไม่ได้ ก็เงินทั้งหมดที่ลงไปมันเป็นเงินของพ่อทั้งนั้นนี่นะ ไอ้เราน่ะมันเปรียบเหมือนพนักงานต๊อกต๋อย ถ้าซีอีโอเขาอยากจะทำอะไรก็มีหน้าที่แค่รับคำสั่ง


แต่ไอ้สิ่งที่จะตามพ่อมาน่ะ มันมากกว่าแค่งานน่ะสิ มันรวมถึงพลลิงซึ่งจะตามมาเป็นขบวนด้วย และขบวนลิงเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือหลาน ๆ ของผมนั่นเอง ผมมีพี่ ๆ สี่คน ซึ่งแต่ละคนก็มีลูกกันคนละสองตัว...เอ๊ย...สองคน ดังนั้นหลาน ๆ สุดที่รักของผมทั้งแปดตัว กำลังจะเดินทางเพื่อมาค้างคืนล่วงหน้าก่อนที่ปู่หรือตาของพวกมันจะมาในวันมะรืนมะเรื่อง 


แค่อีฝรั่งช่างซักช่างถาม กูก็ปวดหัวจะตอบแล้ว ยิ่งมีอีลิง ๆ อีกแปดตัว เมื่อคืนผมถึงกับนอนเอาตีนก่ายหน้าผากเลยทีเดียวเชียว แต่ถึงจะคิดไปอย่างนั้น ก็อดจะดีใจที่หลาน ๆ จะมาเยี่ยมไม่ได้ เพราะตั้งแต่ทำรีสอร์ต ก็ไม่ได้กลับไปบ้านใหญ่ นาน ๆ จะได้เจอหลาน ๆ สักที คนโตสุดอายุสิบสามและคนเล็กสุดอายุหกขวบเพิ่งเข้าประถมหนึ่ง แต่ละคนช่างพูดคุยช่างเจรจา 


แต่เอ๊ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็ให้อีตาฌองเลี้ยงหลานของผมไปก็แล้วกันท่าทางอยู่เฉย ๆ คงเบื่อ นั่นไง เดินถอดเสื้อเหงื่อซกกลับไปอาบน้ำอาบท่าละ หลังจากปลูกต้นไม้เสร็จ ไม่ใช่พอช่วยงานที่นี่แล้วจะมาพักฟรีนะ ไม่อย่างนั้นพ่อได้เอาไม้ฟาดแน่ ๆ 


คิดอะไรเพลิน ๆ เห็นหลังของตาฌองหายไปไว ๆ รถกระบะคันใหญ่ของพี่ชายผมก็ขับเข้ามาพอดี เสียงโหวกเหวกโวยวายดังจนผมต้องลอบถอนหายใจ และเมื่อรถจอดสนิท ไอ้พวกลิง ๆ ก็กระโดดลงมาจากกระบะหลังยกมือไหว้ผมแบบขอไปที ส่วนไอ้ตัวเล็กน่ารักหน่อย มีการเดินมากอดน้าหมึกหนึ่งที ยอมให้ผมหอมแก้มสองข้าง จากนั้นไอ้พวกลิงทโมนก็พากันวิ่งตื๋อลงไปที่ชายหาด เล่นน้ำทะเลกันเป็นที่สนุกสนาน


"ฝากหลานด้วยกูไปแล่ว" พี่ชายผมตอบแล้วรีบขับรถจากไปทันที ไม่แม้แต่จะดื่มน้ำสักแก้ว ดูท่ามันคงจะดีใจที่จะได้สงบหูจากพวกลูก ๆ หลาน ๆ มันสักสองสามวันส่วนผมน่ะเรอะ เดินเท้ากะเอวลากตีนไปเฝ้าพวกมันที่ชายหาดหลังจากที่ขนกระเป๋าเดินทางของพวกมันมากองไว้ในตัวอาคาร น่าตีจริง ๆ จะเอากระเป๋าไปเก็บก่อนก็ไม่ได้ คิดจะให้เก็บให้น่ะเรอะ อย่าหวังของใครของมันเนอะ


ผมนั่งตรงใต้ร่มหูกวางซึ่งมีใบร่มครึ้ม ลมทะเลซัดเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่น มีเก้าอี้ชายหาดน่าสบายตั้งไว้เป็นแถบ ผมก็เลยทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้ตัวริมสุด นั่งกระดิกตีน พลางมองฝูงลิงไปด้วย ไอ้เรื่องจะห้ามไม่ให้เล่นน้ำทะเลกลางแดดเปรี้ยง ๆ นั้นอย่าหวัง ห้ามได้ก็ห้ามไปแล้ว เดี๋ยวรอจนปากสั่นมือซีดนั่นแหละ ถึงจะทยอยขึ้นมากันเองตอนนี้พอดีเป็นเวลาน้ำลง ให้ลงไปเล่นน้ำลึกยังไง ก็ยังอยู่แค่ระดับเอว ผมก็เลยไม่กังวลอะไรมาก 


ลมพัดพอสบาย แถมเมื่อคืนก็นอนดึกเพราะรับบท ศิราณี ผู้ปรึกษาปัญหาหัวใจ จะใครที่ไหน ก็อีน้า ซึ่งบัดนี้มาสารภาพกับผมว่าได้กำลังคบหากับเฮียกุ๊ก หนุ่มตี๊สพี่ชายคนโตของอีกัส ซึ่งดูแล้วจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร ดูสุดขั้วอย่างไรชอบกล คนนึงเรียบร้อยอยู่ในกรอบสุด ๆ คนนึงแหกกรอบดูหัวกบฏอย่างไรชอบกล


"คนเราอาจจะอยากได้ความต่างกันมาเติมเต็มกันก็ได้มึง" ผมบอกมันไป อย่างฝืนใจ ในเมื่อเพื่อนจะมีผัวเราก็ต้องสนับสนุนสิ เผื่ออานิงส์จะส่งผลให้ผมมีผัวกับเขาบ้างสักคน แต่อย่างอีเฮียกุ๊กแบบนั้นไม่เอานะ คงจะตีกันตาย


"ฌองเป็นยังไงบ้าง?" ไม่วายที่อีตัวดีจะถามถึงอีฝรั่งที่มาหลงเสน่ห์เมืองไทย


"ก็สบายดีแหละมึง ก็เล่นน้ำทะเลมั่ง เดินดูต้นไม้ต้นไร่ เข้าครัวไปช่วยทำกับข้าว ถามโน่นถามนี่ อยากรู้อยากเห็นไปโม๊ดดดดดดดด" ผมลากเสียงยาวจนอีน้าหัวเราะกิ๊ก อีนี่มันบ้าจี้ แถมเส้นตื้น 


พูดคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ฟังอีน้าบ่นเพ้อเรื่องความร้งความรักอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็เออ ๆ ออ ๆ ตามมันไป ฟังเรื่องคนเพ้อก็สนุกดีเหมือนกัน นี่แหละเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอ่อนเพลียจนเผลอหลับไปครู่ใหญ่ แต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีนึง นั่นปะไร ถ้ากูซื้อหวยก็เห็นจะถูกรางวัลใหญ่ อีพวกลิงทั้งหลายเล่นน้ำกับอีตาฌองสนุกสนาน ดูเอาเถอะฝรั่งตัวโต ๆ เล่นน้ำทะเลกับเด็กทะเลตัวดำ ๆ ทั้งขำทั้งน่าเอ็นดู แล้วหลานผมน่ะก็ท่าทางจะพูดกับอีตานี่รู้เรื่องซะด้วย ก็มันเรียนโรงเรียนฝรั่ง คงพูดภาษาอังกฤษได้อยู่แหละ 


และแล้วเวลาแห่งการสิ้นสุดก็มาถึง ฌองพาพลลิงขึ้นมา และเมื่อเห็นหน้าผมไอ้ตัวแสบก็เอ่ยปากทันที


"อาหมึก หิวข้าว หิวน้ำด้วย" 


"น้าหมึก หนูหิวแล้ว" 


ฯลฯ


ทั้งหลานน้า หลานอาโวยวาย และผมก็ไล่พวกมันให้ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน จากนั้นถ้าอยากจะกินข้าวก็มีกับข้าวเตรียมรอท่าพวกตัวแสบไว้อยู่แล้ว


ไปที่ห้องพักซึ่งใหญ่ที่สุด คืนนี้ผมคงต้องมานอนกับพวกมัน ไม่ใช่เพราะรักหลานมากเกินไป แต่รู้ว่าถ้าไม่มีผมคอยคุม พวกมันไม่ยอมนอนก่อนเวลาสี่ทุ่ม อันเป็นเคอร์ฟิวที่พ่อแม่พวกมันตั้งไว้เป็นเด็ดขาด ไล่ไอ้พวกตัวโต ๆ ให้ไปล้างเนื้อล้างตัว และไอ้ตัวเล็กผมก็ต้องอาบน้ำให้มัน ดูเอาเถอะ เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอมแท้ ๆ อีหมึกเอ๊ย


แต่งเนื้อแต่งตัวหวีผมเรียบแปร้ ทาแป้งจนหน้าขาวเป็นนวล จากนั้นก็ชวนกันไปกินข้าวที่ข้างห้องครัว ซึ่งฌองก็เดินตามมาอย่างรู้เวลาก็เลยกินข้าวด้วยกันวงใหญ่ พนักงานในรีสอร์ตออกจะทึ่งที่เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ คุยกับฌองอย่างรู้ภาษา ก็แน่ล่ะ มันเรียนมานี่ แล้วเดี๋ยวนี้เห็นพวกหลาน ๆ ของผมมันก็บอกว่ามีการเอาครูฝรั่งมาสอนซะด้วย เลยพูดภาษาอังกฤษกันใหญ่ ถึงจะงู ๆ ปลา ๆ และใช้คำศัพท์ง่าย ๆ แต่ก็สื่อสารเข้าใจกันเป็นอันดี แต่จะเข้าอกเข้าใจกันแค่ไหน ก็สุดจะเดาล่ะนะ


"อาหมึก คืนนี้พาพวกเราไปเที่ยวงานวัดได้ป่าว หนูเห็นมีป้ายติดประกาศว่ามีงานวัดพอดี" หลานสาวของผมถามกึ่ง ๆ อ้อน ไม่ใช่แค่อ้อนกับผมหรอกนะ มีการชวนอีตาฌองให้ไปกับพวกเราเสียด้วย ตกลงมึงถามกูหรือยังว่ากูจะพาไปหรือเปล่า


"นะน้าหมึกน๊า พาพวกเราไปเถอะ พาน้าฌองไปด้วย" ไอ้ตัวเล็กเดินมาอ้อนเพราะเห็นผมทำเฉย ๆ เจอไม้นี้เข้าไป น้าหมึกคนสวยก็เลยต้องยอมใจอ่อน แต่ที่ดูจะดีใจกว่าเด็ก ๆ ก็คือตาฝรั่งนี่ล่ะ


"ถ้าอย่างนั้นช่วงบ่ายก็ต้องนอนกลางวันกัน ส่วนคนที่โตแล้วก็ต้องช่วยกูทำงาน" ผมดักไว้ทุกทาง ซึ่งแน่ล่ะ ไอ้พวกรุ่นเล็กมันก็ต้องถูกต้อนไปนอนกลางวันแน่ ๆ ส่วนหลานผมสี่คนซึ่งอายุสิบกว่าขวบทั้งนั้นก็จะให้ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในรีสอร์ตนี้แหละ 


ถึงหลานของผมจะซุกซนแต่ก็ทำงานทำการได้เป็นอย่างดี ก็เหมือนผมซึ่งตั้งแต่เล็กโดนใช้งานสารพัดนั่นแหละ พวกมันก็โดนไม่ต่างกัน เพียงแต่อาจจะสบายกว่าสมัยผมเด็ก ๆ นิดหน่อย ผมพาไอ้ตัวเล็กสี่ตัวไปนอนกลางวันหลังอาหาร ซึ่งผมไม่เสียเวลาเล่านิทานให้พวกมันฟังแน่ ๆ แต่เปิดเอาจากยูทูปให้พวกมันฟังกันเพลิน ๆ ที่สำคัญคือให้นอนแยกกันคนละมุม ไม่อย่างนั้นก็จะพากันเล่นจนไม่ได้พักอีก แต่ถึงจะเป็นคนใจแข็งเพียงไร เจอลมทะเลเย็น ๆ บรรยากาศสงบ ๆ แถมได้ยินเสียงคลื่นซัดมาจากที่ไกล ๆ เหมือนช่วยเห่กล่อม ครู่ใหญ่ ๆ ทั้งสี่คนก็หลับไปพร้อมกัน รวมทั้งผมด้วย แหะ ๆ


ผมกลับมาที่ออฟฟิศหลังจากหลับไปครู่หนึ่ง ชะโงกดูหลานสี่คนที่ช่วยงานกันอย่างขมีขมัน ถือตะกร้าไปช่วยแม่บ้านเก็บกวาดทำความสะอาดห้องพัก จนช่วงเย็น ๆ ก็มารวมตัวกันที่ครัวเพื่อช่วยกันทำอาหารเย็น


"มีเด็ก ๆ อยู่เยอะ ๆ ทำหมูหวานกินดีไหม?" แม่ครัวถามซึ่งแน่ล่ะ มันย่อมดีอยู่แล้ว จะได้ไม่งอแง เด็ก ๆ กับหมูหวานน่ะมันของคู่กัน


แน่นอนว่าคนอยากรู้อยากเห็นต้องเข้ามาช่วย เริ่มจากสอบถามว่าจะทำอะไรกิน และขอรู้วิธีการทำ ผมก็พยายามอธิบายคร่าว ๆ แต่อะไรจะดีไปกว่าลงมือทำเองเล่า เพียงแต่รอบนี้มีล่ามกิตติมศักดิ์ช่วยถอดความ ซึ่งคนฟังจะสามารถฟังแล้วเข้าใจมากแค่ไหนก็อยู่ที่บุญกรรมที่เคยทำมา


สูตรหมูหวานของเราก็เริ่มจากการเอาหมูสามชั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาให้ยาวประมาณปลายนิ้วก้อยผู้ใหญ่ เราทำกองโตเพราะใช้สามชั้นตั้งห้าหกเส้น เพราะคนกินหลายคน ช่วยกันหั่นคนละไม้คนละมือ จากนั้นก็เอาไปหมักในน้ำซอส อันดูจากสายตาคะเนว่าน่าจะมี ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ น้ำตาล น้ำมันหอย คลุกเคล้าจนได้กลิ่นหอม 


จากนั้นก็ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน แล้วก็ใส่หอมแดงจำนวนมาก ซึ่งขั้นตอนการหั่นหอมแดง ฌองรับหน้าที่นี้ไป จึงหั่นหอมแดงไปน้ำตาไหลไป น่าเอ็นดู พ่อฝรั่งเอ๋ย


จากนั้นก็นำหมูหวานจำนวนมากเทใส่ลงไปผัดให้เข้ากันรอจนน้ำจากหมูค่อย ๆ คลายตัวออกมาจนได้น้ำขลุกขลิก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ จะกินกับไข่เจียว และแกงจืด หรือแกงเผ็ดอีกสักอย่างก็เห็นจะกินข้าวหมดไหหมดชาม แต่แกงเย็นนี้ของเราคือแกงส้ม ซึ่งแม่ครัวคุยอวดว่า อีฌองปีนไปเก็บดอกแคมาให้ตั้งมากมาย 


"สนุกเขาใหญ่ล่ะ ป้ากับอีสมไปช่วยกันสอยดอกแค พ่อฌองเห็นก็เลยมาช่วย เก็บมาซะเยอะแยะ" แกเล่าไปอย่างเอ็นดู และฌองซึ่งทำหน้าตื่นเต้น ตักแกงส้มดอกแคใส่ปาก สมคงนึกแปลกใจที่คนไทยเอาดอกไม้มากิน แถมอร่อยซะด้วย แต่หลาน ๆ ผมบ่นกับอุบ พร้อมกับบอกว่าดอกแคมันขม


"กินไว้กันไข้หัวลม" ผมตอบและตักขึ้นมากินอวดเสียเลย แกงส้มนี่เขาอวดฝีมือกันที่พริกแกง ต้องหอมและเข้มข้น ยิ่งแม่ครัวของเราทำแกงส้มแบบโบราณคือใช้เนื้อปลาตำผสมไปในเครื่องแกง น้ำแกงจึงเข้มข้น ผมตักเอามาราดข้าวเคี้ยวหยับ ๆ อย่างมีความสุข แกงส้มรสเปรี้ยวนำ จากมะขามเปียก หวานตามจากเนื้อปลาและดอกแค เค็มด้วยน้ำปลา ยิ่งกินแกล้มกับไข่เจียวแห้ง ๆ และแนมด้วยหมูหวานรสหวาน ๆ มัน ๆ อร่อยเข้ากันที่สุด


ผมห้ามพวกลิง ไม่ให้ไปเล่นน้ำทะเลอีก เพราะเดี๋ยวเสื้อผ้าจะหมดเสียก่อน ถ้าจะเล่นก็ให้เล่นอยู่แถว ๆ นี้ เพราะราว ๆ สักหกโมงพวกเราจะไปเที่ยวงานวัดกัน 


"อะไรคืองานวัด?" นั่นไง อีตาฌองถามจนได้ 


"งานเทศกาลน่ะ" ผมตอบ และพยายามอธิบายด้วยคำง่าย ๆ กระชับ ๆ แต่ฌองก็ยังทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี 


"เดี๋ยวไปก็รู้เองแหละน่า" ผมบ่น และเดินตรวจตรารอบ ๆ ที่พักให้เรียบร้อย เพราะแขกเพิ่งเข้าพักไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนหนึ่งหลัง ผมจึงต้องกำชับหลาน ๆ ว่าห้ามเล่นเสียงดังรบกวนแขก  แต่โน่นแน่ะ แขกของผมไปเล่นน้ำทะเลอยู่โน่น 


จนราว ๆ พระอาทิตย์เริ่มจะโพล้เพล้ ฌองถูกพวกลิงกึ่งลากกึ่งจูงไปรอที่รถกระบะ แน่ล่ะผมยังเห็นว่าหัววันนัก แต่ไอ้พวกคนอยากเที่ยวน่ะใจมันไปถึงไหนแล้ว ตัวแสบจึงส่งไอ้ตัวเล็กให้มาถามผมไปสักที 


"น้าหมึกไปกันหรือยังพวกเราพร้อมแล้วนะ" ฟังมันว่า


"เออ ๆ อีกแปปนึงน้าตอบคำถามลูกค้าก่อนโว้ย" ผมตอบและรีบสรุปการจองห้องพัก อีตาลูกค้านี่ก็ช่างซักช่างถามจริง ๆ จนเมื่อผมเดินออกมาพร้อมกับกุญแจรถ พวกลิงก็กระโดดขึ้นไปอยู่ท้ายรถกระบะกันหมด โดยมีฌองอยู่กลางวง ดูไปก็คล้าย ๆ หนุมานกับพลลิงเหมือนกัน เพราะตัวขาวกว่าใคร ๆ


"หนูดีมานั่งข้างหน้ากับน้า" ผมบอกไอ้หลานตัวเล็กสุด เพราะกลัวว่าจะพลัดตกกระบะจากความซุกซน 


"ไม่เอาหนูจะนั่งตักน้าฌอง ไม่เป็นไรหรอกปลอดภัย" ดูเอาเถอะ กูกลายสภาพจากคุณน้าสุดสวยเป็นแค่สารถีเสียแล้ว 


"เกาะน้าฌองให้ดี ๆ ก็แล้วกันนะ ตกไปไม่วนรถกลับมารับ ไอ้พวกโต ๆ ดูน้องให้ดี ๆ ด้วย" ผมกำชับและค่อย ๆ ขับรถอย่างระมัดระวัง วัดที่ว่าห่างจากรีสอร์ตของผมแค่สี่กิโลเมตรเท่านั้น ใช้เวลาขับแค่อึดใจก็ถึง เสียงจากลำโพงดังจนแก้วหูจะแตก แต่เด็ก ๆ และฝรั่งอีกหนึ่งคนก็ดูตื่นตาตื่นใจ


ผมวนรถอยู่ครู่ใหญ่จึงจะได้เข้าไปจอดตรงซอกแห่งหนึ่ง นัดแนะกับหลานโต ๆ ว่าให้กลับมาเจอกันตรงนี้กี่โมงส่วนหลานเล็ก ๆ อีกสี่คน เดินจูงมือผมกับฌองไว้ ต้องคอยดูอย่าให้หายทีเดียวเพราะแต่ละตัวไวอย่างกับลิง 


ไอ้พวกหลานโต ๆ ผมให้เงินมันไปคนละห้าสิบบาทเผื่อมันจะกินอะไรหรือเล่นอะไรก็ตามแต่ใจ แต่ไอ้พวกตัวเล็ก ๆ นี่แน่ล่ะว่าต้องอ้อนขอกินหนม ขอซื้อของเล่น ซึ่งเราก็ต้องให้บ้างไม่ให้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะเสียผู้เสียคน


"น้าหมึกหนูอยากได้" ไอ้ตัวเล็กอ้อนพร้อมกับดึงผมไปที่ร้านขายตุ๊กตาน้ำตาลปั้น ยังดีที่มีเขาทำสำเร็จแล้ว เป็นรูปสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ก็เลยจัดกันไปคนละตัว รวมถึงอีฝรั่งด้วย ซึ่งแน่ล่ะ พ่อดีอกดีใจเหลือเกิน ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มถัดมาก็ขนมสายไหม แต่อันนี้ถุงหนึ่งให้กินสองคนแบ่งกัน เพราะมันหวานมากเดี๋ยวแม่พวกมันด่าเอา


"เหมือนปุยเมฆเลยว่าไหม?" ฌองหันมาคุยกับผม 


ไอ้ผมน่ะ จะว่าเพราะโตแล้ว หรือเพราะเคยอยู่กรุงเทพฯ มาระยะหนึ่ง มันก็เลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับงานวัด เพราะมันก็เหมือน ๆ กันไปหมด แถมข้าวของที่ขายก็รับมาจากกรุงเทพฯ แทบทั้งนั้น แต่ผมก็มาเสียท่ากับไอ้ชุดยอดมนุษย์ ซึ่งต้องตัดใจซื้อให้ทั้งสี่ตัวเพราะเห็นว่ามันใส่ก็คงจะน่ารักดี ทั้งกัปตันอเมริกา สไปเดอร์แมน เดอะแฟรช และซุปเปอร์แมน ช่างทำมาหลอกขายเด็กกันดีแท้ ๆ 


มีลิเกมีงิ้ว ซึ่งเด็ก ๆ ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไร แต่ด้านที่คึกคักที่สุดก็คือมีหมอลำซิ่งมาเปิดการแสดงด้วย อีฌองทำท่าสนอกสนใจ และดูจะสนุกกับทุกอย่างคูณสิบคูณร้อย ก็แน่ล่ะงานวัดฝรั่งไม่มีอะไรอย่างนี้แน่ ๆ 


จริง ๆ วัดก็ไม่ได้กว้างอะไรสักเท่าไร เดินไปเดินมาวน ๆ เวียน ๆ กันหลายรอบ สุดท้าย ก็มาจบที่นั่งกินอะไรกันตรงศาลา ก็บรรดาของกินที่พวกเด็ก ๆ อ้อนจะกินนั่นแหละ โดยไอ้พวกหลานโต ๆ ก็แวะเข้ามาและเล็มบ้างอย่างเช่นโรตีซึ่งผมซื้อมาครบคน คนละหนึ่งอัน หรือขนมเบื้องตัวเล็ก ๆ ทั้งไส้หวานและไส้เค็ม ไหนจะสาคูไส้หมูอีกเล่า ซึ่งจริง ๆ มีข้าวเกรียบปากหม้อด้วย แต่ผมขี้เกียจรอ เพราะมันต้องทำทีละอัน ๆ กินสาคูไส้หมูนี่แหละ ไม่เสียเวลารสมันก็ครือ ๆ กันนี่ละหนอ แต่ระหว่างรอสาคูไส้หมู ก็มองพ่อค้าที่ค่อย ๆ ทำข้าวเกรียบปากหม้อ มันก็เพลินดีเหมือนกัน คิดแล้วก็น่าสนุก รวมถึงของกินอีกหลายร้อยอย่าง เช่นแมลงทอด ซึ่งฝรั่งเห็นก็ตาเหลือก และแน่นอนว่าฝรั่งยืนดูพร้อมกับถ่ายรูปไปด้วย จริง ๆ ฌองก็ถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่นั่งท้ายรถกระบะนั่นแหละ 


ผมนั่งรอด้วยการกินลูกชิ้นปิ้งซึ่งไอ้ลูกชิ้นเอ็นกรุบ ๆ นี่อร่อยชะมัด แต่สมัยเด็ก ๆ ผมเคยถูกพี่ชายหลอกว่า ลูกชิ้นเอ็นพวกนี้ทำมาจากเนื้อหมา เล่นเอากินไม่ลงไปหลายปี จนมารู้ความจริงทีหลังว่ามันก็ทำมาจากเนื้อวัวเนื้อหมูนี่แหละ หลอกกันได้ จะว่าลูกชิ้นอร่อยมันก็ต้องมาจากน้ำจิ้มรสเด็ดด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยไงล่ะ


และไหน ๆ มาถึงงานวัด เราก็ต้องเข้าไปกราบพระสักหน่อย ผมรอให้คนซาก่อน จากนั้นก็ลากลิงสี่ตัวและฝรั่งอีกหนึ่งคนเข้าไปในโบสถ์ จัดแจงหยอดแบงก์สีแดงเข้าไปในตู้บริจาค แล้วก็หยิบ ชุดดอกไม้ธูปเทียน อันมีทองคำเปลวแผ่นเล็ก ๆ เหน็บมาด้วย คู่กับกำดอกกล้วยไม้เหี่ยว ๆ เพราะใช้เวียนกันมาตั้งแต่บ่ายละกระมัง เอาเถอะ ยุคสมัยนี้มันก็ต้องรียูส รีไซเคิลกันเนอะ 


ฌองรับช่อดอกไม้มาและดูจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร แถมสาธิตอวดเด็ก ๆ เสียด้วย


"ผมเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ ที่นั่นมีวัดสวย ๆ เยอะมาก ผมก็เลยไหว้พระเป็น" แน่ะฝรั่งอวดค่ะคุณผู้ชมเจ้าขา แต่ก็ว่าไม่ได้นา ฌองก็ทำได้ดี หลังจากจุดธูปเทียน พ่อก็นั่งคุกเข่าอธิษฐานต่อหน้าพระประธาน ทำคนเดียวไม่พอลากหลาน ๆ ของผมไปนั่งคุกเข่าซะด้วย จากนั้นพ่อก็เอาธูปเอาเทียนไปปัก เอาดอกไม้วางบนพาน แล้วก็กราบงาม ๆ สามครั้ง แม้ว่าก้นจะกระดกสูงไปสักหน่อย 


จบด้วยการแปะทองคำเปลวซึ่งอีตอนนี้แหละชุลมุนชุลเกกันที่สุด ผมน่ะขอปิดทองคำเปลวที่หัตถ์ของท่าน เพราะเป็นเคล็ดลับว่าจะได้ใช้มือทำมาหากิน กวักเงินกวักทอง แต่อีตาฌองไปแปะที่หลังองค์พระเสียนี่


"จะปิดทองหลังพระเหรอ?" ผมถามและแน่ล่ะฝรั่งไม่เข้าใจ จนผมต้องอธิบายว่ามันเป็นสำนวนไทยหมายถึงทำความดีโดยไม่ป่าวประกาศให้คนรู้ 


เดินกันจนอ่อนใจ ราว ๆ สองทุ่มก็ต้องถึงกำหนดกลับกันสักที ถ้าเป็นสมัยผมเด็ก ๆ อาจจะตื่นเต้นที่มีหนังกลางแปลงให้ดูฟรี ๆ แต่ไอ้เด็กพวกนี้มันเติบโตมาในยุคที่มีเน็ตฟลิกซ์ มีดิสนีย์ฮอตสตาร์ พวกมันจึงเชิดใส่หนังกลางแปลงกันสิ้น อันนี้เป็นธรรมดาโลก และผมคิดว่าถ้าตอนพวกมันอายุเท่าผม ก็คงจะไม่ตื่นเต้นกับงานวัดอย่างตอนนี้อีกแล้วเหมือนกัน


เมื่อกลับถึงรีสอร์ต ฌองต้องทำหน้าที่อุ้มไอ้ตัวเล็กซึ่งหลับไปบนอก มาส่งพวกเด็ก ๆ จนถึงที่นอน แต่อย่าคิดว่าจะง่ายอย่างนั้น ผมไล่ไอ้พวกลิงให้ไปแปรงฟันกันเสียก่อน ฉวยสุขภาพฟันพวกลูก ๆ ไอ้พี่สาวพี่ชายผมเสียไป ผมก็เป็นต้องโดนด่า


"สนุกไหม?" ผมถามขณะที่เดินมาส่งฌองที่หน้าห้องพัก


"สนุกมาก ๆ ขอบคุณมาก ๆ คืนนี้ผมจะเขียนเรื่องราวงานวัดลงเพจ" ฌองคุยอวด ส่วนผมก็กลับมาคุมเด็ก ๆ และรับบทนางยักษ์ ปิดไฟบังคับให้พวกมันนอนกัน วันนี้ทั้งเล่นทั้งกินสารพัด หัวถึงหมอนได้ครู่เดียวก็พากันหลับไปจนหมด 


เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด ปล่อยให้เด็ก ๆ มันได้นอนตื่นเอาตามสบาย ใครตื่นแล้วก็ลุกมาเอง ผมเดินไปช่วยแม่ครัวในครัว เห็นแกทำข้าวต้มหม้อใหญ่  จนราว ๆ แปดโมงเด็ก ๆ ก็ทยอยกันมากินข้าวด้วยกัน แต่ฌองนั้นมาตอนเก้าโมงทีเดียว


"เมื่อคืนผมนอนดึกมาก ๆ มีอะไรให้เขียนมากมาย ผมนอนตอนตีสามครึ่ง" ฌองพูดและตื่นเต้นกับข้าวต้มบะเต็ง ซึ่งไอ้บะเต็งนี่ก็คือหมูเคี่ยวซีอิ๊วนี่แหละ เพียงแต่เมื่อวานหมูหวานมันเหลือเยอะ แม่ครัวของผมก็เลยยักย้ายเอามาเคี่ยวอีกหน่อยให้มันเข้มข้นขึ้นใส่สามเกลอให้หอม เวลาจะกินก็เอามาโรยบนหน้าข้าวต้ม กลายเป็นข้าวต้มหมูบะเต็ง ไม่มีเสียของกันล่ะ 


"อร่อยมาก ๆ" ฌองเอ่ยปากชม ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้ม 


"กินเยอะ ๆ" ผมบอก และคิดว่าเดี๋ยวฌองคงต้องใช้แรงเยอะเพราะต้องผจญภัยกับลิงทั้งแปดตัว อย่าเพิ่งหมดแรงข้าวต้มก็แล้วกัน ข้าวต้มบะเต็งเชียวนะ